ราชันย์เร้นลับ 9 : สมุดบันทึก
ราชันย์เร้นลับ 9 : สมุดบันทึก
หลังจากพักผ่อนได้ชั่วโมงครึ่ง โจวหมิงรุ่ยที่ตัดสินใจเรียกตัวเองว่าไคลน์ ร่ายกายของมันเริ่มฟื้นฟูกลับมาหลายส่วน
ไคลน์ชำเลืองมองไปยังหลังมือของตน บนผิวหนังปรากฏจุดดำขนาดไม่ใหญ่มากจำนวนสี่จุด เรียงตัวกันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก
จุดดำซึมหายเข้าไปในผิวหนัง ไคลน์ทราบดีว่า มันไม่ได้หายไปถาวร เพียงแต่รอวันถูกปลุกขึ้นมาใหม่
“สี่จุด… หมายถึงอาหารที่วางไว้สี่มุมห้องอย่างนั้นหรือ หมายความว่าครั้งหน้า เราไม่ต้องเตรียมอาหารแล้วรึไง? แค่ท่องบทสวดพิธีกรรมและเดินก็ทวนเข็มนาฬิกาพอ…”
ไคลน์ใช้ความคิด
ถ้าเป็นเช่นนั้นคงสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าจริง ความไม่รู้คือบ่อเกิดความหวาดกลัวเสมอ ทั้งที่เรื่องที่ เหตุใดพิธีกรรมจีนโบราณถึงมีผลในโลกใบนี้ เหตุใดตนถึงถูกส่งข้ามโลกในตอนที่นอนหลับสนิท เสียงโหยหวนขณะทำพิธีเปลี่ยนดวงชะตาคือสิ่งใด? รวมถึงมิติสายหมอกสีเทานั่นอีก
ไคลน์กำลังยืนสั่นกลัวแม้จะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน
“อารมณ์ที่เก่าแก่และรุนแรงที่สุดของมนุษย์คือความกลัวกลัว และความกลัวที่รุนแรงทีสุดคือการกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก”
ไคลน์หวนนึกถึงคำคมที่เคยอ่าน
ภายในใจกำลังรู้สึกประหลาด มันต้องการเรียนรู้สิ่งลี้ลับของโลกให้มากกว่านี้ เพราะไม่ว่าอย่างไร ตนก็ต้องไขปริศนาและหาทางกลับโลกใบเดิมให้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ในใจยังรู้สึกขัดแย้งกันเองอย่างพิลึก เมื่อต้องแสร้งสวมรอยเป็นไคลน์ต่อไป และต้องทำเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แสงแดดสาดส่องลงบนโต๊ะอ่านหนังสือเบื้องหน้า สีของมันเหลืองระยิบระยับประหนึ่งมีใครบางคนโปรยผงทองลงไป
ไคลน์นั่งจ้องมองโต๊ะไม้ด้วยใบหน้าเหม่อลอย ในใจเกิดความสงบสุขชั่วขณะ
มันปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลายตามธรรมชาติ อาการเหนื่อยล้าตามร่างกายกำลังแผ่ปกคลุมไปทุกส่วน
เปลือกตาหนักอึ้งประหนึ่งถูกมัดหินถ่วง พวกมันพยายามปิดตัวเองลงโดยไม่ฟังคำสั่งเจ้าของร่าง คงเป็นผลจากการแทบไม่ได้นอนทั้งคืน รวมถึงเหตุการณ์ชวนให้สิ้นเปลืองพลังงานในช่วงเช้า
ไคลน์ส่ายศีรษะพลางพยุงร่างขึ้นโดยมีขอบโต๊ะเป็นจุดค้ำยัน ร่างกายโงนเงนขณะเดินไปยังเตียงสองชั้น มันทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจขนมปังไรย์สี่ชิ้นที่วางมุมห้อง
…
โครก! โครก!
ไคลน์ได้สติกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องจากกระเพาะ เมื่อลืมตาขึ้น ร่างกายรู้สึกสดชื่นเหมือนกับได้เกิดใหม่
“ยังปวดหัวนิดหน่อยแฮะ”
ไคลน์ลูบขมับอย่างนุ่มนวลหลังจากพยุงตัวนั่งบนเตียง มันกำลังหิวมาก ชนิดที่สามารถกินม้าได้ทั้งตัว!
