ราชันเร้นลับ 16 : สุนัขไล่จับหนู
ราชันเร้นลับ 16 : สุนัขไล่จับหนู
ฟู่ว! ในที่สุดก็ผ่านด่านผู้สื่อวิญญาณมาได้!
ไคลน์ถอนหายใจยาว หลังจากดื่มดำไอเย็นและความเงียบสงบบนถนน มันหันกลับเข้าไปในหอพักของตน
เมื่อเดินถึงหน้าหอพัก กุญแจถูกหยิบออกมาไขอย่างนุ่มนวล ประตูถูกผลักเข้าด้านใน ไม้เสียดสีจนเกิดเสียงดังแอ๊ด แสงจันทร์สีแดงฉานส่องลอดผ่านทางช่องว่างประตู
ไคลน์เดินขึ้นบันไดวนอันเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน บรรยากาศรอบตัวยังคงเย็นฉ่ำ
ไคลน์รู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อยเมื่อได้ใช้ชีวิตบนโลกที่ปลอดผู้คน
ฝีเท้าถูกเร่งก้าวขึ้นบันได
หลังจากไคลน์เดินมาถึงหน้าห้องตัวเอง มันไขกุญแจเปิดประตูและบิดเข้าไปอย่างเหม่อลอย
ทันใดนั้นพลันต้องชะงัก
สาเหตุเพราะ มีบุคคลหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้อ่านหนังสือ ผมยาวสีดำแดง นัยน์ตาสีน้ำตาลสว่าง ใบหน้าเรียบร้อยและดูดี
เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากเมลิสซ่า·โมเร็ตติ
“ไคลน์ นายไปไหนมา?”
เมลิสซ่าเอ่ยปากถามพลางขมวดคิ้ว
ไม่รอให้ไคลน์ตอบ เธอเสริมต่อ
“เมื่อครู่ ฉันตื่นมาเข้าห้องน้ำ แต่เห็นว่านายไม่อยู่ในบ้าน”
สีหน้าของเธอ ราวกับต้องการให้ไคลน์สาธยายทุกสิ่งอย่างละเอียดโดยไม่ขาดตกบกพร่อง เมลิสซ่าหวังทราบให้ได้ว่า ในยามวิกาลเช่นนี้ ไคลน์ออกไปทำอะไรกันแน่
ด้วยความเป็นนักโกหกพ่อแม่ตัวยง สมองไคลน์ประมวลผลอย่างชำนิชำนาญก่อนจะมอบคำตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันบังเอิญตื่นกลางดึกแล้วนอนไม่หลับ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฉันตระหนักได้ว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้สูญเปล่า จึงออกไปวิ่งรอบถนนเพื่อฝึกฝนร่างกาย ไม่เชื่อก็ดูเหงื่อสิ”
เมื่อกล่าวจบ ไคลน์ถอดแจ็คเก็ตพร้อมกับเอี้ยวหลังอันเปียกชุ่มอวดเมลิสซ่า
เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินเข้ามาสำรวจในระยะใกล้ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ด้วยความสัตย์จริงนะไคลน์ นายไม่ต้องตื่นเต้นกับการสอบสัมภาษณ์ขนาดนั้นก็ได้ ต่อให้ไม่ได้งานที่มหาวิทยาลัยทิงเก็น แต่ฉันมันใจว่า… เอ่อ… นายต้องหางานอื่นที่ดีทำได้แน่”
ฉันไม่ได้คิดเรื่องสอบสัมภาษณ์เลยสักนิด…
ไคลน์ยิ้มแห้งก่อนขานรับ
“เข้าใจแล้ว”
มันไม่กล่าวถึง ‘ข้อเสนอ’ จากดันน์
ไคลน์ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า มันจะตอบรับคำเชิญของดันน์·สมิทหรือไม่
หลังจากจ้องมองไคลน์ครู่หนึ่ง เมลิสซ่ารีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องของเธอ จากนั้นก็เดินกลับออกมาโดยถือวัตถุที่มีรูปร่างคล้าย ‘เต่า’ ไว้ในมือ
วัตถุดังกล่าวถูกประกอบจากเศษเหล็กหลายชิ้น ทั้งเฟือง เหล็กขึ้นสนิม สปริงดีด และสปริงขด
หลังจากหมุนสปริงดีดหลายรอบ เมลิสซ่าวางวัตถุดังกล่าวลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ
กึก กึก กึก กึก!
