ราชันย์เร้นลับ 20: ดันน์ขี้ลืม
ราชันย์เร้นลับ 20: ดันน์ขี้ลืม
“ตกลงครับ”
ไคลน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะสวมหมวกผ้าไหมทรงสูงกลับไป
แต่ภายในใจนึกสังสัยว่า ถึงวัตถุต้องห้ามหมายเลข 0-08 จะมีหน้าตาเป็นเช่นไร
ปากกาขนนกธรรมดางั้นหรือ?
แค่เขียนโดยไม่ใช้หมึก?
เช่นนั้นแล้ว ความสามารถที่แท้จริงของมันคืออะไร? เหตุใดถึงกลายเป็นวัตถุต้องห้ามระดับสูงสุดของโบสถ์ไปได้…
หรือจะเป็นปากกาขนนกที่เขียนชื่อใครแล้วคนนั้นจะตาย?
ไม่น่าใช่ แบบนั้นคงเป็นการแหกกฏฟ้าดินจนน่าเกลียดเกินไป และหากมีพลังดังกล่าวจริง อินซ์·แซงวิลล์ไม่มีความจำเป็นต้องหลบหนีเลยสักนิด…
ขณะไคลน์ครุ่นคิดพลางเดินออกจากห้อง ดันน์·สมิทตะโกนไล่หลัง
“เดี๋ยวก่อน ผมลืมพูดบางเรื่อง”
“ครับ?”
ไคลน์หันหลังมอง นัยน์ตาแฝงความประหลาดใจ
ดันน์เก็บนาฬิกาพกใส่กระเป๋า ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หลังจากนี้ อย่าลืมไปหามาดามโอเรียนน่าที่เป็นฝ่ายบัญชีด้วย คุณต้องเบิกค่าตอบแทนล่วงหน้าสี่สัปดาห์—สิบสองปอนด์ และในสัปดาห์ต่อไป ค่าแรงของคุณจะถูกหักครึ่งหนึ่งจากปรกติจนกว่าจะชดเชยครบสิบสองปอนด์”
“ไม่เยอะไปหน่อยหรือ ผมไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้น ปริมาณของมันควรลดลง”
ไคลน์ตอบทันทีโดยไม่ได้คิดซับซ้อน อันที่จริง มันเองก็ชื่นชอบที่ได้รับค่าจ้างล่วงหน้า เพราะปัจจุบัน แม้แต่ค่ารถม้ากลับบ้านยังมีไม่เพียงพอ
ทว่า การได้รับรวดเดียวสิบสองปอนด์คงมากเกินไปสักหน่อย
“ผิดแล้ว จำเป็นสิ”
ดันน์แย้ง มันส่ายศีรษะพลางอมยิ้ม
“ลองไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน คุณจะอาศัยอยู่ในหอพักแบบเดิมจริงหรือ? บ้านที่ต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่น ต่อให้คุณไม่ถือสา แต่ก็ควรเป็นห่วงสุภาพสตรีในครอบครัว แล้วก็…”
ดันน์ชะงัก สายตาชำเลืองมองไคลน์ที่กำลังพยักหน้าเห็นด้วย มันทำการสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แล้วก็… คุณต้องมีไม้ค้ำและสูทตัวใหม่”
ไคลน์ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสติกลับสู่โลกความจริงในเวลาถัดมา
ใบหน้าเริ่มแดงก่ำอย่างเขินอาย สูทและเสื้อตัวในของมันล้วนเป็นผ้าคุณภาพต่ำที่ซื้อมาในราคาถูก
หมวกผ้าไหมทรงสูงทั่วไปจะมีราคาราวห้าถึงหกซูล โบว์หูกระต่างอีกสามซูล ไม้ค้ำที่หัวทำงานเงินอีกแปดซูล เสื้อตัวใหม่สามซูล
ส่วนกางเกงขายาว เสื้อกั๊ก และทักซิโด้ราคารวมกันราวเจ็ดปอนด์ แถมยังมีรองเท้าหนังอีกสิบซูล
คำนวณอย่างหยาบจะออกมาเป็นแปดปอนด์กับอีกเจ็ดซูล และถ้าหากต้องการเป็นสุภาพบุรุษเต็มคราบ มันต้องมีโซ่ห้อยนาฬิกา นาฬิกาพก และกระเป๋าเงิน