เมื่อจัดระเบียบเสื้อผ้าจนเรียบร้อย ไคลน์เดินกลับมาที่โต๊ะอ่านหนังสืออีกครั้ง นาฬิกาห้อยคอใบองุ่นถูกหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อ
กริ๊ก!
กลไกลดีดฝาเปิดออกด้วยสปริง เข็มบอกนาทียังคงเดินเป็นปรกติ
“เที่ยงครึ่ง เราหลับไปสามชั่วโมง…”
มันเก็บนาฬิกากลับที่เก่าพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ในหนึ่งวันของทวีปเหนือจะถูกแบ่งเป็น 24 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 60 นาที และนาทีละ 60 วินาที หรือก็คือ เหมือนกับโลกเก่าทุกประการ นับเป็นเรื่องประหลาดที่สร้างความฉงนและโล่งใจในเวลาเดียวกัน
แต่ในวินาทีนี้ ไคลน์มิอาจขบคิดหาคำอธิบายให้กับเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้น หรือเรื่องมิติสายหมอกสีเทา ในสมองมีเพียงเรื่องเดียวคือ—อาหาร
ทุกสิ่งจะถูกครุ่นคิดใหม่อีกครั้งหลังจากมื้ออาหารจบลง กองทัพต้องเดินด้วยท้องเท่านั้น!
ไคลน์เดินไปหยิบขนมปังไรย์ที่มุมห้องทั้งสี่ชิ้นมาปัดฝุ่น มันไม่ลังเลที่จะกินขนมปังซึ่งเป็นของเซ่น ในห้วงเวลาความเป็นความตาย ทุกสิ่งที่กินได้คืออาหาร
ไคลน์ไม่สนว่าที่จะเป็นของเซ่นหรือไม่ เพราะในโลกเก่าเองก็มีธรรมเนียมกินของเซ่นหลังจากไหว้เสร็จ และเหนือสิ่งอื่นใด ขนมปังก็ยังใหม่มาก การประหยัดคือสิ่งที่ดี เพราะเงินในกระเป๋าเหลือเพียงห้าเพนนี่เท่านั้น
บางที… นี่อาจเป็นความตระหนี่ที่หลงเหลือมาจากความทรงจำของไคลน์·โมเร็ตติคนเดิม
คงสิ้นเปลืองค่าแก๊สน่าดู หากเปิดวาล์วแล้วใช้เพียงให้แสงสว่าง ไคลน์จึงเดินไปยังครัวเพื่อใช้แก๊สให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เตาแก๊สถูกจุด มันวางหม้อต้มไว้ด้านบนพร้อมกับเทน้ำเปล่าลงไป ก่อนจะเติมถ่านและวางขนมปังไรย์ไว้ข้างเตา
ไคลน์เดินวนหน้าเตานานหลายนาที
ใครก็ตามที่กระเดือกขนมปังบัดซบนั่นเข้าไปโดยไม่ทำให้นุ่มลง รับประกันได้เลยว่าต้องติดคอตายแน่นอน
เฮ่อ! ชีวิตที่กินเนื้อได้เฉพาะมื้อเย็น ช่างเป็นชีวิตที่น่าเศร้านัก เดี๋ยวก่อน… ถ้าจำไม่ผิด เมลิสซ่าเคยบอกว่า ครอบครัวโมเร็ตติจะกินเนื้อแค่สัปดาห์ละสองมื้อเท่านั้น!
ถ้าสัมภาษณ์งานไม่ผ่าน อนาคตของตนและครอบครัวคงมืดมนไร้หนทาง
เมื่อพยายามควานหาของกินรอบห้องและไม่พบสิ่งใด ไคลน์จำใจต้องกระเดือกขนมปังไรย์ตามยถากรรม
ความหิวโหยไม่เคยปราณีใคร
มันเริ่มเหลือบมองเนื้อแกะข้างตู้กับข้าวที่ซื้อมาเมื่อช่วงเช้า แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ไคลน์ตัดสินใจอดทนรอกินพร้อมเมลิสซ่า
ถึงจะแค่ครึ่งเดียว แต่การกินก่อนนับเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก
ไคลน์วางแผนทำอาหารรสเลิศของโลกเก่าให้เมลิสซ่าได้ชิม ถึงมันจะเคยใช้ชีวิตโดยการทานอาหารนอกบ้านบ่อยครั้ง แต่ฝีมือการปรุงก็อยู่ระดับพึ่งพาได้
ไม่เสียแรงที่ได้รับฉายาว่า—ทำเป็นทุกอย่าง แต่ไม่เก่งสักทาง
อาหารฝีมือไคลน์มิได้เลิศรสเหมือนภัตตาคาร แต่รับประกันว่ามนุษย์กินได้และพึงพอใจ
มันเบือนหน้าหนีจากเนื้อแกะเพื่อไม่ให้ถูก ‘เย้ายวน’ ไปมากกว่านี้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อเช้าตนได้ซื้อถั่วและผักติดไม้ติดมือกลับมาอีกหลายชนิด
มันฝรั่ง!
เมื่อฉุกคิดได้ ไคลน์รีบเดินกลับไปยังตู้กับข้าวเพื่อนำมันฝรั่งสองชิ้นออกมาจากกองวัตถุดิบที่มีไม่มาก
ขั้นแรก ล้างทำความสะอาดมันฝรั่งในห้องน้ำรวม จากนั้นก็นำไปใส่ในหม้อ
เมื่อผ่านไปสักพัก ไคลน์เติมเกลือเหลืองลงในหม้อ เป็นเพียงเครื่องปรุงเดียวที่ควานหาได้จากตู้กับข้าว
มันยืนรอหน้าเตาต่ออีกสองถึงสามนาที ก่อนจะยกหม้อขึ้นและเท ‘ซุป’ ลงในชาม จากนั้นก็ใช้ส้อมตักมันฝรั่งต้มขึ้นจากหม้อและวางลงบนชาม เมื่อเตรียมตัวเสร็จสรรพ ไคลน์ยกอาหารมาวางบนโต๊ะทานข้าวให้เป็นกิจจะลักษณะ
ฟู่ววว
มันใช้ปากเป่ามันฝรั่งต้มครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือบรรจงปลอกเปลือกอย่างปราณีต กลิ่นแสนหอมหวลอันเป็นเอกลักษณ์ของมันฝรั่งต้มโชยฟุ้งทั่วห้อง ชวนให้น้ำลายสอเป็นที่สุด
ไคลน์สวาปามอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนอีกแล้วว่าอาหารจะร้อนบดซบเพียงใด มันใช้ปากกัดเข้าไปในเนื้อมันฝรั่งที่ยังปอกเปลือกได้เพียงครึ่งเดียว
หอมฉิบ!
ผิวสัมผัสนุ่มละมุน รสชาติยิ่งหวานเมื่อยิ่งเคี้ยว ความสุขกำลังปรากฏบนใบหน้าไคลน์อย่างชัดเจน เพียงไม่นาน มันจัดการกับมันฝรั่งทั้งสองชิ้นในพริบตาโดยไม่เหลือเนื้อติดเปลือก
…ถึงขั้นกินเปลือกเข้าไปเล็กน้อย
ถัดมาเป็นการยกซดน้ำซุป เกลือเหลืองที่เติมปรุงลงไปช่วยเพิ่มความสดชื่นได้มากทีเดียว
‘มันฝรั่งเคยเป็นอาหารที่เราในวัยเด็กชอบมาก…’
ไคลน์คิดเช่นนี้ขณะฉีกขนมปังจุ่มลงใน ‘ซุป’ เพื่อทำให้นุ่มลง
สงสัยพิธีกรรมจะทำให้หิวโหย มันทำการซัดขนมปังสองชิ้นที่หนักรวมหนึ่งปอนด์เรียบในพริบตา
ไคลน์รู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อย่างแท้จริง ซุปในถ้วยถูกซดจนเกลี้ยง ชีวิตของมันกลับมามีความสุขอีกครั้งหลังจากท้องถูกเติมเต็ม
เมื่อเก็บกวาดทำความสะอาดเสร็จ ไคลน์เดินกลับไปที่หน้าต่างเพื่อรับแสงตะวันแสนอบอุ่นด้านนอก
หลังจากทุกอย่างเข้าสู่ภาวะสงบ มันเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ไม้พร้อมกับครุ่นคิด
“เราคงหนีโชคชะตาไม่ได้ การจะหาทางกลับต้องศึกษาเรื่องลี้ลับให้มากกว่านี้ และการเป็น ‘ผู้วิเศษ’ ที่แฮงแมนกับจัสติสพูดถึงก็นับเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
“ต้องขจัดความกลัวที่เกิดจากความไม่รู้
“ทางเดียวของเราในตอนนี้คือ… รอให้ถึงชุมนุมไพ่ทาโร่ต์สัปดาห์หน้า จากนั้นก็แอบฟังสูตรการผสมโอสถ ‘ผู้ชม’ รวมถึงหาข่าวเกี่ยวกับเรื่องลึกลับของโลกใบนี้”
