ตอนที่แล้วบทที่ 48 วิญญาณหิมะปรภพ (4)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 50 อสูรกายเบเฮโมท (2)

บทที่ 49 อสูรกายเบเฮโมท (1)


บทที่ 49 อสูรกายเบเฮโมท (1)

 

        ตอนที่ดาร์คสโนว์เริ่มดูดกลืนคำสาปมนตร์ดำ เย่อินจู๋ก็หลับตาทั้งคู่ลง ขณะนี้ ตรงมุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ พลังยุทธ์และพลังเวทมนตร์ที่รวบรวมก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายไป แต่เนื่องจากเมื่อครู่เตรียมจะปล่อยการโจมตีเต็มกำลังจึงยังคงเจอธาตุสะท้อนกลับในระดับหนึ่ง ก่อนกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง

 

“เจ้า...เจ้าทำอะไรกับดาร์คสโนว์” อีคลิปส์จ้องเขม็งไปยังเย่อินจู๋ที่อยู่ด้านข้างดาร์คสโนว์อย่างหวาดผวาเล็กน้อย

 

เย่อินจู๋ลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตาทั้งสองยังคงแจ่มใส ไม่เผยให้เห็นแววอ่อนล้าเพราะร่างกายได้รับธาตุสะท้อนกลับแต่อย่างใด ก่อนคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย บอกได้แค่ว่าเพลงของพวกเราส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าได้ และส่งผลกระทบต่อสัตว์เวทได้ในเวลาเดียวกัน ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณก็จะได้รับผลกระทบจากอารมณ์ในบทเพลงทั้งหมด ดูแลสัตว์เวทของเจ้าให้ดีเถอะ ดูเหมือนมันจะไม่มีความสุขที่ติดตามเจ้า ถ้าเจ้าทำให้มันอยากติดตามด้วยใจจริงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น มันก็ไม่มีทางกลายเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้าได้ตลอดไป”

 

อีคลิปส์มองเย่อินจู๋อย่างเหม่อลอย ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็ฉายแววเย็นยะเยือก ก่อนตะโกนเสียงดังว่า “ดาร์คสโนว์ โจมตีเขา” เธอเชื่อว่าหากไม่เป็นเพราะดาร์คสโนว์ทรยศหักหลัง ตอนนี้เอกมนตร์ดำของพวกเธอคงได้ชัยชนะไปแล้ว ขณะเดียวกันเธอก็ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าสัตว์เวทจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของตัวเอง

 

ดาร์คสโนว์ล่องลอยอยู่ตรงนั้น มองเย่อินจู๋ข้างกาย แล้วจึงมองอีคลิปส์ ก้มหน้าลงด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์อย่างยิ่ง ก่อนจะส่ายหน้าให้กับอีคลิปส์

 

“เจ้า...เจ้าไม่ยอมโจมตีเขา?” คราวนี้อีคลิปส์นิ่งอึ้งไปโดยสิ้นเชิง ใบหน้าสวยไม่มีสีเลือดแม้แต่นิดเดียว

 

เย่อินจู๋คลี่ยิ้มบางๆ ให้กับดาร์คสโนว์แล้วกล่าวว่า “กลับไปเถอะ”

 

ดาร์คสโนว์มองอินจู๋ ถึงกับทำความเคารพเขาด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง คำพูดตะกุกตะกักสองคำหลุดออกมาจากปากของดาร์คสโนว์ “ขอบ...คุณ...” ร่างอรชรหมุนกลางอากาศ ภายใต้ผมยาวสีฟ้าหม่นที่ห่อหุ้มดาร์คสโนว์กลายเป็นจุดแสงสีฟ้าหม่นก่อนหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

สายตาที่อีคลิปส์มองเย่อินจู๋สลับซับซ้อนขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สัตว์เวทของตัวเองไม่เพียงแต่ไม่เชื่อฟังตัวเอง กลับยังเชื่อฟังคำสั่งของคู่ต่อสู้อีกต่างหาก ในตอนนี้นอกจากความเย็นชาที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจแล้ว ก็เหลือเพียงแต่ความเกลียดชังอันไร้ที่สิ้นสุดต่อเย่อินจู๋ ดาร์คสโนว์คือสัตว์เวทแข็งแกร่งที่คุณปู่ของเธอทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายมากมายนับไม่ถ้วนกว่าจะช่วยเธอหาจนพบ รอดาร์คสโนว์เติบโตถึงระดับเจ็ดรวมทั้งระดับเวทมนตร์ของเธอเลื่อนขั้นเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นยอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับแม่ทัพอัศวินมังกรได้ แต่ความดีงามทั้งหมดทั้งปวงนี้ราวกับพังทลายลงเพราะนักเรียนชายเอกเทวคีตตรงหน้า

 

