ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 21 : เพื่อนเก่าต่างถิ่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 23: อาวุธรอง

ราชันย์เร้นลับ 22 : ลำดับเริ่มต้น


ราชันย์เร้นลับ 22 : ลำดับเริ่มต้น

 

หลังจากเดินกลับขึ้นมาข้างบนจนถึงห้องรับรองบริษัทหนามทมิฬ ในวินาทีที่ไคลน์จะกล่าวคำอำลากับโรแซน สตรีผมน้ำตาลเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

 

“หัวหน้าบอกให้คุณค่อยเริ่มงานวันจันทร์ทีเดียว ไปสะสางปัญหาทางบ้านให้เรียบร้อยก่อน”

 

“…ตกลง”

 

ไคลน์ไม่เคยคิดเลยว่า องค์กรเหยี่ยวราตรีจะเป็นมิตรและอำนวยความสะดวกให้พนักงานขนาดนี้ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจเลือกทำงาน

 

แผนเดิมในวันพรุ่งนี้ของไคลน์คือ มันจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อหาโอกาส ‘เดินเล่น’ รอบมหาวิทยาลัยทิงเก็น

 

สาเหตุเพราะต้องแจ้งกับทีมงานสัมภาษณ์ว่าตนได้งานแล้ว และจะไม่เข้าไปสอบ

 

เหนือสิ่งอื่นใด การสัมภาษณ์งานคราวนี้เกิดขึ้นได้เพราะความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียน ถึงจะไม่ทำเพื่อตัวเอง แต่ก็ควรยกเลิกให้เป็นกิจจะลักษณะเพื่อรักษาหน้าอาจารย์ไว้

 

ในโลกที่ไม่มีโทรศัพท์ ระบบสื่อสารที่เร็วที่สุดคือโทรเลข ซึ่งค่าส่งจะเพิ่มขึ้นตามความยาวอักษร แถมยังใช้เวลาสักพักกว่าจะถึงปลายทาง

 

จากที่ไคลน์คำนวณ การนั่งรถม้าไปบอกด้วยตัวเองคือหนทางที่ประหยัดและรวดเร็วที่สุด

 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อดันน์·สมิทอนุญาตให้เริ่มทำงานวันจันทร์ หมายความว่าพรุ่งนี้ไคลน์ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า ตื่นสายหน่อยก็ยังพอมีเวลาให้เดินทางไปมหาวิทยาลัยทันถมเถ

 

แต่ขณะจะบอกลาโรแซน ไคลน์พลันฉุกคิดบางสิ่งได้ มันกวาดสายมองรอบห้องก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ

 

“โรแซน… คุณมีข้อมูล ‘เส้นทาง’ โอสถที่โบสถ์เทพธิดาครอบครองบ้างรึเปล่า?”

 

เป็นสิ่งที่มันค้างคาใจแต่ลืมถามลุงนีลล์

 

นัยน์ตาโรแซนพลันลุกวาว เธอจ้องไคลน์ราวกับเห็นภูติผี

 

“คุณจะคิดจะเป็นผู้วิเศษหรือไง?”

 

เราถามตรงไปงั้นหรือ? ไคลน์เกาแก้มพลางตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน

 

“ม…เมื่อทราบว่ามีพลังพิเศษและผู้วิเศษอยู่บนโลก คงเป็นการโกหกเกินไปถ้าบอกว่าไม่อยากเป็น”

 

“ตายแล้ว… นี่คุณไม่รู้หรือว่ามันอันตรายขนาดไหน? หัวหน้าไม่ได้บอกหรือไง? ศัตรูของผู้วิเศษมิใช่พวกลิทธิชั่วร้ายหรือสาวกมืดเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงพวกพ้องด้วย!

 

“เกือบทุกปีจะมีเจ้าหน้าที่คลุ้มคลั่ง บางคนต้องสละชีวิตในหน้าที่เพื่อยับยั้งเหตุ! คุณไม่เป็นห่วงความรู้สึกคนในครอบครัวบ้างหรือ?”