“เหลืออีกสี่วันกว่าจะถึงวันจันทร์ ก่อนหน้านั้นต้องสืบหาให้ได้ก่อนว่า ทำไมไคลน์ถึงฆ่าตัวตาย และเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่”
เมื่อตัดสินใจพักการกลับโลกเก่าไว้ชั่วคราว ไคลน์เดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือ และกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม
สมุดบันทึกของไคลน์ตัวจริง บางทีอาจมีเบาะแสในการฆ่าตัวตายรวมถึงความทรงจำในอดีตเขียนไว้
ไคลน์ตัวจริงมีนิสัยชอบจดบันทึก โดยเฉพาะในรูปแบบไดอารี
มันชำเลืองมองตู้เก็บของที่วางฝั่งขวามือของโต๊ะ ด้านในบรรจุไดอารีเก่าหลายเล่มที่เขียนจนครบทุกหน้ากระดาษ
ด้านสมุดเล่มบนโต๊ะ เรื่องราวถูกบันทึกไว้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและอาจารย์ รวมถึงความรู้ทั่วไปเล็กน้อย
“วันที่ 12 เมษายน มิสเตอร์อะซิก เล่าว่า ภาษาที่นิยมในใช้จักรวรรดิไปลันของทวีปใต้ ถูกพัฒนามาจากภาษาฟุซัคโบราณ ซึงถือมีรากฐานจากภาษายักษ์แขนงหนึ่ง… เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในอดีตใช้ภาษาเดียวกันอย่างนั้นหรือ? ไม่เลย ไม่ใช่แบบนั้นแน่ เพราะจากบันทึก ‘พระคัมภีร์แห่งรัตติกาล’ และ ‘บันทึกแห่งวายุสลาตัน’ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เผ่าคนยักษ์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่มีพลังอำนาจในยุคบรรพกาล สมัยนั้นยังมีเอลฟ์ สัตว์ประหลาด รวมถึงมังกร… แต่ในความเป็นจริง ไม่เคยมีหลักฐานปรากฏว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเคยอาศัยอยู่ อาจเป็นเพียงเรื่องแต่งในนิยายก็ได้”
…
“วันที่ 16 เมษายน รองศาสตราจารย์อาวุโสโคเฮนและมิสเตอร์อะซิกสนทนากันในหัวข้อ ‘ยุคแห่งไอน้ำ’ ที่มนุษย์มิอาจหลีกเลี่ยง มิสเตอร์อะซิกให้ความเห็นว่า ยุคไอน้ำเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง เพราะหากโลกไม่มีมหาจักรพรรดิโรซายล์ ทวีปเหนือก็ยังคงกวัดแกว่งดาบสู้รบกันไม่ต่างจากทวีปใต้… การโต้เถียงระหว่างอาจารย์กับมิสเตอร์อะซิกเป็นไปอย่างดุเดือดและออกรส อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า ต่อให้ไม่มีจักรพรรดิโรซายล์ แต่ก็คงมีจักรพรรดิโรเบิร์ตหรือใครสักคนปรากฏตัวขึ้นและทำแบบเดียวกัน ยุคสมัยแห่งไอน้ำคืออนาคตที่ต้องมาถึงในสักวันอยู่แล้ว… แต่ทำไมเราถึงไม่รู้สึกตื่นเต้นกับหัวข้อสนทนาสักเท่าไร บางที อาจเป็นเพราะเราไม่เหมาะกับการเรียนสาขาประวัติศาสตร์ เราชอบที่จะขุดคุ้ยความลับในอดีตมากกว่าอนาคต รู้แบบนี้ลงเรียนสาขาโบราณคดีก็ดี”
…
