ราชันย์เร้นลับ 22 : ลำดับเริ่มต้น
ราชันย์เร้นลับ 22 : ลำดับเริ่มต้น
หลังจากเดินกลับขึ้นมาข้างบนจนถึงห้องรับรองบริษัทหนามทมิฬ ในวินาทีที่ไคลน์จะกล่าวคำอำลากับโรแซน สตรีผมน้ำตาลเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
“หัวหน้าบอกให้คุณค่อยเริ่มงานวันจันทร์ทีเดียว ไปสะสางปัญหาทางบ้านให้เรียบร้อยก่อน”
“…ตกลง”
ไคลน์ไม่เคยคิดเลยว่า องค์กรเหยี่ยวราตรีจะเป็นมิตรและอำนวยความสะดวกให้พนักงานขนาดนี้ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจเลือกทำงาน
แผนเดิมในวันพรุ่งนี้ของไคลน์คือ มันจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อหาโอกาส ‘เดินเล่น’ รอบมหาวิทยาลัยทิงเก็น
สาเหตุเพราะต้องแจ้งกับทีมงานสัมภาษณ์ว่าตนได้งานแล้ว และจะไม่เข้าไปสอบ
เหนือสิ่งอื่นใด การสัมภาษณ์งานคราวนี้เกิดขึ้นได้เพราะความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียน ถึงจะไม่ทำเพื่อตัวเอง แต่ก็ควรยกเลิกให้เป็นกิจจะลักษณะเพื่อรักษาหน้าอาจารย์ไว้
ในโลกที่ไม่มีโทรศัพท์ ระบบสื่อสารที่เร็วที่สุดคือโทรเลข ซึ่งค่าส่งจะเพิ่มขึ้นตามความยาวอักษร แถมยังใช้เวลาสักพักกว่าจะถึงปลายทาง
จากที่ไคลน์คำนวณ การนั่งรถม้าไปบอกด้วยตัวเองคือหนทางที่ประหยัดและรวดเร็วที่สุด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อดันน์·สมิทอนุญาตให้เริ่มทำงานวันจันทร์ หมายความว่าพรุ่งนี้ไคลน์ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า ตื่นสายหน่อยก็ยังพอมีเวลาให้เดินทางไปมหาวิทยาลัยทันถมเถ
แต่ขณะจะบอกลาโรแซน ไคลน์พลันฉุกคิดบางสิ่งได้ มันกวาดสายมองรอบห้องก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ
“โรแซน… คุณมีข้อมูล ‘เส้นทาง’ โอสถที่โบสถ์เทพธิดาครอบครองบ้างรึเปล่า?”
เป็นสิ่งที่มันค้างคาใจแต่ลืมถามลุงนีลล์
นัยน์ตาโรแซนพลันลุกวาว เธอจ้องไคลน์ราวกับเห็นภูติผี
“คุณจะคิดจะเป็นผู้วิเศษหรือไง?”
เราถามตรงไปงั้นหรือ? ไคลน์เกาแก้มพลางตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน
“ม…เมื่อทราบว่ามีพลังพิเศษและผู้วิเศษอยู่บนโลก คงเป็นการโกหกเกินไปถ้าบอกว่าไม่อยากเป็น”
“ตายแล้ว… นี่คุณไม่รู้หรือว่ามันอันตรายขนาดไหน? หัวหน้าไม่ได้บอกหรือไง? ศัตรูของผู้วิเศษมิใช่พวกลิทธิชั่วร้ายหรือสาวกมืดเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงพวกพ้องด้วย!
“เกือบทุกปีจะมีเจ้าหน้าที่คลุ้มคลั่ง บางคนต้องสละชีวิตในหน้าที่เพื่อยับยั้งเหตุ! คุณไม่เป็นห่วงความรู้สึกคนในครอบครัวบ้างหรือ?”
โรแซนทำไม้ทำมืออธิบายเพื่อหวังให้ไคลน์คล้อยตาม สีหน้าและโทนเสียงของเธอไม่พึงพอใจอย่างชัดเจน
“ไคลน์ ฉันคิดว่าการเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนนั้นสบายและปลอดภัยที่สุดแล้ว ค่าตอบแทนของพวกเราเพิ่มขึ้นทุกปี หลังจากหลังผ่านไปสักพัก คุณก็จะมีเงินเก็บจำนวนมาก สามารถเช่าบ้านหลังใหญ่ในเขตเหนือหรือไม่ก็เขตชานเมืองได้สบาย จากนั้นก็สมรสกับสตรีสูงศักดิ์ที่มั่งคั่ง มีครอบครัวแสนอบอุ่น มีทายาทที่น่ารักและซุกซน…”
“เดี๋ยว! หยุดก่อนโรแซน!”
ไคลน์รีบเบรกหล่อนไว้ มันสัมผัสได้ว่าเธอเริ่มฉุนเฉียว จึงพยายามเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ผมก็แค่… เอ่อ… อยากมีความรู้พื้นฐานติดตัวไว้บ้าง”
“งั้นหรอกหรือ…”
โรแซนเงียบงันสักพัก เธอก้มศีรษะลงพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าดำมืด
“เพราะฉันเคยสูญเสียคุณพ่อไปในเหตุการณ์ลักษณ์ดังกล่าว ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงผู้วิเศษ ฉันก็เลย…
“เอ่อ… คงจะหงุดหงิดมากไปหน่อย แต่ด้วยความสัตย์จริงนะ ฉันชื่นชมและขอบคุณชายหญิงทุกคนที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อเข้าร่วมหน่วยเหยี่ยวราตรี”
“ผมเข้าใจ… ผมเข้าใจดี”
ไคลน์พยายามปลอมประโลม
โรแซนกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
“คุณพ่อเคยบอกว่า หากต้องการแก้ปัญหา การเพิ่มพลังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง… ยิ่งกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูง ภารกิจเสี่ยงภัยและศัตรูที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งวิ่งเข้าหาบ่อยครั้ง มันตรงกันข้ามกับความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง
“หากมิอาจทนแรงชักจูงจากเสียงกระซิบชั่วร้าย ผู้วิเศษจะเหลือเพียงสองจุดจบ หนึ่งคือตาย และอีกหนึ่งคือกลายเป็นบ้า…
“คุณพ่อเสียชีวิตหลังจากพูดประโยคนี้ได้เพียงสองสัปดาห์… ไคลน์ อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันสบายดีและกำลังมีความสุขมาก ความน่ากลัวที่อธิบายไปเมื่อครู่ล้วนสมเหตุสมผล!”
“แต่ผมแค่อยากทราบพื้นฐาน…”
ไคลน์ตอบซ้ำในสิ่งที่เคยพูดไปแล้ว มันเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องหัวเราะหรือร่ำไห้
ความอันตรายของผู้วิเศษนั้น ดันน์·สมิทเคยเล่าไว้ละเอียดกว่าโรแซฯมาก และต่อให้มันไม่กลายเป็นผู้วิเศษ แต่ปัญหาในชีวิตก็ยังไม่จบลงอยู่ดี…
“ก็ได้”
หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดโรแซนก็ยอมอ่อนข้อ
“ฉันเคยได้ยินจากหัวหน้าและลุงนีลล์มาบ้าง โลกเราในปัจจุบัน เหล่าสัตว์วิเศษเริ่มสูญพันธุ์จนผลิตโอสถลำดับสูงได้ยากขึ้น ส่งผลให้ผู้วิเศษลำดับสูงมีน้อยลงจากอดีตมาก เพียงแค่ได้เป็นผู้วิเศษก็นับว่าหายากมากแล้ว!
“ในเมืองทิงเก็นของเราที่มีพลเมืองกว่าแสนคนหรือมากกว่านั้น แต่ผู้วิเศษกลับมีจำนวนเพียงสามสิบกว่า นี่เป็นจำนวนที่ฉันนับเอาเอง… ยังไม่รวมถึงสาวกมืดและคนของลัทธิชั่วร้ายที่หลบซ่อนในเงามืด…”
โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ โรแซนที่เหมือนจะกลับมาชีวิตชีวา เธอกำหมัดแน่นพร้อมกับเลื่อนขึ้นมาที่หน้าอก
“จากบรรดาผู้วิเศษกว่าสามสิบคน เกือบทั้งหมดจะอยู่เพียงลำดับเก้า! เอ่อ… ฉันคงนอกเรื่องไกลไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร มันคือข้อมูลสำคัญที่ผมจำเป็นต้องทราบอยู่แล้ว”
ไคลน์ชื่นชอบในนิสัยพูดเรื่อยเปื่อยของโรแซน มันต้องการให้เธอเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดและคายความลับทั้งหมดมาซะ!
“หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แค่ได้เป็นผู้วิเศษก็นับว่าสุดยอดมาก”
โรแซนกล่าวประโยคสุดท้ายซ้ำ
“เข้าเรื่องกันดีกว่า เส้นทางสมบูรณ์ที่โบสถ์เราครอบครองนั้นมีชื่อว่า : ผู้ไร้หลับ… และโอสถลำดับเก้าก็ชื่อว่า ‘ผู้ไร้หลับ’ เช่นกัน”
ว่าแล้วเชียว… ไคลน์พยักหน้าพลางเหลือบมองโรแซนที่พยายามระงับปากของตัวเองไม่ให้อธิบายอย่างละเอียด
“ฟังจากชื่อก็คงเดาพลังได้ใช่ไหม ผู้ไร้หลับจะนอนน้อยกว่ามนุษย์ปรกติ เพียงวันละสามถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น… ให้ตายสิ ฉันอิจฉาชะมัด!
“ไม่ใช่… เดี๋ยวก่อน! การได้นอนหลับสบายคือพรที่แท้จริงจากเทพธิดาต่างหาก!
“ถึงไหนแล้วนะ? อ้อ! ผู้ไร้หลับสามารถมองเห็นในความมืดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแสงสว่าง และยิ่งสภาพแวดล้อมมืดมิดมากเพียงใด ผู้ไร้หลับจะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น…
“ความทรงพลังในที่นี้หมายถึงภาพรวมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง สมรรถนะทางร่างกาย สัมผัสวิญญาณ รวมถึงความเข้มแข็งของจิตใจ
“ทว่า ถึงจะมองเห็นศัตรูที่เป็นวิญญาณชั่วร้ายหรือศัตรูที่ใช้พลังนอกรีต แต่ผู้ไร้หลับยังคงพึงพาอาวุธปืนและกระสุนปราบมารในการต่อสู้อยู่ดี
“แถมยังต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือบางชนิดหากศัตรูเป็นสัตว์ประหลาดที่เอาชนะไม่ได้ด้วยวิธีการปรกติ… คุณพ่อของฉันเคยเป็นผู้ไร้หลับมาก่อน
โดยไม่รอไคลน์ไต่ถาม โรแซนเล่าต่อ
“ลำดับแปดคือของเส้นทางผู้ไร้หลับคือ ‘นักกวีเที่ยงคืน’ ส่วนลำดับเจ็ดคือ ‘ฝันร้าย’”
ฝันร้าย? ไคลน์หวนนึกถึงดันน์·สมิทในค่ำคืนที่มันถูกแทรกแซงความฝัน ชายหนุ่มเอ่ยปากถามทันที
“หัวหน้าใช่ไหม?”
“หือ? คุณทราบด้วยหรือ?”
โรแซนทำปากเหวอจนเกือบเป็นทรง ‘O’
“หัวหน้าเคยเข้าฝันผมครั้งหนึ่ง…”
ไคลน์กวาดสายตามองรอบห้องก่อนจะลดเสียงให้ค่อยลง
“งี้นี่เอง…”
โรแซนพยักหน้าพร้อมกับขานตอบด้วยเสียงกระซิบ
เธอหันไปยกถ้วยกาแฟจิบหนึ่งอึกก่อนจะหันกลับมาเล่าต่อ
“ในวิหารเทพธิดารัตติกาลเมืองทิงเก็นของเรา ผู้วิเศษลำดับเจ็ดจะมีเพียงสองคนเท่านั้น และหัวหน้าคือหนึ่งในสองคนนั้น!
“ต่อให้หัวหน้าถูกย้ายไปประจำการที่วิหารใหญ่กว่านี้ หรือแม้กระทั่งเมืองมุขมณฑลของบิชอป แต่เขาก็ยังเป็นบุคคลระดับสูงอยู่ดี อาวุโสของโบสถ์บางคนยังเอาชนะหัวหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“หัวหน้าสุดยอดไปเลยแฮะ”
ไคลน์ขานรับ มันยังคงอมยิ้ม
ว่ากันตามตรง สิ่งที่ดันน์·สมิทกระทำในคืนดังกล่าวยังคงสร้างความประทับใจแก่ไคลน์จวบจนปัจจุบัน มันไม่เคลือบแคลงเลยสักนิดว่าดันน์·สมิทจต้องเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
โรแซนกล่าวอย่างภูมิใจ
ขณะเดียวกัน คิ้วของเธอเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อพยายามเค้นสมองดึงความทรงจำที่เหลือ
“ฉันไม่มีข้อมูลตั้งแต่ลำดับหกขึ้นไป ในบรรดาเหยี่ยวราตรีทั้งหมด อาจมีแค่หัวหน้าที่ทราบชื่อของโอสถลำดับหก”
“แล้วเส้นทางอื่นล่ะ? เส้นทางที่ไม่ครบสมบูรณ์ พอจะมีข้อมูลบ้างไหม?”
ไคลน์พึงพอใจกับข้อมูลผู้ไร้หลับ ได้เวลาถามถึงโอสถชนิดอื่นบ้าง
พลังผู้ไร้หลับสอดคล้องกับตัวตน ‘ผู้วิเศษ’ ในจินตนาการไคลน์ก็จริง แต่นั่นไม่ใช่พลังที่มันต้องการ
โอสถลำดับเก้าที่ไคลน์หวังไว้ อย่างน้อยต้องเชี่ยวชาญด้านพลังเหนือธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ต่อยอดศึกษาหาวิธีกลับโลกเก่าในอนาคต
โรแซนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันไม่ได้สนใจด้านนี้ ก็เลยมีข้อมูลไม่มากนัก รู้แต่เพียงว่าโบสถ์ของเราครอบครองสูตรโอสถไว้มากกว่าโบสถ์อื่น ส่วนรายละเอียดนั้น… เทพธิดารัตติกาลมีอีกพระนามว่า มารดาแห่งความเร้นลับ นโยบายหลักของโบสถ์คือการรักษาความลับ
“เฮ่อ… คงจะมีอีกสักสองถึงสามเส้นทางที่ไม่สมบูรณ์… เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเหยี่ยวราตรีหลายคนมีนิสัยเย็นชาและเข้าถึงได้ยาก ฉันจึงกลัวที่จะสนทนาด้วย พวกเขามักแผ่กลิ่นอายประหลาดรอบตัวเสมอ ส่วนบางคนก็…
“ช่างเถอะ… เรื่องแบบนี้ ฉันว่านายควรไปถามลุงนีลล์มากกว่านะ เขามีความรู้กว้างขวาง แถมยังเชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม
“เอ… ลุงนีลล์เคยบอกชื่อโอสถลำดับเก้าของเขาอยู่นะ ชื่อว่าอะไรแล้วน้า…
“อ้อ! ใช่แล้ว! ผู้ส่องความลับ!”
หืม… มีความรู้ด้านพิธีกรรมที่หลากหลาย?
พลังของผู้ส่องความลับคล้ายคลึงกับสิ่งที่ไคลน์ต้องการมาก… มันแสดงสีหน้าโล่งใจเมื่อมองเห็นแสงแห่งความหวัง
“จริงสิ! ฉันยังรู้จักโอสถอีกชื่อหนึ่ง เป็นลำดับเจ็ดในเส้นทางที่ไม่สมบูรณ์!”
โรแซนกล่าวอย่างตื่นเต้น เธอพยายามเค้นสมองนึก
“ชื่อว่าอะไร?”
ไคลน์ถามด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
ในยุคสมัยที่ผู้วิเศษลำดับสูงมีน้อยจนอาจไม่มีเลย การเป็นผู้วิเศษลำดับเจ็ดย่อมหมายถึงตัวตนที่ทรงพลังของโบสถ์
เมื่อนึกออก โรแซนฉีกยิ้มกว้างก่อนตอบ
“ผู้สื่อวิญญาณ!”
“มาดามดาลี่ย์?”
ไคลน์ถามทันควัน
หลังจากประหลาดใจค่อนข้างมากในตอนที่พบกันครั้งแรก ไคลน์มองว่าหากผู้สื่อวิญญาณคือผู้วิเศษลำดับเจ็ด ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่มาดามดาลี่ย์แสดงให้เห็น นับเป็นพลังการสื่อวิญญาณที่น่าทึ่งมาก
สามารถล้วงความลับใครก็ได้…
ดวงตาโรแซนกลมโตอีกครั้ง เธอกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด
“ค…คุณรู้ได้ยังไง?”
“ผมเคยพบมาดามแล้ว”
ไคลน์ไม่ปิดบัง
“งั้นหรอกหรือ”
น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความริษยาในปริมาณเจือจาง
“ถ้าได้เป็นผู้วิเศษที่ยอดเยี่ยมเหมือนมาดามดาลีย์บ้าง ฉันคงยอมเปลี่ยนใจเป็นผู้วิเศษในสักวัน… ไม่สิ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบนับสิบๆ ครั้งก่อน!”
“อา… มาดามดาลี่ย์คือผู้วิเศษในอุดมคติของผมเหมือนกัน”
ไคลน์กล่าวเยินยอเกินจริง
หลังจากบรรลุเป้าหมายสืบข้อมูล ไคลน์นั่งคุยเรื่องเปื่อยกับโรแซนอีกครู่หนึ่งก่อนจะมั่นใจว่าเธอคายความลับหมดแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนถอดพลางหมวกคำนับ จากนั้นก็บอกลา
ขณะเดินลงบันไดจนเกือบถึงขั้นแรก ไคลน์ชะงักฝีเท้าพร้อมกับเลื่อนมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฝั่งที่เก็บธนบัตรสิบสองปอนด์
มันกำแบงค์ไว้แน่นถนัดราวกับกลัวจะหล่นหายกลางทาง รอยยิ้มเปี่ยมสุขถูกเผยบนใบหน้าอย่างชัดเจน
ตามธรรมเนียมของจักรวรรดิแห่งอาหารอย่างจีนแผ่นดินใหญ่… เมื่อได้รับเงินก้อนโต สิ่งแรกที่ต้องทำคือเลี้ยงฉลอง!
ได้เวลาพาเมลิสซ่าไปกินของดีแล้ว!
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/