โรแซนทำไม้ทำมืออธิบายเพื่อหวังให้ไคลน์คล้อยตาม สีหน้าและโทนเสียงของเธอไม่พึงพอใจอย่างชัดเจน

 

“ไคลน์ ฉันคิดว่าการเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนนั้นสบายและปลอดภัยที่สุดแล้ว ค่าตอบแทนของพวกเราเพิ่มขึ้นทุกปี หลังจากหลังผ่านไปสักพัก คุณก็จะมีเงินเก็บจำนวนมาก สามารถเช่าบ้านหลังใหญ่ในเขตเหนือหรือไม่ก็เขตชานเมืองได้สบาย จากนั้นก็สมรสกับสตรีสูงศักดิ์ที่มั่งคั่ง มีครอบครัวแสนอบอุ่น มีทายาทที่น่ารักและซุกซน…”

 

“เดี๋ยว! หยุดก่อนโรแซน!”

 

ไคลน์รีบเบรกหล่อนไว้ มันสัมผัสได้ว่าเธอเริ่มฉุนเฉียว จึงพยายามเฉไฉไปเรื่องอื่น

 

“ผมก็แค่… เอ่อ… อยากมีความรู้พื้นฐานติดตัวไว้บ้าง”

 

“งั้นหรอกหรือ…”

 

โรแซนเงียบงันสักพัก เธอก้มศีรษะลงพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าดำมืด

 

“เพราะฉันเคยสูญเสียคุณพ่อไปในเหตุการณ์ลักษณ์ดังกล่าว ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงผู้วิเศษ ฉันก็เลย…

 

“เอ่อ… คงจะหงุดหงิดมากไปหน่อย แต่ด้วยความสัตย์จริงนะ ฉันชื่นชมและขอบคุณชายหญิงทุกคนที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อเข้าร่วมหน่วยเหยี่ยวราตรี”

 

“ผมเข้าใจ… ผมเข้าใจดี”

 

ไคลน์พยายามปลอมประโลม

 

โรแซนกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ

 

“คุณพ่อเคยบอกว่า หากต้องการแก้ปัญหา การเพิ่มพลังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง… ยิ่งกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูง ภารกิจเสี่ยงภัยและศัตรูที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งวิ่งเข้าหาบ่อยครั้ง มันตรงกันข้ามกับความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง

 

“หากมิอาจทนแรงชักจูงจากเสียงกระซิบชั่วร้าย ผู้วิเศษจะเหลือเพียงสองจุดจบ หนึ่งคือตาย และอีกหนึ่งคือกลายเป็นบ้า…

 

“คุณพ่อเสียชีวิตหลังจากพูดประโยคนี้ได้เพียงสองสัปดาห์… ไคลน์ อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันสบายดีและกำลังมีความสุขมาก ความน่ากลัวที่อธิบายไปเมื่อครู่ล้วนสมเหตุสมผล!”

 

“แต่ผมแค่อยากทราบพื้นฐาน…”

ไคลน์ตอบซ้ำในสิ่งที่เคยพูดไปแล้ว มันเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องหัวเราะหรือร่ำไห้

ความอันตรายของผู้วิเศษนั้น ดันน์·สมิทเคยเล่าไว้ละเอียดกว่าโรแซฯมาก และต่อให้มันไม่กลายเป็นผู้วิเศษ แต่ปัญหาในชีวิตก็ยังไม่จบลงอยู่ดี…

 

“ก็ได้”

 

หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดโรแซนก็ยอมอ่อนข้อ

 

“ฉันเคยได้ยินจากหัวหน้าและลุงนีลล์มาบ้าง โลกเราในปัจจุบัน เหล่าสัตว์วิเศษเริ่มสูญพันธุ์จนผลิตโอสถลำดับสูงได้ยากขึ้น ส่งผลให้ผู้วิเศษลำดับสูงมีน้อยลงจากอดีตมาก เพียงแค่ได้เป็นผู้วิเศษก็นับว่าหายากมากแล้ว!

 

“ในเมืองทิงเก็นของเราที่มีพลเมืองกว่าแสนคนหรือมากกว่านั้น แต่ผู้วิเศษกลับมีจำนวนเพียงสามสิบกว่า นี่เป็นจำนวนที่ฉันนับเอาเอง… ยังไม่รวมถึงสาวกมืดและคนของลัทธิชั่วร้ายที่หลบซ่อนในเงามืด…”

 

โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ โรแซนที่เหมือนจะกลับมาชีวิตชีวา เธอกำหมัดแน่นพร้อมกับเลื่อนขึ้นมาที่หน้าอก

 

“จากบรรดาผู้วิเศษกว่าสามสิบคน เกือบทั้งหมดจะอยู่เพียงลำดับเก้า! เอ่อ… ฉันคงนอกเรื่องไกลไปหน่อย”

 

“ไม่เป็นไร มันคือข้อมูลสำคัญที่ผมจำเป็นต้องทราบอยู่แล้ว”

 

ไคลน์ชื่นชอบในนิสัยพูดเรื่อยเปื่อยของโรแซน มันต้องการให้เธอเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดและคายความลับทั้งหมดมาซะ!

 

“หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แค่ได้เป็นผู้วิเศษก็นับว่าสุดยอดมาก”

 

โรแซนกล่าวประโยคสุดท้ายซ้ำ

 

“เข้าเรื่องกันดีกว่า เส้นทางสมบูรณ์ที่โบสถ์เราครอบครองนั้นมีชื่อว่า : ผู้ไร้หลับ… และโอสถลำดับเก้าก็ชื่อว่า ‘ผู้ไร้หลับ’ เช่นกัน”

 

ว่าแล้วเชียว… ไคลน์พยักหน้าพลางเหลือบมองโรแซนที่พยายามระงับปากของตัวเองไม่ให้อธิบายอย่างละเอียด

 

“ฟังจากชื่อก็คงเดาพลังได้ใช่ไหม ผู้ไร้หลับจะนอนน้อยกว่ามนุษย์ปรกติ เพียงวันละสามถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น… ให้ตายสิ ฉันอิจฉาชะมัด!

 

“ไม่ใช่… เดี๋ยวก่อน! การได้นอนหลับสบายคือพรที่แท้จริงจากเทพธิดาต่างหาก!

 

“ถึงไหนแล้วนะ? อ้อ! ผู้ไร้หลับสามารถมองเห็นในความมืดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแสงสว่าง และยิ่งสภาพแวดล้อมมืดมิดมากเพียงใด ผู้ไร้หลับจะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น…

 

“ความทรงพลังในที่นี้หมายถึงภาพรวมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง สมรรถนะทางร่างกาย สัมผัสวิญญาณ รวมถึงความเข้มแข็งของจิตใจ

 

“ทว่า ถึงจะมองเห็นศัตรูที่เป็นวิญญาณชั่วร้ายหรือศัตรูที่ใช้พลังนอกรีต แต่ผู้ไร้หลับยังคงพึงพาอาวุธปืนและกระสุนปราบมารในการต่อสู้อยู่ดี

 

“แถมยังต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือบางชนิดหากศัตรูเป็นสัตว์ประหลาดที่เอาชนะไม่ได้ด้วยวิธีการปรกติ… คุณพ่อของฉันเคยเป็นผู้ไร้หลับมาก่อน

 

โดยไม่รอไคลน์ไต่ถาม โรแซนเล่าต่อ

 

“ลำดับแปดคือของเส้นทางผู้ไร้หลับคือ ‘นักกวีเที่ยงคืน’ ส่วนลำดับเจ็ดคือ ‘ฝันร้าย’”

 

ฝันร้าย? ไคลน์หวนนึกถึงดันน์·สมิทในค่ำคืนที่มันถูกแทรกแซงความฝัน ชายหนุ่มเอ่ยปากถามทันที

 

“หัวหน้าใช่ไหม?”

 

“หือ? คุณทราบด้วยหรือ?”

 

โรแซนทำปากเหวอจนเกือบเป็นทรง ‘O’

 

“หัวหน้าเคยเข้าฝันผมครั้งหนึ่ง…”

 

ไคลน์กวาดสายตามองรอบห้องก่อนจะลดเสียงให้ค่อยลง

“งี้นี่เอง…”

 

โรแซนพยักหน้าพร้อมกับขานตอบด้วยเสียงกระซิบ

 

เธอหันไปยกถ้วยกาแฟจิบหนึ่งอึกก่อนจะหันกลับมาเล่าต่อ

“ในวิหารเทพธิดารัตติกาลเมืองทิงเก็นของเรา ผู้วิเศษลำดับเจ็ดจะมีเพียงสองคนเท่านั้น และหัวหน้าคือหนึ่งในสองคนนั้น!

 

“ต่อให้หัวหน้าถูกย้ายไปประจำการที่วิหารใหญ่กว่านี้ หรือแม้กระทั่งเมืองมุขมณฑลของบิชอป แต่เขาก็ยังเป็นบุคคลระดับสูงอยู่ดี อาวุโสของโบสถ์บางคนยังเอาชนะหัวหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”

 

“หัวหน้าสุดยอดไปเลยแฮะ”

 

ไคลน์ขานรับ มันยังคงอมยิ้ม

 

ว่ากันตามตรง สิ่งที่ดันน์·สมิทกระทำในคืนดังกล่าวยังคงสร้างความประทับใจแก่ไคลน์จวบจนปัจจุบัน มันไม่เคลือบแคลงเลยสักนิดว่าดันน์·สมิทจต้องเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง

 

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

 

โรแซนกล่าวอย่างภูมิใจ

 

ขณะเดียวกัน คิ้วของเธอเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อพยายามเค้นสมองดึงความทรงจำที่เหลือ

 

“ฉันไม่มีข้อมูลตั้งแต่ลำดับหกขึ้นไป ในบรรดาเหยี่ยวราตรีทั้งหมด อาจมีแค่หัวหน้าที่ทราบชื่อของโอสถลำดับหก”

 

“แล้วเส้นทางอื่นล่ะ? เส้นทางที่ไม่ครบสมบูรณ์ พอจะมีข้อมูลบ้างไหม?”

 

ไคลน์พึงพอใจกับข้อมูลผู้ไร้หลับ ได้เวลาถามถึงโอสถชนิดอื่นบ้าง

 

พลังผู้ไร้หลับสอดคล้องกับตัวตน ‘ผู้วิเศษ’ ในจินตนาการไคลน์ก็จริง แต่นั่นไม่ใช่พลังที่มันต้องการ

 

โอสถลำดับเก้าที่ไคลน์หวังไว้ อย่างน้อยต้องเชี่ยวชาญด้านพลังเหนือธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ต่อยอดศึกษาหาวิธีกลับโลกเก่าในอนาคต

 

โรแซนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ

 

“ฉันไม่ได้สนใจด้านนี้ ก็เลยมีข้อมูลไม่มากนัก รู้แต่เพียงว่าโบสถ์ของเราครอบครองสูตรโอสถไว้มากกว่าโบสถ์อื่น ส่วนรายละเอียดนั้น… เทพธิดารัตติกาลมีอีกพระนามว่า มารดาแห่งความเร้นลับ นโยบายหลักของโบสถ์คือการรักษาความลับ

 

“เฮ่อ… คงจะมีอีกสักสองถึงสามเส้นทางที่ไม่สมบูรณ์… เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเหยี่ยวราตรีหลายคนมีนิสัยเย็นชาและเข้าถึงได้ยาก ฉันจึงกลัวที่จะสนทนาด้วย พวกเขามักแผ่กลิ่นอายประหลาดรอบตัวเสมอ ส่วนบางคนก็…

 

“ช่างเถอะ… เรื่องแบบนี้ ฉันว่านายควรไปถามลุงนีลล์มากกว่านะ เขามีความรู้กว้างขวาง แถมยังเชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม

 

“เอ… ลุงนีลล์เคยบอกชื่อโอสถลำดับเก้าของเขาอยู่นะ ชื่อว่าอะไรแล้วน้า…

 

“อ้อ! ใช่แล้ว! ผู้ส่องความลับ!”

 

หืม… มีความรู้ด้านพิธีกรรมที่หลากหลาย?

 

พลังของผู้ส่องความลับคล้ายคลึงกับสิ่งที่ไคลน์ต้องการมาก… มันแสดงสีหน้าโล่งใจเมื่อมองเห็นแสงแห่งความหวัง

 

“จริงสิ! ฉันยังรู้จักโอสถอีกชื่อหนึ่ง เป็นลำดับเจ็ดในเส้นทางที่ไม่สมบูรณ์!”

 

โรแซนกล่าวอย่างตื่นเต้น เธอพยายามเค้นสมองนึก

 

“ชื่อว่าอะไร?”

ไคลน์ถามด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น

 

ในยุคสมัยที่ผู้วิเศษลำดับสูงมีน้อยจนอาจไม่มีเลย การเป็นผู้วิเศษลำดับเจ็ดย่อมหมายถึงตัวตนที่ทรงพลังของโบสถ์

 

เมื่อนึกออก โรแซนฉีกยิ้มกว้างก่อนตอบ

 

“ผู้สื่อวิญญาณ!”

 

“มาดามดาลี่ย์?”

 

ไคลน์ถามทันควัน

หลังจากประหลาดใจค่อนข้างมากในตอนที่พบกันครั้งแรก ไคลน์มองว่าหากผู้สื่อวิญญาณคือผู้วิเศษลำดับเจ็ด ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่มาดามดาลี่ย์แสดงให้เห็น นับเป็นพลังการสื่อวิญญาณที่น่าทึ่งมาก

 

สามารถล้วงความลับใครก็ได้…

 

ดวงตาโรแซนกลมโตอีกครั้ง เธอกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด

 

“ค…คุณรู้ได้ยังไง?”

 

“ผมเคยพบมาดามแล้ว”

 

ไคลน์ไม่ปิดบัง

 

“งั้นหรอกหรือ”

น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความริษยาในปริมาณเจือจาง

 

“ถ้าได้เป็นผู้วิเศษที่ยอดเยี่ยมเหมือนมาดามดาลีย์บ้าง ฉันคงยอมเปลี่ยนใจเป็นผู้วิเศษในสักวัน… ไม่สิ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบนับสิบๆ ครั้งก่อน!”

 

“อา… มาดามดาลี่ย์คือผู้วิเศษในอุดมคติของผมเหมือนกัน”

 

ไคลน์กล่าวเยินยอเกินจริง

 

หลังจากบรรลุเป้าหมายสืบข้อมูล ไคลน์นั่งคุยเรื่องเปื่อยกับโรแซนอีกครู่หนึ่งก่อนจะมั่นใจว่าเธอคายความลับหมดแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนถอดพลางหมวกคำนับ จากนั้นก็บอกลา

 

ขณะเดินลงบันไดจนเกือบถึงขั้นแรก ไคลน์ชะงักฝีเท้าพร้อมกับเลื่อนมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฝั่งที่เก็บธนบัตรสิบสองปอนด์

 

มันกำแบงค์ไว้แน่นถนัดราวกับกลัวจะหล่นหายกลางทาง รอยยิ้มเปี่ยมสุขถูกเผยบนใบหน้าอย่างชัดเจน

 

ตามธรรมเนียมของจักรวรรดิแห่งอาหารอย่างจีนแผ่นดินใหญ่… เมื่อได้รับเงินก้อนโต สิ่งแรกที่ต้องทำคือเลี้ยงฉลอง!

 

ได้เวลาพาเมลิสซ่าไปกินของดีแล้ว!

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด