บทที่ 47 ศักดิ์ศรี...ของแบบนี้มีก็ได้หรือไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
บทที่ 47 ศักดิ์ศรี...ของแบบนี้มีก็ได้หรือไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
พอพูดจบแล้ว เธอก็เกิดความรู้สึกฮึกเหิมเหมือนกับทาสที่ร้องรำทำเพลงเพราะได้เป็นไท
ซ่งฉู่อี๋วางมีดกับส้อมลง
เสียงวางมีดกับส้อมดังขึ้นเบาๆ ในห้องรับประทานอาหาร พอฉางฉิงเห็นเขาย่นหน้าผาก ความรู้สึกฮึกเหิมเมื่อสักครู่นี้ก็พลันลดลง
แต่ไม่นานเธอก็ปลุกใจตัวเองขึ้นมา เธอจะกลัวหัวหดไม่ได้
เป็นเพราะเธอดูอ่อนแอเกินไปมาโดยตลอด เขาจึงคิดว่าสามารถควบคุมเธอได้
ขอเพียงอดทนผ่านด่านนี้ไปได้ ต่อไปเธอก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในบ้านนี้ได้แล้ว
เธอลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แล้วยืดอกผึ่งผาย
ซ่งฉู่อี๋ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ฉางฉิงเห็นว่าป้าหวังยังอยู่ในห้องครัว เธอคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรที่ไม่เหมาะสม จึงยังมีท่าทีแข็งกร้าวเหมือนเดิม
ซ่งฉู่อี๋เดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าที่ทั้งหล่อเหลาและเย็นชาของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัยเล็กน้อย แล้วเขาก็ก้มตัวเข้าไปใกล้เธอ
“ขอเตือนไว้ก่อนนะ ในบ้านยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าคุณกล้ารังแกฉันล่ะก็ ฉันจะตะโกนร้องเลย” เขาหายใจรินรดในระยะประชิดจนพวงแก้มของฉางฉิงร้อนผ่าว ทว่าเธอก็ยังคงมั่นใจเต็มเปี่ยม
“คุณร้องเลย ต้องร้องตะโกนดังๆ หน่อยนะ” ซ่งฉู่อี๋หัวเราะเสียงต่ำ เขาพูดจบไปไม่ถึงครึ่งวินาที ริมฝีปากที่หอมกลิ่นไข่ไก่ก็เข้าประกบอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ฉางฉิงเหลือบไปเห็นป้าหวังเดินออกมาแล้วรีบถอยกลับเข้าไปในครัวพอดี เธอพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างสุดกำลัง แต่กลับกลายเป็นเสียงครวญครางเบาๆ ไปเสียหมด
ซ่งฉู่อี๋อุ้มเธอขึ้นมานั่งบนโต๊ะอาหาร ส่วนเขายืนอยู่ตรงหว่างขาเธอ แล้วจูบบดขยี้เชิงลงโทษเล็กน้อย
ฉางฉิงถูกจูบจนสมองขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ส่วนหัวใจเธอก็เต้น ‘โครมคราม’ ไม่เป็นจังหวะ
“ยังก้าวก่ายเรื่องคุณได้อยู่หรือเปล่า” ซ่งฉู่อี๋ถอยออกมาเล็กน้อย แล้วถามเธอด้วยเสียงทุ้มนิดๆ
ฉางฉิงขีดข่วนเสื้อเชิ้ตเขา “ไม่ได้...”
ซ่งฉู่อี๋จูบเธอต่อ “ได้ไม่ได้?”
“ไม่...”
แล้วก็จูบอีก เขาขบกัดเธอเบาๆ “ได้ไม่ได้?”
เธอส่ายหน้า
เขาจูบอีก “ได้ไม่ได้?”