แกร่ก! แกร่ก! แกร่ก!
‘เต่า’ ตัวดังกล่าวเคลื่อนที่พลางกระโดดเป็นจังหวะตามกลไกที่กำหนด ใครก็ตามที่ได้เห็นมีย่อมต้องเหลียวมองอย่างสนอกสนใจ
“ทุกครั้งที่หดหู่หรือเครียด ฉันจะนำมันออกมาเล่นเพื่อผ่อนคลาย นายก็ลองเล่นดูบ้างสิ ฉันมั่นใจว่ามันได้ผล!”
เมลิสซ่าพยายามโน้มน้าวด้วยแววตาเปล่งประกาย ไม่มีพี่ชายใดในโลกปฏิเสธความหวังดีจากก้นบึ้งหัวใจน้องสาวลง
ไคลน์เดินเข้าไปหา ‘เต่า’ และเฝ้ามองจนกระทั่งกลไกหยุดลง หลังจากนั้น มันอมยิ้มและหันไปกล่าวกับเมลิสซ่า
“ความเรียบง่ายและเป็นจังหวะ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้ดี”
ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวสิ่งใดต่อ ไคลน์ชี้นิ้วไปที่ ‘เต่า’ พร้อมกับถาม
“เธอทำเองหรือ? ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ประกอบจากเศษเหล็กที่ไม่ใช้แล้วในคาบเรียน รวมถึงเศษเหล็กที่เก็บได้บนถนน เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อสองวันก่อน”
เมลิสซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์เฉกเช่นทุกครั้ง ทว่า มุมปากของเธอกำลังอมยิ้มมากกว่าปรกติ
“เก่งจังน้า…”
ไคลน์ยกย่องจากใจ
ในฐานะเด็กชายที่ปราศจากพรสวรรค์ด้านกลไก ในวัยเด็กของมัน ลำพังรถของเล่นสี่ล้อยังประกอบได้ยากลำบาก
เมลิสซ่ากล่าวต่อด้วยคางที่เชิดขึ้น
“ก็ไม่ได้สุดยอดขนาดนั้น”
“ถ่อมตัวเกินไปไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ…”
ไคลน์อมยิ้ม มันกล่าวต่อ
“นี่คือเต่าใช่ไหม?”
ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องพลันอึมครึมราวกับสุสาน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมลิสซ่าตอบกลับด้วยเสียงอันเบาบางและเย็นยะเยียบ
“หุ่นมนุษย์”
หุ่นมนุษย์…
ไคลน์ยื้มเจื่อน มันพยายามเฉไฉ
“ปัญหาคือวัสดุที่นำมาประกอบสินะ สรีระของหุ่นจึงค่อนข้างจำกัด”
ถัดมา ไคลน์ไม่ปล่อยให้เธอสานต่อบทสนทนาเดิม มันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่ ทำไมเธอถึงเข้าห้องน้ำตอนดึก? ห้องเราก็มีอ่างล้างมือไม่ใช่หรือ? ทุกทีเห็นเธอตื่นเช้าตรงเวลาตลอด”
เมลิสซ่าชะงักไปเล็กน้อย
ถัดมาอีกไม่กี่วินาที ขณะที่เธออ้าปากอธิบาย…
โคร่ก!
เสียงประหลาดดังจากบริเวณกระเพาะอาหารของสาวน้อย
“ฉ… ฉันจะไปนอนต่อเดี๋ยวนี้แหละ!”
