บทที่ 56 คนเป็นสามีอย่างนายดูไม่ค่อยมีตัวตนไปหน่อยหรือเปล่า
บทที่ 56 คนเป็นสามีอย่างนายดูไม่ค่อยมีตัวตนไปหน่อยหรือเปล่า
จู่ๆ ฉางฉิงก็นึกเสียใจที่ถามออกไป แต่ก็คันปากยุบยิบ เลยถามต่ออีกว่า “แล้วหลังจากนั้นซ่งฉู่อี๋ก็เป็นคนไปส่งเธอกลับบ้านด้วยหรือเปล่า”
“ใช่จ้ะ เขาส่งฉันถึงในบ้านเลย” หางตากว่านอิงฉายแววอบอุ่น
ในก้นบึ้งหัวใจของฉางฉิงรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย “คงไม่ใช่ว่า...เธอปล่อยมือจากเขาไม่ได้หรอกใช่มั้ย”
กว่านอิงเบือนหน้าหนี มองไปยังดอกแปะเจียกที่บานสะพรั่งอยู่ข้างหลังเธอ แล้วตอบว่า “ฉางฉิง ฉันไม่เหมือนกับเธอ ฉันรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร”
ฉางฉิงขมวดคิ้ว “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเธอต้องการอะไร แต่ฉันไม่อยากให้เธอเหยียบเรือสองแคม”
“เพราะคนคนนั้นคือฟู่อวี้งั้นเหรอ” กว่านอิงจ้องฉางฉิงเขม็งทันที
กว่านอิงถามขึ้นมาอย่างกะทันหันเกินไป ฉางฉิงตั้งตัวไม่ทัน แล้วแววตาก็ดูคลุมเครืออย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ “ใช่น่ะสิ พี่ฟู่อวี้เป็นผู้ชายที่ดีใช้ได้เลยนี่นา”
กว่านอิงยิ้มเล็กน้อย
งั้นเหรอ
เกรงว่าจะดีกับฉางฉิงแค่คนเดียวน่ะสิ เขาถึงได้เป็นผู้ชายที่ดีในสายตาฉางฉิง
แต่สำหรับตัวเธอแล้ว เขาไม่ใช่
“กว่านอิง มานี่หน่อยสิ ฉันจะแนะนำผู้กำกับคนหนึ่งให้เธอรู้จัก” เซวียเกา ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของกว่านอิงรีบร้อนเดินขึ้นมาหา
กว่านอิงลุกขึ้นเดินไปได้สองสามก้าว ก็ถามว่า “ฉางฉิง เธออยากไปกับฉัน...”
เธอยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเซวียเกาดึงตัวเดินลงไปเสียแล้ว
ระหว่างที่เดินไป เซวียเกาตีหน้าขรึมพลางตำหนิ “เธออย่าคิดว่าตัวเองมีประธานฟู่คอยหนุนหลังให้แล้วเธอจะมีสิทธิ์ช่วยสนับสนุนคนอื่นได้ เขาช่วยประคับประคองเธอได้แค่ไม่กี่วัน ตัวเธอเองก็ต้องคว้าโอกาสไม่กี่วันนี้ไว้ให้มั่น ส่วนเพื่อนข้างตัวเธอ ต่อให้สนิทกันขนาดไหน แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการนี้ก็เป็นคู่แข่งกันหมด ถ้าเธอพาเพื่อนไปด้วย แล้วผู้กำกับเกิดถูกใจเพื่อนเธอขึ้นมาจะทำยังไง...
ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีความทะเยอะทะยานก็อย่าคิดจะอยู่ในวงการนี้เลย”
กว่านอิงฟังแล้วก็เงียบกริบไปตลอดทาง
_ _ _ _ _ _ _ _
ฉางฉิงกำลังทานอาหารอยู่เงียบๆ ที่ระเบียง
เซวียเกาคิดอะไรอยู่ เธอรู้ดี เธอค่อนแคะอยู่เงียบๆ ในใจเช่นกัน เธอเองก็ไม่ได้อยากไปเหมือนกันนั่นแหละ
“นี่ใครกันเอ่ย เมื่อกี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ” จู่ๆ ฉืออี่หนิงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ใบหน้าที่สวยงามประดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ตอนนี้ฉันชักกลัวๆ ที่จะคุยกับเธอแล้วสิ ยังไงเดี๋ยวนี้เธอก็เป็นคนดังของสถานีแล้วนี่ นอกจากความสัมพันธ์กับจั่วเชียนจะไม่ธรรมดาแล้ว ยังปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงใหญ่อย่างฟู่อวี้ด้วย พี่ฉางฉิง ช่วยสอนฉันหน่อยสิคะ บอกหน่อยว่าตกลงใช้วิธีอะไรบ้าง”
ฉางฉิงอารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินที่เธอพูด ฉางฉิงก็เดือดดาลขึ้นมาและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่ ตอนนี้ฉันมีฟู่อวี้ช่วยหนุนหลัง เธอก็ระวังตัวหน่อยนะ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะฟ้องเรื่องเธอ จนเธอต้องออกจากสถานีไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
ฉืออี่หนิงหน้าถอดสี “ได้ ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงไม่แน่นอน แล้วเรามาดูกันว่าใครจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย”
บริเวณระเบียงชั้นล่าง จ่านหมิงเหวยแกว่งของเหลวสีสันสดใสในแก้ว แล้วมองไปยังซ่งฉู่อี๋ที่เพิ่งมาถึงงานได้ไม่นาน จากนั้นเขาก็ชูแก้วขึ้นและยิ้มแฉ่ง “เป็นผู้หญิงที่มีฟู่อวี้คอยช่วยหนุนหลังอีกคนแล้ว ว่าแต่คนเป็นสามีอย่างนายดูไม่ค่อยมีตัวตนไปหน่อยหรือเปล่า”
สีหน้าของซ่งฉู่อี๋ในตอนนี้ดูเย็นยะเยือกเหมือนกับแสงจันทร์ด้านนอกไม่มีผิดเพี้ยน
เขาวางแก้วน้ำลง แล้วหมุนตัวเดินออกจากระเบียงไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จ่านหมิงเหวยกางแขนสองข้างออกและพิงรั้วกั้นอย่างอารมณ์ดี ท่าทางอีกไม่นานจะมีละครสนุกๆ แสดงที่ชั้นบน เขาต้องไปดูสักหน่อยแล้ว
ฉางฉิงทานอาหารไปคนเดียวสักพัก ก็รู้สึกว่าอาหารไม่มีรสชาติเลย ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นไวน์แดงสองขวดวางอยู่บนตู้เก็บของที่ตั้งชิดผนังพอดี ที่จริงแล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างชอบดื่มเหมือนกับเยี่ยนเหล่ย
เธอหยิบมาหนึ่งขวดและกำลังจะเปิด แต่จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มเล็กน้อยของผู้ชายดังลอยมาจากด้านหลัง “ผมไม่ยักรู้นะว่าเมียผมก็ชอบดื่มกับเขาด้วย”
พอหันไปมอง เธอก็แทบจะไม่กะพริบตา คืนนี้ซ่งฉู่อี๋สวมชุดสูทที่รีดเรียบกริบ ปกติเขาดูเย็นชาเหมือนกับภาพวาดพู่กันจีนหมึกดำ แต่คืนนี้เขาดูสูงสง่าเย่อหยิ่ง หน้าตาท่าทางดูโดดเด่นสะดุดตา ส่วนเบ้าตาสีแดงระเรื่อก็ดูวิบวับเล็กน้อย
ที่เปิดขวดไวน์ร่วงจากมือของฉางฉิงตกลงสู่พื้นทันที
เขาใช้มือข้างหนึ่งเก็บขึ้นมาจากพื้น ริมฝีปากบางแดงเรื่อขยับอย่างนุ่มนวล “ถึงฟู่อวี้เขาจะไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดื่มแก้กลุ้มอยู่ตรงนี้คนเดียวเลยนี่นา”
.........................................