_ _ _ _ _ _ _ _
เสียงหายใจหอบดังลอยมาจากห้องนั่งเล่น ป้าหวังที่หลบอยู่ในห้องครัวถึงกับหน้าแดงจัด เขินสุดๆ
เวลาที่เป็นแม่บ้านพาร์ทไทม์ให้กับคู่สามีภรรยาที่ยังหนุ่มสาวก็มักจะเจอเรื่องแบบนี้ได้ง่าย
คนหนุ่มสาวช่างเปิดเผยจริงๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฉางฉิงหายใจหอบถี่ รู้สึกเหมือนกับกำลังจะตายอย่างไรอย่างนั้น ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่มีก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ได้ค่ะ...”
“พูดให้ชัดๆ หน่อยสิ” ฝ่ามือใหญ่ของซ่งฉู่อี๋จับรอบเอวของฉางฉิงไว้แน่น และริมฝีปากไม่ได้ออกห่างจากเธอเลย
ฉางฉิงถูกบีบบังคับจนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ส่วนศักดิ์ศรีก็ไม่มีเหลือแล้ว “คุณก้าวก่ายเรื่องฉันได้ ในบ้านนี้คุณเป็นใหญ่ คุณสั่งให้ฉันไปทางตะวันออก ฉันก็จะไปทางตะวันตกไม่ได้” แต่ไปทางเหนือ ทางใต้ได้
“เด็กดีจริงๆ” ซ่งฉู่อี๋ปล่อยเธอ แววตาเขาดูมีความสุข “รีบทานอาหารเช้าเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
ฉางฉิงผลักอกเขาอย่างอ่อนแรง แล้วก้มหน้าทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว
“ทานช้าๆ หน่อย” ซ่งฉู่อี๋ลูบศีรษะเธอเหมือนกับลูบเจ้าร็อบเบน
ฉางฉิงพยักหน้า ความหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่มีเหลือแม้แต่น้อย
ศักดิ์ศรี...ของแบบนี้มีก็ได้หรือไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
ป้าหวังเพิ่งจะออกมาจากห้องครัวตอนที่พวกเขาใกล้จะทานอาหารเสร็จแล้ว พอเห็นดวงตาที่เป็นประกายวิบวับของป้าหวัง ฉางฉิงก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าป้าหวังรู้เรื่องเมื่อกี้นี้หมดแล้วแน่นอน
เธอเป็นพวกหน้าบาง จนกระทั่งเดินออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ใบหน้าเธอก็ยังคงแดงเรื่ออยู่เหมือนเดิม
แต่ชายหนุ่มข้างกายยืนพิงผนังลิฟต์ด้วยท่าทางเฉยเมย ฉางฉิงกัดริมฝีปากและบ่นเบาๆ ว่า “ซ่งฉูฉู่ วันหลังเวลาที่มีคนอื่นอยู่ในบ้านด้วย คุณอย่าทำแบบนี้ได้มั้ยคะ”
“คุณเรียกผมว่าอะไรนะ” สีหน้าของซ่งฉู่อี๋ดำทะมึนเล็กน้อย
“ซ่งฉูฉู่ค่ะ ชื่อนี้เพราะดี แล้วก็ฟังดูสนิทสนมด้วย” ฉางฉิงเบะปาก
ซ่งฉู่อี๋มุมปากกระตุกเล็กน้อย ฉางฉิงตาไว เห็นประตูลิฟต์เปิดออกพอดี เธอจึงรีบเดินออกจากลิฟต์ไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว
“ฉูฉู่ที่รัก บ๊ายบายนะคะ” หลังจากจงใจพูดทิ้งท้ายอีกหนึ่งประโยคด้วยความซุกซน ฉางฉิงก็รีบวิ่งไปที่รถตัวเองทันที
เมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว ฉางฉิงก็เห็นซ่งฉู่อี๋ยืนหน้าตาเหยเกอยู่ข้างนอก ในใจเธอรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องสุดๆ เธอรู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็ได้แก้แค้นเขาคืนบ้างแล้ว
............................................