ในอดีต ไคลน์และเบ็นสันเคยช่วยกันเก็บออมอย่างยากลำบากจนกระทั่งรวบรวมเงินได้ก้อนหนึ่ง พวกมันตรงไปที่ร้านเสื้อผ้าเพื่อมองหาชุดที่เรียบร้อยและภูมิฐาน แต่หลังจากตรวจสอบราคา ทั้งสองรีบออกจากร้านโดยไม่แม้แต่จะต่อรอง ลงเอยด้วยการซื้อชุดมือสองจากร้านบนถนนกางเขนเหล็กในราคารวมไม่ถึงสองปอนด์
ผลพวงจากเหตุการดังกล่าว ไคลน์คนก่อนจึงฝังใจกับราคาเสื้อผ้าอย่างมาก
“ข…เข้าใจแล้วครับ”
ไคลน์ตอบกระอักกระอ่วน
ตัวไคลน์มีนิสัยคล้ายคลึงกับไคลน์คนก่อนในด้านรสนิยมเสื้อผ้า มันชื่นชอบที่จะแต่งตัวมีสง่าราศี
ดันน์หยิบนาฬิกาพกจากกระเป๋าและเปิดตรวจสอบเวลา
“ผมคิดว่าคุณควรไปพบมาดามโอเรียนน่าเป็นอันดับแรก การไปหาลุงนีลล์คงใช้เวลาสักพักใหญ่ แต่มาดามโอเรียนน่าใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว”
“ได้ครับ”
ไคลน์ตระหนักถึงความจนบัดซบของตัวเองดี มันไม่คิดคัดค้านการได้รับเงินล่วงหน้า
ดันน์เดินไปยังข้างโต๊ะทำงานและกระตุกเชือกที่แขวนไว้กับเพดาน
“ผมจะให้โรแซนนำทางคุณ”
เชือกทำงานตามกลไกของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพ เกิดเสียงหมุนของฟันเฟือง เพียงชั่วอึดใจ กระดิ่งที่ห้องรับรองแขกของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬก็ส่งเสียงกังวาล
เมื่อโรแซนได้ยิน เธอรีบดีดตัวขึ้นและมุ่งหน้าตรงมายังห้องผู้คุมประตูยานิสอย่างระมัดระวัง
เพียงไม่นาน ไคลน์ก็ได้พบหล่อนอีกครั้ง
ดันน์กล่าวติดตลก
“ผมคงไม่ได้รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณใช่ไหม? ช่วยพามิสเตอร์โมเร็ตติไปหามาดามโอเรียนน่าให้หน่อย”
มุมปากโรแซนกระตุกเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียง ‘ร่าเริง’
“ได้ค่ะ หัวหน้า”
“แค่นี้เองหรือ?”
ไคลน์ขมวดคิ้วถามด้วยใบหน้าสุดฉงน
การเบิกค่าแรงล่วงหน้า ไม่ใช่ว่าต้องมีเอกสารยืนยันจากหัวหน้าสักหน่อยหรือ?
จะไม่เขียนอะไรสักนิดเลยรึไง?
“หืม? แล้วยังต้องมีอะไรอีก?”
ดันน์ตอบคำถามด้วยคำถาม
“เอ่อ… การเบิกค่าแรงล่วงหน้าจากมาดามโอเรียนน่า ไม่ต้องใช้ลายเซ็นของคุณหรือ?”
ไคลน์พยายามอธิบายด้วยภาษาที่ง่ายที่สุด
“หืม… ไม่จำเป็น แค่มีโรแซนไปด้วยก็ยืนยันได้แล้ว”
ดันน์ชี้นิ้วไปยังสตรีผมน้ำตาลขณะมอบคำตอบให้ไคลน์
หัวหน้า… องค์กรเราบริหารจัดการเงินได้ห่วยแตกเกินไปแล้ว… ไคลน์กลืนถ้อยคำตัดพ้อลงคอและรีบเดินออกจากห้องไปพร้อมโรแซน
ทันใดนั้น เสียงดันน์ตะโกนไล่หลัง
“เดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่อง”
ให้จบทีเดียวไม่ได้รึไง? ไคลน์หันหลังกลับพร้อมกับปั้นรอยยิ้มจอมปลอม
“ครับ?”
