DC บทที่ 70: ทำไมท่านจึงยังมีชีวิตอยู่(ฟรี)
DC บทที่ 70: ทำไมท่านจึงยังมีชีวิตอยู่
ชิวเยวี่ยโซเซไปมากลางอากาศรู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนติ้ว
“ท-ท่านไม่ควรยังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นไปไม่ได้” เธอกล่าวย้ำ เสียงของเธอมีแต่ความไม่อยากจะเชื่อและตกใจ
ซูหยางพบว่าถ้อยคำของเธอค่อนข้างน่าสนใจ เหตุใดเธอจึงกล่าวว่าเขาตายแล้ว
“ตอน..ตอนนั้น...ข้าเห็นร่างไร้ชีวิตของท่านด้วยตาของข้าเอง” เธอกล่าวต่อสร้างความมึนงงให้กับซูหยาง
เธอเห็นร่างไร้ชีวิตของเขา นั่นเป็นไปได้อย่างไร
“เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าเห็นร่างไร้ชีวิตของข้างั้นรึ” เขาถามเธอด้วยคิ้วที่ขมวด
“สองพันปีก่อน มีคำประกาศว่าท่านเสียชีวิตแล้ว และข้าก็ได้เข้าร่วมพิธีฝังศพ ที่นั่นเป็นที่ที่ข้าได้เห็นร่างไร้ชีวิตของท่านภายในโลงด้วยตาของข้าเอง”
"..."
ซูหยางไม่รู้ว่าจะคิดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเธอเห็นร่างไร้ชีวิตของเขาจริง เช่นนั้นแล้วร่างปัจจุบันของเขาที่ดูเหมือนกับร่างเดิมนี้คืออะไร ร่างที่คาดว่าตายไปแล้วนั้นมาจากไหน แน่นอนว่าคงไม่ใชของจริงใช่ไหม หรือว่าร่างปัจจุบันนี้คือร่างปลอมส่วนร่างจริงนั้นทับถมจมดินไปนานแล้ว
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น เธอหมายถึงอะไรหากเมื่อสองพันปีก่อนคือเวลาที่เธอได้เข้าร่วมงานศพของเขา หรือเป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาผ่านไปนานกว่าสองพันปีตั้งแต่เขาจากหุบผาบาปนิรันดร์ ทั้งที่เขารู้สึกเหมือนมันผ่านไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้จะฟังดูน่าสงสัยแต่นั่นก็สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเธอซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กเมื่อเขาเห็นเธอครั้งสุดท้ายเติบโตดูเป็นผู้ใหญ่
“จ-เจ้าผายลม ทั้งหมดนี้เป็นอุบายจัดฉากขึ้นโดยตำหนักเทพจันทราเพื่อที่จะจับข้าเป็นแน่ คนสารเลวเช่นเจ้ามิอาจเป็นท่านพี่ซูได้” ชิวเยวี่ยปฏิเสธการดำรงอยู่ของเขาขณะที่พลังกดดันอันรุนแรงปรากฏขึ้นอีกครั้ง กระทั่งรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน “ข้าจักทำให้เจ้าตกตายอย่างแสนทรมานที่พยายามหลอกลวงข้าด้วยรูปร่างหน้าตาของท่านพี่ซู”
ดวงตาของซูหยางเบิกกว้างกับสำนึกการฆ่าฟันอันโหดร้ายที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวเธอ เขาตื่นตระหนกเมื่อยืนยันได้ถึงความแน่วแน่ในดวงตาที่เป็นประกายประดุจเพชรของเธอ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอคงฆ่าเขาจริงๆด้วยความโกรธแค้น
ฉับพลันนั้นเองความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของซูหยาง เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ช่างเป็นเด็กที่เนรคุณเหลือเกิน ชิวเยวี่ย หลังจากที่ข้าทำสิ่งต่างๆให้กับเจ้าตั้งแต่เมื่อตอนเจ้ายังเด็ก นี่คือการตอบแทนที่มีต่อข้าเช่นนั้นรึ โดยการจ้องเอาชีวิตข้า ข้าผิดหวังกับเจ้าเหลือเกิน ข้าทำกระทั่งเปลี่ยนผ้าอ้อมสกปรกให้กับเจ้าตั้งหลายครั้ง ข้ายังจำได้ชัดเจนถึงปานรูปจันทร์เสี้ยวขนาดเล็กที่ปรากฏใต้แก้มก้นของเจ้า”
"?!?!?!"