โครม! เธอรีบคว้าหุ่นมนุษย์ที่รูปร่างคล้ายเต่า ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องและปิดประตูเสียงดังโครม
อาหารมื่อเย็นคงอร่อยเกินไป เมลิสซ่าจึงทานมากกว่าปรกติ และเมื่อกระเพาะอาหารไม่คุ้ยเคยกับปริมาณ จึงเกิดปัญหาในการย่อยอาหารขึ้น…
ไคลน์ส่ายศีรษะพลางอมยิ้ม ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือและครุ่นคิดถึงหลายสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะถ้อยคำเชื้อเชิญของดันน์·สมิทดังก้องในหัว แสงจันทร์สีแดงฉานด้านนอกได้ส่องเข้ามาในห้องอีกครั้งเมื่อเมฆบนท้องฟ้าเลือนลับ
การเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนของเหยี่ยวราตรีย่อมมาพร้อมปัญหาใหญ่
ปัจจุบัน ไคลน์มีหลายตัวตน ทั้งผู้เดินทางข้ามโลก เดอะฟูลแห่งชุมนุมไพ่ทาโร่ต์ และยังมีความลับอื่นอีกมาก การเข้าร่วมองค์กรแห่งโบสถ์เทพธิดารัตติกาลที่เชี่ยวชาญการสืบคดีผู้วิเศษ จึงนับเป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงสำหรับไคลน์
หากเข้าทำงานในเหยี่ยวราตรี เป้าหมายของมันคือการเป็นผู้วิเศษ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยปกปิดความลับของชุมนุมไพ่ทาโร่ต์
แถมการเป็นสมาชิกเหยี่ยวราตรีเต็มตัวยังถูกจำกัดสิทธิ์หลายด้าน เช่นการต้องขออนุญาตก่อนเดินทางออกจากทิงเก็นทุกครั้ง มันจะขาดอิสระและมิอาจเคลื่อนไหวได้ตามใจ และนั่นจะทำให้พลาดโอกาสสำคัญมากมาย
เหยี่ยวราตรีคือองค์กรลับที่ขึ้นตรงต่อโบสถ์ หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อมีคำสั่งจากโบสถ์ มันมิอาจขัดขืนหรือปฏิเสธได้
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้วิเศษยังมีโอกาสคลุ้มคลั่ง
…
เมื่อไล่เรียงข้อเสียครบถ้วน ไคลน์ลองพิจารณาถึงข้อดีดูบ้าง
จากประสบการณ์ที่ได้รับในพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตา ไคลน์เริ่มมั่นใจว่า ตนคือ 20% ผู้โชคร้ายจากภัยอันตรายที่ดันน์·สมิทเอ่ยถึง ตัวมันมีโอกาสสูงมาก ที่จะถูกคำสาปหรือสิ่งเร้นลับเล่นในอนาคต
การได้เข้าร่วมเหยี่ยวราตรีและกลายเป็นผู้วิเศษจะช่วยระงับเหตุการณ์ดังกล่าว
ตัวมันไม่สามารถกลายเป็นผู้วิเศษได้จากการชุมนุมเพียงอย่างเดียว ต่อให้มีสูตรสร้างโอสถจากจัสติสและแฮงแมน แต่เราจะหาวัสดุสำหรับปรุงยามาจากไหน?
ยิ่งไปกว่านั้น หากใช้ชีวิตอย่างราบเรียบไปวันๆ โดยไม่ได้เผชิญเหตุการณ์เร้นลับ ตัวมันจะสูญเสีย ‘ความน่าเกรงขาม’ และไม่มีข้อมูลใดไปแลกเปลี่ยนกับจัสติสและแฮงแมน
หากเป็นเช่นนั้นต่อไป จัสติสกับแฮงแมงจะเริ่มเคลือบแคลงในตัวมัน และคงไม่คิดสนทนาเรื่องสำคัญต่อหน้าไคลน์อีก
ด้วยเหตุนี้ ตัวไคลน์จำเป็นต้องมีเรื่องราวตื่นเต้นเร้นลับไปแลกเปลี่ยน จึงจะเหมาะสมตำแหน่งหัวหน้าการประชุมอย่างมิสเตอร์ฟูล
การแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับทั้งสองก็ไม่ใช่เรื่องฉลาด หากมันต้องมอบที่อยู่ตัวเอง ตัวตนจะถูกเปิดเผยในเวลาไม่นาน และการสนทนาแบบ ‘ออนไลน์’ จะกลายเป็น ‘ออฟไลน์’
นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาที่มันไม่ต้องการให้เกิด
แต่การเข้าร่วมเหยี่ยวราตรีจะเปิดโอกาสให้ไคลน์ได้เผชิญเรื่องราวเหนือธรรมชาติมากขึ้น มีโอกาสได้พบกับมุมลึกของโบสถ์หรือเหล่าชนชั้นสูง สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือต่อจัสติสและแฮงแมนในอนาคต
หรือหากโชคดี มันอาจได้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการต่อรองแลกเปลี่ยนกับสองคนนั้น เมื่อยิ่งมั่งคั่งร่ำรวย ไคลน์ก็จะยิ่งเข้าถึงสังคมชนชั้นสูงและขุนนางได้ง่ายขึ้น
แน่นอน นอกจากเหยี่ยวราตรีแล้ว ทางเลือกที่คล้ายกันคือเข้าร่วมกับองค์กรลับอย่าง ‘สมาคมแปรจิต’ ที่ดันน์และดาลี่ย์เอ่ยถึง
แต่ข้อเสียที่คล้ายคลึงกันคือขาดอิสระ และต้องคอยหวาดระแวงหน่วยลับของโบสถ์ไปตลอดชีวิต ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี
แต่ปัญหาสำคัญที่สุดคือ ไคลน์ไม่รู้ว่าจะหาพวกคนของสมาคมแปรจิตได้ที่ไหนบ้าง หรือจะเข้าร่วมองค์กรได้ด้วยวิธีใด
หรือต่อให้หาวิธีเข้าร่วมได้จากแฮงแมน แต่ความสัมพันธ์เพียงผิวเผินไม่ได้มั่นคงขนาดจะนำชีวิตเข้าไปเสี่ยงได้
ดูเหมือนว่า การเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนของเหยี่ยวราตรีจะไม่เลวร้ายนัก ทางเดินเส้นนี้มอบทั้งความปลอดภัยและอนาคต
การเร้นกายในเงามืดทางเลือกที่ฉลาดของผู้อ่อนแอ บางที เหยี่ยวราตรีคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
และในอนาคต หากมันไต่เต้าตำแหน่งขึ้นไปเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโบสถ์ คงไม่มีใครจิตนาการออกแน่ ว่าตนคือพวกนอกรีตที่มิได้ศรัทธาเทพธิดารัตติกาลแม้แต่น้อย …แถมยังเป็นหัวหน้าชุมนุมออนไลน์ลึกลับที่เจตนายังไม่แน่ชัด
…
แสงแดดยามเช้าสาดส่อง จันทร์สีเลือดเลือนหายไปพร้อมแสงสว่างแรกของโลก
ขณะเฝ้ามองแสงส้มอมทองสว่างขึ้นเหนือขอบฟ้า ในที่สุด ไคลน์ก็ตัดสินใจได้
มันจะไปหาดันน์·สมิทเพื่อเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พลเรือนของเหยี่ยวราตรี
ปัจจุบัน ถึงเวลาเมลิสซ่าลุกขึ้นจากเตียงอีกรอบ ขณะเธอผลักประตูห้องนอนตัวเองออกมา สีหน้าเมลิสซ่าพลันตะลึงเมื่อเห็นพี่ชายกำลังยืดเส้นยืดสายด้วยท่าสุดอุบาทว์
“นายยังไม่นอนอีก?”
