GE116 ครึ่งก้าวแก่นทองคำ [ฟรี]
เมื่อได้ให้สัญญากับนางว่าจะปรุงโอสถให้ หนิงฝานก็ไม่อยากผิดคำสัญญา แต่ด้วยเวลากระชั้น จึงไม่อาจปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ให้นางได้ อย่างมากก็ได้เพียงโอสถผันแปรที่ 3 เท่านั้น
จะกระถางโอสถหรือเพลิงพิภพ ชูชิงเตรียมไว้หมดแล้ว หนิงฝานจึงนั่งขัดสมาธิหน้ากระถาง โคจรปราณกระบี่ตัดขุดพื้นจนเป็นหลุม แล้วชักนำเพลิงพิภพขึ้นมาจากพื้น แล้วนำสมุนไพรใส่ลงไปในกระถางทันที
สมุนไพรทั้งหมดที่ใส่ลงไปนั้นเป็นของนาง
เมื่อหนิงฝานโยนสมุนไพรล้ำค่าของตนไป นางก็ทำสีหน้าไม่พอใจ
“ฮึ่ม! หากโอสถของเจ้าไม่อร่อย ข้าจะกินเข้า!”
“อร่อยอย่างแน่นอน...”
หนิงฝานฝานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางรื้อฟื้นความทรงจำของจักรพรรดิสวรรค์
ในความทรงจำของจักรพรรดิสวรรค์มีกล่าวถึงเรื่องที่ปีศาจสมุนไพรกินโอสถเพื่อยกระดับพลัง และโอสถนั้นต้องเป็นโอสถคุณภาพสูง
หนิงฝานปรุงโอสถที่มีชื่อว่า ‘เว่ยยู่หลู’... เป็นโอสถที่ไม่มีประโยชน์กับมนุษย์ มีไว้เพียงประดับกระถางปรุงโอสถ แต่กลับมีประโยชน์กับสัตว์อสูร เมื่อกินเข้าไปจะช่วยเพิ่มพูนพลัง
ร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนด้อยกว่าสัตว์อสูรมาก จึงไม่อาจทานฤทธิ์ของโอสถเว่ยยู่หลูได้ แต่สำหรับสาวน้อยนางนี้แล้ว มันคืออาหารชั้นดี
แม้หนิงฝานจะยังปรุงโอสถไม่เสร็จ แต่กลิ่นที่โชยออกมากลับทำให้นางอยู่ไม่เป็นสุข นางอยากจะยกกระถางปรุงโอสถ แล้วเทกินสิ่งที่อยู่ภายใน
“หอมมาก… โอสถนี่ต้องอร่อยมากแน่! หมิงเชว่อยากกิน...”
“รอก่อน… โอสถนี้ยังปรุงไม่เสร็จ หากเจ้าเปิดฝาเตา โอสถที่อยู่ภายในจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที” หนิงฝานฝานเตือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่คำเตือนของเขากลับจริงจัง
นางมีนามว่า ‘หมิงเชว่’
หมิงเชว่ แปลว่า นกกระจอกทมิฬ (หรือวิหคทมิฬตามที่เคยใช้)... ช่างเป็นชื่อที่มีความหมายตรงตัว
เมื่อนางได้ยินว่าหากเปิดฝาเตาจะไม่ได้กินโอสถ นางจึงนั่งรออย่างสงบ ไม่กล้าก่อกวงหนิงฝานและสัมผัสกระถางปรุงโอสถ
ฝากระถางโอสถนั้นร้อนมาก หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปเผลอสัมผัส จะรู้สึกแสบร้อน แต่สำหรับหมิงเชว่แล้ว นางไม่เป็นอะไร เพราะนางคือสัตว์อสูร
เมื่อเห็นว่านางนั่งรออย่างสงบ ไม่ยกกระถางโอสถของตน หนิงฝานก็ผ่อนคลาย
นี่เป็นครั้งแรกที่ชูชิงได้เห็นหนิงฝานปรุงโอสถด้วยตาของตน แม้จะเป็นเพียงโอสถผันแปรที่ 3 แต่ทักษะการปรุงโอสถเช่นนี้ มันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
ชายชราเป็นผู้ที่คลั่งไคล้โอสถมาทั้งชีวิต การได้เห็นทักษะปรุงโอสถของหนิงฝาน จึงเหมือนกับต้องมนต์สะกด มันไม่ได้สนใจหมิงเชว่ มันสนใจเพียงการปรุงโอสถของหนิงฝาน
หนิงฝานสัมผัสฝากระถาง ถอนเพลิงที่ใช้ในการปรุงโอสถ… ขั้นตอนการปรุงโอสถทั้งหมดของหนิงฝานถูกประมวลผลไปมาในสมองของชูชิงหลายรอบ แต่กลับไม่อาจเข้าใจได้
ชายชราถอนหายใจยาว… สมแล้วที่หนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ทักษะการปรุงโอสถทำให้ชายชรารู้สึกว่าไม่อาจเอื้อมถึง...
