บทที่ 53 คุณไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่ได้รักคุณ
บทที่ 53 คุณไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่ได้รักคุณ
ฉางฉิงดูมือถืออยู่พักหนึ่ง แล้วพิมพ์ตอบว่า ‘ประโยคนั้นอีกแล้วนะ ตอนที่แต่งงานกันก็ตกลงแล้วนี่ว่าจะไม่ก้าวก่ายกัน การที่ฉันรับปากคุณว่าจะไม่ก่อเรื่องอื้อฉาวมันก็มากพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ฉันจะกลับหรือไม่กลับ ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานให้คุณรู้ อีกอย่าง คุณต้องเข้าใจนะว่าระหว่างเรามันไม่มีคำว่าความรัก คุณไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่ได้รักคุณ ต่อไปคุณกรุณาอย่ามาจู้จี้จุกจิกกับฉันเหมือนกับแม่อีก แล้วก็ฉันต้องไปทำงานที่อื่น สองสามวันนี้จะไม่กลับบ้านค่ะ’
หลังจากส่งข้อความเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความขุ่นเคืองที่เก็บกดอยู่ในใจฉางฉิงก็หายไปเยอะ
เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจตาซ่งฉูฉู่คนนี้อีกต่อไป และก็จะไม่ให้เขาจูบเธออีกแล้วด้วย
เห็นเธอเป็นอะไร คนอ่อนแอก็มีวันที่แผลงฤทธิ์ขึ้นมาได้เหมือนกันนะ
ซ่งฉู่อี๋เพิ่งขับรถมาถึงลานจอดรถของโรงพยาบาล พอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความ สีหน้าเขาก็เหมือนกับท้องฟ้ามืดครึ้มที่ด้านนอก เมฆดำทะมึนแผ่ปกคลุมหนาทึบ
เขาอยากจะทุบมือถือทิ้ง
เดิมทีก็เป็นการแต่งงานกันแค่ในนามอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องดีกับเธอ แต่พอเห็นนิสัยที่เหมือนเด็กของเธอแล้ว บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนว่าได้น้องสาวมาเพิ่ม
แต่ดูท่าตอนนี้คงไม่มีความจำเป็นแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายเลือดเย็นชัดๆ
ซ่งฉู่อี๋ลงจากรถ เดินไปที่ห้องทำงาน แล้วก็โทรหาจ่านหมิงเหวย “นายช่วยเช็คตารางงานช่วงนี้ของเยี่ยนฉางฉิง พิธีกรในสถานีโทรทัศน์พวกนายให้ฉันหน่อย”
“นายจะเช็คตารางงานเธอไปทำไม” จ่านหมิงเหวยใช้สองมือประคองชาร้อนและดื่มอย่างสบายอารมณ์ แล้วยิ้ม “หรือว่าคุณหมอซ่งจะถูกใจดาวประจำสถานีโทรทัศน์เราเข้าซะแล้ว”
“เธอจดทะเบียนแต่งงานกับฉันแล้ว”
“ว่าไงนะ” จ่านหมิงเหวยเกือบตกจากเก้าอี้ ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าจะนั่งได้มั่นคง “วันนี้ไม่ใช่วันโกหกนะ ไม่ต้องมาล้อฉันเล่นเลย”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” ซ่งฉู่อี๋พูดเสียงหนักแน่น
“คงไม่ใช่เพราะ...” จ่านหมิงเหวยเหมือนเดาอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดอึกอัก “ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้มั้ง”
“ยังไงก็แต่งไปแล้ว” ซ่งฉู่อี๋ถอนหายใจ “ตอนแรกฉันควรจะเลือกคนนอกวงการ แต่มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“ได้ เดี๋ยวฉันช่วยเช็คให้” จ่านหมิงเหวยลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างหนัก “พิธีกรในสถานีพวกนั้นฉันไม่ค่อยได้พูดคุยด้วยสักเท่าไร แต่ฉันเคยได้ยินเลขาฯพูดว่าผู้อำนวยการเฝิงตาแก่นั่นคิดจะแอ้มเมียนายอยู่ตลอด แล้วก็เมื่อวานผู้อำนวยการเฝิงยังตั้งใจวิ่งแจ้นมาหาฉันโดยเฉพาะเพื่อบอกว่าฟู่อวี้แห่งบริษัทซ่างเหว่ยโทรมาหาเขาด้วยตัวเองเมื่อสองวันก่อน บอกว่าละครที่ลงทุนร่วมกันครั้งนี้จะต้องให้เมียนายรับบทนางรอง ถ้าไม่อย่างนั้นจะถอนเงินลงทุน เฮ้อ นายว่าเยี่ยนฉางฉิงไปสนิทสนมกับฟู่อวี้ตั้งแต่เมื่อไรกันน่ะ”
ซ่งฉู่อี๋กดหว่างคิ้วที่สั่นกระตุก
จ่านหมิงเหวยตบขาดังฉาด “จริงสิ นายต้องไม่รู้แน่ว่าใครรับบทนางเอก คนคนนั้นคือแฟนเก่านาย กว่านอิงน่ะ ให้ตายเถอะ เจ้าฟู่อวี้นี่เก่งจริงๆ กวาดเรียบทั้งเมียนาย แฟนเก่านาย...”
“โครม” ซ่งฉู่อี๋วางหูโทรศัพท์ลงอย่างแรงทันที
แววตาดูลุ่มลึกยากจะคาดเดาได้
_ _ _ _ _ _ _ _
สามวันแล้วที่ฉางฉิงไม่ได้กลับไปที่เพนท์เฮาส์กวานหู ซ่งฉู่อี๋ก็ไม่ได้โทรหาเธอด้วย
บางครั้งเธอทำงานเสร็จแล้วหยิบมือถือมาดู พอไม่เห็นเขาโทรมาหาสักสาย เธอก็รู้สึกโมโห ผู้ชายคนนี้นี่นะ บอกไม่ให้ติดต่อ ก็ไม่ติดต่อจริงๆ ด้วย
ก่อนหน้านี้เธอคิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ ด้วย
หร่วนยั่งพูดถูก พฤติกรรมลามกกับความรู้สึกภายในจิตใจของพวกผู้ชายไม่มีความเกี่ยวข้องกัน นอกจากนี้ไม่แน่ว่าหลังจากที่เขากับกว่านอิงได้เจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกดีๆ อาจกลับมาก็ได้
ในวันพฤหัสบดี กลุ่มบริษัทซ่างเหว่ยจัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้านพักบนภูเขาแห่งหนึ่ง
โดยหลักแล้วงานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองที่ละครเรื่อง ‘ตกหลุมรักเธอก่อนรุ่งเช้ามาทักทาย’ กำลังจะเปิดกล้อง ในฐานะที่รับบทนางรองของเรื่องนี้ ฉางฉิงก็ตอบรับคำเชิญไปร่วมงานด้วย
เวลาหกโมงเย็น ทางบริษัทซ่างเหว่ยส่งรถลีมูซีนมารอรับที่ด้านหน้าสถานีโทรทัศน์ด้วยตัวเอง
นอกจากฉางฉิงแล้ว ก็ยังมีฉืออี่หนิงที่รับบทนางรองเบอร์สามและพิธีกรรับเชิญอีกสองสามคนไปร่วมงานด้วย
ภายในรถ ฉืออี่หนิงมองตาขวางใส่ฉางฉิงด้วยความเคียดแค้น
บรรยากาศเย็นเยียบสุดขั้ว พิธีกรคนอื่นต่างก็กังวลตึงเครียด กลัวว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันอีก
แต่โชคดีที่ในที่สุดก็มาถึงบ้านพักโดยสวัสดิภาพ
ฉางฉิงเพิ่งจะลงจากรถ เจียงตั่วเหยาก็เดินมาในชุดเสื้อกันลมสีกากีที่เด่นสะดุดตาพร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีแดง ผมยาวสลวยสีน้ำตาลปลิวสยายภายใต้แสงไฟมัวสลัว ส่วนขาช่วงล่างที่ขาวเนียนดุจหิมะก็ดูสวยดึงดูดใจและสง่างาม
“เทพธิดาของฉัน ลมอะไรพัดท่านจากพรมแดงเมืองคานส์มาที่นี่กันได้เนี่ย” ฉางฉิงรู้สึกแปลกใจ
............................................