ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 2 : สถานการณ์ปัจจุบัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 4 : ทำนายดวงชะตา

ราชันย์เร้นลับ 3 : เมลิสซ่า


ราชันย์เร้นลับ 3 : เมลิสซ่า

 

หลังจากยืนยันแผนการ โจวหมิงรุ่ยพลันปวดขมับรุนแรงอีกครั้ง ภาวะหวาดกลัวและกระวนกระวายกำลังคุกรุ่นในหัวสมอง

แต่ก่อนอื่น มันต้องไล่ย้อนอ่านความทรงจำของไคลน์·โมเร็ตติอย่างระมัดระวัง โจวหมิงรุ่ยลุกเดินไปปิดวาล์วแก๊สด้วยความเคยชิน สายตาเหลือบมองโคมไฟกำแพงที่เริ่มหรี่แสง ก่อนจะนั่งลงเมื่อแสงดับสนิท มือข้างหนึ่งเล่นโม่ปืน ส่วนอีกข้างเลื่อนขึ้นมากุมแนบขมับ

 

ความทรงจำของบุคคลอื่นกำลังฉายซ้ำในสมองประหนึ่งนั่งชมภาพยนต์เรื่องยาว แต่ที่แปลกจากปรกติคือบรรยากาศของฉากหลังถูกฉาบด้วยสีแดงหม่น

 

เวลาล่วงผ่านไปนาน อาจเพราะถูกกระสุนเจาะทะลุสมอง ความทรงจำของไคลน์·โมเร็ตติจึงกระจัดกระจายไม่ปะปิดปะต่อ หลายจุดถูกฉายข้าม โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับปืนลูกโม่กระบอกนี้

 

มันมาอยู่กับไคลน์ได้อย่างไร และฆ่าตัวตายไปทำไม หลายคำถามที่หมิงรุ่ยสงสัยยังคลุมเคลือ ข้อความบนสมุด ‘ทุกคนต้องตาย รวมถึงฉัน’ หมายถึงสิ่งใดกัน และสองวันก่อนเกิดเหตุฆ่าตัวตาย ความทรงจำเหล่านั้นหายไปไหน

 

ไม่เพียงเรื่องสำคัญ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปของโลกใบนี้ก็หายไปหลายส่วน

 

ท่ามกลางความฉงน มีสิ่งหนึ่งที่โจวหมิงรุ่ยมั่นใจ หากไคลน์·โมเร็ตติกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้งในสภาพปัจจุบัน มันไม่มีทางจบการศึกษาอย่างแน่นอน

 

ความจำแหว่งโหว่ถึงเพียงนั้น ทั้งที่ไคลน์·โมเร็ตติจะเพิ่งเรียนจบเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง

 

แล้วหมิงรุ่ยต้องแบกร่างไคลน์ไปสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานกับมหาวิทยาลัยทิงเก็นในอีกสองวันข้างหน้าเนี่ยนะ…

 

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของอาณาจักรโลเอ็น ผู้ที่จบการศึกษามักไม่ทำงานต่อในมหาวิทยาเดิมที่เคยร่ำเรียน… อาจารย์ที่ปรึกษาจึงเขียนจดหมายแนะนำให้เข้าสมัครงานที่มหาวิทยาลัยทิงเก็นและมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์…

 

ที่หน้าต่างด้านนอก โจวหมิงรุ่ยนั่งมองจันทร์สีเลือดกำลังลับขอบฟ้าทิศตะวันตก แสงจันทร์บรรจงริบหรี่ลงอย่างเงียบงัน เมื่อจันทร์ลับขอบฟ้าโดยสมบูรณ์ ท้องฟ้าฝั่งทิศตะวันออกเริ่มฉายแสงทองอร่ามระยิบระยับ

 

ทันใดนั้น ความวุ่นวายเล็กๆ เริ่มอุบัติขึ้นภายในหอพัก เสียงฝีเท้าผู้คนเดินขวักไขว่ อาจไม่ดังจนรบกวน แต่ก็มากพอจะได้ยินทั่วหอพักที่ผนังแสนบอบบาง

 