ดันน์ใช้มือข้างหนึ่งนวดคลึงขมับก่อนอธิบายต่อ
“ถ้าไปหาลุงนีลล์แล้ว อย่าลืมเบิกกระสุนปราบมารด้วย”
“ผมเนี่ยนะ? กระสุนปราบมาร?”
ไคลน์ถามเสียงหลง
“ลูกโม่ของเวิร์ชยังอยู่กับคุณใช่ไหม? ไม่ต้องนำมาคืนพวกเราหรอกนะ”
ดันน์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลม
“ถ้ามีกระสุนปราบมาร หากคุณบังเอิญเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเข้า มันจะช่วยปกป้องชีวิตคุณได้… หรืออย่างน้อยก็มอบกล้าเพิ่มนิดหน่อย”
ประโยคสุดท้าย… หัวหน้าไม่ต้องพูดก็ได้
ไคลน์ไม่มัวจินตนาการถึงสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติให้ปวดหัว มันพยักหน้ารับทันที
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะจำไว้”
“แต่อันนี้ต้องใช้เอกสารจากผม ช่วยรอสักครู่”
เมื่อกล่าวจบ ดันน์นั่งลงพร้อมกับหยิบปากกาหมึกแดงเข้มออกมาเขียน ‘โน๊ต’ แผ่นหนึ่งใส่กระดาษ ก่อนจะเซ็นและปั๊มตราประทับ
“ขอบคุณครับ หัวหน้า”
ไคลน์รับกระดาษพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็หันหลังกลับเตรียมเดินออกจากน้อง
“เดี๋ยวก่อน”
ดันน์เรียกไล่หลังอีกครั้ง
…หัวหน้า ทั้งที่คุณดูเหมือนชายหนุ่มสุขภาพดีวัยสามสิบ แต่กลับมีอาการของโรคความจำเสื่อมแล้วหรือ?
ไคลน์ฝืนเค้นยิ้มด้วยสีหน้าจืดชืด
“ครับ? ว่า?”
“ผมลืมว่าคุณไม่เคยฝึกยิงปืนมาก่อน กระสุนปราบมารอาจไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก เอาแบบนี้ดีกว่า… เบิกกระสุนปืนแบบธรรมดาวันละสามสิบนัด แล้วหาโอกาสไปซ้อมยิงที่ชั้นใต้ดินของบ้านเลขที่สาม ตั้งอยู่หัวมุมถนนซุตแลน
“ลู่ซ้อมยิงเกือบทั้งหมดจะเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจปรกติ แต่มีอยู่หนึ่งลู่ที่เหลือไว้เป็นของเหยี่ยวราตรีโดยเฉพาะ
“อ๊ะ! อย่าลืมขอตราเจ้าหน้าที่จากลุงนีลล์ด้วย ไม่อย่างนั้นคุณจะเข้าไปใช้บริการไม่ได้”
ดันน์ใช้มือลูบหน้าผากอย่างตำหนิตัวเอง มันขอโน๊ตในมือไคลน์กลับไปเขียนเพิ่ม ก่อนจะปั๊มตราประทับและเซ็นลายเซ็นทับ
“นักแม่นปืนมือฉมังเกิดจากการกินกระสุนเข้าไปนับไม่ถ้วน อย่าลืมคำนี้เชียว”
ดันน์ส่งโน๊ตที่ถูกแก้ไขคืนให้ไคลน์
“เข้าใจแล้วครับ”
ตัวมันที่หวาดผวาต่อสิ่งเร้นลับเป็นพิเศษ ไคลน์สาบานกับตนเองว่าจะเข้าไปซ้อมยิงปืนทุกวัน
ขณะเดินไปหน้าประตู ไคลน์ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะบิดตัวกลับไปถาม
“หัวหน้า มีอะไรอีกไหมครับ?”
“ไม่แล้ว”
ดันน์ผงกศีรษะหนักแน่น
ไคลน์ถอนหายใจยาว มันเดินตรงไปที่ประตูด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนที่สัญชาตญาณจะดลใจให้หันกลับมาถามดันน์อีกครั้ง
“ไม่มีแน่นะครับ?”
เมื่อยืนยันแน่ชัด ในที่สุดไคลน์ก็ได้ออกจากห้องผู้คุมประตูยานิสเสียที
“หัวหน้าเป็นแบบนี้เสมอ เขามักหลงลืมในหลายเรื่อง”
ขณะโรแซนเดินเคียงข้างไคลน์ หล่อนกระซิบกระซาบนินทาหัวหน้าตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา
“คุณยายของฉันยังความจำดีกว่าเขาเลย แต่โชคยังดีที่หัวหน้าไม่ค่อยลืมเรื่องสำคัญ…
“ไคลน์สินะ! นับแต่นี้ไปฉันจะเรียกนายว่าไคลน์! มาดามโอเรียนน่าเป็นคนอัธยาศัยดีมาก เธอคือหญิงสาวประเภทที่สนิทกับผู้คนได้ง่าย บิดาเป็นช่างนาฬิกามือฉมัง…”
ไคลน์เดินไปพลางฟังสาวผมน้ำตาลนินทาเรื่อยเปื่อย เพียงไม่นาน คนทั้งสองกลับขึ้นมายังชั้นบนของตึกอีกครั้ง โรแซนเปิดประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องบันไดหิน ภายในมีมาดามโอเรียนน่ากำลังกัมหน้าทำงาน
สตรีผมดำสวมเดรสลูกไม้ประดับประดาด้วยลวดลายวิจิตร อายุอานามราวสามสิบ ทรงผมหยักโศกเข้ากับยุคสมัย นัยน์ตาเขียวมรกตใสกระจ่าง รอยยิ้มค่อนข้างมีเสน่ห์ นับเป็นสตรีที่สง่างามและเลอโฉมคนหนึ่ง
หลังจากโรแซนถ่ายทอดคำพูดดันน์·สมิทให้เธอฟัง โอเรียนน่าหยิบโน๊ตแผ่นนึ่งขึ้นมาพร้อมกับเขียนรายละเอียดการเบิกเงินล่วงหน้า
“เซ็นตรงนี้ มีตราประทับไหม? ถ้าไม่มีให้ใช้ลายนิ้วมือแทน”
“ครับผม”
ไคลน์เริ่มคุ้นชินกับขั้นตอนราชการ มันปฏิบัติตามคำแนะนำจนเสร็จสรรพ
โอเรียนน่านำกุญแจทองแดงออกจากลิ้นชักและเดินไปยังห้องนิรภัย หลังจากนับธนบัตรอยู่ครู่หนึ่ง เธอหันมาอมยิ้มให้ไคลน์
“คุณโชคดีมากที่พวกเรามีเงินสดพอ… ว่าแต่ไคลน์ คุณถูกหัวหน้าชักชวนเพราะเกี่ยวข้องกับคดีเหนือธรรมชาติมาและมีความพิเศษอยู่ในตัวใช่ไหม?”
“ใช่ครับ สัญชาตญาณของคุณแม่นมาก”
ไคลน์เชยชมจากใจ
โอเรียนน่าหยิบธนบัตรออกมาทั้งหมดสี่ใบ ทุกใบล้วนมันมีพื้นหลังสีเทาและเขียนด้วยหมึกดำ หลังจากปิดห้องนิรภัย เธอเดินกลับมาหาไคลน์พร้อมรอมยิ้ม
“นั่นเพราะฉันเองก็เหมือนกัน”
“จริงหรือครับ?”
ไคลน์ทำทีตกใจตามมารยาท
“ยังจำคดีฆาตกรต่อเนื่องในทิงเก็นเมื่อสิบหกปีก่อนได้ไหม?”
โอเรียนน่ายื่นธนบัตรสี่ใบให้ไคลน์
“…จำได้ครับ มีเด็กสาวถูกสังหารต่อเนื่องห้าศพ บางคนถูกจอมชำแหละโรคจิตนำอวัยวะภายในออกไป มักเป็นพวกหัวใจหรือกระเพาะอาหาร แม่ของผมมักนำคดีนี้มาขู่น้องสาวเสมอสมัยที่พวกเรายังเด็ก”
ไคลน์เล่าพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด
เมื่อได้รับธนบัตรมา มันทำการตรวจสอบอย่างละเอียด สองใบเป็นธนบัตรห้าปอนด์ ส่วนอีกสองใบเป็นธนบัตรหนึ่งปอนด์ ทั้งหมดมีพื้นหลังสีเทาและเขียนด้วยหมึกดำ สี่มุมสลักลวยลายซับซ้อนด้วยหมึกพิเศษเพื่อป้องกันการคัดลอก
ธนบัตรประเภทแรกจะมีขนาดใหญ่กว่าแบบหลังนิดหน่อย กึ่งกลางเป็นภาพของอดีตกษัตริย์โลเอ็นลำดับห้า บรรพบุรุษของกษัตริย์จอร์จที่สาม พระนามเดิมคือ เฮนรี·ออกัสตัส
ใบหน้าเรียวกลม เหนือศีรษะสวมที่คาดผมสีขาว ดวงตาค่อนข้างตี่ สีหน้าขึงขังจริงจัง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์กลับรู้สึกสนิทชิดเชื้ออย่างน่าประหลาด
นี่คือธนบัตรห้าปอนด์เชียวนะ!
เทียบเท่ารายได้ของเบ็นสันสี่สัปดาห์เต็ม!
ถัดมาเป็นแบงค์หนึ่งปอนด์ กึ่งกลางแบงค์มีใบหน้าของอดีตกษัตริย์โลเอ็นพระองค์ก่อน บิดาของกษัตริย์จอร์จที่สาม กษัตริย์วิลเลี่ยม·ออกัสตัสที่ีหก
วิลเลี่ยมเป็นบุรุษหนวดเข้ม ดวงตาขึงขังเฉียบคม สมัยครองบัลลังก์ มันคือผู้ปลดปล่อยอาณาจักรโลเอ็นให้เป็นอิสระจากขนบธรรมเนียมโบราณ ส่งผลให้ประเทศพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นอาณาจักรชั้นนำ
ทั้งคู่ล้วนเป็น ‘กษัตริย์ที่ดี’
ไคลน์คิดเช่นนี้ขณะสูดดมกลิ่นอันหอมหวลและสดชื่นของหมึกธนบัตร
“ถูกต้อง ถ้าเหยี่ยวราตรีมาไม่ทัน เหยื่อคนที่หกก็จะเป็นชื่อของฉัน…”
เสียงของโอเรียนน่าสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับเธอยังไม่ลืมความทรงจำอันขื่นขมที่ผ่านมานานกว่าสิบหกปีแล้ว
“ถ้าจำไม่ผิด ฆาตกรต่อเนื่อง… ไม่สิ… จอมชำแหละโรคจิตนั่นเป็นผู้วิเศษใช่ไหม?”
ไคลน์กล่าวขณะบรรจงพับธนบัตรอย่างปราณีตและเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบซ้ำอย่างนุ่มนวลเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ายังอยู่ดี
“ค่ะ”
มาดามโอเรียนน่าผงกศีรษะหนักแน่น
“อันที่จริง มีเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ไม่เป็นข่าวอีกมาก สาเหตุที่ถูกจับได้เพราะ มันกำลังเตรียมทำพิธีกรรมบูชาปีศาจ”
“ถึงต้องล่าอวัยวะเด็กสาวสินะ… ขอโทษด้วยครับมาดามโอเรียนน่า ที่ผมทำให้นึกถึงความทรงจำเลวร้าย”
ไคลน์กล่าวตำหนิตัวเอง
โอเรียนน่ายิ้ม
“ฉันเลิกกลัวนานแล้ว… ในช่วงนั้นกำลังศึกษาที่โรงเรียนบัญชีพอดี ดันน์จึงกล่าวชักชวนจนได้มาทำงานที่นี่
“เอาล่ะ ฉันไม่รบกวนเวลาของคุณแล้ว ยังต้องไปหาลุงนีลล์อีกใช่ไหม”
“แล้วพบกันใหม่ครับ มาดามโอเรียนน่า”
ไคลน์ถอดหมวกเลื่อนมาไว้ที่อกพร้อมกับก้มศีรษะคำนับ ก่อนจะเดินกลับลงไปชั้นล่างอีกครั้ง มันไม่ลืมที่จะใช้มือตบกระเป๋าเพื่อยืนยันว่าธนบัตรรวมสิบสองปอนด์ยังอยู่ดี
เมื่อถึงสี่แยก ไคลน์เลี้ยวขวาและเดินตรงไปยังคลังอาวุธ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มองเห็นประตูเหล็กที่ปิดค้างไว้ครึ่งบาน
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
เมื่อเคาะจบ เสียงแหบพร่าของชายชราดังจากด้านใน
“เข้ามา”
ไคลน์ผลักประตูเข้าไป แล้วก็ได้พบห้องสุดคับแคบที่จุได้เพียงโต๊ะทำงานหนึ่งตัวและเก้าอี้อีกสอง
ผนังภายในห้องมีประตูเหล็กบานใหญ่อีกชั้นที่ล็อคไว้แน่นหนา หลังโต๊ะทำงานมีชายแก่ชุดคลุมสีดำกำลังนั่งบนเก้าอี้ มันคร่ำเคร่งอ่านแผ่นกระดาษสีเหลืองซีดโดยอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟแก๊ส
เมื่อไคลน์เดินเข้ามา ชายชราเงยหน้าขึ้นมอง
“ไคลน์·โมเร็ตติใช่ไหม? โรแซนเล่าให้ฟังว่าเจ้าเป็นชายหนุ่มที่สุภาพ… เธอแอบเข้ามาเล่าเมื่อครู่ล่ะนะ ฮะฮะ!”
“มิสโรแซนเองก็อัธยาศัยดีมากเช่นกัน สวัสดียามบ่ายครับ มิสเตอร์นีลล์”
ไคลน์ถอดหมวกคำนับ
“นั่งลงก่อน”
เมื่อกล่าวจบ นีลล์ชี้นิ้วไปยังกระป๋องสีเงินที่สลักลวดลายดอกไม้ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
“รับกาแฟบดสักถ้วยไหม?”
ริ้วรอยบริเวณดวงตาและรอบริมฝีปากของลุงนีลล์ค่อนข้างลึก นัยน์ตาสีแดงเข้มเริ่มปรากฏอาการขุ่นมัว
“คุณไม่ดื่มกาแฟหรือ?”
ไคลน์ถามหลังจากชำเลืองมองถ้วยชาจีนของนีลล์ที่ใส่น้ำเปล่าไว้เต็ม
“ฮะฮะ! เป็นกฏของตัวฉันเองที่จะไม่ดื่มกาแฟหลังจากบ่ายสาม”
นีลล์อธิบายอย่างอารมณ์ดี
“เพราะอะไรครับ?”
ไคลน์ใคร่รู้
มุมปากนีลล์กระตุกเล็กน้อย มันจ้องมองเข้าไปในดวงตาไคลน์พร้อมกับอธิบาย
“ฉันกลัวว่ามันจะทำให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะได้ยินเสียงที่ไม่อยากได้ยินของสิ่งมีชีวิตปริศนา”
ไคลน์อึ้งไปพักใหญ่ เมื่อสานต่อบทสนทนาเดิมไม่ได้ จึงหาเรื่องคุยในประเด็นใหม่
“มิสเตอร์นีลล์ ผมควรอ่านเอกสารหรือหนังสือเล่มไหนดีครับ?”
ขณะกล่าวจบ ไคลน์ยื่นโน๊ตที่ดันน์เขียนให้
“อะไรก็ได้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เรื่องราวซับซ้อน หรือเรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อ… ด้วยความสัตย์จริง ฉันพยายามศึกษาพวกมันมานานแล้ว แต่กลับถอดรหัสข้อความได้ในระดับผิวเผินเท่านั้น
“ปัญหาคือ ฉันต้องไล่อ่านเอกสารอื่นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันให้ได้ว่า เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวมีบริบทกล่าวถึงสิ่งใด…. ต้องเสียเวลาอ่านทั้งไดอารี่ หนังสือสมัยใหม่ ถ้อยคำจารึก และอีกมากมายเพื่อพยายยามทำความเข้าใจ…”
นีลล์ตัดพ้อ
“ตัวอย่างเช่นเอกสารเหล่านี้ ฉันจำเป็นต้องศึกษาตำราประวัติศาสตร์อย่างหนักเพื่อให้เข้าใจบริบท”
“ทำไมกันครับ?”