“ต้องคิดอะไรหลายอย่าง”
ไคลน์อมยิ้มอย่างผ่อนคลาย
เมลิสซ่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะชี้แนะ
“ทุกครั้งที่เผชิญปัญหา ฉันจะไล่เรียงข้อดีและข้อเสียของเหตุการณ์เพื่อชั่งน้ำหนัก การทำแบบนั้นจะช่วยให้นายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
“เป็นเทคนิคที่ดี ฉันก็ทำเหมือนกัน”
ไคลน์ยิ้ม
สีหน้าเมลิสซ่าเริ่มผ่อนคลายลง เธอไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ทำเพียงหยิบอุปกรณ์อาบน้ำและเปิดประตูเดินออกไป
ไคลน์ไม่รีบร้อน มันลิ้มรสอาหารมื้อเช้าและส่งน้องสาวออกไปเรียน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหลังจากผ่านค่ำคืนอันเหน็ดเหนื่อย
ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน ไคลน์ทราบดีว่าผับส่วนใหญ่ปิดบริการในช่วงเช้า
…
ณ บ่ายสองของวันเดียวกัน ไคลน์ลืมตาตื่นพร้อมกับจัดแจงเครื่องแต่งกาย หมวกผ้าไหมทรงสูงถูกนำออกมาขัดทำความสะอาด รวมถึงผ้าเช็ดหน้าประจำตัว ฝุ่นที่เคยเกาะถูกขัดถูจนกลับมาเอี่ยมอ่องอีกครั้ง
จากนั้นเป็นการหยิบสูทตัวเก่งมาสวม
ไคลน์แต่งตัวเรียบร้อยพิถีพิถันราวกับจะออกไปสอบสัมภาษณ์
ถนนเบซิคอยู่ค่อนข้างไกล ไคลน์กังวลว่าหากเดินไป มันจะถึงไม่ทัน ‘เวลาทำงาน’ ของเหยี่ยวราตรี จึงเลือกโดยสารรถม้าสาธารณะบนถนนกางเขนเหล็กแทน
ในอาณาจักรโลเอ็น รถม้าโดยสารจะมีทั้งหมดสองชนิด—แบบใช้รางและไม่ใช้ราง
แบบแรกจะใช้ม้าลากสองตัว ที่นั่งภายในห้องโดยสารมีประมาณยี่สิบ สัมภาระต้องวางตัก เส้นทางโดยสารระบุไว้อย่างหยาบ ไม่มีสถานีจอดเจาะจงเป็นพิเศษ ปลายทางเลือกลงได้แบบยืดหยุน และจะไม่จอดรับคนเพิ่มหากรถเต็ม
ส่วนแบบหลังเป็นกิจการรถม้าของบริษัทรถราง
ตัวรางจะถูกติดตั้งไว้บนถนนสายหลักรอบเมือง ม้าจะทำหน้าที่ลากห้องโดยสารสองชั้นที่บรรจุคนมากกว่าห้าสิบ รถม้าประเภทนี้จะประหยัดทรัพยากรและค่าดูแลม้ากว่าแบบแรกมาก ส่งผลให้ค่าบริการถูกลง
แต่ปัญหาคือ สถานีตายตัวและเข้าไม่ถึงบางจุดของเมืองที่ซับซ้อน
หลังจากยืนรอกว่าสิบนาที เสียงล้อกระทบรางเหล็กดังแว่วข้างหูไคลน์ รถม้าสองชั้นได้เคลื่อนตัวมาจอดที่สถานีกางเขนเหล็ก
“ไปถนนเบซิค”
ไคลน์กล่าวกับคนขับ
“คุณต้องไปลงที่ถนนแชมเปญ จากนั้นเดินเท้าต่ออีกสิบนาทีก็จะถึงถนนเบซิค”
คนขับรถม้าหันมาอธิบายเส้นทางที่ไคลน์จำเป็นต้องทราบ
“ไปถนนแชมเปญก็ได้”