“คุณหนูอีคลิปส์ แม่ข้าเคยบอกข้าว่าต้องให้เกียรติเด็กผู้หญิง ฉะนั้น ข้าไม่อยากโจมตีอีกแล้ว เชิญเจ้ายอมแพ้เถอะ” เย่อินจู๋มองอีคลิปส์อย่างค่อนข้างจนปัญญา อันที่จริง แม้แต่เขาเองก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมดาร์คสโนว์ถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่เขาที่มีสัมผัสเฉียบไวต่อลมปราณสังเกตเห็นเจตนาเป็นศัตรูอย่างลึกล้ำจากอีคลิปส์ได้อย่างชัดเจน

 

ความหวังดีของเย่อินจู๋สำหรับอีคลิปส์กลับระคายหูอย่างยิ่ง การสิ้นเปลืองพลังจิตมากเกินไปรวมกับความกระทบกระเทือนทางจิตใจทำให้เธอแบกรับไม่ไหวอีกต่อไป เบื้องหน้ามืดสนิท ก่อนล้มสลบไปกลางเวทีประลอง

 

สนามประลองหมายเลขสี่เงียบสงัด สนามที่มีผู้ชมเกือบแปดพันคนไม่มีใครส่งเสียงใดๆ เป็นเวลานานหนี่งนาทีเต็ม

 

“เอกเทวคีตชนะ” กรรมการได้สติกลับมาในที่สุด การประลองที่พลิกผันไปมาสนามนี้ในที่สุดก็จบสิ้นลง เอกเทวคีตที่ไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้ง เอกมนตร์ดำที่มีนักเวทระดับเหลืองถึงห้าคนกลับพ่ายแพ้ พ่ายแพ้ให้เอกเทวคีตที่มีนักเวทระดับแสดหนึ่งคนและระดับแดงสี่คนรวมกัน ไม่ว่าสำหรับใครก็ตามชัยชนะในสนามนี้ล้วนเหนือความคาดหมาย แม้แต่นีนาหัวหน้าเอกเทวคีต หลังจากเห็นวิญญาณหิมะปรภพปรากฏตัวก็ไม่เพ้อฝันถึงชัยชนะแต่อย่างใด แต่ชัยชนะกลับมาเยือนรวดเร็วถึงปานนี้เสียได้

 

ตอนที่เย่อินจู๋เดินออกจากสนามประลอง สายตาของทุกคนที่มองตามเขาล้วนผิดแปลกไป เหล่านักเรียนในโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานต่างก็เป็นหัวกะทิ ใครๆ ก็มองออกว่ากุญแจสำคัญของชัยชนะในการประลองสนามนี้ อยู่ที่นักเรียนชายคนแรกของเอกเทวคีตผู้ได้ชื่อว่าหงส์ในหมู่กาคนนี้ มีดเสียงมหัศจรรย์ที่สกัดกั้นเวทมนตร์ฉับพลันของเอกมนตร์ดำเอาไว้ก็ปรากฏบนเวทีประวัติศาสตร์ทวีปลองกินุสอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก

 

ผู้อำนวยการเฟอร์กูสันจ้องมองเย่อินจู๋อย่างลึกซึ้งจากที่ไกลๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนหันหลังเดินจากไป เหล่าอาจารย์เอกมนตร์ดำต่างลงไปช่วยรักษาตัวแทนเอกมนตร์ดำที่ได้รับผลกระทบจากบทเพลงของเอกเทวคีตด้วยสีหน้าหม่นหมอง นีนาที่ความรู้สึกกลับกันกับพวกเขาโดยสิ้นเชิงตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองได้ยาก ตั้งกี่ปีมาแล้ว เอกเทวคีตพ่วงชื่อเสียงเอกอันดับหนึ่งของโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานมาโดยตลอด แต่ทุกคนกลับดูถูกเหยียดหยาม ทว่าในตอนนี้ ในที่สุดเอกเทวคีตก็กลายเป็นจุดสนใจของโรงเรียน

 

หากพูดว่าตอนที่เอกเทวคีตเอาชนะเอกวารีในสนามแรกยังพึ่งของวิเศษและโชคระดับหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น การประลองกับเอกมนตร์ดำสนามนี้ก็คือการประลองฝีมือแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ตอนนี้ ไม่มีใครกังขาความสามารถของเอกเทวคีตอีกแล้ว

 

“เอกเทวคีต...ต้องชนะ...เอกเทวคีต...ต้องชนะ...” เสียงโห่ร้องดังขึ้นต่อเนื่องกันเป็นระลอก โดยเฉพาะสาวสวยเอกเทวคีตชั้นปีที่หนึ่งทั้งแปดคนยิ่งตะโกนเสียงดังลั่นอย่างตื่นเต้นดีใจ

 

