ราชันย์เร้นลับ 24 : กระเบียดกระเสียร
ราชันย์เร้นลับ 24 : กระเบียดกระเสียร
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มถูกย้อมด้วยแสงสีส้มขณะตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ไคลน์จ้องมองเมลิสซ่าอย่างหมดคำจะกล่าว ถ้อยคำที่เคยเตรียมไว้ไม่สามารถงัดออกมาใช้ได้
มันกระแอ่มเสียงค่อยสองครั้งก่อนฝืนเค้นความทรงจำ
“เมลิสซ่า พวกเราไม่ได้ฟุ่มเฟือย แต่ในอนาคต เพื่อนร่วมงานของฉันหรือเบ็นสันจะต้องมาเยี่ยมที่บ้าน จะให้ต้อนรับคนเหล่านั้นด้วยห้องแบบนี้จริงหรือ?
“และเมื่อเบ็นสันกับฉันแต่งงาน จะให้นอนร่วมกันบนเตียงสองชั้นเหมือนเดิมรึไง?”
“พวกนายสองคนยังไม่มีคู่หมั้น… ไว้เก็บเงินอีกสักหน่อยค่อยย้ายบ้านก็ยังไม่สาย”
เมลิสซ่าตอบสั้นห้วน แต่อัดแน่นด้วยเหตุและผล
“ไม่ได้! เมลิสซ่า นี่เป็นบรรทัดฐานของสังคม!”
ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากอ้างหลักการของความเป็นผู้ดี
“ในเมื่อฉันหาเงินได้สัปดาห์ละสามปอนด์ ก็ต้องอยู่บ้านให้เหมือนกับคนที่หาเงินได้สัปดาห์ละสามปอนด์!”
ด้วยความสัตย์จริง มันเคยเช่าหอพักอยู่ร่วมกับเพื่อนมาก่อนที่โลกเก่า โจวหมิงรุ่ยย่อมคุ้นชินกับชีวิตหอพักเป็นอย่างดี การสวมบทบาทเป็นไคลน์จึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เป็นเพราะประสบการณ์ในอดีต มันจึงทราบถึงความไม่สะดวกสบายหลายด้าน โดยเฉพาะการใช้ชีวิตของผู้หญิง
แถมไคลน์ยังมีแผนจะเป็นผู้วิเศษในอนาคต การทำพิธีกรรมเวทมนตร์ที่บ้านจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดันนั้นที่พักจึงไม่ควรมีผู้คนพลุกพล่านผ่านไปมา และอย่างน้อยก็ต้องมีห้องส่วนตัวที่ห้ามใครเข้า
เมื่อเห็นเมลิสซ่ากำลังจะอ้าปากเถียง มันรีบอธิบายต่อ
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้คิดจะซื้อบ้านเดี่ยว เอาแค่บ้านแถวก็พอ เพียงแต่เน้นว่าต้องมีห้องน้ำส่วนตัว และมีห้องแยกของแต่ละคน
“แน่นอน ฉันเองก็ชอบขนมปังของมาดามสลิน รวมถึงบิสกิตทิงเก็นและเค้กมะนาวด้วย บ้านหลังใหม่จึงต้องอยู่ใกล้กับถนนกางเขนเหล็กหรือไม่ก็ถนนดารารัตน์”
เมลิสซ่าทำแก้มป่อง เธอเงียบงันเป็นเวลานานด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะผงกศีรษะในท้ายที่สุด
“แล้วก็ ฉันไม่ได้ใจร้อนจะย้ายบ้านทันที พวกเราต้องรอให้เบ็นสันกลับมาก่อน”
เมื่อกล่าวจบ ไคลน์หัวเราะคิกคัก
“คงไม่ดีแน่ถ้าเบ็นสันกลับมาและพบกับห้องที่ว่างเปล่า ลองนึกภาพดูสิ เขาจะต้องพูดว่า…
“ข้าวของหายไปไหนหมด? แล้วพี่น้องของฉันล่ะ? นี่ฉันเข้าผิดบ้านรึเปล่า? โอ้! ได้โปรดท่านเทพธิดา! หากนี่เป็นฝันร้าย ช่วยปลุกผมให้ตื่นจากฝันร้ายด้วยเถิด! บ้านผมหายไปได้ยังไง? แค่จากไปไม่กี่วันเองนะ!”