เพียงไม่นาน เสียงฝีเท้าคนผู้หนึ่งดังแว่วใกล้เข้ามายังประตูห้องนอนไคลน์

 

“เมลิสซ่าตื่นแล้วสินะ… ยังเป็นเด็กตรงเวลาเหมือนเคย”

หมิงรุ่ยพลันอมยิ้ม เนื่องจากความทรงจำของมันเริ่มผสมกับไคลน์ทีละนิด ตัวตนของเมลิสซ่าจึงมอบความรู้สึกเหมือนกับน้องสาวแท้ๆ ของมันโดยปริยาย

 

แต่เราไม่มีน้องสาวสักหน่อย… หมิงรุ่ยรีบดึงสติกลับสู่ความจริง

 

เมลิสซ่ามีสถานะแตกต่างจากไคลน์และเบ็นสันเล็กน้อย เธอยังเรียนไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานตามข้อบังคับของรัฐบาล

ช่วงก่อนเมลิสซ่าจะถึงวัยเรียนเล็กน้อย อาณาจักรโลเอ็นได้ออกกฏใหม่ให้ประชาชนทุกคนได้รับ ‘การศึกษาขั้นพื้นฐาน’ โดยมีทุนการศึกษาสนับสนุน

 

เพียงสามปี… หลังจากโบสถ์เริ่มจัดตั้งหลักสูตรการศึกษาวันอาทิตย์ขึ้น โรงเรียงสามัญทั่วอาณาจักรโลเอ็นต่างรีบนำหลักสูตรด้านศาสนาออก เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างคำสอนของทั้งสามเทพประจำอาณาจักร ประกอบด้วย เทพแห่งวายุสลาตัน เทพธิดารัตติกาล และเทพแห่งจักรกลไอน้ำ

 

โรงเรียนวันอาทิตย์ของโบสถ์จะคิดค่าเล่าเรียนเพียงหนึ่งเพนนีทองแดงต่อสัปดาห์ นับเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับค่าเล่าเรียนของโรงเรียนสามัญซึ่งแพงถึงสามเพนนีต่อสัปดาห์

แต่แบบแรกจะมีเรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ส่วนแบบหลังนั้นต้องเรียนสัปดาห์ละหกวัน คุณภาพการศึกษาย่อมต่างกันหลายขุม

 

แต่เมลิสซ่าไม่เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป

 

ในวัยเด็ก เธอมิได้สนใจตุ๊กตาหรือของเล่น แต่จะชื่อชอบเฟือง เกียร์ สปริง และตลับลูกปืนมากเป็นพิเศษ เธอมีความฝันอยากเป็นช่างกลไอน้ำในอนาคต

 

พี่ใหญ่อย่างเบ็นสันที่ขาดโอกาส ย่อมตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาได้ดีกว่าใครในครอบครัว เฉกเช่นที่เคยสนับสนุนการเรียนของไคลน์ อย่างสุดความสามารถ

 

เหนือสิ่งอื่นใด เมลิซ่าเล็งศึกษาต่อเพียงเป้าหมายเดียว นั่นคือโรงเรียนเทคนิคทิงเก็นที่มีค่าเล่าเรียนค่อนข้างต่ำและสอบเข้าไม่ยากนัก เมลิซ่าจึงไม่จำเป็นต้องเรียนด้านภาษาหรือวิชาการเสริม

 

เมื่อถึงกรกฏาคมปีที่แล้ว เมลิซ่าวัยสิบห้าปีจบการศึกษาจากโบสถ์และสอบเข้าโรงเรียนเทคนิคทิงเก็นสำเร็จ กลายเป็นนักเรียนเทคนิคทิงเก็นสาขาไอน้ำและเครื่องจักรเต็มตัว

 

ด้วยเหตุนี้ ค่าเล่าเรียนของเธอจึงเพิ่มเป็นสามเพนนี่ต่อสัปดาห์

 

ในทางกลับกัน บริษัทที่เบ็นสันทำงานได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของทวีปใต้ กำไรเหือดแห้ง ลูกค้าหดหาย พนักงานหนึ่งในสามถูกลอยแพอย่างไม่มีทางเลือก หากเบ็นสันต้องการรักษาสถานภาพพนักงานไว้ มันต้องทำงานให้หนักกว่าปรกติหลายเท่า รวมถึงต้องเดินทางไปยังสถานที่ทุรกันดาร นั่นคือสาเหตุที่เบ็นสันไม่กลับบ้านติดต่อกันหลายวันในช่วงหลัง

 

ไม่ใช่ว่าไคลน์ไม่ต้องการช่วยพี่ชายแบ่งเบาภาระ แต่เมื่อเกิดเป็นสามัญชน ไคลน์จำเป็นต้องศึกษาในโรงเรียนสามัญและมหาวิทยาลัยเพื่อให้แข่งขันกับครอบครัวขุนนางได้ทัดเทียม

 

ค่าเล่าเรียนมหาศาลของไคลน์ส่งผลให้ครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงินอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

 

แต่นั่นคือสิ่งจำเป็น เพราะทายาทตระกูลขุนนางล้วนรู้ภาษาโบราณทุกชนิดของทวีปเหนือตั้งแต่เด็ก แต่กลับกัน สามัญชนจะได้เรียนเป็นครั้งแรกในระดับมหาวิทยาลัย

 

ทว่า นั่นมิได้ทำให้ไคลน์ย่อท้อ มันตั้งใจเรียนหนังสืออย่างหนักตั้งแต่ยังเล็ก ขณะเรียนมหาวิทยาลัย ทุกคืนต้องศึกษาตำราจนดึกดื่นและตื่นก่อนใครเสมอ

 

จนท้ายที่สุด ไคลน์เรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยคะแนนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย

 

ขณะความทรงจำมากมายเกี่ยวกับพี่ชายและน้องสาวกำลังซัดโถมโจวหมิงรุ่ยอย่างไม่หยุดพัก เสียงลูกบิดประตูถูกหมุนได้ดังแว่วเข้ามากระทบแก้วหู

 

มันเพิ่งนึกได้ว่า ในมือยังกำลูกโม่ทองเหลืองแน่นถนัด… นี่เป็นอาวุธกึ่งควบคุมที่ต้องมีใบอนุญาต!

 

เมลิสซ่าอาจเข้าใจผิดได้ และที่แย่ไปกว่านั้น บาดแผลตรงขมับของมันก็ยังไม่หายดี

 

เมื่อตระหนักว่าน้องสาวอาจเปิดประตูเข้ามาทุกเมื่อ โจวหมิงรุ่ยรีบใช้มือขวาปกปิดบาดแผลไว้ ส่วนมือซ้ายดึงลิ้นชักออก แล้วกระแทกลูกโม่ลงไปจนเกิดเสียงดังโครม

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

เมลิสซ่าเอ่ยปากถามหลังจากได้ยินเสียงเอะอะ เธอยังอยู่ในวัยช่างสงสัย ถึงจะได้รับสารอาหารไม่มากพอเพราะความยากจน แต่ยังคงมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นเหมือนเช่นเด็กในวัยสาวทั่วไป

 

เมื่อหันไปเห็นน้องสาวเปิดประตูพลางจ้องมองเข้ามาในห้อง หมิงรุ่ยชะงักเล็กน้อย

 

ลิ้นชักยังไม่ถูกปิด มันแสร้งหยิบบางสิ่งในลิ้นชักชึ้นมากำแทนลูกโม่เพื่อเบนความสนใจ จากนั้นก็ใช้หมัดดันลิ้นชักไม้กลับเข้าไปเพื่อเก็บซ่อนปืนให้มิดชิด

 

มือข้างขวาที่สัมผัสขมับเริ่มรับรู้สิ่งผิดปรกติ บาดแผลที่ควรมีได้หายไปแล้ว สมานติดกันโดยสมบูรณ์ไร้ร่องรอย

 

หมัดข้างซ้ายที่ใช้ดันลิ้นชักปิด โจวหมิงรุ่ยเริ่มคลายกำมือ เผยให้เห็นนาฬิกาแบบห้อยคอสีทองเหลืองรูปทรงใบองุ่น

 

มันใช้ปลายนิ้วกดอย่างทะนุถนอม ฝาเครื่องดีดขึ้นเปิดตามกลไกลพร้อมเสียงกริ๊ก

ด้านในบรรจุภาพถ่ายบิดาของสามพี่น้อง เป็นสิ่งของมูลค่าสูงสุดเท่าที่ทางกองทัพทิงเก็นจะหาคืนครอบครัวโมเร็ตติได้

 

แต่ด้วยความที่เป็นนาฬิกามือสอง เมื่อผ่านไปสักพัก เวลาจะเริ่มเดินเพี้ยน ถึงแม้จะมีช่างนาฬิกาหมั่นซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอก็ตาม

 

การระบุเวลาผิดได้สร้างความลำบากใจให้เบ็นสันบ่อยครั้ง มันเคยชอบพกนาฬิาเรือนนี้เพื่อเป็นของต่างหน้าพ่อ รวมถึงเป็นสัญลักษณ์แทนผู้นำครอบครัว แต่เมื่อเริ่มบอกเวลาผิดพลาดบ่อยครั้งเข้า เบ็นสันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางเก็บไว้ที่บ้านอย่างสงบนิ่ง

เมลิสซ่าทำตัวสมกับความใฝ่ฝันที่จะเป็นช่างจักรกล ในช่วงต้น เธอตั้งใจศึกษากลไกการทำงานของนาฬิกาโดยละเอียด จนกระทั่งเมื่อพร้อมซ่อม เครื่องมือหลายชนิดถูกหยิบยืมมาจากโรงเรียนเทคนิคทิงเก็น และเมื่อไม่นานมานี้ เธอบอกกับทุกคนว่าซ่อมมันสำเร็จแล้ว

 

แต่หลังจากยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่ง หมิงรุยพบว่าเข็มนาทีไม่ขยับเขยื้อน จึงเลื่อนนิ้วขึ้นไปบิดเม็ดมะยมตามสัญชาตญาณ

 

ทว่า บิดเท่าไรก็ไม่ได้ยิงเสียงสปริง

เข็มนาทียังคงนิ่งค้างในจุดเดิม

 

“ดูเหมือนจะเสียอีกแล้วล่ะ”

 

ชายหนุ่มหันมองเมลิสซ่าเพื่อหาหัวข้อสนทนา น้องสาวสุดที่รักมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้ามาคว้านาฬิกาไป

 

เธอยังคงไม่เป็นไหน เมลิซ่ายืนเพ่งนาฬิกาพร้อมกับใช้นิ้วดึงเม็ดมะยมขึ้นหนึ่งล็อค เมื่อลองบิดซ้ายขวาสองสามครั้ง เข็มนาทีก็เริ่มส่งเสียงดังติกตอกอีกครั้ง

 

ไม่ใช่ว่าการดึงเม็ดมะยมขึ้นจะหมายถึงตั้งเวลาหรอกหรือ… โจวหมิงรุ่ยขมวดคิ้วฉงน

ทันใดนั้น เสียงระฆังโบสถ์ดังกังวาลจากจุดห่างไกลออกไป สัญญาณดังขึ้นหกครั้ง หมายถึงเวลาหกโมงเช้า เป็นเสียงที่ใสเสนาะหู

 

เมลิซ่าเอียงคอฟังระฆังโบสถ์อย่างตั้งใจ เมื่อกลับเข้าสู่ความเงียบงัน เธอก้มลงหมุนเม็ดมะยมเพื่อปรับเวลาให้ตรงกัน

 

“ใช้ได้แล้ว”

 

เป็นถ้อยคำเรียบง่ายไร้อารมณ์เช่นเคย เม็ดมะยมถูกกดลงดังกริ๊ก จากนั้น เมลิซ่ายื่นนาฬิกากลับให้โจวหมิงรุ่ย

 

มันอมยิ้มแทนคำขอบคุณ

 

เธอขมวดคิ้วพลางหรี่ตาจ้องพี่ชายคนกลางด้วยสายตาเสียดแทง จากนั้นก็เดินกลับไปยังตู้เสื้อผ้าที่ห้องรวม เมลิสซ่าจัดเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัว เมื่อเรียบร้อย เธอออกจากห้องพักและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำรวม

 

เหตุใดเธอถึงจ้องพี่ชายตัวเองด้วยสายตาเย็นชาและดูแคลนขนาดนั้น?

เป็นห่วงพี่ชายไม่เอาไหนงั้นหรือ?

 

หมิงรุ่ยเอียงคอพร้อมกับพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย มันส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

 

ขณะเดียวกัน นาฬิกาในมือถูกนิ้วดันให้ฝาพับปิดลง จากนั้นก็กดเปิดเล่นอีกครั้ง หมิงรุ่ยมักมีนิสัยเล่นของบนมือขณะใช้ความคิด

ไคลน์ยิงตัวตายด้วยลูกโม่โดยไม่ใส่ที่เก็บเสียง มันขอสมมติให้เป็นการฆ่าตัวตายไปก่อน… เสียงจากปืนลูกโม่กระบอกนี้น่าจะคำรามได้กึกก้องพอตัว แล้วเหตุใดเมลิซ่าถึงไม่เอะใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องพี่ชายเลย

 

หลับลึก? หรือว่าการฆ่าตัวตายของไคลน์จะมีเงื่อนงำที่มากกว่านี้?

 

กริ๊ก! ฝานาฬิกาเปิดออก

แกร่ก! ฝานาฬิกาปิด…

 

เมื่อเมลิสซ่ากลับจากห้องน้ำรวม เธอเหลือบเห็นพี่ชายกำลังยืนครุ่นคิดพลางปิดเปิดนาฬิกาเล่นอยู่พักใหญ่ สายตาของเธอแฝงด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง

 

ทว่า น้ำเสียงกลับอ่อนหวานนุ่มนวลสวนทาง

 

“ไคลน์ เอาขนมปังที่เหลือออกมา แล้ววันนี้อย่าลืมไปซื้อของใหม่ด้วย เนื้อกับถั่วก็หมดแล้วเหมือนกัน การสัมภาษณ์งานใกล้เข้ามาแล้วใช่ไหม ฉันจะทำสตูว์แกะใส่ถั่วให้”

 

ขณะกล่าว เมลิสซ่าเดินไปหยิบหม้อต้มและถ่านฟืนจากมุมห้องและเริ่มต้มน้ำ

ก่อนน้ำเดือด เธอก้มดึงลิ้นชักชั้นชั้นล่างสุดและหยิบบางสิ่งออกมาด้วยท่าทางทะนุถนอมประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่า…

กระปุกใบชาราคาถูก!

 

เมลิซ่าเปิดฝาหยิบออกมาราวสิบใบ โปรยลงไปในหม้อต้ม สีหน้าพึ่งพอใจราวกับได้ชงชาแท้คุณภาพชั้นเลิศ

 

เมื่อร้อนได้ที่ เธอรินชาใส่ถ้วยสองใบใหญ่ จากนั้นก็ฉีกขนมปังไรย์ที่เริ่มแข็ง แบ่งกับกินกับโจวหมิงรุ่ยสองคน

 

บนผิวขนมปังไม่มีเศษฝุ่นผง ความนุ่มอยู่ในระดับปรกติ แต่รสชาตินั้นเข้าขั้นบัดซบ… โจวหมิงรุ่ยยังไม่ถูกเติมเต็มท้องที่หิวโหย ร่างกายอ่อนล้าและปราศจากเรี่ยวแรงเหมือนเช่นเคย แต่ถึงจะบ่นในใจ ทางเลือกคงมีไม่มากนัก ต้องฝืนกระเดือกขนมปังไรย์ในมือให้หมด

 

เมลิสซ่าทานหมดหลังหมิงรุ่ยไม่นานนัก เธอจัดแจงเส้นผมสีดำขลับไปด้านหลังพร้อมกับกล่าว

 

“อย่าลืมซื้อขนมปังสด เอามาแค่แปดปอนด์ก็พอ ช่วงนี้อากาศร้อน ขนมปังจะเสียง่าย แล้วอย่าลืมซื้อเนื้อแกะกับถั่วมาด้วย ห้ามลืมเด็ดขาด!”

 

เป็นอย่างที่คิด เธอคงเป็นห่วงพี่ชายสุดบื้อของตัวเอง ถึงขั้นเน้นยำหลายครั้งเพราะกลัวลืม… โจวหมิงรุ่ยอมยิ้มพลางผงกศีรษะ

 

“ครับผม”

 

จากความทรงจำของไคลน์ หน่วยชั่งตวงของอาณาจักรโลเอ็นจะใช้ ‘ปอนด์’ เป็นหลัก แปดปอนด์จะใกล้เคียงกับครึ่งกิโลกรัมของโลกเดิมที่มันคุ้นเคย

 

เมลิซ่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เธอลงมือทำความสะอาดห้องรวมจนเรียบร้อย เศษขนมปังไรย์ที่เหลือถูกนำใส่กระเป๋าสะพายเตรียมไว้เป็นอาหารกลางวัน

เมลิซ่าหยิบผ้าคลุมหัวซึ่งสภาพค่อนข้างเก่าออกมาสวม เป็นของดูต่างหน้าจากมารดาผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น เธอหยิบกระเป๋าที่บรรจุเครื่องเขียนและหนังสือออกมาสะพาย เป็นใบที่ผ่านการซ่อมแซมครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยฝีมือเย็บปักที่เมลิสซ่าภาคภูมิใจ

 

ถึงคราวเธอออกเดินทางไปเรียนแล้ว วันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ การเรียนการสอนจึงยาวตลอดทั้งวัน

 

หากด้วยเดินเท้า จากหอพักไปถึงโรงเรียนเทคนิคทิงเก็นจะใช้เวลาราวห้าสิบนาที

ภายในเมืองมีบริการรถม้าสาธารณะ อัตราค่าโดยสารกิโลเมตรละหนึ่งเพนนี ค่าโดยสารสูงสุดในเขตเมืองจะมีราคาไม่เกินสี่เพนนี และไกลสุดชานเมืองจะมีราคาไม่เกินหกเพนนี

 

แต่เพื่อประหยัดเงิน เมลิสซ่าเลือกเดินเท้าไปโรงเรียน

 

ขณะยืนอยู่หน้าประตูห้องพัก เธอชะงักไปครู่หนึ่งหลังจากเปิดประตูค้างไว้ครึ่งบาน

 

เมลิสซ่าหันหลังกลับมากล่าว

 

“ไคลน์ อย่าซื้อมาเยอะเกินไปนะ เบ็นสันจะกลับมาวันอาทิตย์ เราสองคนต้องการขนมปังแค่แปดปอนด์เท่านั้น”

 

“รู้แล้วน่า”

 

โจวหมิงรุ่ยเริ่มตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

ขณะเดียวกัน ภายในหัวกำลังทบทวนคำว่า ‘วันอาทิตย์’ ซ้ำหลายหน

 

อ้างอิงจากปฏิทินของทวีปเหนือ หนึ่งปีแบ่งออกเป็นสิบสองเดือน แต่ละปีจะมี 365 หรือ 366 วัน และในหนึ่งสัปดาห์จะแบ่งออกเป็นเจ็ดวัน

 

ตามหลักปรกติ การแบ่งสิบสองเดือนเกิดจากความรู้ด้านดาราศาสตร์ของมนุษย์ หมิงรุ่ยจึงนึกสงสัยว่า ที่นี่อาจเป็นโลกคู่ขนานกับโลกที่ตนเคยอาศัย

 

ในทางกลับกัน การแบ่งวันทั้งเจ็ดจะมีรากฐานมาจากศาสนา

 

ทวีปเหนือมีเทพทั้งหมดเจ็ดองค์ ประกอบด้วย เทพตะวันเจิดจรัส เทพแห่งวายุสลาตัน เทพแห่งความรู้และปัญญา เทพธิดารัตติกาล พระแม่ธรณี เทพสงคราม และเทพแห่งจักรกลไอน้ำ

 

เมื่อเห็นน้องสาวปิดประตูเดินจากไป หมิงรุ่ยพลันถอนหายใจยาว สมาธิทั้งหมดหันมาจดจ่อกับพิธีกรรมเปลี่ยนดวงตะชา

 

ขอโทษนะ… แต่พี่อยากกลับบ้าน

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละหนึ่งตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด