ราชันย์เร้นลับ 1 : แดงฉาน
ราชันย์เร้นลับ 1 : แดงฉาน
ปวด…
ปวดจัง…
ทำไมถึงปวดหัวแบบนี้…
ดินแดนแห่งความฝันหลากแสงสีที่เปี่ยมด้วยเสียงเพรียกหา ค่อยๆ พังครืนลงต่อหน้า
โจวหมิงรุ่ย (วัฏจักรโชคลาภเจิดจรัส) ซึ่งกึ่งหลับกึ่งตื่น มันพลันเจ็บแปลบที่ศีรษะประหนึ่งถูกทุบด้วยแท่งเหล็ก ไม่สิ ระบุให้ชัดคือ เป็นความเจ็บแปลบราวกับถูกโลหะแหลมยาวเสียบทะลวงขมับพลางคนกวนให้ยุ่งเหยิง
โงนเงน
โจวหมิงรุ่ยพยามฝืนพยุงตัวลุกนั่ง มันต้องการใช้มือสัมผัสศีรษะให้แน่ชัดเพื่อสืบทราบหาต้นตอความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะมือหรือเท้าต่างก็มิอาจขยับเขยื้อนได้ดั่งใจ ราวกับร่างกายนี้มิใช่ตนที่เป็นเจ้าของ
บางทีเราอาจยังไม่ตื่นดี นี่คงเป็นเพียงในฝันที่เสมือนจริง…
ใช่แล้วเราแค่คิดว่าตัวเองตื่น แต่แท้จริงแล้วกำลังหลับ
ในฐานะที่ไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้ โจวพยายามตั้งสติและสลัดความดำมืดที่เป็นฝัน ค่อยๆ ฝืนเอาชนะร่างกายที่ถูกพันธนาการ แต่ด้วยภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เจตจำนงอันแรงกล้ากลับบางเบาราวกลุ่มหมอก ห้วงความคิดไม่ปะติดปะต่อและยากควบคุม ไม่ว่าจะพยายามฝืนจิตเพียงใด แต่ทุกการกระทำล้วนเป็นหมัน
ทำไมจู่ๆ ถึงปวดหัวได้…
แถมยังเจ็บขนาดนี้!
หรือว่าจะเป็นอาการเลือดคั่งในสมอง...
บ้าจริง นี่เราจะตายทั้งที่ยังหนุ่มแน่นเนี่ยนะ!
รีบตื่นเร็วเข้า! ตื่น!
อา… มันไม่ค่อยเจ็บแล้ว แต่ในหัวเหมือนกับบางสิ่งคล้ายมีดทื่อกำลังสับสมองเราอย่างเชื่องช้า…
คงนอนต่อไปไม่ได้แน่ แล้วเราจะไปทำงานพรุ่งนี้ได้ยังไง
เดี๋ยวสิ นี่นายยังคิดจะไปทำงานอีกหรือ ปวดหัวบัดซบแบบนี้ ขอใบรับรองแพทย์แล้วนอนอยู่บ้านดีกว่า โดนบ่นจนหูชาสักยกจะเป็นไรไป
ไม่เลว อย่างน้อยก็ได้ลาหยุดหนึ่งวัน
หลังจากความรู้สึกราวกับสมองถูกกรีดจบลง โจวหมิงรุ่ยเริ่มได้รับพลังใจกลับมาอย่างน่าประหลาด ท้ายที่สุด มันยืดตัวเอนหลังให้ตั้งตรงได้แล้ว ดวงตาลืมขึ้นพลางสลัดคราบอาการกึ่งกลับกึ่งตื่นเมื่อครู่
ภาพการมองเห็นพร่ามัวไปชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มปรับสายตาให้ชินกับบรรยากาศรอบข้างที่มีสีออกแดงเจือจาง โจวหมิงรุ่ยมองเห็นโต๊ะไม้ตั้งวางอยู่เบื้องหน้า บนโต๊ะมีสมุดเล่มหนึ่งถูกกางเปิดออก กระดาษบนสมุดทั้งหยาบและเหลือง มีข้อความอักษรประหลาดถูกเขียนไว้ด้วยด้วยหมึกสีดำเข้มเตะตา
ซ้ายมือของสมุดเป็นกองหนังสือวางตั้งเรียงราวเจ็ดถึงแปดเล่ม มันวางชิดขอบโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ กำแพงฝั่งขวามือมีท่อสีเทาขาวถูกเดินติดตั้งอย่างเป็นระเบียบ ปลายสุดของท่อเชื่อมเข้ากับโคมไฟผนัง