หนิงฝานนำนำโอสถที่ปรุงเสร็จใส่ขวด
หนิงฝานได้โอสถหลายเม็ด ที่เกิดจากการใส่สมุนไพรลงไปหลายชุด ซึ่งเปรียบเหมือนกับการปรุงโอสถหลายชุดในคราวเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อหนิงฝานเก็บโอสถออกจากกระถางใส่ขวดได้ราว 1 ใน 10 ส่วน หมิงเชว่ก็ทนไม่ไหว นางเอื้อมมือลงไปคว้าโอสถที่ยังร้อน กรอกเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
รอยยิ้มมีความสุขปรากฏบนใบหน้า พลางเงยหน้ามองหนิงฝานด้วยแววตาสั่นไหว
“อร่อย! เป็นโอสถที่อร่อยมาก ข้าชอบ!”
“อืม...”
หนิงฝานก้มมองโอสถเว่ยลู่หยูแล้วหัวเราะพลางส่ายหน้า โอสถเหล่านี้มีฤทธิ์รุนแรง มีเพียงสัตว์อสูรอย่างนางเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอจะกินได้ แม้เป็นหนิงฝานที่บรรลุขอบเขตแสงเงินระดับ 6 ก็ไม่สามารถกินโอสถนี้ได้
สิ่งที่ทำให้หนิงฝานสนใจคือ โอสถที่เขาปรุงออกมานั้น มีคุณภาพสูงกว่าที่ผ่านมา
วันนี้หนิงฝานไม่ได้ปรุงโอสถจริงจังนัก แต่คุณภาพของโอสถที่ได้กลับสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?
เขาแผ่สัมผัสเทพกวาดผ่านมือน้อยๆของหมิงเยว่ ที่กำลังถือโอสถไว้… และในตอนนั้นเอง เขาได้พบว่าโอสถแต่ละเม็ดมีร่องรอยความเสียหายขนาดเล็ก
ร่องรอยเหล่านั้นแผ่เจตจำนงค์เทพราวกับพิรุณโปรย… เจตจำนงค์เทพพิรุณ!
แต่นั่นไม่ใช้เพราะเจตจำนงค์เทพพิรุณเพียงอย่างเดียว เป็นเพราะทักษะการปรุงโอสถของเขาเพิ่มพูนด้วย
“ข้าลงมาชั้น 3 ของสุสาน และสัมผัสถึงการหยั่งรู้แหางเจตจำนงค์เทพพิรุณ! มันกลับทำให้...”
สีหน้าหนิงฝานเคร่งเครียดจริงจัง แต่ในใจกลับมีความสุขปนความผิดหวัง
ส่วนที่ทำให้เขามีความสุขคือ เขาสามารถทำความเข้าใจกับเจตจำนงค์เทพได้ แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวัง คือเขาไม่สามารถลงไปถึงชั้น 9 ของสุสาน เพื่อทำความเข้าใจกับเจตจำนงค์เทพที่เหลือ
บางที… หากจะบรรลุนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 เขาอาจจำเป็นต้องพึ่งพาเจตจำนงค์เทพพิรุณ!
นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 และ 5 นั้นต่างกันเพียงมีเจตจำนงค์เทพมาเพิ่ม แต่เมื่อกล่าวถึงฤทธิ์โอสถแล้ว แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หากเป็นโอสถผันแปรที่ 5 ที่มีคุณภาพสูง แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังต้องหวั่นไหว
ขอบเขตตัดวิญญาณนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่เจตจำนงค์เทพ หากไร้ซึ่งเจตจำนงค์เทพ ก็ไม่อาจปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ได้ และโอสถผันแปรที่ 5 นั้น มีประโยชน์กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมาก
หนิงฝานนึกถึงคำกล่าวของสตรีลึกลับ นางกล่าวว่าวิหารสาบสูญจะให้ความสำคัญกับนักปรุงโอสถเป็นพิเศษ หากเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ที่บรรลุเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 จะสามารถขึ้นวิหารในระดับชั้นที่สูงขึ้น เพื่อใช้ห้องฝึกที่มีการไหลเวียนของเวลาช้าลง และนั่นจะช่วยประหยัดเวลาที่หนิงฝานจะทะลวงขอบเขตแก่นทองคำได้มาก
เพียงคิดก็มีความสุข แต่กลับไร้หนทาง
บางทีการมุ่งลงไปยังชั้นที่ 9 ของสุสานอาจจะง่ายดายยิ่งกว่า… ด้วยระดับพลังของหนิงฝายยามนี้ หากลงไปชั้น 4 ของสุสาน เขาอาจถูกสัตว์อสูรระดับดวงจิตแรกเริ่มรุมสังหาร หากลงไปชั้น 5 ของสุสาน สัตว์อสูรระดับตัดวิญญาณจะจู่โจมจนเขาไม่มีโอกาสตอบโต้ ลึกลงไปยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง...
เพราะตั้งแต่ชั้นที่ 7 เป็นต้นไป แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกแห่งวิหารพิรุณยังไม่อาจย่างกราย… หนิงฝานในยามนี้เป็นเพียงผู้เชี่ยวประสานวิญญาณขั้นสูงสุด การที่สัมผัสและเข้าใจเจตจำนงค์พิรุณ ก็นับว่าหาได้ยากแล้ว หากเขาจะเข้าใจเจตจำนงค์เทพพิรุณทั้งหมด เขาจะต้องบรรลุพลังระดับใดยังไม่อาจทราบ
“ข้าต้องทำให้ได้...”
หนิงฝานคืนสู่ความสงบ แต่ในใจกลับลุกโหมด้วยความปรารถนา จึงต้องสะกดมันไว้
ลึกเข้าไปในสุสานชั้น 5 มีปราณหยินลึกลับ
ชั้น 9 ของสุสานมีกระดูกของวิหคทมิฬอยู่ และมีความตระหนักรู้ของชายชราคนนั้น
ที่สำคัญ ในสุสานสักชั้น...มีผลแห่งความฝันอยู่
แต่โอกาสที่จะได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้น ได้ถูกหยุดลง...
“ช่างเถอะ ตอนนี้ข้าควรดูดกลืนเพลิงปีศาจทมิฬก่อน...”
เพลิงปีศาจทมิฬคือเพลิงระดับ 5 ซึ่งตอนนี้เขาครอบครองอยู่ 2 ชนิด คือเพลิงปีศาจทมิฬ และเพลิงกระดูกขาว นอกจากนี้ ปราณเยือกแข็งป่าสวรรค์… เขายังมีปราณเยือกแข็งกระดูกขาว
ในหมู่เพลิงปีศาจสิบสองชีพจรพิภพนั้น… เพลิงปีศาจทมิฬถือเป็นเพลิงระดับ 6... เพลิงปีศาจกระดูกขาวคือเพลิงระดับ 11 ส่วนปราณเยือกแข็งป่าสวรรค์นั้น… ปราณเยือกแข็งกระดูกขาวจัดอยู่ในอันดับที่ 12
ด้วยการยกระดับพลังและวิชา หนิงฝานรู้ดีว่าตนเองจะต้องทำยังไง
วิชาหลักที่เขาฝึกฝนคือวิชาแปลงหยินหยาง นอกจากนี้ เขายังครอบครองเส้นลมปราณปีศาจโบราณ ที่ทำให้ฝึกฝนธาตุได้มากกว่าหนึ่งธาตุ ซึ่งวิชาสำหรับธาตุเฉพาะนั้น หนิงฝานมีวิชาลับปีศาจทมิฬ และเหยียบย่างหิมะ
เพลิงและน้ำแข็งที่แตกต่าง จะถูกผสานด้วยเส้นชีพจรและวิชาแปลงหยินหยาง เฉกเช่นอาภรณ์ขาวดำที่หนิงฝานชอบสวมใส่… แม้ภายนอกจะหนาวเหน็บ แต่ภายในอบอุ่น นั่นคือเต๋าอันยิ่งใหญ่ของหยินหยาง...
เมื่อหมิงเยว่ได้โอสถมา นางก็รับผ้าคาดเอวคืนก่อนจะหายตัวไป
หนิงฝานวางข่ายอาคมป้องกัน เขาตั้งใจจะเก็บตัวฝึกฝน 10 วัน เพื่อดูดกลืนเพลิงปีศาจทั้งสองชนิด
การทำเช่นนี้ อาจช่วยให้ปราณของเขาเพิ่มพูนเป็นเท่าตัว ก่อนที่จะบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ
หนิงฝานใช้เวลาเพียง 10 ในการดูดกลืนเพลิงปีศาจทมิฬ ที่ใช้เวลาน้อยไม่ใช่เพราะเขาเคยดูดซับหนึ่งในมังกรเพลิงทมิฬทั้งเก้ามาแล้ว แต่เป็นเพราะเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเพลิงที่ผสานกับหานหยวนจี๋มาเนิ่นนาน ได้สัมผัสและรับรู้ถึงตัวตนของหนิงฝานผู้เป็นศิษย์ จึงทำให้เขาดูดกลืนได้ไม่ยากนัก
เมื่อหนิงฝานดูดกลืนเพลิงปีศาจแล้วเสร็จ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปล่งแสงสีดำ ชูนิ้วเป็นท่าทางก่อนปรากฏมังกรเพลิงทมิฬทั้ง 9… ด้วยเพลิงปีศาจทมิฬยามนี้ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณคนใดต้านรับเพลิงของเขาได้
เมื่อดูดกลืนเพลิงปีศาจทมิฬเสร็จ ระดับพลังของหนิงฝานก็เพิ่มขึ้นอีกขั้น ทำให้ยามนี้ เขาเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะถึงขอบเขตแก่นทองคำ
ภายในตันเถียนของหนิงฝาน ได้ปรากฏเปลวเพลิงสีดำทมิฬ และแรงกดดันมหาศาลของมัน
หนิงฝานบรรลุครึ่งก้าวแก่นทองคำอย่างแท้จริงแล้ว!
เมื่อเข้าสู่ครึ่งแก้วแก่นทองคำ ภายในตันเถียนของหนิงฝานจะปรากฏลูกกลม เมื่อทะลวงขอบเขตแก่นทองคำสำเร็จ ลกกลมนั้นจะสมบูรณ์ แต่การที่จะทะลวงขอบเขตนั้น หนิงฝานต้องเก็บตัวหลายปี
แต่ด้วยยามนี้ที่ระดับปราณของหนิงฝานเพิ่มพูน เขาก็จพรับมือกับไป๋เฟยเถิงได้ง่ายขึ้นมาก
กลิ่นอายของเพลิงที่แผ่ออกมาจากร่างหนิงฝานอย่างรุนแรงนั้น ทำให้ชูชิงหายใจได้ยากลำบาก… แรงกดดันที่หนิงฝานแผ่ออกมา ดูราวกับจะทรงพลังยิ่งกว่า 10 ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเยว่
“ครึ่งก้าวแก่นทองคำ… แก่นทองคำได้ก่อตัวแล้ว เหลือเพียงตัดความรู้สึกเท่านั้น...”
หนิงฝานหลับตา ยามนี้ยังไม่บรรลุขอบเขตแก่นทองคำ
เป็นครั้งแรกที่หนิงฝานสัมผัสได้ว่า ระดับความแข็งแกร่งของจิตใจ ไม่ได้ยกระดับขึ้นตามปราณ
ยามนี้เขาดูดกลืนเพลิงปีศาจทมิฬอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงเพลิงกระดูกขาวที่ยังไม่ได้ดูดกลืน
หากดูดกลืนมันเข้าไป ปราณของหนิงฝานก็จะยกระดับอีกขั้น เมื่อถึงยามนั้น เขาจะไม่อาจสะกดการก้าวข้ามขอบเขตได้อีก เขาต้องเก็บตัวฝึกฝนเพื่อบรรลุแก่นทองคำทันที
เขาสัมผัสได้ว่า หากดูดซับปราณน้ำแข็งและเพลิงเข้าไป จะทำให้เพลิงและน้ำแข็งสอดประสานไปตามเต๋าแห่งหยินหยาง และนั่นจะทำให้เขาได้ประโยชน์อย่างสูงสุด
เพียงต่ประโยชน์อะไรบ้างนั้น เขาเองก็ไม่ทราบ เมื่อเขาบรรลุแก่นทองคำแล้ว เขาจึงจะหาคำตอบอีกที
“ระดับพลังของข้าในตอนนี้… หากไปชั้น 4 ของสุสานก็รังแต่จะรนหาที่ตาย”
หนิงฝานจ้องมองอุโมงค์ที่ทอดยาวลงไปชั้น 4 ของสุสานพลางถอนหายใจ เขาไม่อาจไปได้ไกลกว่านี้… ปราณหยินลึกล้ำคงต้องรอไว้ก่อน
หากหนิงฝานครอบครองเพลิงปีศาจสิบสองพิภพ และปราณเยือกแข็งป่าสวรรค์ครบทั้งหมด เขาจะต้านรับการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกได้
หนิงฝานส่ายหน้าเล็กน้อย หากลงไปสุสานชั้น 4 ได้คงจะดี...
แต่ในขณะที่หนิงฝานกำลังจะไปนั้น สตรีอาภรณ์ดำกลับกระโดดขึ้นมาจากอุโมงค์
“ท่านพี่นักปรุงโอสถ... ดีจริงๆที่ท่านยังไม่ไป ข้าอยากกินโอสถนั่นอีก!”
พริบตานั้น หนิงฝานก็เกิดความคิดทันที!
บางทีสตรีนางนี้อาจพาเขาไปจนถึงชั้นที่ 9 ของสุสานได้
ถึงจะไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง แต่ก็คุ้มค่าให้ลอง
“หากข้าปรุงโอสถให้เจ้า เจ้าต้องรับคำขอของข้าด้วย”
แววตาหนิงฝานเป็นประกาย แต่นางกลับสั่นเทาและถอนไปก้าวหนึ่ง
“คำขออะไร… ถ้าอยากได้สมุนไพรของข้า ข้าให้เจ้าไม่ได้… เมฆเซียนนั่นก็ด้วย… สัตว์อสูรเหล่านั้นก็ด้วย”
“ข้าไม่อยากได้สมบัติของเจ้า… ข้าแค่อยากลงไปดูสุสานชั้นลึกๆ”
“จริงเหรอ? ง่ายนิดเดียว ข้าจะเป็นคนพาเจ้าไปเอง ไม่มีใครกล้ากินเจ้าแน่… รีบๆปรุงโอสถให้ข้าเถอะ!”
นางทุบอกกล่าวอย่างจริง เพราะกลัวว่าหนิงฝานจะกลับคำ
การนำทางลงไปยังชั้นที่ลึกลงไปไม่ใช่เรื่องใหญ่
ยิ่งจ้องมองหนิงฝาน นางยิ่งรู้สึกพอใจ… เพราะนางได้เห็นมนุษย์ที่น่าดึงดูดมากที่สุด
และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งพอใจคือ หนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถ
นางฝันว่าสักวัน ตนเองจะเป็นนักปรุงโอสถเหมือนหนิงฝานบ้าง
เมื่อเริ่มปรุงโอสถ กลิ่นโอสถโชยออกมานอกเตา ทำนางลุ่มหลง
หนิงฝานยื่นขวดโอสถให้นาง และนางก็จะพาหนิงฝานไปยังสุสานชั้น 4 ตามที่ได้รับปาก แม้ที่นั่นจะมีสัตว์อสูรระดับดวงจิตแรกเริ่ม แต่ใครเล่าจะกล้าจู่โจม
“อาจารย์ ท่านไปเถอะ...ข้าไม่ไปหรอก นี่ก็ผ่านมา 10 แล้ว ไม่รู้ว่าภรรยาของท่านที่อยู่บนชั้น 1 จะเป็นยังไงบ้าง… ข้าเป็นห่วงและอยากจะปกป้องพวกนางรอท่าน...”
ชูชิงเก็บบกระถางโอสถ จริงๆแล้วมันกลัวชั้นที่ 4 ของสุสาน
สัตว์อสูรระดับดวงจิตแรกเริ่ม ชายชราไม่อยากเป็นอาหารให้พวกมัน
บนชั้น 1 ของสุสานมีซือซือ และกระถางแยกโอสถที่ลุกโหมด้วยเพลิง เหล่าสตรีของหนิงฝานจึงไม่จำเป็นต้องมีผู้มาปกป้อง เมื่อชูชิงกล่าวว่าจะไป หนิงฝานก็ไม่ห้าม
“อืม… เจ้ากลับไปเถอะ”
หนิงฝานรู้ว่าชูชิงหวาดกลัว เมื่อชูชิงจากไป หนิงฝานก็นำกระบี่แยกสวรรค์ออกมา แล้วกระโดดลงไปยังสุสานชั้นที่ 4
“ตามข้ามาอย่าให้ห่าง ไม่งั้นเจ้าได้ถูกหมาป่าพวกนั้นจับกินแน่...”
นางกล่าวพลางจับมือหนิงฝานพุ่งทะยาน ด้วยพละกำลังกายที่ทรงพลังของนาง หนิงฝานไม่อาจขัดขืน
ยามนี้เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้
เพราะสัตว์อสูรระดับดวงจิตแรกเริ่มกำลังจู่โจมหนิงฝานและนาง โดยที่พวกมันไม่ได้หวาดกลัวใดๆ การที่นางคว้าตัวหนิงฝานไว้ ก็เพื่อจะพาเขาหนีได้ง่ายขึ้น
สุสานชั้น 4 มีร่องรอยของความเข้าใจ มีความรู้สึกเปล่าเปลี่ยนอ้าว้าง...