“วันที่ 29 เมษายน เวิร์ชมาหาเราและบอกว่า เขาเพิ่งได้สมุดบันทึกหายากจากยุคสมัยที่สี่เมื่อไม่นานมานี้… หนังสือยุคสมัยที่สี่เชียวนะ! พระเจ้า! เวิร์ชไม่ต้องการให้คนนอกทราบเรื่องนี้ จึงไม่ได้ขอร้องให้อาจารย์สาขาโบราณคดีช่วยตรวจสอบ แต่เขาเลือกเรากับนาย่าให้ช่วยถอดรหัสสมุดบันทึกเล่มนี้แทน… ใครจะปฏิเสธลง? แต่แน่นอน ไว้ค่อยทำหลังจากสอบโปรเจคจบเรียบร้อยแล้ว เราไม่ควรแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่นในช่วงเวลาสำคัญ”
เมื่ออ่านจบ ไคลน์เริ่มให้ความสนใจกับเนื้อหา สาเหตุที่ไคลน์คนก่อนฆ่าตัวตายคงไม่เกี่ยวกับการถกเถียงของอาจารย์ แต่มาจากสมุดบันทึกปริศนาจากยุคสมัยที่สี่
ยุคสมัยที่สี่ต้องย้อนกลับไปราวพันห้าร้อยปีก่อน เป็นยุคที่เต็มไปด้วยปริศนามากมาย แทบไม่มีการค้นพบสุสานโบราณหรือเมืองโบราณซึ่งบ่งบอกว่ามาจากยุคสมัยที่สี่ หลักฐานเดียวที่ปรากฏคือบันทึกประวัติศาสตร์ของเจ็ดโบสถ์หลักที่คอยเผยแพร่ศาสนาอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อความในบันทึกมีเพียงรายละเอียดเลือนลางที่สืบทอดต่อกันมา เนื้อหาจากบันทึกของเจ็ดโบสถ์หลัก โดยมากจะพูดถึงจักรวรรดิโบราณ เช่นจักรวรรดิทรันซอสต์ จักรวรรดิโซโลม่อน และราชวงศ์ทูดอร์
ความอยากรู้อยากเห็นของไคลน์คนเก่าได้มุ่งเน้นไปยังยุคสมัยที่สี่—ยุคสมัยแห่งเทพ มากเป็นพิเศษ เรื่องราวตั้งแต่ยุคสมัยที่หนึ่งถึงสามไม่เป็นที่น่าสนใจสักเท่าไร เพราะช่วงเวลาล่วงผ่านมานานเกินไป ส่วนใหญ่จึงเป็นตำนานที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง
“หืม… ไคลน์เป็นห่วงอนาคตตัวเอง จึงตั้งใจเรียนให้จบและเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์ แต่กลับไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ต้องการ…”
ไคลน์ถอนหายใจยาว
ในยุคสมัยที่มหาวิทยาลัยยังมีไม่มาก และนักเรียนส่วนใหญ่มาจากครอบครัวขุนนางร่ำรวย หากไม่ใช่มนุษย์ที่มีจิตผิดปรกติจนเกินไป เด็กจากครอบครัวสามัญที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยติด จะมีโอกาสอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงได้ไม่ยากนัก
ยิ่งถ้าความสนใจเป็นไปในทางเดียวกัน พวกมันก็ยิ่งสนิทกันง่าย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือไคลน์กับเวิร์ช
เวิร์ช·แม็กโกเวิน—บุตรชายของนายธนาคารจากเมืองคอนสแตน รัฐเลียบทะเล อาณาจักรโลเอ็น สนิทสนมกับไคลน์และนาย่าเพราะมักทำงานกลุ่มร่วมกัน
ไคลน์ไม่มัวคิดมาก มันอ่านไดอารีต่อ
“วันที่ 18 มิถุนายน ในที่สุดเราก็จบการศึกษา ลาก่อน มหาวิทยาลัยโฮอี้!”