ดูคล้ายกับโคมไฟผนังทรงตะวันตกยุคเก่า ขนาดเพียงครึ่งศีรษะบุรุษโตเต็มวัย ด้านในล้อมสี่ทิศด้วยกระจกใส่ ส่วนด้านนอกถูกครอบไว้ด้วยโลหะที่คล้ายเหล็ก
ใต้โคมไฟผนังมีขวดหมึกดำที่หุ้มด้วยกระดาษสีแดงสดเปล่งประกาย ลวดลายบนกระดาษถูกพิมนูนด้วยภาพของนางฟ้า
ถัดจากขวดหมึกคือปากกาดำหัวกลมที่วางอยู่ข้างขวาของสมุดอย่างเงียบงันไม่ส่งเสียง ปลายปากกายังคงเหลือหมึกอย่างเจือจางส่องกระทบแสงจนเกิดประกายเล็กน้อย ข้างปลอกปากกามีปืนลูกโม่ทองเหลือวางอยู่
ปืน… แถมยังเป็นลูกโม่… โจวหมิงรุ่ยผงะไปครู่ใหญ่ ทุกสิ่งที่เขามองเห็นด้วยตาไม่เหมือนกับบรรยกาศห้องนอนตัวเองแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความตกตะลึง เขาเริ่มตระหนักว่าโต๊ไม้ะ สมุดจด ขวดหมึก และปืนลูกโม่ล้วนถูกหุ้มไว้ด้วยชั้น 'ผ้าบาง' สีแดงฉาน ตาของโจวเริ่มทำความคุ้นชินกับแสงจากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
ขณะสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน โจวหมิงรุ่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ณ ท้องฟ้ายามค่ำคืนหลังม่านฝ้ายสีดำง จันทร์เต็มดวงกำลังสุกสว่างพลางส่องแสงสีแดงเลือดอย่างเงียบงัน
นี่มัน… โจวหมิงรุ่นเริ่มสัมผัสถึงความไม่ปรกติ เขารีบลุกพรวดขึ้น แต่น่าเสียดายที่แข้งขายังคงไร้เรี่ยวแรง แถมหัวสมองยังคงวิงเวียนไม่หายจากอาการปวด ชายหนุ่มสูญเสียสมดุลร่างกายพร้อมกับล้มก้นจ้ำเบ้ากระแทกใส่ไม้แข็งหนึ่งครั้ง ก่อนจะเสียหลักเซนั่งลงบนเก้าอี้
ตุ้บ!
โชคดีที่ไม่ได้รับอาการบาดเจ็บเพิ่มเติม โจวหมิงรุ่ยวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับฝืนออกแรง มันพยายามพยุ่งตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อจะทราบให้ได้ว่า ตนหลุดเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ใดกันแน่
ที่นี่คือห้องเล็กและแคบซึ่งมีประตูสีน้ำตาลเพียงสองบานซ้ายขวา เตียงไม้สองชั้นถูกวางตั้งชิดผนังด้านตรงข้าม
ระหว่างเตียงไม้และประตูซ้ายมีตู้เสื้อผ้าหันหน้าออก ด้านล่างตู้มีลิ้นชักทั้งหมดห้าชั้น
ท่อสีเทาขาวขนาดสูงเท่าคนถูกติดตั้งที่มุมห้อง ปลายท่อเชื่อมกับกล่องกลไกลแปลกประหลาดที่ด้านในเผยให้เห็นลูกปืนและเฟืองบางส่วน
ไม่ไกลจากโต๊ะไม้มากนัก มุมห้องขวามือมีอุปกรณ์วางเรียงราย ทั้งเตาถ่าน หม้อซุบ หม้อเหล็ก และอุปกรณ์ทำครัวนานาชนิด
ข้างประตูฝั่งขวามีแท่นกระจกเงาสำหรับแต่งตัวที่ฐานทำจากไม้ทั่วไป
หลังจากกวาดเพ่งสายตาอยู่ครู่หนึ่ง โจมหมิงรุ่ยเริ่มมองเห็นรูปลักษณ์ในสภาพปัจจุบันอย่างเลือนลาง
ผมสีดำขลับ นัยน์ตาสีน้ำตาล เสื้อลินิน ร่างกายผอมบาง หน้าตาปานกลาง กรามค่อนข้างเรียว
นี่มัน… โจวหมิงรุ่ยพลันสูดลมหายใจเข้าปอด ความคิดฟุ้งซ่านนานาชนิดกำลังถาโถมโหมกระหน่ำ
ปืนลูกโม่ บรรยากาศกลิ่นอายยุโรปยุคเก่า รวมถึงดวงจันทร์สีชาดที่แตกต่างจากโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง ทั้งหมดนำพาไปสู่ข้อสรุปเดียว
เราถูกส่งมาต่างโลกงั้นหรือ… โจวหมิงรุ่ยอ้าปากค้างไม่หุบ
ในฐานะบุคคลที่เติบโตมาพร้อมกับนิยายออนไลน์ เขาเฝ้าฝันการเดินทางไปยังต่างโลกบ่อยครั้ง แต่เมื่อได้สัมผัสเข้ากับตัวเอง มันกลับยากจะทำใจยอมรับเสียเหลือเกิน
นี่สินะที่เขาเรียกว่า 'เอี้ยกงปรารถนามังกร' (แม้จะหวาดกลัว แต่ก็ตื่นเต้นยินดี) หลังจากผ่านการครุ่นคิดนานหลายวินาที โจวหมิงรุ่ยเริ่มพึมพำกับตัวเองพลางขมวดคิ้ว
หากไม่เพราะความเจ็บปวดที่ยังฝังแน่นในหัว ผนวกกับสติสัมปชัญญาที่เริ่มเฉียบคมและชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ โจวหมิงรุ่ยคงอาจคิดว่าตนกำลังดำดิ่งอยู่ในฝันประหลาด
ใจเย็นก่อน… หลังสูดลมหายใจเข้าปอดสองสามหน โจวหมิงรุ่นเริ่มข่มจิตให้สงบนิ่ง
ในวินาทีนี้ ขณะจิตและกายเริ่มปรองดองเป็นหนึ่ง เศษเสี้ยวความทรงจำใหม่พลันพรั่งพรูเข้ามาในหัวสมอง
ไคลน์·โมเร็ตติ พลเมืองทวีปเหนือ อาณาจักรโลเอน รัฐอาโอว่า เมืองทิงเก็น แถมยังเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบจากคณะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้…
บิดาเป็นจ่าสิบเอกแห่งกองทัพหลวงและสละชีพในสงครามยึดครองดินแดนกับทวีปใต้ เงินชดเชยที่ครอบครัวได้รับช่วยให้ไคลน์ได้ศึกษาในโรงเรียนประจำสายวิทย์ นั่นคือพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลให้ไคลน์สอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จ
มารดาเป็นผู้ศรัทธา 'เทพธิดารัตติกาล' อย่างแรงกล้า เธอจากโลกนี้ไปในปีเดียวกับที่ไคลน์สอบเข้ามหาวิทยาลัยโฮอี้สำเร็จ
เขายังมีพี่ชายและน้องสาวที่อาศัยอยู่ด้วยกันภายในบ้านพักสองห้องนอน
ครอบครัวมิได้ร่ำรวย จะเรียกว่ายากจนกว่ามาตรฐานก็ไม่ผิดนัก รายได้ที่จุนเจือครอบครัวทั้งหมดมาจากพี่ชายที่ทำงานเป็นเสมียนในบริษัทน้ำเข้าและส่งออก
ในฐานะที่จบดานประวัติศาสตร์ ไคลน์เชี่ยวชาญในภาษาโบราณที่ชื่อ 'ฟูซัค' ซึ่งถือเป็นรากฐานของอักษรทวีปเหนือทั้งหมด รวมถึงอักษรเฮอร์มิสที่มักปรากฏบ่อยครั้งในสุสานเก่าแก่ รวมถึงปรากฏในตำราและบทสวดอีกมาก
เฮอร์มิส… ความทรงจำหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวโจวหมิงรุ่ย เขารู้สึกเจ็บแปลบที่ขมับจนต้องเลื่อนมือขึ้นไปจับเพื่อบรรเทา จากนั้น หมิงรุ่ยชำเลืองสายตากลับไปมองสมุดบนโต๊ะที่หน้ากระดาษเปิดค้างอยู่ อักษรที่เขียนกึ่งกลางเริ่มแปรเปลี่ยน จากไม่คุ้นเคยเป็นคุ้นเคย จากคุ้นเคยเป็นอ่านออกในที่สุด
มันคือประโยคสั้นที่เขียนด้วยอักษรเฮอร์มิส
หมึกดำได้กล่าวว่า :
"ทุกคนต้องตาย รวมถึงฉัน"
วาบ!
โจวหมิงรุ่ยสัมผัสถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง เขาผงะเซถอยหลังตามสัญชาตญาณ ราวกับต้องการออกห่างจากสมุดเล่มนี้ให้ไกล
ด้วยความที่ร่างกายกำลังอ่อนล้า เขาเสียหลักล้มลงและใช้มือคว้าขอบโต๊ะไว้ได้ทัน ภาพการมองเห็นกำลังหมุนเคว้ง บรรยากาศรอบตัวปั่นป่วนและไม่ชัดเจน หูเริ่มได้ยินเสียงประหลาดดังแว่ว ประหนึ่งกับร่างกายถูกผีอำชั่วขณะก็มิปาน
โจวหมิงรุ่ยส่ายศีรษะเพื่อสลัดความหวาดกลัวออกไป เขาพยายามดึงสติกลับมาพลางเบนสายตาหนีจากสมุด ลมหายใจกำลังขาดห่วงด้วยท่าทางของคนเหนื่อยหอบ
สายตาหมิงรุ่ยชำเลืองมองปืนลูกโม่สีทองแดง ความสับสนเริ่มถาโถมเข้ามาในสมอง
"ด้วยสภาพความเห็นอยู่ของครอบครัวไคลน์ หมอนั่นไปเอาปืนลูกโม่มาจากไหน"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด
ท่ามกลางความสับสนและตื่นตระหนก หมิงรุ่ยเหลือบเห็นรอยครึ่งฝ่ามือสีแดงฉานที่ขอบโต๊ะ สีแดงของมันทั้งสดและน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าจันทร์สีเลือดด้านนอกหน้าต่าง
ไม่ผิดแน่… นี่คือรอยฝ่ามือเปื้อนเลือด
"รอยมือเปื้อนเลือด…"
โจวหมิงรุ่ยรีบยกฝ่ามือขวาขึ้นมามองตามสัญชาตญาณ มือขวาที่เมื่อครู่ใช้พยุงตัวกับขอบโต๊ะขณะเสียหลักล้ม แล้วก็เป็นดังคาด ทั้งฝ่ามือและนิ้วข้างขวากำลังมีเลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนหลายจุด
ขณะเดียวกัน อาการหัวหมุนได้วนเวียนกลับมาหลอกหลอนอีกระลอก ถึงจะบางเบากว่าช่วงแรก แต่มันยังคงดำเนินอย่างไม่จบสิ้น
"เราหัวแตกงั้นหรือ…"
โจหมิงรุ่ยพึมพำพลางเดินไปส่องกระจกที่แตกร้าว
เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ได้เห็นภาพของชายส่วนสูงปานกลาง นัยน์ตาสีน้ำตาล ส่องสะท้อนบนกระจกเงา
นี่คือตัวเราในปัจจุบันสินะ… ไคลน์·โมเร็ตติ
ด้วยความที่แสงไฟจากด้านนอกไม่สว่างมากพอ เขาจึงมองเห็นบาดแผลของตัวเองได้ไม่ชัดเจน โจวหมิงรุ่ยพยายามขยับใบหน้าเข้าใกล้กระจกมากขึ้นพลางเอนศีรษะไปยังจุดต้นตอที่เลือดไหล
ภาพบนกระจกเงากำลังสะท้อนบาดแผลเหวอะหวะชวนอาเจียนตรงขมับ รอบแผลปากมีรอยไหม้และคราบดินปืน
ณ กึ่งกลางของบาดแผล… โจวหมิงรุ่ยมองเห็นสมองสีเทาของตัวเองกำลังยุบพองอย่างเชื่องช้า
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/