ราชันย์เร้นลับ 21 : เพื่อนเก่าต่างถิ่น
ราชันย์เร้นลับ 21 : เพื่อนเก่าต่างถิ่น
ไคลน์หลงนึกไปชั่วพริบตาว่ามันกลับมายังโลกเก่าแล้ว ทว่า แสงจากโคมไฟแก๊สสีเหลืองนวลที่มีตะแกรงเหล็กล้อมได้ทำให้ชายหนุ่มต้องยอมรับความจริง
สายตาชำเลืองเห็นกระป๋องกาแฟบดสีเงินเงางามบนโต๊ะทำงาน ไม่ผิดแน่ มันยังอยู่บนโลกใบเดิม โลกแห่งจักรกลและไอน้ำ
นักเดินทางข้ามโลกรุ่นพี่ จักพรรดิโรซายล์ แท้จริงแล้วเป็นเพื่อนร่วมชาติหรอกหรือ?
มันใช้อักษรจีนกลางในการจดบันทึกไดอารี ซึ่งไคลน์มั่นใจ โลกใบนี้ไม่มีการประดิษฐ์อักษรจีนกลางแน่นอน
เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนกับได้พบเพื่อนเก่าต่างถิ่น ประหนึ่งนักเรียนนอกได้พบคนจากชาติเดียวกันโดยบังเอิญตามท้องถนน เป็นความรู้สึกโหยหาและเกิดสายสัมพันธ์อย่างน่าประหลาด
ไคลน์รีบอ่านไดอารีทั้งสามหน้า
“18 พฤจิกายน การทดลองอันยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นได้เกิดความผิดพลาด แต่ก็ทำให้เราได้พบสหายน่าสงสารที่ติดอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและลมพายุกระโชก เจ้านั่นเข้าใกล้โลกแห่งความจริงได้เพียงเดือนละครั้งในคืนจันทร์เต็มดวง เป็นสหายที่ทำไม่ได้แม้แต่ละส่งเสียงตะโกน โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้พานพบวีรบุรุษแห่งยุคสมัยอย่างเรา!
“หลังจากอ่านประโยคเมื่อครู่จบ เราเกิดความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ภาษาจีนของเราเริ่มมีสำนวนคล้ายกับโปรแกรมแปลภาษาเข้าไปทุกวัน ช่วงเวลากว่าสี่สิบปีผ่านไปไวประหนึ่งดีดนิ้วมือ ความทรงจำในอดีตเลือนลางราวกับเป็นเพียงความฝัน”
“ปี 1184 วันที่ 1 มกราคม ในงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ มาดามฟลอเนอร์แจ่มมาก!”
“2 มกราคม อัครราชทูตของเรามีแต่พวกหัวขี้เลื่อย!”
“3 มกราคม เรารีบร้อนเกินไปในอดีต ถ้าเราทราบความจริงแต่แรก ป่านนี้คงเลือกเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ ‘นักทำนาย’ หรือไม่ก็ ‘นักจารกรรม’ ไปแล้ว น่าเสียดายที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
“4 มกราคม ทำไมลูกๆ ของเราถึงได้งี่เง่าขนาดนี้? อุตส่าห์ย้ำเตือนไปหลายหนว่าอย่าถูกพวกนักต้มตุ๋นเหล่านั้นหลอกเอาได้!
“กุญแจสำคัญของโอสถมิใช่การ ‘ชิงพลัง’ มาเป็นของตัวเอง แต่เป็นการ ‘ย่อยพลัง’ ให้หมดต่างหาก! หลักสำคัญไม่ได้อยู่ที่การรีดเร้นพลังออกมาใช้ แต่เป็นการ ‘สวมบทบาท’ ให้สมจริง!
“และชื่อของโอสถก็มิได้ถูกตั้งขึ้นอย่างไร้ความหมาย แต่มันคือกุญแจคำสัญที่สุดของโอสถทุกชนิด! ต้องสร้างจินตนการในสมองให้ชัดเจนและเป็นจริงขึ้นมา… ‘หลัก’ สำคัญอยู่ทีี่การย่อยพลังให้หมด!”
“9 กันยายน ฝ่ายศัตรูได้รวมหัวตั้งพันธมิตรขึ้นแล้ว ฟุซัคจากเหนือ โลเอ็นจากตะวันออก และเฟเนพ็อตจากใต้ ในที่สุดศัตรูของเราก็เริ่มเคลื่อนไหวสักที
“แต่บอกเลยว่าไม่กลัว เดี๋ยวจะสอนให้รู้เองว่าเทคโนโลยีและภูมิปัญญาสำคัญกว่าผู้วิเศษลำดับต่ำจำนวนมากยังไง! จำนวนคนที่น้อยกว่าไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด
“ส่วนผู้วิเศษลำดับสูงฝั่งมันน่ะหรือ? สงสัยจะลืมกันแล้วสินะว่าฉันคนนี้คือใคร!”
“23 กันยายน เราขาดการติดต่อกับเรือที่ส่งออกไปค้นหา ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’
“สงสัยต้องสร้างเทคโนโลยีโทรเลขไร้สายใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ หวังว่าจะไม่ถูกพายุกลางทะเลรบกวนสัญญาณเอานะ”
“24 กันยายน มิสอิธาก้าเลอโฉมยิ่งกว่ามาดามฟลอเนอร์หลายเท่า! คิดถึงสมัยยังหนุ่มจังเลยน้า~”
เนื่องด้วยความซับซ้อนและรายละเอียดยิบย่อยของอักษรจีนกลาง คนยุคสมัยปัจจุบันจึงต้องเขียนให้มีขนาดใหญ่กว่าปรกติ เพื่อจะได้เก็บรายละเอียดครบถ้วน ส่งผลให้หน้ากระดาษหนึ่งมีเพียงไม่กี่บรรทัด แถมฉบับคัดลอกสำหรับฝึกถอดรหัสก็ไม่มีหน้าหลัง
แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็ได้ดื่มด่ำกับอารมณ์อันหลากหลายที่ยากอธิบายหลังจากได้อ่านภาษาจีนอีกครั้ง รวมถึงข้อมูลแสนมีค่าที่จักรพรรดิโรซายล์เขียนอธิบายเกี่ยวกับโอสถ สิ่งนี้จะเป็นทางเลือกให้มันตัดสินใจเส้นทางโอสถง่ายขึ้น
ไดอารีทั้งสามแผ่นมีช่วงเวลาไม่ปะติดปะต่อกัน ดูเหมือนโรซายล์จะระบุปีเฉพาะวันขึ้นปีใหม่เท่านั้น ส่งผลให้ไคลน์ไม่สามารถเดาได้เลยว่า เดือนและวันที่ถูกเขียนเกิดขึ้นในปีใดบ้าง รวมถึงปริศนาของ ‘สหายน่าสงสาร’ ที่จักรพรรดิโรซายล์บังเอิญพบเข้ากลางทะเล
แถมยังมี ‘การย่อย’ และ ‘สวมบทบาท’ นั่นอีก… หมายถึงอะไรกันแน่?
แล้วดินแดนเทพทอดทิ้งอยู่ที่ไหน?
…
คำถามมากมายกำลังอัดแน่นภายในสมองไคลน์ มันต้องการที่จะรวมรวบไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ให้ครบทุกแผ่นทันที
จากนั้นจะบรรจงอ่านตั้งแต่ปกหน้าไปจนถึงปกหลัง!
“ไคลน์?”
ลุงนีลล์ขมวดคิ้วถาม
ไคลน์ถูกดึงสติกลับมาอีกครั้ง มันรีบอมยิ้มและตอบกลบเกลื่อน
“ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ จึงพยายามถอดรหัสข้อความเหล่านี้ให้ได้…”
“ฮะฮะ! คนหนุ่มเนี่ยน้า”
ลุงนีลล์พยักหน้าพลางฉีกยิ้ม
“ในอดีต ฉันก็เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเหมือนกัน”
ไคลน์อ่านข้อความในกระดาษอย่างตั้งใจอีกหลายครั้งเพื่อมิให้ตกหล่น หลังจากยืนยันความทรงจำ มันทำการยื่นแผ่นไดอารีกลับคืนให้นีลล์ก่อนจะถามหยั่งเชิง
“ไดอารีมีเท่านี้หรือครับ?”
ผมอยากอ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ทั้งหมด!
“เจ้าคิดว่ามันหาง่ายนักหรือไง?”
ลุงนีลล์รับแผ่นกระดาษคืนพร้อมกับย้อนถามกลับ ร่องเหี่ยวย่นลึกขึ้นขณะแสดงสีหน้าเย้ยหยันเด็กหนุ่ม
“ในแต่ละปี มีคดีเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษเพียงไม่มาก… สาเหตุหลักเกิดจากการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วของสัตว์วิเศษบนทวีปเหนือ หากไม่มีพวกมัน มนุษย์ก็ขาดวัตถุดิบสำหรับสร้างโอสถ ส่งผลสืบเนื่องให้จำนวนผู้วิเศษลดลงตามไปด้วย
“เฮ่อ… ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา มังกร คนยักษ์ และเอลฟ์ ต่างกลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตในบันทึกตำนาน แม้กระทั่งสัตว์ทะเลก็ยังลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไคลน์พลันนึกถึงมุกตลกสมัยอยู่โลกเก่า มันกล่าวออกไปทันที
“ผมคิดว่าเราควรก่อตั้งสมาคมพิทักษ์มังกรและคนยักษ์ได้แล้วนะ”
ลุงนีลล์สับสนเล็กน้อยหลังจากได้ยิน ต้องใช่เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจว่าเป็นมุกตลก ทันใดนั้น ชายชราใช้มือทุบโต๊ะพร้อมกับหัวเราะเสียงดังจนหมดสิ้นมาดผู้ดี
“ฮะฮ่าฮ่าฮ่า! ไคลน์! ฉันชอบมุกตลกของเจ้า! นี่คือจุดเด่นของอาณาจักรโลเอ็น! คนหนุ่มต้องมีอารมณ์ขันเข้าไว้!
“แต่ฉันว่าเราไม่ควรจำกัดวงแคบเกินไป ทำไมถึงมีเพียงมังกรและคนยักษ์ล่ะ? ฉันคิดว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น… สมาคมพิทักษ์สัตว์เวทมนตร์”
“ไม่ได้ ไม่ได้ พวกเราจะละเลยพฤกษาที่น่าสงสารไม่ได้เด็ดขาด”
ไคลน์ส่ายศีรษะ
คนทั้งสองหันมองกันก่อนจะเปล่งเสียงอย่างพร้อมเพรียงว่า :
“สมาคมพิทักษ์สิ่งมีชีวิตเวทมนตร์!”
เสียงหัวเราะของสองบุรุษดังขึ้นอีกครั้งอย่างอบอุ่น บรรยากาศเคอะเขินก่อนหน้าได้เจือจางลงอย่างชัดเจน
“หายากที่สมัยนี้จะมีคนหนุ่มน่าสนใจแบบเจ้า… ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ?”
ลุงนีลล์อมยิ้มด้วยใบหน้าเหี่ยวย่น
“นึกออกแล้ว… เมื่อผู้วิเศษลดจำนวนลง กลุ่มคนที่บูชาจักรพรรดิโรซายล์จึงเหลือเพียงไม่ถึงหยิบมือ การที่พวกเราครอบครองถึงสามหน้าจึงนับว่ามากแล้ว… แต่ถ้าเป็นวิหารใหญ่หน่อยหรือมุขมณฑลบิชอป บางทีอาจมีไดอารีหน้าอื่นเก็บรักษาไว้…”
หลังจากพึมพำอีกเล็กน้อย นีลล์ก้มหน้าอ่านโน๊ตของดันน์ที่ไคลน์ยื่นให้
“เป็นกระสุนแบบไหน? ปืนพก ปืนไรเฟิล หรือปืนอัดไอน้ำ?”
“ลูกโม่ครับ”
ไคลน์ตอบกลับตามจริง
“เดี๋ยวเข้าไปหยิบให้ แล้วก็… เจ้ามีซองปืนรักแร้หรือยัง? ถ้าผู้ชายอย่างเราปล่อยให้เป้ากางเกงตุงในที่สาธารณะคงดูไม่งามแน่”
ลุงนีลล์ปล่อยมุกตลกที่เพศชายเข้าใจกันดี
“ยังครับ ผมต้องกลับไปขออนุญาตหัวหน้าก่อนรึเปล่า?”
ไคลน์ยิ้ม
ลุงนีลล์ลุกขึ้น
“ไม่จำเป็น แค่ลงบันทึกไว้ก็พอ ซองปืนรักแร้เป็นแค่เครื่องประดับ พูดตามฉันนะ : เครื่องประดับ!”
“คุณเคยเป็นครูมาก่อนรึเปล่า?”
ไคลน์ถามติดตลก
“เคยสอนที่โรงเรียนวันอาทิตย์กับโรงเรียนกุศลอยู่บ้าง”
ลุงนีลล์โบกโน๊ตในมือพลางก้มหยิบกุญแจจากลิ้นชัก ก่อนจะเดินไปหยุดหน้าประตูเหล็กซึ่งด้านในเป็นห้องกว้าง
ผู้วิเศษก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาเท่าไร…
ไคลน์พึมพำ จากนั้นก็ชำเลืองมองโต๊ะทำงานที่มีไดอารีสามแผ่นวางอยู่
จักรพรรดิโรซายล์ศึกษาถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาติของโลกใบนี้จนถึงแก่นแท้เลยสินะ…
ไดอารีของโรซายล์นั้นประเมินค่าไม่ได้
หากยังไม่มีใครถอดรหัสสำเร็จ คนอื่นอาจมองเป็นเพียงเศษกระดาษ แต่สำหรับตัวมันที่อ่านจีนกลางออก กระดาษพวกนี้คือสมบัติที่มีมูลค่ามหาศาล!
ได้แต่นึกสงสัยว่าไดอารีที่เหลือจะกระจัดกระจายอยู่แห่งหนใดบ้าง
ไม่ว่าอย่างไร ไคลน์ก็ต้องรวบรวมให้มากที่สุด เพื่อเข้าถึงความลับอันลึกซึ้งของโลก…
สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างแข็งขัน เป็นการยากที่จะให้สงบนิ่งหลังจากค้นพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเมื่อครู่
จนกระทั่งลุงนีลล์เดินออกมาจากห้องพร้อมกับปิดประตูเหล็ก
“กระสุนปราบมารสิบนัด กระสุนลูกโม่สามสิบนัด ซองปืนรักแร้หนังวัว แล้วก็ตราหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ด… ลองนับจำนวนกับทดสอบเอาเองนะ จากนั้นค่อยเขียนลงในบันทึกเบิก”
ลุงนีลล์นำอุปกรณ์ที่ถูกเบิกแต่ละชิ้นวางตั้งเรียงกัน
กระสุนลูกโม่บรรจุมาในกล่องกระดาษสี่เหลี่ยม ตัวปลอกกระสุนมีสีเหลืองอร่ามเงางามไม่ต่างจากกระลุนลูกโม่ที่โลกเก่ามากนัก เพียงแต่ขนาดจะเล็กกว่านิดหน่อย
สำหรับกระสุนปราบมาร ลักษณะของมันเหมือนกับกระสุนลูกโม่ทุกประการ แต่จะถูกบรรจุในกล่องเหล็กทนทาน และปลอกทำจากโลหะสีเงินเงางาม
ทว่า เมื่อลองพิจารณาให้ละเอียด กระสุนปราบมารจะถูกสลักลวดลายแปลกประหลาดและซับซ้อนไว้ที่ส่วนหัว ก้นกระสุนเป็นรูปตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์—พื้นหลังสีดำสนิท กึ่งกลางมีจุดสีขาวมาพร้อมกับดวงจันทร์สีแดงครึ่งเสี้ยว
ซองปืนรักแร้ค่อนข้างเหนียวและทนทานหากมองผิวเผิน มาพร้อมกับสายรัดที่ปรับขนาดได้ตามใจชอบ ข้างซองปืนเป็นตราตำรวจขนาดใหญ่ครึ่งฝ่ามือ พื้นหลังทำจากโลหะสีเงินสลักข้อความเป็นร่องลึกเขียนไว้ว่า ‘หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ดแห่งกรมตำรวจอาโฮว่า’
กึ่งกลางตราเป็นสัญลักษณ์ดาบไขว้และมงกุฏของกรมตำรวจโลเอ็น
“น่าเสียดายที่ไม่ใช่ตราเหยี่ยวราตรี”
ไคลน์เปรยเสียงอ่อย แต่อีกใจก็เป็นการถามหยั่งเชิง
ลุงนีลล์ไม่กล่าวสิ่งใด มันอมยิ้มพร้อมกับส่งสัญญาณให้ไคลน์ทดสอบสวมซองปืนรักแร้
หลังจากถอดเสื้อตัวนอกออก ไคลน์พยายามดึงสายรัดของซองปืนด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ใต้รักแร้ซ้าย จนในที่สุดก็สวมสำเร็จ
“ไม่เลว”
ไคลน์สวมเสื้อตัวนอกทับกลับเข้าไป
หลังจากตรวจสอบความพอดีจนเรียบร้อย ลุงนีลล์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เหมาะกับเจ้ามาก สายตาของฉันยังเฉียบแหลมเหมือนเคย”
ไคลน์หยิบอุปกรณ์ที่เบิกยัดใส่กระเป๋าเสื้อจนครบ จากนั้นก็สนทนากับลุงนีลล์เรื่อยเปื่อยอีกครู่หนึ่งก่อนจะออกจากห้อง
ขณะเดินมาได้ครึ่งทาง ไคลน์ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งฉาดอย่างนึกเสียดาย
“ลืมถามไปเลยว่าโบสถ์เทพธิดารัตติกาลมีโอสถเส้นทางไหนบ้าง เป็นความผิดของไดอารีจักรพรรดิโรซายล์แท้ๆ เชียว…”
ไคลน์จึงยังไม่ทราบว่าโบสถ์ของตนมีเส้นทางใดให้เลือก รู้แต่เพียงเริ่มต้นที่ลำดับ 9
แต่เหมือนโรแซนจะเคยเปรยให้ได้ยินอยู่บ้าง หากจำไม่ผิดจะชื่อ ‘ผู้ไร้หลับ’ กระมัง
ขณะไคลน์เดินใกล้ถึงบันไดหิน ใครบางคนเดินสวนลงมาพอดี
มันสวมกางเกงรัดรูปที่ดูสะดวกสบายและคล่องตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายนอกกางเกง บรรยากาศรอบตัวเหมือนกับนักกวีไม่มีผิด
เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากนายตำรวจหนุ่มนัยน์ตาเขียวที่เคยทำคดีบ้านไคลน์ คนทั้งสองเคยสบตากันมาแล้วครั้งหนึ่งที่ชั้นบน แต่ไม่ได้สนทนากัน
“สวัสดียามบ่าย”
ตำรวจหนุ่มเหยี่ยวราตรีทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีเช่นกันครับ ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวใช่ไหม?”
ไคลน์ตอบติดตลก
“ไม่จำเป็น ผมจำคุณได้แม่น”
นายตำรวจนัยน์ตาเขียวยื่นแขนขวาออกมาหาไคลน์พร้อมกล่าวแนะนำตัว
“เลียวนาร์ด·มิเชล… ผู้วิเศษลำดับแปด—นักกวีเที่ยงคืน”
ลำดับแปด… แล้วก็เป็นนักกวี!
ไคลน์ฉีกยิ้มพลางยื่นแขนออกไปจับตอบ
“คุณจำผมได้แม่น?”
นัยน์ตาสีมรกตของเลียวนาร์ด·มิเชลกำลังจ้องมองไคลน์อย่างไม่กระพริบ ก่อนที่มันจะตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“คุณพิเศษกว่าใครในสายตาผม”
ฟังดูเกย์ฉิบ… มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย
“ผมไม่เห็นว่าตัวเองเป็นแบบนั้น”
“ทั้งที่เผชิญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับนั้น แต่คุณกลับรอดชีวิตได้โดยที่เหยี่ยวราตรียังไม่ทันลงมือ เท่านี้ก็มากพอจะทำให้คุณเป็นคนพิเศษแล้ว”
เลียวนาร์ดชี้นิ้วไปยังทิศทางประตูยานิส
“ผมต้องเข้าเวรแทนหัวหน้าแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
“เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
ไคลน์หันหลังและเดินขึ้นบันไดหินกลับสู่ด้านบน
เมื่อไคลน์ลับสายตา เลียวนาร์ดบิดตัวกลับมาจ้องมองบันไดหินที่กำลังอาบแสงสีเหลืองอ่อนจากโคมไฟ ก่อนจะพึมพำกับอากาศ
“สัมผัสถึงอะไรได้บ้างไหม…”
…
“ไม่เลย… หมอนั่นจืดชืด”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/