ไคลน์เลียนเสียงและสำเนียงพูดของเบ็นสัน เมลิสซ่าเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเธอกำลังมีความสุข ลักยิ้มตื้นสองข้างแก้มปรากฏขึ้นไม่บ่อยนัก
“ผิดแล้ว มิสเตอร์แฟรงค์คงดักรอเบ็นสันที่ชั้นล่างเพื่อให้เขาคืนกุญแจ เบ็นสันไม่มีทางขึ้นมาถึงนี่ได้แน่”
เด็กสาวล้อเลียนความตระหนี่ของเจ้าของหอพัก เป็นความเคยชินของสมาชิกครอบครัวโมเร็ตติไปแล้ว ที่จะล้อเลียนนิสัยจุกจิกซึ่งมิสเตอร์แฟรงค์ชอบกระทำ สิ่งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเบ็นสัน
“นั่นสินะ คนงกแบบหมอนั่นไม่มีทางเปลี่ยนกลอนประตูทุกครั้งที่เปลี่ยนผู้เช่าแน่”
ไคลน์เสริมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชี้นิ้วไปยังประตูและกล่าวด้วยน้ำเสียงผู้ดี
“มิสเมลิสซ่าครับผม พวกเราออกไปทานอาหารที่ภัตตาคารมงกุฏเงินกันไหม? เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองที่ผมได้งานใหม่”
เมลิสซ่าถอนหายใจเสียงค่อย
“ไคลน์ นายรู้จักเซเลน่ารึเปล่า? เพื่อนร่วมห้องและเพื่อนสนิทของฉัน”
เซเลน่า?
ทันใดนั้น ภาพของเด็กสาวผมสีไวน์แดงนัยน์ตาน้ำตาลเข้มลอยเข้ามาในหัว พ่อและแม่ของเซเลน่าเป็นสาวกโบสถ์เทพธิดารัตติกาลเหมือนบ้านโมเร็ตติ ถึงขนาดตั้งชื่อบุตรสาวตามชื่อพระแม่เซเลน่าเพื่อหวังจะได้รับการอวยพรพิเศษ
เด็กคนนั้นยังอายุไม่ครบสิบหกบริบูรณ์ อ่อนวัยว่าเมลิสซ่าราวครึ่งปี นับเป็นเด็กที่ร่าเริงและเข้ากับคนได้ง่าย
“จำได้สิ”
ไคลน์พยักหน้า
“พี่ชายของเธอที่ชื่อคริสเป็นนักกฏหมาย รายได้ต่อสัปดาห์เกือบจะสามปอนด์แล้ว ส่วนคู่หมั้นของเขาทำอาชีพเสริมเป็นนักพิมพ์ดีด
“ทั้งสองหมั้นหมายมานานกว่าสี่ปี แต่ก็ยังไม่ตกลงปลงใจแต่งงาน เพื่อให้ครอบครัวมีความมั่นคงกว่าที่เป็น พวกเขาจึงตั้งใจออมเงินมาตลอดจนถึงปัจจุบัน มีแผนจะทำเช่นนี้ไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปีค่อยคิดเรื่องแต่งงาน
“จากคำบอกเล่าของเซเลน่า มีผู้ชายหลายคนที่เป็นเหมือนกับพี่ชายเธอ พวกเขาจะเริ่มแต่งงานหลังจากอายุ 28 เป็นต้นไป หรือจนว่าครอบครัวจะมีความมั่นคง… ดังนั้นไคลน์ นายไม่ควรใช้เงินฟุ่มเฟือย”
ฉันแค่จะพาเธอไปทานอาหารนอกบ้านมื้อเดียว…
ไคลน์ยิ้มไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก มันกล่าวหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
“เมลิสซ่า แต่ฉันมีรายได้สัปดาห์ละสามปอนด์แล้วนะ และจะเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นเธอไม่ควรเป็นกังวลเกินไป”
“แต่พวกเราต้องออมเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินไว้ด้วย อย่างเช่นการล้มละลายของบริษัทรักษาความปลอดภัยที่นายนำ…
“ฉันเคยมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง บริษัทที่พ่อของเธอทำงานอยู่เกิดล้มละลาย ชีวิตเปลี่ยนผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที เธอคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลาออก”
เมลิสซ่ากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
…ไคลน์ถึงกับใช้มือก่ายหน้าผาก
“ต…แต่บริษัทของฉัน… กับรัฐบาล… ช…ใช่แล้ว! บริษัทนี้มีเส้นสายกับรัฐบาล! ไม่ล้มละลายง่ายขนาดนั้นแน่”
“ในยุคสมัยปัจจุบัน แม้แต่รัฐบาลเองก็ไม่มั่นคง เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงทุกครั้งที่เลือกตั้ง และเส้นสายที่มีจะหายไปทันทีเมื่อขั้วอำนาจใหม่เข้ามาบริหารแทน ถ้าเป็นแบบนั้นจริง บริษัทของนายก็จะถึงจุดจบ”
เมลิสซ่าให้เหตุผลอย่างหนักแน่น
คุณน้องสาวครับ… ทำไมถึงฉลาดขนาดนี้?
ไคลน์ยังคงยิ้มแห้งแม้จะพ่ายแพ้การโต้เถียงอย่างหมดท่า มันส่ายศีรษะ
“ก็ได้… ฉันจะอุ่นซุปที่เหลือจากเมื่อวาน แต่เธอต้องไปซื้อปลาทอดหนึ่งชิ้น เนื้อวัวพริกไทยดำหนึ่งชิ้น เนยโหลเล็ก และเบียร์มอลต์ให้ฉันแก้วนึง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดงานฉลองเล็กๆ ให้กับงานใหม่ของฉันบ้าง”
รายการที่กล่าวไปล้วนหาได้ง่ายจากแผงลอยบนถนนกางเขนเหล็ก ปลาทอดหนึ่งชิ้นมีราคาราว 6 ถึง 8 เพนนี ส่วนเนื้อหมักพริกไทยดำชิ้นไม่ใหญ่มากจะอยู่ที่ 5 เพนนี เบียร์มอลต์แก้วละ 1 เพนนี และเนยโหลเล็กหนัก ¼ ปอนด์มีราคา 4 เพนนี แต่ถ้าซื้อโหลใหญ่หนักหนึ่งปอนด์จะมีราคาเพียง 1 ซูล 3 เพนนีเท่านั้น
ไคลน์คนก่อนรับหน้าที่ซื้อของเข้าบ้านในวันหยุดเสมอ ส่งผลให้ราคาสินค้าถูกบันทึกลงหัวสมองแม่นยำ มันประมวลผลรวดเร็วและได้คำตอบเป็น 1 ซูล 6 เพนนี จึงทำการยื่นธนบัตร 1 ซูลให้เมลิสซ่าสองใบ
“ก็ได้”
เธอไม่คัดค้านการทำกับข้าวทานเอง เมลิสซ่าถอดกระเป๋าสะพายวางลงพร้อมกับเหยียดแขนหยิบธนบัตร
หลังเตรียมโหลเนยและหม้อสำหรับจ่ายตลาดเสร็จ เมลิสซ่าเดินตรงไปที่ประตูอย่างกระฉับกระเฉง เมื่อไคลน์เหลือบเห็น มันรีบส่งเสียงตะโกน
“เมลิสซ่า! อย่าลืมใช้เศษเงินที่เหลือซื้อผลไม้กลับมาด้วยนะ!”
มีแผงลอยไม่น้อยบนถนนกางเขนเหล็กที่ขายผลไม้หมดอายุหรือคุณภาพต่ำ เป็นสิ่งที่พวกมันซื้อต่อจากร้านอิื่นมาอีกทอด
ผลไม้หมดอายุค่อนข้างได้รับความนิยมในถนนกางเขนเหล็ก สาเหตุเพราะราคาเข้าขั้นถูกบัดซบ คนซื้อก็ไม่คิดอะไรมากกับส่วนที่เน่าเสีย อย่างน้อยก็ยังมีส่วนที่หวานฉ่ำให้ลองชิม เป็นความสุขเล็กๆ ที่ราคาถูกกว่าการซื้อผลไม้สดทั้งผลมาก
เมื่อกล่าวจบ ไคลน์เดินเข้าไปหาเมลิซ่าพร้อมกับยัดเหรียญหนึ่งกำใส่ฝ่ามือเธอ
“หือ?”
นัยน์ตาสีน้ำเริ่มสั่นสะริกอย่างฉงน
ไคลน์หันหลังกลับพร้อมกับส่งเสียง
“อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วย! ไปที่ร้านมาดามสลินและนั่งกินเค้กมะนาวซะ”
“…”
เมลิสซ่ากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพ่นถ้อยคำด้วยเสียงบางเบา
“ตกลง”
เด็กสาวหันหลังกลับพร้อมกับเปิดประตูห้องเดินออกไป
…
แม่น้ำตัดผ่านผืนดินจนแบ่งแยกเป็นสอง ถนนริมแม่น้ำเรียงรายด้วยต้นเมเปิ้ลและต้นสนซีดาร์เป็นทิวแถว อากาศบริเวณนี้ทั้งสดชื่นและชุ่มปอด
จุดประสงค์การเดินทางของไคลน์คือเพื่อบอกยกเลิกสอบสัมภาษณ์ที่จะมีขึ้นในช่วงเย็น มือซ้ายของชายหนุ่มกำลังจับไม้ค้ำ ส่วนมือขวายื่นเหรียญหกเพนนีจ่ายค่าโดยสารรถม้าไร้ราง
หลังจากลงรถ ไคลน์เดินไปบนถนนซีเมนต์โดยมีจุดหมายเป็นตึกสามชั้นที่ก่อจากหิน สีของมันเริ่มเขียวจากตะไคร่ อาคารแห่งนี้คือสำนักงานของมหาวิทยาลัยทิงเก็น
“สมกับเป็นหนึ่งในสองมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโลเอ็น…”
ในฐานะที่เพิ่งเคยเยือนเป็นครั้งแรก ไคลน์ถอนหายใจยาวขณะก้าวเดิน
เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยทิงเก็นแล้ว มหาวิทยาลัยโฮอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำจะหม่นหมองลงถนัดตา
“ฮุยเร่!”
“ฮุยเร่!”
เสียงตระโกนอย่างมีพลังของชายหนุ่มกลัดมันดังมาจากเรือพายสองลำที่กำลังแล่นแข่งกันทวนกระแสแม่น้ำโฮอี้ จังหวะจะโคนการจ้วงพายนับว่าประสานงานได้ยอดเยี่ยม
นี่คือกีฬาพายเรือซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่มหาวิทยาลัยของอาณาจักรโลเอ็น แม้แต่ตัวไคลน์คนเก่าก็เช่นกัน มันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโฮอี้ด้วยทุนการศึกษา จึงถูกบังคับต้องทำกิจกรรมชมรม
ด้วยเหตุนี้ ไคลน์ เวิร์ช และน่ายาจึงเข้าร่วมชมรมพายเรือและแสดงฝีมือได้ค่อนข้างน่าประทับใจ
“พวกเด็กหนุ่มไฟแรง…”
ไคลน์หยุดเดินและหันไปมองเรือพายสองลำที่เริ่มแล่นไกลออกไป ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
สัปดาห์หน้าคงไม่ได้เห็นภาพแบบนี้แล้ว เนื่องจากเป็นช่วงเวลาปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย
หลังจากเดินพ้นถนนซีเมนต์ที่มีหลังคาธรรมชาติเขียวขจีปกคลุม ในที่สุดไคลน์ก็มาถึงหน้าอาคารหินสามชั้น มันเดินเข้าไปรายงานตัวและแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องทำงานของบุคคลที่คุ้นเคย
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
มันใช้นิ้วเคาะประตูที่เปิดแง่มไว้
“เข้ามา”
เป็นเสียงจากภายในห้อง
เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยวัยกลางคนซึ่งแต่งกายด้วยทักซิโด้ดำและเชิ้ตขาว มันกล่าวขึ้นหลังจากเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน
“ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนการสอบสัมภาษณ์จะเริ่มขึ้น”
“มิสเตอร์สโตน ยังจำผมได้ไหม? นักศึกษาของศาสตราจารย์โคเฮ็นที่ชื่อไคลน์·โมเร็ตติ คุณเคยอ่านจดหมายแนะนำตัวของผมแล้วครั้งหนึ่ง”
ไคลน์อมยิ้มพร้อมกับถอดหมวกคำนับ
ฮาวิน·สโตนใช้มือลูบเคราสีดำเข้มก่อนจะถามด้วยสีหน้าฉงน
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ? ผมไม่ได้เข้าร่วมการสอบสัมภาษณ์ของคุณหรอกนะ”
“คือแบบนี้ครับ ผมได้งานใหม่แล้ว ก็เลยจะมาแจ้งว่าไม่เข้าร่วมการสัมภาษณ์”
ไคลน์แจงเหตุผล
“อย่างนี้นี่เอง…”
เมื่อทราบจุดประสงค์ ฮาวิน·สโตนลุกขึ้นพร้อมกับยื่นแขนขวาออกมา
“ยินดีด้วยสำหรับงานใหม่ คุณเป็นคนหนุ่มที่มีมารยาทยอดเยี่ยมมาก เดี๋ยวผมจะรีบรายงานให้ศาสตราจารย์กับรองศาสตราจารย์อาวุโสทราบ”
ไคลน์จับมือตอบ มันคิดจะคุยเรื่องเปื่อยกับฮาวิน·สโตนเล็กน้อยก่อนจะกล่าวคำอำลา แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังจากด้านหลัง
“โมเร็ตติ คุณได้งานใหม่แล้วหรือ?”
เมื่อหันกลับไป มันได้พบกับชายสองคนที่เดินเข้ามาในห้อง คนหนึ่งเป็นชายชราผมสีเงิน นัยน์ตาสีฟ้าลุ่มลึก บนใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อย ส่วนอีกคนคือบุรุษผิวคมเข้มในสูททักซิโด้สีดำและเชิ้ตขาว
“สวัสดีครับอาจารย์… สวัสดีครับมิสเตอร์อะซิก”
มันรีบยิงคำถาม
“ว่าแต่พวกคุณมาทำอะไรที่นี่?”
ชายชราไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรองศาสตราจารย์อาวุโสคณะประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโฮอี้ และยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของไคลน์ด้วย เควนติน·โคเฮ็น
ส่วนคนที่ยืนเคียงข้างโคเฮ็นคือชายวัยกลางคนที่มีผิวสีแทน ร่างกายกำยำและสันทัด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเครา เส้นผมดำขลับ นัยน์ตาน้ำตาลที่แฝงความเหนื่อยล้าไว้ตลอดเวลา ประหนึ่งได้พบเห็นสัจธรรมของโลกจนเกิดความเบื่อหน่าย ติ่งหูข้างขวามีไฝสีดำซึ่งต้องสังเกตุให้ดีถึงจะเห็น
ไคลน์ย่อมจำได้ ชายคนนี้ก็เป็นหนึ่งในคณะอาจารย์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้เช่นกัน
มิสเตอร์อะซิกชื่นชอบที่จะถกเถียงประวัติศาสตร์ร่วมกับเควนติน·โคเฮ็น พวกมันมักโต้เถียงรุนแรงบ่อยครั้งด้านความคิดเห็น แต่ก็เป็นมิตรสหายที่สนิทมากในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่หาโอกาสจับเข่าคุยเรื่องประวัติศาสตร์บ่อยๆ
โคเฮ้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“อะซิกกับผมมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประชุมทางวิชาการ… งานใหม่ของคุณเป็นแบบไหนอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่รับงานประเภทค้นหา รวบรวม และปกป้องสมบัติโบราณ พวกเขากำลังขาดแคลนที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์พอดี จึงเซ็นสัญญากับผมเป็นเวลาห้าปีเต็มด้วยค่าแรงสัปดาห์ละสามปอนด์”
เป็นคำโกหกที่ไคลน์ท่องจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำอธิบายจึงเหมือนกับที่เคยเล่าให้เมลิสซ่าฟังเมื่อวานทุกประการ
“ก็อย่างที่อาจารย์ทราบ ผมชอบสืบหาเบาะแสของประวัติศาสตร์มากกว่าสรุปและถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง”
โคเฮ็นผงกศีรษะเล็กน้อย
“ทุกคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง และผมดีใจนะที่คุณยอมสละเวลาเพื่อเดินทางมาแจ้งข่าวกับมหาวิทยาลัยทิงเก็นก่อน แทนที่จะหายตัวไปอย่างเฉยๆ”
อะซิกเสริม
“ไคลน์… คุณได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเวิร์ชและนาย่าหรือยัง? ผมอ่านจากหนังสือพิมพ์แล้ว เห็นว่าพวกเขาถูกฆ่าโดยฝีมือหัวขโมย”
เหตุการณ์ในคราวนั้นถูกกลบเกลื่อนให้กลายเป็นคดีปล้นบ้านธรรมดาสินะ… แต่ทำไมถึงต้องรีบลงข่าวในหนังสือพิมพ์ขนาดนี้ด้วย?
ไคลน์ชะงักเล็กน้อยก่อนจะกล่าวคำโกหกที่เคยเตรียมและซักซ้อมล่วงหน้า
“ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกัน รู้แต่ว่าเวิร์ชได้สมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัสแห่งจักรวรรดิโซโมม่อนจากยุคสมัยที่สี่มาครอบครอง เขาเคยชักชวนให้ผมกับนาย่าไปช่วยถอดรหัส ผมได้ไปบ้านของเขาบ้างในช่วงแรก แต่ระยะหลังวุ่นอยู่กับการหางาน จึงห่างเหินกันไปครับ”
ไคลน์ตั้งใจเผยข้อมูลของสมุดบันทึกอันทีโกนัสรวมถึงจักรวรรดิโซโลม่อนให้ทั้งสองฟัง เผื่อว่าอาจารย์ประวัติศาสตร์จะมีความเห็นที่น่าสนใจ
“ยุคสมัยที่สี่…”
โคเฮ็นขมวดคิ้วพึมพำ
ทันใดนั้น นัยน์ตาที่เบื่อโลกของอะซิกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก มันสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งฟอดใหญ่ หนังสือพิมพ์ในมือถูกเลื่อนขึ้นมานวดถูบริเวณขมับ
“อันทีโกนัส… ผมคุ้นหูมาก แต่ลืมแล้วว่าเคยได้ยินจากที่ไหน”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/