ไคลน์ขมวดคิ้ว
นีลล์ชี้ไปยังแผ่นกระดาษสีเหลืองด้านหน้า
“นี่คือส่วนหนึ่งของไดอารีโรซายล์·กุสตาฟเล่มที่หายไปก่อนเขาจะเสียชีวิต… จักรพรรดิโรซายล์ต้องการบันทึกทุกสิ่งไว้เป็นความลับ จึงประดิษฐ์สัญลักษณ์และอักษรขึ้นเองเพื่อมิให้ผู้ใดถอดรหัสได้”
จักรพรรดิโรซายล์?
นักเดินทางข้ามโลกรุ่นพี่คนนั้นน่ะหรือ?
ไคลน์ชะงักเล็กน้อยก่อนเริ่มตั้งใจฟัง
“หลายคนเชื่อว่าเขายังไม่ตาย แต่กลายเป็นเทพเร้นลับ ด้วยเหตุนี้ จึงมีลัทธิจำนวนมากกราบไหว้บูชาจักรพรรดิโรซายล์ หรือแม้กระทั่งประกอบพิธีกรรมต้องห้ามเพื่อหยิบยืมพลังจากจากเขา
“เหยี่ยวราตรีของพวกเราได้รับงานให้ปราบปรามลัทธินอกรีตเหล่านี้บ่อยครั้ง จึงมีโอกาสยึดไดอารีทั้งของจริงและฉบับคัดลอกเป็นของกลาง”
นีลล์ส่ายศีรษะ
“แต่จนกระทั่งปัจจุบัน ยังไม่มีใครถอดรหัสสัญลักษณ์พิเศษเหล่านี้ได้ วิหารศักดิ์สิทธิ์จึงอนุญาตให้เหยี่ยวราตรีมีฉบับคัดลอกในครอบครองเพื่อการศึกษา เผื่อว่าจะมีใครถอดรหัสสำเร็จเข้าสักวัน”
เมื่อกล่าวจบ นีลล์เผยรอยยิ้มมีเลศนัย
“แต่ฉันถอดรหัสได้แล้วบางส่วน มันเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงตัวเลข เมื่อตีความอย่างละเอียดจะพบว่า แผ่นกระดาษเหล่านี้คือไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์จริงๆ!
“ฉันพยายามถอดรหัสเพิ่มเติมโดยเปรียบเทียบกับเอกสารอื่นในยุคสมัยที่จักรพรรดิโรซายล์ยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น จะได้เข้าใจเนื้อหาของไดอารีและอักษรพิเศษได้ง่ายขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง? ฉันอัจฉริยะใช่ไหม?”
ชายชราผมขาวมาดสง่างามกำลังจ้องมองไคลน์ด้วยแววตาเปล่งประกาย
ไคลน์พยักหน้ารับ
“ใช่ครับ”
“ฮะฮะ! พรุ่งนี้ทั้งวัน ไว้เจ้าค่อยศึกษามาไดอารีกับฉัน”
นีลล์ยื่นแผ่นกระดาษสีเหลืองมาหาไคลน์
หลังจากกลับหัวกลับหางให้เข้าที่และเริ่มต้นอ่าน ชายหนุ่มพลันตกตะลึงสุดขีด หัวใจแทบหยุดเต้น
แม้ ‘สัญลักษณ์’ จะถูกคัดลอกด้วยลายมือไก่เขี่ยและมีบางจุดผิดไปจากที่ควรเล็กน้อย แต่มันไม่มีทางหลงลืมสัญลักษณ์เหล่านี้…
ไคลน์คุ้นชินกับพวกมันมานานมาก…
ภาษาจีน!
สัญลักษณ์บัดซบเหล่านี้คืออักษรจีนกลาง!
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/