ไม่ง่ายเลยกว่าเย่อินจู๋จะเบียดเสียดออกมาจากฝูงชนที่โห่ร้องยินดีพลางคุ้มกันสี่สาวและเหล่าสาวสวยเอกเทวคีตชั้นปีที่หนึ่งคนอื่นๆ กลับมาถึงตึกเรียนของเอกเทวคีต

 

“อินจู๋ เจ้าเก่งจริงๆ เมื่อกี้เจ้าทำได้อย่างไรกัน การโจมตีเหมือนมีดลมนั่นคืออะไรน่ะ?” เชอรีนเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ดวงตากลมโตสวยงามเปล่งประกายระยิบระยับ

 

แม้เย่อินจู๋จะไร้เดียงสา แต่ก็รู้ว่าความลับของมีดเสียงจะพูดพล่อยๆ ไม่ได้ ขณะที่ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรไปชั่วครู่หนึ่ง นีนาก็ปรากฏตัวขึ้น “เย่อินจู๋ เจ้าตามข้ามา” สีหน้าของนีนาแลดูเรียบนิ่ง เพียงแต่ดวงตาที่เป็นประกายของเธอเปิดเผยให้รู้ว่าขณะนี้เธอกำลังรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ

 

“ครับ” พอขานรับออกมาก็เดินออกจากห้องเรียนตามนีนาไป

 

ในฐานะที่นีนาเป็นหัวหน้าเอกเทวคีต จึงมีห้องทำงานเดี่ยวเป็นของตัวเอง ห้องทำงานอันหรูหราใหญ่โตห้องนี้เกือบจะเทียบกับขนาดห้องเรียนได้ ของประดับวิเศษชนิดต่างๆ ตกแต่งอยู่บนกำแพงรอบห้องทำงานอย่างสวยงามมีระดับ นีนาชี้โซฟาหน้าโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “นั่งสิ”

 

เย่อินจู๋เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงอดมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ โซฟาบุด้วยหนังแท้นั่งลงไปแล้วนิ่มสบาย ความเหนื่อยล้าจากการประลองราวกับค่อยๆ ถูกดูดออกไปท่ามกลางความสะดวกสบายนี้

 

“คุณยายนีนา ท่านเรียกหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เย่อินจู๋หยั่งเชิงถาม

 

หลังจากนีนาคิดใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น จ้องเขม็งมายังดวงตาทั้งคู่ของเย่อินจู๋ด้วยสายตาร้อนระอุ “บอกข้ามา มีดเสียงที่เจ้าปล่อยเมื่อกี้นี้ เป็นการประสานพลังยุทธ์กับพลังเวทมนตร์ใช่หรือเปล่า?”

 

“เอ่อ...” เย่อินจู๋นิ่งชะงัก ลังเลอยู่สักครู่จึงค่อยพยักหน้าช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ” ม่วงพูดถูกต้อง มีดเสียงของตนจะช้าหรือเร็วก็ต้องปรากฏแก่สายตาคนในทวีป ถึงแม้ไม่สามารถให้คนอื่นล่วงรู้ความลับข้างในนั้น แต่รูปแบบการโจมตีพิเศษอย่างมีดเสียงกลับไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนไว้ลึกขนาดนั้น

 

นีนาลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานเธอก็กลับลงไปนั่งด้วยความท้อแท้ ก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อินจู๋ ถ้าพูดอย่างนี้ เจ้าก็เป็นผู้ฝึกคู่เวทยุทธ์น่ะสิ”

 

“คงอย่างนั้นมั้งครับ” เย่อินจู๋เกาหัว อันที่จริง แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองถือเป็นผู้ฝึกคู่เวทยุทธ์หรือเปล่า

 

นีนาขมวดคิ้ว “ไอ้แก่สารเลวฉินซางนี่บ้าไปแล้วรึ? เขาอยากจะทำลายเจ้าหรือไง?”

 

“หา? คุณยายนีนา ทำไมท่านพูดอย่างนี้ล่ะ?” เย่อินจู๋มองเธออย่างตกใจ

 

นีนากล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ทักษะต่อสู้ต่ำต้อยจะเทียบชั้นกับเวทมนตร์สูงส่งของพวกเราได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะนักเทวคีตที่สูงส่งที่สุด ทักษะต่อสู้ที่เจ้าผสมลงไปในเพลงของเจ้า ถึงจะสามารถกำจัดจุดอ่อนเรื่องเพลงของนักเทวคีตสำแดงผลช้า แต่ก็ทำให้เพลงของเจ้าไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ทำอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรกับการเลื่อนขั้นในอนาคตของเจ้าเลย ฉินซางไม่รู้หรอกหรือ?”

 

เย่อินจู๋กล่าวอย่างสับสนเล็กน้อยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ปู่ฉินสอนให้ข้าฝึกแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ก็ดูไม่เสียหายอะไรนะครับ”

 

……………………………………….

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด