ราชันย์เร้นลับ 8 : ยุคสมัยใหม่
ราชันย์เร้นลับ 8 : ยุคสมัยใหม่
ฟ้าวว
เสียงลมกรีดร้องโหยหวนดังพร้อมกับการพัดพามาถึงของพายุฝนห่าใหญ่ เรือใบขนาดสามเสากำลังโคลงเคลงด้วยสภาพน่าเวียนหัวเนื่องจากคลื่นทะเลสุดปั่นป่วน
เป็นความคลื่นไส้ประหนึ่งยักษาเขย่าเรือเล่นก็มิปาน
แสงสีแดงเข้มในดวงตาอัลเจอร์·วิลสันดับมอดลง เมื่อได้สติกลับคืน มันพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในท่าเดิมโดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เพียงพริบตา ขวดแก้วทรงประหลาดในมือพลันแตกละเอียด ของเหลวด้านในที่เริ่มจับตัวแข็งได้ถูกสายฝนเบื้องบนชะล้างจนละลายหาย ไม่หลงเหลืองเศษเสี้ยววัตถุโบราณแสนล้ำค่าอีกต่อไป
สัญลักษณ์เกล็ดหิมะหกเหลี่ยมผุดขึ้นกึ่งกล่างฝ่ามือ จากนั้นเริ่มเลือนลางทีละนิดประหนึ่งแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง ก่อนจะหายไปโดยสมบูรณ์ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
อัลเจอร์พยักหน้าเชื่องช้าแต่หนักแน่นสองสามครั้ง สีหน้าคล้ายกับครุ่นคิดบางสิ่ง อากัปกริยาแน่นิ่งเช่นนี้นานถึงห้านาทีเต็ม
หลังจากนั้น มันหันหลังเดินกลับเข้าด้านในเรือ แต่ก่อนที่ร่างจะแทรกผ่านเข้าไป บุรุษผมทองสวมเสื้อคลุมปักลวดลายสายฟ้าแบบเดียวกับอัลเจอร์ทำการเดินสวนออกมาพอดี
ชายคนดังกล่าวชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอัลเจอร์ มันกำหมัดพร้อมกับเลื่อนแขนขึ้นแนบหน้าอก ก่อนจะกล่าว
“ขอพายุจงสถิตย์กับท่าน”
อัลเจอร์ตอบกลับด้วยท่าทางและถ้อยคำเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามยังคงเรียบเฉย
หลังจากทักทาย อัลเจอร์เดินต่อไปยังห้องพักกัปตันที่อยู่ส่วนลึกสุดของทางเดินยาว
น่าประหลาดมาก สองข้างทางเงียบงันและไม่ปรากฏสัญญาณสิ่งมีชีวิต บรรยากาศประหลาดผิดแผกและเงียบงันประหนึ่งป่าช้า
เมื่อเปิดประตูห้องกัปตันเข้าไป ด้านล่างมีพรมน้ำตาลอ่อนนุ่มวางต้อนรับ ด้านในสุดของห้องมีชั้นหนังสือและหิ้งเก็บไวน์
ภาพของหนังสือปกเหลืองและของเหลวสีแดงคล้ำภายในขวด นับว่าแปลกตาเมื่อส่องสะท้อนกับแสงเทียนไขที่วูบวาบภายในห้อง
บนโต๊ะที่มีเชิงเทียนไขประดับ อุปกรณ์มากมายวางเรียงรายระเกะระกะ ประกอบไปด้วยขวดหมึก ปากกาขนนก กล้องส่องทางไกลโลหะ และเครื่องวัดระยะสำหรับเดินเรือ
หน้าโต๊ะตัวดังกล่าว ชายวัยกลางคนผิวขาวซีดกำลังนั่งบนเก้าอี้ในสภาพหันหลัง เหนือศีรษะของมันสวมหมวกกัปตันสีดำที่มีสัญลักษณ์กระโหลกสีขาว
เมื่ออัลเจอร์เดินเข้าไปใกล้ ชายปริศนาได้แผดเสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงหวาดผวา
“คราวนี้ฉันไม่ยอมแพ้แน่!”
“ขอให้ทำสำเร็จนะ”
อัลเจอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมราบเรียบประหนึ่งกำลังถามไถ่สภาพอากาศ
“นี่แก…”
ชายคนดังกล่าวผงะกับคำตอบที่ไม่คาดฝัน
ทันใดนั้น เพียงพริบตาที่อัลเจอร์โน้มตัวลงด้านหน้า ร่างกายของมันพลันพุ่งไปถึงสุดมุมห้องอีกฟากฝั่งในพริบตาราวกับระยะทางห่างแค่ฝ่ามือ
ปึด!
ทุกส่วนของแขนขวาอัลเจอร์เริ่มขยายขนาด ฝ่ามือบีบคว้าลำคอชายสวมหมวกกัปตันไว้แน่นถนัด
หลังมือขวาปรากฏเกล็ดปลาสีเขียวขณะออกแรงบีบลำคอเหยื่อ อีกฝ่ายไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้หรือขัดขืน
กร็อบ!
เมื่อสิ้นเสียงกระดูกหัก ดวงตาของชายสวมหมวกกัปตันพลันเหลือกขึ้น ร่างกายถูกยกลอยจากพื้น
แข้งขาสั่นกระตุกรุนแรงก่อนจะแน่นิ่งภายในไม่กี่อึดใจ ดวงตาเบิกโพลงและเหม่อลอย หว่างขามีของเหลวไหลเปียกซึมกางเกง
อัลเจอร์ยกร่างชายคนดังกล่าวพร้อมกับเดินมายังกำแพงห้องอีกฝั่ง
โครม!
มันออกแรงชกใส่กำแพงไม้ โดยฝ่ามือมหึมายังคงคว้าร่างเหยื่อไว้ทั้งอย่างนั้น
กำแพงไม้แหลกละเอียดจนเกิดรูโหว่ ฝนเย็นยะเยียบสาดเทเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นของทะเลที่คุ้นเคย
อัลเจอร์โยนศพเหยื่อออกนอกเรือ ร่างมันปะทะเข้ากับคลื่นที่ใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขา
สายลมด้านนอกยังคงร้องโหยหวนระงมท่ามกลางความมืดมิด เป็นภาพของธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้หายไปอย่างถาวร
อัลเจอร์หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจัดแจงเช็ดฝ่ามือขวาจนสะอาด ก่อนจะโยนทิ้งลงทะเลตามหลังไป
มันก้าวถอยหลังและรอคอยให้ใครสักคนเปิดประตูเข้ามาอย่างใจเย็น
ไม่ถึงสิบวินาที บุรุษผมทองคนเดิมผลักประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“เกิดอะไรขึ้น?”
“‘กัปตัน’ หนีไปแล้ว”
อัลเจอร์ตอบด้วยสีหน้าเฉยชา
“ไม่คิดว่าจะยังเหลือพลังผู้วิเศษอยู่อีก”
“บ้าจริง!”
บุรุษผมทองสบถเสียงค่อย จากนั้นก็เดินมาใกล้รอยแตกบริเวณกำแพงไม้ สายตากวาดมองออกไปด้านนอกเรือ แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงคลื่นทะเลและลมฝน
“ช่างเถอะ เจ้านั่นก็แค่ตัวประกอบ”
ชายผมทองกล่าวพลางโบกมือ
“แค่พวกเราค้นพบเรือผีสิงแห่งยุค ‘ทูดอร์’ ลำนี้ ก็มากพอจะรับทรัพย์ก้อนโตกันแล้ว”
ต่อให้ตัวมันเป็นผู้พิทักษ์สมุทร ก็คงไม่กล้าลงไปแหวกวายในผืนทะเลอันเกรี้ยวกราดดุจดั่งขุมนรกเช่นนี้แน่
“หากสภาพอากาศยังไม่ดีขึ้น ‘กัปตัน’ คงหมดทางรอดแล้ว”
อัลเจอร์กล่าวพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
ขณะเดียวกัน รูโหว่บนกำแพงไม้เริ่มซ่อมแซมตัวเองด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
อัลเจอร์จ้องกำแพงที่กำลังสมานตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองยังตำแหน่งของหางเสือและใบเรือด้วยความเคยชิน
ถึงจะมีมีกำแพงไม้ขวางกั้นอยู่หลายชั้นระหว่างห้องพักกัปตันและหางเสือ แต่อัลเจอร์กลับมองเห็นทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง
เรือล้ำนี้ไม่มีต้นเรือ ต้นหน หรือรองต้นหนคอยควบคุมแม้แต่คนเดียว…
ทว่า ท่ามกลางความว่างเปล่าไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต หางเสือและใบเรือกลับขยับได้เองอย่างน่าพิศวง
เมื่อสงบจิตใจได้ อัลเจอร์จินตนาการถึง ‘เดอะฟูล’ ผู้ปรากฏกายท่ามกลางสายหมอกครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างอ่อนแรง
มันหันหลังกลับไปมองคลื่นทะเลสุดเกรี้ยวกราดด้านนอกอีกครั้ง ก่อนจะรำพึงกับตัวเองด้วยน้ำเสียงหวาดผวาดเจือคาดหวัง
“ยุคใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ…”
…
ณ อาณาจักรโลเอ็น กรุ่งเบ็คลันด์
ย่านจักรพรรดินี
ออเดรย์·ฮอลล์กำลังหยิกแก้มเพื่อพิสูจน์ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่ฝันไป
บนโต๊ะเครื่องแป้งด้านหน้า กระจกทองแดงเก่าแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ออเดรย์ชำเลืองสายตามองหลังมือของตน—แสงสีกำลังแดงหมุนวนรอบตัวเองคล้ายกับดวงดาว ประหนึ่งรอยสักที่มีชีวิตก็มิปาน
เพียงไม่นาน สัญลักษณ์สีแดงเข้มได้ซึมหายเข้าไปในผิวหนัง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เธอมั่นใจแล้วว่าเรื่องราวเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน
ดวงตากำลังส่องประกาย มุมปากแสยะยิ้มอย่างมีความสุข ออเดรย์จับชายกระโปรงพร้อมกับถอนสายบัวให้อากาศวางเปล่า จากนั้นก็เริ่มเต้นรำอย่างมีความสุขไปรอบห้อง—เป็นการรำท่วงท่า ‘เอลฟ์โบราณ’ ซึ่งนิยมในหมู่ราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง
รอยยิ้มของเธอช่างสดใส
สีหน้าท่าทางร่าเริงสุดขีด
ก็อก! ก็อก!
ใครบางคนเคาะประตูห้องนอน
“ใครกัน?”
ออเดรย์หยุดเต้น ขณะส่งเสียงถาม มือทั้งสองข้างรีบจัดแจงชุดเดรสให้เรียบร้อย
“คุณหนู ให้ดิฉันเข้าไปได้ไหม? ถึงเวลาแต่งตัวเตรียมเข้าร่วมพิธีเฉลิมเฉลองแล้วค่ะ”
ออเดรย์เหลือบมองโต๊ะเครื่องแป้งที่กระจกเงาแหลกละเอียด รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเริ่มจางหาย แต่ยังเหลือซ่อนไว้ด้วยยิ้มมุมปากอย่างซุกซน
เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เธอหันไปส่งเสียงตอบ
“เข้ามาได้”
ลูกบิดประตูถูกหมุน แอนนี่—สาวใช้ส่วนตัวของออเดรย์ผลักประตูห้องเข้ามา
“ตายแล้ว กระจกแตก…”
แอนนี่กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึงหลังจากเปิดประตูเข้ามาเห็นสภาพโต๊ะเครื่องแป้ง
ออเดรย์รีบกระพริบตาปริบๆ
“เอ่อ… ช…ใช่แล้ว! เป็นฝีมือซูซี่! เมื่อครู่เพิ่งเข้ามาป่วนในห้อง คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่าซูซี่เป็นนักทำลายข้าวของ!”
ซูซี่คือโกลเด้นรีทรีเวอร์พันธุ์ทางซึ่งตระกูลฮอลล์ได้รับเป็นของแถมเมื่อครั้งบิดาของเธอ—เคาต์ฮอลล์ ซื้อจิ้งจอกล่าเนื้อ
ซึ่งออเดรย์ชื่นชอบซูซี่มาก
“คุณหนูควรฝึกวินัยมันบ้างนะคะ”
แอนนี่กล่าวพลางเดินเข้ามาเก็บเศษกระจกที่อาจทำอันตรายกับคุณหนู
หลังจากห้องเรียบร้อย แอนนี่หันมากล่าวกับออเดรย์
“คุณหนูจะใส่ชุดไหนไปร่วมงานคะ?”
ออเดรย์ครุ่นคิดก่อนจะมอบคำตอบ
“อยากใส่ชุดที่คุณนายจีเนียร์มอบให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุ 17”
“ไม่ได้นะคะ คุณหนูห้ามใส่ชุดซ้ำเข้าร่วมงานพิธีใหญ่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ตระกูลฮอลล์อาจถูกถากถางว่าเป็นขุนนางตกยากได้”
แอนนี่ปฏิเสธพร้อมกับส่ายศีรษะ
“แต่ฉันชอบนี่นา”
ออร์เดรย์ดื้อเงียบ
“คุณหนูสามารถใส่มันที่บ้านหรือไม่ก็งานพิธีไม่สำคัญได้ค่ะ”
แอนนี่หนักแน่น ไม่ยอมให้อีกฝ่ายต่อรอง
“งั้นเอาเป็น… เดรสแขนยาวลายบัวที่มิสเตอร์ไซดีสมอบให้เมื่อสองวันก่อน”
ออเดรย์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“ยังรสนิยมดีเหมือนเดิมนะคะ”
แอนนี่ชื่นชม จากนั้นก็เดินออกไปที่ประตูและส่งเสียงตะโกน
“ห้องเสื้อที่หก! อ๊ะ ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปจัดการเอง”
สาวใช้เริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็ง เครื่องแต่งกายทั้งหมดของเธอ ทั้งเดรส เครื่องประดับ รองเท้า หมวก เครื่องสำอาง รวมถึงทรงผม ทั้งหมดถูกจัดแจงเป็นระเบียบเรียบร้อย
เมื่อทุกสิ่งใกล้เสร็จสรรพ เคาต์ฮอลล์ปรากฏตัวหน้าประตูห้องในเสื้อกั๊กสีน้ำตาล
มันสวมหมวกสีเดียวกับเสื้อ หนวดเหนือริมฝีปากถูกตัดแต่งอย่างสง่างาม ดวงตาสีฟ้าครามเปี่ยมด้วยความร่าเริง
น่าเสียดายที่ความหล่อเหล่าในวัยหนุ่มถูกทำลายด้วยขนาดรอบเอวที่เพิ่มขึ้น ริ้วรอยบนใบหน้า และท่อนแขนที่ลีบเล็กลง
“อัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดแห่งเบ็คลันด์เอ๋ย! ถึงเวลาออกเดินทางกันแล้ว!”
เคาต์ฮอลล์กล่าวพลางเคาะประตูสองครั้ง
“ท่านพ่อ! หยุดเรียกหนูแบบนั้นสักที”
ออเดรย์พยายามดิ้นรนขณะถูกสาวใช้จับแต่งตัว
“งั้นเอาใหม่… ได้เวลาออกเดินทางแล้ว องค์หญิงสุดเลอโฉมของพ่อ!”
เคาต์ฮอลล์กล่าวพร้อมยกแขนซ้ายตั้งฉากกับพื้น เป็นนัยให้บุตรสาวเดินเข้ามาควงแขน
ออเดรย์รีบส่ายศีรษะ
“นั่นไว้สำหรับคุณแม่ เคาต์เทสฮอลล์”
“ถ้างั้นก็ข้างนี้”
เคาต์ฮอลล์ยกแขนขวาขึ้นแทน ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่สำหรับเจ้า ความภูมิใจสูงสุดของพ่อ”
…
ณ ฐานทัพเรือหลวง
ท่าเรือพริสต์
ขณะออเดรย์จูงแขนบิดาลงจากรถม้าหรูหรา นัยน์ตาของสาวน้อยพลันเบิกโพลงเมื่อได้เห็นวัตถุขนาดมหึมาเบื้องหน้า
ท่าเรืออยู่ไม่ห่างจากจุดจอดรถม้านัก
เรือมหึมาลำหนึ่งกำลังถูกวางในจุดเตรียมปล่อย รอบลำเรือส่องแสงโลหะระยิบระยับเงางาม เพดานเรือไม่มีใบเรืออย่างที่ควร เปลี่ยนเป็นหอบังคับการและปล่องไฟขนาดใหญ่สองปล่องแทน ท้ายเรือมีปืนใหญ่สุดน่าเกรงขามสองกระบอกติดตั้ง
ขนาดของเรือมโหฬารชนิดที่เรือใบด้านข้างลีบเล็กประหนึ่งคนแคระยืนข้างยักษา
“ข้าแต่เทพแห่งวายุสลาตัน…”
“สุดยอด…”
“เรือรบจักรไอน้ำ!”
…
ท่ามกลางความฮือฮา แม้แต่ออเดรย์ยังตื่นตะลึงในความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น นับเป็นปาฏิหาริย์แห่งท้องทะเลที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าเหล่าขุนนาง รัฐมนตรี และสมาชิกสภาจะกลับสู่ความสงบ แต่หลังจากนั้นไม่นาน จุดดำใหม่ได้ปรากฏเหนือท้องฟ้าท่าเรือ
ยิ่งเวลาผ่านไป ขนาดของจุดขยายขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งปกคลุมหนึ่งในสามของท้องฟ้าด้านบน
จักรกลลอยฟ้าขนาดหมึมาที่มีท่อพ่นไอน้ำวิจิตรงดงาม มันกำลังลอยตัวกลางอากาศอย่างน่าพิศวงในสายตามนุษย์ด้านล่าง
ภายนอกถูกตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเข้ม ถุงลมรอบเครื่องทำจากฝ่ายผสมอัลลอยเป็นโครง ส่งผลให้น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง
ด้านล่างเรือบินมีปีนกลขนาดใหญ่ถูกติดตั้งเคียงข้างกับเครื่องยิงกระสุน เสียงเครื่องยนต์กำลังคำรามสนั่น สอดประหลาดกับการหมุนของใบพัดด้านหลังอย่างลงตัว
ฉากเบื้องหน้าได้สะกดทุกคนจนอยู่หมัด
ราชาและสมาชิกราชวงศ์เริ่มยืนปรากฏตัวโบกไม้โบกมือบนจักรกลลอยฟ้าประจำตระกูลพวกมัน บรรยากาศรอบตัวราชาจอร์จที่สามเปี่ยมด้วยบารมีและความน่าเกรงขามเป็นล้นพ้น
ข้างลำเรือลอยฟ้ามีตราสัญลักษณ์ดาบขนาดใหญ่สองเล่ม คมดาบตั้งตรงปักพื้น ด้ามจับทำจากมงกุฏทับทิม
นี่คือตรา ‘ดาบแห่งคุณธรรม’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล ‘ออกัสตัส’ ที่สืบสายเลือดยาวนานมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่
ออเดรย์ยังมีอายุไม่ถึงสิบแปด จึงไม่ต้องเข้าร่วม ‘พิธีแนะนำตัว’ ซึ่งราชินีเป็นผู้กำหนดขึ้น
พิธีแนะนำตัว—เพื่อให้แวดวงชนชั้นสูงของเบ็คลันด์มีโอกาสพบปะและรู้จักกันอย่างทั่วถึง ขุนนางที่อายุครบ 18 ปีทุกคนต้องเข้าร่วมอย่างมิอาจปฏิเสธ
ด้วยเหตุนี้ ออเดรย์จึงทำเพียงยืนมองพิธีดำเนินไปอย่างเงียบงันอยู่ด้านหลังด้านหลัง
อันที่จริง เธอชื่นชอบความเงียบสงบเช่นนี้มากกว่า ออเดรย์มักไม่พอใจเวลาถูกเหล่าองค์ชายพัวพัน
‘ปาฏิหาริย์แห่งท้องฟ้า’ จากฝีมือมนุษย์ทำการลงจอดอย่างนุ่มนวล คนกลุ่มแรกที่ก้าวออกจากประตูคือเหล่าองครักษ์หนุ่มจำนวนมากในชุดงานพิธีสีแดงสด กางเกงขายาวสีขาว เหรียญตราประดับประดาเต็มอก ในมือถือปืนไรเฟิล
กลุ่มองครักษ์หนุ่มเดินออกมาและรีบตั้งขบวนต้อนรับ หลังจากนั้น เหล่าราชวงศ์ทำการเดินเรียงแถวเดินออกจากเรือบินตามลำดับ ไล่เรียงจากราชาจอร์จที่สาม ราชินี องค์ชาย และองค์หญิง
ออเดรย์ไม่ชื่นชอบการพบปะผู้คน เธอจึงไม่สนใจพิธีรีตรองแม้แต่น้อย กลับกัน ความสมาธิของสาวน้อยกำลังเพ่งไปยังอัศวินม้าเกราะดำสนิทที่เดินขนาบสองข้างราชา
ในยุคสมัยของเหล็ก ไอน้ำ และปืนใหญ่เช่นนี้ ค่อนข้างประหลาดไม่น้อยที่ยังมีทหารสวมเกราะหนักเต็มพิกัดอยู่
ชุดเกราะที่เงางามทั่วร่างกายได้มอบความรู้สึกแข็งแกร่งดุดันแก่ผู้พบเห็น
“จะใช่พาลาดินวินัยรึเปล่านะ...”
ออเดรย์มักแอบฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่บ่อยครั้ง… ถึงจะเกิดความสงสัยใครครู่ แต่เธอก็ไม่กล้าเข้าไปชมในระยะใกล้
พิธีเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อตระกูลราชวงศ์เสด็จถึง ทันใดนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน—อากัส·นีแกน ก้าวขาออกมาด้านหน้าสุด
มันสังกัดพรรคอนุรักษ์นิยม และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองที่ไม่ได้มาจากสถานะขุนนาง
อากัส·นีแกน—หลังจากสร้างคุณประโยชน์ให้อาณาจักรมานาน ในที่สุดมันก็ได้รับพระราชทานคำนำหน้าชื่อด้วย ‘ลอร์ด’
ลอร์ดอากัส·นีแกน
ออเดรย์ยังทราบด้วยว่า ผู้สนับสนุนสำคัญของพรรคอนุรักษ์นิยม คือดยุคคนปัจจุบันแห่งตระกูลนีแกน—พาลัส·นีแกน ซึ่งเป็นพี่ชายบังเกิดเกล้าของอากัสนั่นเอง
อากัสมีรูปร่างผอมเพรียว กึ่งกลางศีรษะล้านเหลือด้านข้างไว้เล็กน้อย เป็นภาพลักษณ์ทั่วไปของชายวัยห้าสิบ
มันกวาดสายตาเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียง
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย กระผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกท่านจะได้เป็นสักขีพยานในพิธีปล่อยเรือรบจักรไอน้ำแห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษย์! ความยาวของหล่อนคือ 101 เมตร กว้าง 21 เมตร กราบขวาเรือถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีอันยอดเยี่ยมสำหรับจอดเทียบท่า แผ่นเหล็กรอบลำเรือมีความหนา 457 มิลลิเมตร ระวางขับ 10,060 ตัน ปืนหลักขนาด 305 มิลลิเมตร 4 กระบอก ปืนใหญ่ระดมยิง 6 กระบอก ปืนใหญ่หกปอนด์ 12 กระบอก ปืนใหญ่หกลำกล้อง 18 กระบอก และเครื่องยิงตอร์ปิโดอีก 4 กระบอก ความเร็วสูงสุด 16 น็อต!”
“หล่อนคือราชินีแห่งท้องทะเลตัวจริง!”
ฝูงชนถูกเร้าอารมณ์ ลำพังคำอธิบายก็มากพอจะสร้างความตื่นเต้นได้แล้ว แต่นี่กลับมีของจริงปรากฏอยู่เบื้องหน้า
อากัสกล่าวอีกสองสามประโยคก่อนจะหันไปแสดงความเคารพต่อราชา จากนั้นก็เอ่ยปากขอรบกวน
“ฝ่าบาท ได้โปรดประทานนามให้หล่อนด้วยขอรับ!”
“ในเมื่อมันถูกปล่อยลงทะเลครั้งแรกที่ท่าเรือพริสต์ เราขอตั้งชื่อมันว่า… เดอะพริสต์”
เมื่อกล่าวจบ ราชาจอร์จแสดงสีหน้าโล่งใจ
“เดอะพริสต์!”
“เดอะพริสต์!”
…
ถ้อยคำตะโกนเริ่มกระจายตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ไปถึงพลเรือแห่งกองทัพเรือหลวง จนกระทั่งถึงหูทหารและลูกเรือที่ประจำการ
ทุกคนร่วมเปล่งเสียงพร้อมกันอย่างยินดีว่า
“เดอะพริสต์!”
หลังจากราชาจอร์จที่สามทำพิธีส่งเรือลงทะเล เสียงปืนยิงสลุตเริ่มขึ้นพร้อมกับบรรยากาศเฉลิมฉลอง
ปู๊น—!
ควันขาวพวยพุ่งจากปล่องไฟมหึมาด้านบน เสียงเครื่องจักรดังกังวลไปพร้อมกับแตรเรือ
หลังจากวัตถุมหึมาถูกส่งลงทะเลเรียบร้อย ทุกคนต่างทึ่งเมื่อปืนใหญ่ท้ายเรือทำการยิงไปยังไปเกาะร้างที่ไม่ห่างออกไปนัก
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
ผืนดินสั่นสะเทือน ฝุ่นควันคละคลุ้งทั่วเกาะ เกิดคลื่นกระแทกจากปากกระบอกปืนจนน้ำทะเลสั่นกระเพื่อม
อากัสอมยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็หันมากล่าวกับฝูงชน
“นับแต่นี้ไป หายนะจะคืบคลานเข้าหาโจรสลัดทั้งเจ็ดที่บังอาจเรียกตัวเองว่า—นายพลโจรสลัด และอีกสี่โจรสลัดที่บังอาจเรียกตัวเองว่า—ราชาโจรสลัด พวกมันต้องสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเดอะพริสต์!
“หลังสิ้นสุดยุคสมัยปัจจุบัน บนท้องทะเลจะมีเพียงเรือจักรไอน้ำปกครองผืนสมุทร! ไม่สนว่าพวกโจรสลัดจะพึ่งพาพลังวิเศษ เรือผีสิง หรือเรือต้องสาปก็ตาม!”
เลขาส่วนตัวของอากัสส่งเสียงถาม
“แล้วพวกมันสร้างเรือจักรไอน้ำเองไม่ได้หรือ?”
ขุนนางหลายคนรวมถึงสมาชิกสภาล้วนพยักหน้าเห็นด้วย ความเป็นไปได้ดังกล่าวมิอาจถูกมองข้าม
อากัสฉีกยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ
มันอธิบายต่อไป
“นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน! และจะไม่มีทางเกิดขึ้นตลอดไป! การสร้างเรือรบจักรไอน้ำต้องใช้เหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ 3 แห่ง ต้องใช้เครื่องผสมเหล็กกล้าเทียบเท่าโรงงานเหล็ก 20 แห่ง ต้องใช้นักวิทยาศาสตร์และช่างเทคนิคหัวกะทิกว่า 60 คนจากหน่วยงานวิจัยปืนใหญ่เบ็คลันด์และหน่วยงายวิจัยทางทะเล ต้องใช้อู่ต่อเรือหลวงถึงสองแห่ง ต้องใช้วัสดุจิปาถะจากโรงงานโลหะอีกกว่าร้อยแห่ง ต้องผ่านการเห็นชอบจากจอมพลเรือ คณะกรรมการต่อเรือ สภาสูง ราชาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล รวมถึงต้องเป็นอาณาจักรยอดเยี่ยมที่มีกำลังผลิตเหล็กกล้า 12 ล้านตันต่อปี!
“พวกโจรสลัดไม่มีวันทำได้!”
เมื่อกล่าวจบ อากัส·นีแกนหยุดเล็กน้อยก่อนจะชูกำปั้นขึ้นฟ้า
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายเอ๋ย… ยุคสมัยของปืนใหญ่และเรือรบกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/