เมื่อชิวเยวี่ยได้ยินเสียงคำรามของซูหยาง หัวใจเธอหยุดเต้นแม้ว่าพลังการฝึกปรือของเธอจะเหนือกว่าเขตคัมภีร์วิญญาณของเขาไม่รู้กี่เท่า อย่างไรก็ตามสิ่ที่เป็นเหตุให้เธอร่วงหล่นจากฟ้าดาราพราวนั้นไม่ใช่เป็นเพราะเสียงของเขา แต่เป็นเพราะว่าคำอ้างของเขาถึงรอยปานของเธอ ซึ่งมีเพียงคนสองคนในโลกนี้ที่รู้ หนึ่งในนั้นคือมารดาของเธอ และอีกคนก็คือพี่เลี้ยงผู้ซึ่งดูแลเธอเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ เนื่องเพราะบิดาแท้ๆ ของเธอ เทพจันทรา ไม่เคยอยู่ที่ตรงนั้นดังเช่นท่านพี่ซู
สำนึกการฆ่าฟันในบรรยากาศสาบสูญไปอย่างรวดเร็วราวหมอกควันในวันลมแรง ชิวเยวี่ยเหินร่อนลงจากคืนประดับดาวมายืนอยู่ต่อหน้าซูหยางบนหลังคา เกือบจะสะดุดล้มเนื่องจากการลง
เธอมองดูเขาด้วยดวงตาสีเงินสวย ริมฝีปากสั่นสะท้าน ดูราวกับว่าเธอกำลังกลั้นน้ำตาไว้
“ท-ท-ท่านจริงแล้วเป็น..ท-ท่านพี่ซูรึ” เธอถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบาสั่นสะท้านซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
สุดท้ายแล้วเธอได้เป็นพยานยืนยันด้วยตัวเธอเองถึงร่างอันไร้วิญญาณของซูหยางในช่วงพิธีฝังศพตั้งแต่เมื่อ 2000 ปีก่อนและเธอเชื่อว่าเขาได้จากไปนับแต่ตอนนั้น
เหตุใดเขายังคงมีชีวิตอยู่ จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา และเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่ในโลกแห่งนี้
ซูหยางแสดงรอยยิ้มรักใคร่ต่อเธอที่กำลังเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆราวกับเด็กหัดเดินพยายามเข้าไปหาพ่อแม่ของเธอ
เขาอ้าแขนกว้างและพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “แม้ว่าข้ามิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือสี่แดนศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่ข้าจากมา แต่จากความปวดร้าวฝังลึกในตาเจ้าเห็นได้ชัดว่า...มานี่สิ ชิวเยวี่ย...บอกข้า เหมือนเช่นทุกครั้งที่เจ้าประสบปัญหา
“ท่านพี่..กระซิก..ท่านพี่ซู” ชิวเยวี่ยกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเขาและเริ่มปล่อยให้น้ำตาไหลหลั่ง
แม้ว่าอายุของเธอจะนานกว่าสองพันปี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูหยาง เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอยังคงเป็นเด็กเล็กๆที่ยังแทบไม่รู้วิธีพูด
“ท่านยังคงมีชีวิตอยู่...ท่านมีชีวิตอยู่จริงๆ..”
เมื่อเธอรับรู้ถึงวิธีการที่ซูหยางสางผมและตบหัวเธอ ความสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในใจเกี่ยวกับตัวตนของเขาพลันสูญสิ้นไปในทันที ด้วยความรู้สึกในรสสัมผัสของเขานั้นเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
สำหรับซูหยางแล้ว มีเพียงความสุขในใจเท่านั้นในขณะนี้ แม้ว่าเขาจะโอบกอดสาวงามไร้ผู้เปรียบที่สามารถทำลายทวีปได้หนึ่งถึงสองแห่งได้อย่างง่ายดายเพียงแค่รูปโฉมของเธอ แต่ก็ไม่มีแม้สักกระผีกริ้นของความคิดชั่วภายในใจเขา มีแต่เพียงความรักอันบริสุทธิ์อ่อนโยนเท่านั้น
“เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ดูเจ้าสิ ร้องไห้ในอ้อมแขนผู้มีอายุ 16 ปีราวกับเด็กขี้แย..” ซูหยางหัวเราะหึกับการกระทำของเธอ แต่เธอไม่สนใจและยังคงเกาะชุดเขาไว้แน่น
-
-
-
หลังจากใช้เวลาสองสามอึดใจร้องไห้จนหมดแล้ว ชิวเยวี่ยมองดูซูหยางและกล่าวด้วยท่าทางอันเคร่งเครียดว่า “ท่านไปอยู่ไหนมาในช่วงสองพันปีที่ผ่านมา และท่านมาทำอะไรที่โลกแห่งนี้ กระทั่งมีรูปร่างหน้าตาของเด็กมนุษย์ ท่านคิดบ้างหรือไม่ว่าเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วทั้งสี่แดนศักดิ์สิทธิ์หลังจากท่านตาย”
ซูหยางยิ้มอย่างขมขื่นและอธิบายสถานการณ์ของตัวเขาให้กับเธอ เขาเริ่มเล่าตั้งแต่เมื่อเขาพบกับชายชราลึกลับผู้ที่เสนอยื่นมือเข้ามาช่วยให้หนีจากผาบาปนิรันดร์จนกระทั่งเขาตกมาอยู่ในโลกนี้ทันทีหลังจากนั้น
“เจ้าคงเข้าใจ...แม้ว่าเจ้าผ่านเวลามาสองพันปี แต่เวลาของข้าผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น”
“ไม่น่าเชื่อ…” ชิวเยวี่ยพึมพัม รู้สึกมึนงงกับเรื่องของเขา
“ทั้งหมดมีแค่นี้ เอาล่ะตอนนี้บอกข้าเรื่องของเจ้าจนจบ เกิดอะไรขึ้นกับแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ทำไมเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ที่นี่คือที่ไหน อีกทั้งเรื่องที่เจ้าอ้างว่าตำหนักเทพจันทราต้องการจับเจ้า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เจ้าเป็นลูกสาวของเยวี่ยไฮ เทพีจันทราแห่งตำหนักเทพจันทราผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่ร่วมกับเทพจันทรา”
เมื่อซูหยางอ้างถึงเยวี่ยไฮ มารดาของเธอ ชิวเยวี่ยพลันมีท่าทางมืดหม่น ใบหน้าซีดเผือด
“มารดา...เธอมิได้อยู่ในโลกแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว” เธอพลันกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“...จ-เจ-เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเธอ ดวงตาซูหยางเบิกกว้างด้วยใจที่ไม่อยากจะเชื่อ สายตาของเขามีแต่ความตกใจ คลื่นความปวดรวดร้าวลึกล้ำกระแทกจิตใจของเขา เกือบทำให้เขาทรุดตัวลงคุกเข่า
เขาเริ่มโซเซถอยไปด้านหลัง ทันใดนั้นเอง เลือดทั้งหมดจากแรงกดดันที่กล้ำกลืนเอาไว้ภายในร่างล้วนกระอักออกมาจนหมดในทีเดียวจนหลังคาย้อมไปด้วยเลือดยิ่งกว่าเดิม
“ท่านพี่ซู” ชิวเยวี่ยแสดงท่าทางขวัญหายเมื่อเห็นซูหยางพลันล้มพับลงบนหลังคา ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างฉับพลัน เธอพุ่งตัวไปข้างหน้าเข้าหาร่างที่ล้มลงของซูหยาง