มันพยักหน้า
“ไกลกว่าสี่กิโลเมตร… สี่เพนนี่”
เด็กหนุ่มหน้าตาดีผิวพรรณสะอาดสะอ้านส่งเสียงพร้อมกับแบมือหาไคลน์จากด้านข้าง
มันคือคนเก็บเงิน
“ตกลง”
ไคลน์หยิบเหรียญทองแดงสี่เหรียญใส่มือและยื่นให้
เมื่อเดินขึ้นไปบนห้องโดยสาร ไคลน์พบว่ามียังมีผู้คนไม่มาก แม้จะเป็นชั้นแรกก็ตาม
“เหลือติดตัวแค่สามเพนนี สงสัยขากลับต้องเดิน…”
หลังจากนั่งลง ไคลน์ถอดหมวกและวางไว้บนตัก
บรรยากาศรอบข้างตัวมัน ชายหญิงแต่งกายภูมิฐานนั่งประปรายกระจายตัวทั่วห้องโดยสาร ทุกคนล้วนสวมชุดทำงานสะอาดสะอ้าน ทั้งที่คนเหล่านี้อาจมีชุดเก่งสำหรับทำงานเพียงชุดเดียว
แต่ละคนกางหนังสือพิมพ์อ่านด้วยท่าทีผ่อนคล้ายไม่สนโลก ไม่มีใครคุยกับใคร บรรยากาศภายในห้องโดยสารเป็นไปอย่างเงียบงัน
ไคลน์หลับตาลงเพื่อชดเชยการนอนน้อยของตน มันไม่แยแสสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอีกแล้ว
ผ่านสถานีแล้วสถานีเล่า จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนว่า ‘ถนนแชมเปญ’
เมื่อลงจากรถม้า ไคลน์เดินเท้าต่ออีกราวสิบนาทีจนมาถึงถนนเบซิค มันกวาดสายตามองจนพบผับที่หน้าร้านแขวนป้ายสีเหลือง กึ่งกลางป้ายมีสัญลักษณ์สุนัขล่าเนื้อ
ไคลน์ออกแรงผลักจนประตูบานใหญ่ถูกดันเข้าข้างใน เสียงเอะอะโวยวายและไอร้อนภายในร้านพลันพุ่งสวนออกมา
แม้เป็นยามบ่าย แต่ลูกค้าในผับกลับมากมายจนน่าทึ่ง บ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราว บ้างกำลังรอให้ใครสักคนมาจ้างไปทำงาน ส่วนที่เหลือก็เอาแต่ดื่มเหล้า มอมเมาตัวเองให้ร่างกายเกิดอาการล่องลอย
แสงไฟค่อนข้างหรี่ บรรยากาศรอบผับนับว่าประหลาดหากเทียบกับผับที่ไคลน์รู้จัก
กรงขนาดมหึมาสองกรงวางติดกันใจกลางห้อง สามส่วนสิบของกรงจมลึกลงไปในดิน
ผู้คนนั่งเรียงรายบนเก้าอี้รอบร้าน บ้างยกแก้วไวน์ที่ทำจากไม้ขึ้นจิบเป็นระยะ บ้างสนทนาเสียงดังโวยวาย บ้างก็เอาแต่หัวเราะอย่างไร้แก่นสาร และบ้างเอาแต่สถบสาปแช่งไม่หยุดปาก
ไคลน์หรี่ตาชำเลือง มันเหลือบเห็นสุนัขสองตัวกำลังถูกล่ามแยกกันภายในกรงใหญ่ทั้งสอง ตัวหนึ่งมีขนสีขาวสลับดำ คล้ายคลึงกับไซบีเรียนฮัสกี้ในโลกเก่า ส่วนอีกตัวมีขนสีดำสนิทเงางาม บ่งบอกชัดเจนว่าถูกประคมประหงมดูแลอย่างดี แถมท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด
“พนันไหมเจ้าหนุ่ม? ดอร์กตัวนั้นชนะมาแปดเกมติดแล้วนะ!”