“วันที่ 19 มิถุนายน เราได้อ่านสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้ว เมื่อลองเทียบโครงสร้างคำและรากศัพท์ สมุดเล่มนั้นถูกเขียนด้วยภาษาที่ดัดแปลงจากภาษาฟุซัคโบราณ ไม่สิ กล่าวให้ชัดคือ ภาษาฟุซัคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเนื้อความในสมุดคงเป็นยุคหนึ่งของภาษาฟุซัค”
“วันที่ 20 มิถุนายน พวกเราถอดรหัสเนื้อหาหน้าแรกได้แล้ว ดูเหมือนคนเขียนจะเป็นสมาชิกของตระกูลที่ชื่อ ‘อันทิโกนัส’”
“วันที่ 21 มิถุนายน ภายในสมุดมีการพูดถึงจักรพรรดิมืด ซึ่งค่อนข้างขัดแย้งกับยุคสมัยที่สมุดเล่มนั้นถูกเขียนขึ้น หรือข้อมูลของศาสตราจารย์จะผิดไป? หรือ ‘จักรพรรดิมืด’ จะเป็นสมญานามที่จักรพรรดิโซโลม่อนทุกพระองค์ใช้?”
“วันที่ 22 มิถุนายน พวกเราได้ทราบว่าตระกูลอันทิโกนัสมีตำแหน่งทางสังคมสูงมากภายในจักรวรรดิโซโลม่อน และผู้เขียนระบุถึงการค้าขายลับกับบุคคลที่ชื่อว่าทูดอร์… ทูดอร์? เกี่ยวอะไรกับราชวงศ์ทูดอร์รึเปล่า?”
“วันที่ 23 มิถุนายน เราต้องเลิกคิดถึงสมุดเล่มนั้นก่อน เราไม่ควรไปบ้านเวิร์ชขณะการสอบสัมภาษณ์ใกล้เข้ามาทุกขณะ! มันสำคัญกับชีวิตเรามาก!”
“วันที่ 24 มิถุนายน นาย่าบอกกับเราว่า พวกเขาค้นพบเรื่องใหม่ที่น่าสนใจ เราต้องชอบแน่ เธอว่าอย่างนั้น”
“วันที่ 25 มิถุนายน จากเนื้อความที่ถอดได้ ผู้เขียนได้รับภารกิจให้ไปเยือน ‘อาณาจักรรัตติกาล’ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงสุดของเทือกเขาโฮนาซิส พระเจ้า! มีอาณาจักรตั้งอยู่บนยอดเขาเหนือน้ำทะเล 6,000 เมตรได้อย่างไร? มนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่นด้วยวิธีไหน?”
“วันที่ 26 มิถุนายน เรื่องราวประหลาดเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?”
ไดอารีจบเพียงเท่านี้ โจวหมิงรุ่ยเดินทางข้ามโลกในวันที่ 28 มิถุนายน หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย
“หรืออีกนัยหนึ่ง… ข้อความที่เราเห็นบนสมุดเป็นของวันที่ 27 มิถุนายน…
“ทุกคนต้องตาย รวมถึงเรา…”
ไคลน์พลันขนลุกเมื่อพลิกกระดาษมายังหน้าแรกที่เขาได้พบหลังจากเดินทางข้ามโลก
มันเริ่มมั่นใจ
หากต้องการแก้ปมปริศนาการฆ่าตัวตายของไคลน์·โมเร็ตติ มันต้องเดินทางไปยังบ้านของเวิร์ชเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมจากสมุดบันทึกเก่าแก่เล่มนั้น
ทว่า จากประสบการณ์มากมายที่สั่งสมในโลกเก่า ทั้งการอ่านนิยาย ละครทีวี ภาพยนต์ หากสมุดบันทึกเล่มนั้นคือสาเหตุของปริศนาทั้งหมดจริง การไปเยือนบ้านเวิร์ชต้องมีอันตรายรออยู่แน่
…เหมือนกับกลุ่มตัวเอกที่เดินทางสำรวจบ้านผีสิงเพื่อค้นหาความจริง! ปลายทางมักมีความฉิบหายรออยู่เสมอ!
ทว่า การเอาแต่หนีคงไม่ช่วยให้ปริศนากระจ่างขึ้น อาจเลวร้ายลงด้วยซ้ำ และตนต้องใช้ชีวิตอยู่กับความไม่รู้ไปตลอดกาล
เรียกตำรวจดีไหม? แต่หากแจ้งความว่าเราเคยลงมือฆ่าตัวตายมาก่อน มันคงพิลึกน่าดู…
ก็อก!
ก็อก ก็อก!
เสียงเคาะประตูที่หนัักแน่นดังขึ้น
ไคลน์ลุกยืนพลางเงี่ยหูฟัง
ก็อก!
ก็อก ก็อก!
เสียงเคาะประตูดังกังวาลทั่วทางเดินอันว่างเปล่าของหอพัก
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/