เสียงจากชายร่างเล็กที่สวมหมวกเบเล่ต์สีน้ำตาล มันเดินเข้ามาใกล้ไคลน์พลางชี้นิ้วไปยังสุนัขขนสีดำสนิท
พนัน? ไคลน์ผงะชั่วครู่
ก่อนจะได้สติกลับมาในอีกอึดใจ
“พนันสุนัขกัดกัน?”
มันยังจำได้ดี สมัยเรียนมหาวิทยาลัยโฮอี้ มีบ่อยครั้งที่ถูกเพื่อนขุนนางหรือชนชั้นสูงชักชวนให้ร่วมวงพนันการชกต่อยระหว่างคนตกงานกับพวกนักเลงที่มีขึ้นในผับ
นอกจากพนันชกต่อย พนันเกมไพ่ แล้วยังมีพนันสุนัขกัดกันอีกหรือ? อย่าบอกว่ามีพนันไก่ชนด้วย?
ชายร่างเล็กแสยะยิ้ม
“มิสเตอร์ พวกเรามิได้ไร้อารยะขนาดนั้น ไม่คิดจัดกิจกรรมน่ารังเกียจอย่างสุนัขกัดกันหรอกน่า…”
มันเอนตัวเข้ามาใกล้ไคลน์พร้อมกับกระซิบ
“เพราะกฏหมายได้เริ่มห้ามอย่างจริงจังเมื่อปีที่แล้ว…”
“แล้วพนันอะไรกัน?”
ไคลน์ขมวดคิ้ว
“นักล่า… ฝ่ายไหนจะล่าได้มากกว่ากัน”
ทันทีที่ชายร่างเล็กกล่าวจบประโยค เสียงเอะอะพลันดังฮือฮารอบผับ
เมื่อหันกลับไปมอง ชายร่างเหล็กรีบโบกมือให้ไคลน์
“รอบนี้ไม่ทันแล้ว คุณรอพนันรอบหน้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไคลน์รีบเขย่งปลายเท้าเพื่อมองข้ามไหล่คนข้างหน้า
ผ่านไปไม่นาน ชายกำยำสองคนได้ลากถุงขนาดใหญ่ออกมาคนละใบ แต่ละคนเดินแยกย้ายไปที่กรงทั้งสอง จากนั้น พวกมันทำการเปิดประตูข้างกรงและเทสิ่งที่อยู่ในถุงลงไป
เป็นสัตว์สีเทาที่น่ารังเกียจจำนวนมาก!
ไคลน์พยายามเพ่งมองเพื่อให้แน่ใจ หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดมันก็ได้คำตอบ…
สัตว์ดังกล่าวคือหนู… หนูนับร้อยตัว!
กรงเหล็กฝังลึกลงไปในพื้นดินโดยไม่มีช่องว่างบริเวณขอบ หนูที่ถูกปล่อยลงไปจึงเอาแต่วิ่งพล่านทั่วกรงโดยไม่สามารถปืนขึ้นข้างบน
หลังจากประตูกรงปิดกลับอีกครั้ง โซ่ที่ล่ามสุนัขทั้งสองตัวก็ถูกปลด
“โฮ่ง!”
สุนัขสีดำกระโจนไปด้านหน้าและสังหารหนูตัวแรกด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว
ทางด้านสุนัขขาวดำ มันประหม่าและแสดงท่าทีฉงนในตอนแรก แต่หลังจากจับจังหวะได้ มันเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มกระโจนไปมาอย่างอย่างสนุกสนาน
ผู้คนรอบข้างยกแก้วไวน์ดื่มด้วยสีหน้าพึงพอใจ บางคนแหกปากตะโกนอย่างไร้ยางอาย
“ฆ่ามัน! ต้องอย่างนั้น!”
“ดอร์ก! ดอร์ก!”
เชี่ย… หมาล่าหนูของจริง!
( ในภาษาจีน สำนวนหมาล่าหนูหมายถึงพวกที่ชอบก้าวก่ายงานคนอื่น )
มุมปากไคลน์พลันกระตุก
เป้าหมายของแข่งคือ ให้คนดูพนันว่าฝั่งใดจะล่าหนูได้มากกว่ากัน…
บางทีอาจมีพนันถึงจำนวนหนูที่จะถูกฆ่า
มันเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดถึงมีคนซื้อและขายหนูเป็น บนถนนกางเขนเหล็ก…
เปิดหูเปิดตาฉิบ…
ไคลน์ส่ายศีรษะ มันหัวเราะในใจขณะเดินแหวกกลุ่มผู้คนเพื่อไปให้ถึงหน้าบาร์
“หน้าใหม่หรือ?”
บาร์เทนเดอร์กล่าวหลังจากชำเลืองไคลน์ มือของมันกำลังจับผ้าขาวขัดทำความสะอาดแก้ว จากนั้นก็อธิบายต่อ
“เบียร์ไรย์แก้วละเพนนี เบียร์เอ็นมาร์ทแก้วละสองเพนนี เบียร์นันวิลล์สี่เพนนี หรือจะรับมอลต์หมักบริสุทธิ์ดี?”
“ผมมาหามิสเตอร์ไรท์”
ไคลน์กล่าวไม่อ้อมค้อม
บาร์เทนเดอร์หันไปด้านข้างพร้อมกับส่งสัญญาณมือและแหกปากตะโกน
“ลุง! มีคนมาหา”
“โอ้… ใครกัน…”
ลุงแก่ขี้เมากลิ่นตัวหึ่งเดินมาที่บาร์พร้อมกับส่งเสียงแหบพร่า
มันขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไคลน์
“เจ้าหนุ่ม ตามหาฉันหรือ?”
“มิสเตอร์ไรท์ ผมต้องการจ้างทหารรับจ้างเพื่อทำภารกิจ”
ไคลน์ตอบตามที่ดันน์·สมิทกำชับ
“หน่วยทหารรับจ้าง? นายยังอยู่ในยุคบุกเบิกรึไง? โลกเราไม่มีของแบบนั้นนานแล้ว”
บาร์เทนเดอร์กล่าวขัดไคลน์ด้วยรอยยิ้ม
ทว่า ไรท์ยังคงเงียบงัน
มันไม่กล่าวสิ่งใดสักพักจนกระทั่ง…
“ใครเป็นคนบอกนายเกี่ยวกับที่นี่?”
“ดันน์… ดันน์·สมิท”
ไคลน์ตอบกลับอย่างซื่อตรง
ไรท์ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
มันกล่าว
“งั้นหรอกหรือ อันที่จริง ก็ยังพอมีอยู่ละนะ ทหารรับจ้างที่นายต้องการ เพียงแต่พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่… นายสามารถพบได้ที่ชั้นสองบ้านเลขที่ 36 บนถนนซุตแลน”
“ขอบคุณครับ”
ไคลน์ขอบคุณอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินแหวกฝูงชนออกจากผับไป
ยังไม่ทันจะเดินพ้น บรรยากาศภายในร้านพลันเงียบสงัด เสียงใครบางคนพึมพำ
“ดอร์กแพ้ได้ยังไง…”
“จบเห่แล้ว…”
ไคลน์อมยิ้มพลางส่ายศีรษะ จากนั้นก็รีบเดินออกจากร้าน ถามทางคนแถวนั้น และเดินตรงไปยังถนนซุตแลนทันที
“30, 32, 34… ที่นี่สินะ”
มันเดินนับเลขที่บ้านก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง หลังจากก้าวพ้นบันได ไคลน์เหลือบเห็นป้ายหน้าห้องเขียนไว้ว่า
“บริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/