บทที่ 45 วิญญาณหิมะปรภพ (1)
บทที่ 45 วิญญาณหิมะปรภพ (1)
เหล่านักเรียนใหม่เอกเทวคีตชั้นปีที่หนึ่งล้วนอยู่ในห้องเรียน รวมทั้งไห่หยาง ตอนนี้ไห่หยางนั่งอยู่ตรงมุมห้อง กำลังตั้งสายกู่เจิงของเธอ
เชอรีนพูดกับเย่อินจู๋ว่า “ทุกคนกำลังปรึกษากันเรื่องการประลองตอนบ่ายน่ะ”
เย่อินจู๋กล่าวอย่างสงสัยว่า “ปรึกษา? คุณยายนีนาวางแผนไว้ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เชอรีนหัวเราะคิกคักแล้วกล่าวว่า “พวกเราปรึกษากันเรื่องกองเชียร์ต่างหาก พวกรุ่นพี่ชั้นปีสูงๆ บอกว่าถ้าพวกเราชนะอีกสนามหนึ่งได้ ไว้รอการประลองพรุ่งนี้ พวกเธอจะรวมตัวกันมาเชียร์พวกเราด้วย พอถึงเวลาทั้งโรงเรียนจะต้องสะเทือนแน่นอน อินจู๋ ทำไมเจ้าถึงเรียกหัวหน้าเอกนีนาว่าคุณยายล่ะ เจ้าไม่กลัวตาย แต่พวกเรากลัวจะโดนลูกหลงไปด้วยนะ”
อินจู๋หัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบ ในขณะนั้นเอง ประตูห้องเรียนก็เปิดออก นีนาเดินเข้ามาจากข้างนอก แม้สีหน้าของเธอยังคงแลดูหยิ่งทะนงและเย็นชาปานนั้น แต่ใครๆ ก็รู้สึกได้ว่าวันนี้นีนาอารมณ์ดีมาก ดูจากรอยยิ้มตรงหางตาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน
นีนาปรบมือดึงความสนใจของทุกคนมารวมอยู่ที่ตัวเอง “เอาล่ะ ทุกคนฟังข้าพูด ข้าเพิ่งไปจับฉลากมา คู่ต่อสู้ตอนบ่ายของเราในวันนี้คือเอกมนตร์ดำ กลยุทธ์เหมือนกับตอนเช้า แต่พวกเจ้าต้องระวังให้ดี หากป้องกันหรือต้านการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ไหวให้ยอมแพ้ทันที เย่อินจู๋ ข้อนี้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบ”
เพื่อความยุติธรรม ในช่วงเวียนแข่งขันของศึกประลองนักเรียนใหม่ หลังจากแข่งจบสนามหนึ่งแล้วจึงค่อยทำการจับฉลากสนามถัดไป เวลาจับฉลากจะตัดคู่ต่อสู้ที่เคยเจอกันแล้วออก
พอได้ยินว่าคู่ต่อสู้คือเอกมนตร์ดำ เชอรีนกับแลนซีก็อุทานอย่างตกใจพร้อมกัน สีหน้าของพีค็อกเปลี่ยนไป แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่ใบหน้าหยิ่งทะนงของเธอกลับห่อเหี่ยวลง มีแต่ไห่หยางที่นั่งอยู่ตรงมุมที่ไม่แสดงท่าทีอะไร ยังคงเย็นชาและสงบนิ่งอย่างนั้น
เก้าสาขาเอกใหญ่ของคณะเวทมนตร์แบ่งออกเป็นเอกวารี เอกอัคคี เอกวายุ เอกปฐพี เอกแสง เอกมนตร์ดำ เอกอัญเชิญ เอกจิตวิญญาณ และเอกมิติ ในจำนวนนั้น หกเอกแรกจัดเป็นเวทมนตร์ประเภทธาตุ สามเอกหลังจัดเป็นเวทมนตร์พิเศษ เอกที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดย่อมเป็นเอกมิติ เอกที่แข็งแกร่งที่สุดคือเอกจิตวิญญาณและเอกอัญเชิญ แต่เอกที่ทำให้ผู้คนไม่ยินดีเผชิญหน้าที่สุด กลับเป็นเอกมนตร์ดำ
ฉินซางเคยอธิบายเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของแต่ละสายให้เย่อินจู๋ฟังอย่างละเอียด เวทมนตร์สายวารีในช่วงแรกจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่สายมนตร์ดำกลับตรงกันข้ามพอดี เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงแรก ได้ชื่อว่าระดับเขียวลงไปมนตร์ดำเป็นอันดับหนึ่ง เวทมนตร์สายมนตร์ดำส่วนใหญ่จะเอาบางสิ่งบางอย่างในตัวเป็นของเซ่นไหว้เพื่ออัญเชิญธาตุมืดมาใช้เอง อานุภาพแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เวทมนตร์กัดกร่อนในนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ใครก็ตามล้วนไม่ยินดีไปเผชิญ หากโดนเวทมนตร์กัดกร่อนเข้า บาดแผลมักไม่สามารถกลับมาหายดีได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่าสาวงามเอกเทวคีตถึงหวาดกลัวกันนัก
“คุณยายนีนา การประลองตอนบ่าย ให้ข้าวางแผนเองได้หรือเปล่า” แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เรียกว่าคุณยายนีนาต่อหน้าสาธารณชน แต่เป็นครั้งหนึ่งที่เย่อินจู๋สงบเยือกเย็นที่สุดอย่างแน่นอน
นีนาถลึงตาใส่เขา แต่ไม่ได้อารมณ์เสียจนทำเอาทุกคนตกใจ กลับพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ ในเมื่อเจ้าเป็นหัวหน้า ก็ให้เจ้าตัดสินใจเองแล้วกัน แต่ข้ามีเรื่องสำคัญต้องชี้แจงก่อนสักหน่อย ทุกอย่างยึดความปลอดภัยเป็นหลัก ข้าไม่หวังให้พวกเจ้าเกิดพลาดท่าอะไรก็ตาม เวทมนตร์ไร้ดวงตา บาดแผลจากเวทมนตร์สายมนตร์ดำล้วนร้ายแรงทั้งนั้น”
เย่อินจู๋พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าทราบครับ รุ่นพี่ไห่หยาง ตอนบ่ายขอให้พี่เล่นเพลง ‘ภูตสาวแสนสวย’ อีกครั้งได้หรือเปล่า”
ไห่หยางตะลึงงัน ใบหน้าสวยอันซีดเซียวฉายแววประหลาดใจ “ทำไม? เพลง ‘ภูตสาวแสนสวย’ ก็แค่ระบายความรู้สึกเศร้าเท่านั้น นักเรียนเอกมนตร์ดำรับมือไม่ง่ายเหมือนเอกวารี ต่อให้เล่น ‘ภูตสาวแสนสวย’ จบเพลงสำเร็จ ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้พวกเขาเสียพลังต่อสู้ได้”
เย่อินจู๋กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ขอให้รุ่นพี่ไห่หยางทำตามแผนข้าเถอะ แล้วก็เชอรีน แลนซี พีค็อก พวกเจ้าน่าจะเล่นเพลงนี้กันได้ค่อนข้างคล่อง ขอให้พวกเจ้าแยกกันใช้เครื่องดนตรีที่ตัวเองถนัดบรรเลงด้วย แลนซี พอถึงเวลาเจ้ามาเล่นใกล้ๆ ข้า พิณประสานกับเครื่องดนตรีอื่นยากที่สุด พอถึงเวลาเจ้าสังเกตวิธีการของข้าให้ดี”
แลนซีพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย ฝีมือพิณของอินจู๋เธอเคยเห็นกับตาตัวเอง จึงอยากขอให้เขาช่วยชี้แนะตัวเองมานานแล้ว พีค็อกข้างๆ กลับไม่เอาด้วย จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เย่อินจู๋ นี่เจ้าหมายความว่าอะไร? ทุกคนไปเล่นเพลง ‘ภูตสาวแสนสวย’ กันหมด แล้วใครจะป้องกันเวทมนตร์โจมตีของเอกมนตร์ดำ?”
“ข้า” เย่อินจู๋ตอบเพียงคำเดียว แต่กลับกล่าวหนักแน่นอย่างยิ่ง
พีค็อกกล่าวอย่างไม่ค่อยแยแส “เจ้าไหวเหรอ?”
ในบรรดาสี่สาวที่เข้าร่วมแข่งขัน คนที่เย่อินจู๋ไม่ถูกชะตาที่สุดก็คงต้องเป็นพีค็อกผู้เย่อหยิ่ง จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าไหวหรือไง? ถ้าเจ้าคิดว่าป้องกันเวทมนตร์โจมตีของคู่ต่อสู้ได้ งั้นข้ายกตำแหน่งหัวหน้าให้เจ้า”
“เจ้า...” พีค็อกโกรธจัด “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้าพูดแบบนี้กับข้า เจ้าเชื่อหรือเปล่าว่าข้า...”
“พอได้แล้ว การประลองยังไม่ทันเริ่ม พวกเจ้าก็ทะเลาะกันเองซะแล้วรึ? พีค็อกเจ้าจงจำไว้ ที่นี่ไม่ใช่อาณาจักรปาเลอร์โมของเจ้า ในเมื่อข้าเคยบอกว่าเย่อินจู๋เป็นหัวหน้า ถ้าอย่างนั้นนับแต่วันนี้ไป เรื่องทุกอย่างของการประลองยกให้เขาจัดการ” น้ำเสียงเรียบนิ่งของนีนาทำให้พีค็อกสะอึกกลับไป
การประลองของเอกเทวคีตในตอนบ่ายจัดขึ้นในสนามประลองหมายเลขสี่ของเอกมนตร์ดำ ความถูกต้องตามแบบแผนของสนามประลองแห่งนี้แตกต่างจากเอกวารี แม้ขนาดจะใกล้เคียงกัน แต่วัสดุต่างๆ ที่นำมาใช้ก่อสร้างสนามประลองกลับเป็นสีดำทั้งหมด ผู้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกต่างก็รู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวได้อย่างชัดเจน
สนามประลองหมายเลขสี่กำลังสัมผัสบรรยากาศคึกคักที่เกิดขึ้นน้อยครั้งนับตั้งแต่สร้างมันมา จำนวนคนที่มาชมการประลองระหว่างเอกเทวคีตและเอกมนตร์ดำสนามนี้กลับมากกว่าสนามเอกเทวคีตและเอกวารีเมื่อตอนเช้าถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าเอกเทวคีตจะชนะไปหนึ่งสนามแล้ว แต่จนกระทั่งตอนนี้ ยังคงไม่มีใครเห็นความสำคัญของพวกเขา นักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าสาเหตุที่เอกวารีแพ้การประลองเมื่อตอนเช้า เหตุผลหลักเป็นเพราะว่าเหล่านักเรียนใหม่เอกวารีชะล่าใจเกินไปในตอนเริ่มต้น จึงทำให้ความเร็วในการโจมตีช้าลงไปบ้าง แต่พวกเขารู้เสียที่ไหนกันว่าเวทมนตร์ปล่อยออกมาช้าไม่ใช่เพราะชะล่าใจ แต่เป็นเพราะผลกระทบที่บทเพลงสร้างขึ้นต่างหาก
“อินจู๋ เจ้าต้องสู้ตายนะ! ข้าเดิมพันหนึ่งเหรียญทองว่าเอกเทวคีตของเจ้าชนะ” ชูร่ายิ้มพลางกระซิบบอกเย่อินจู๋ที่กำลังเตรียมลงสนาม
เย่อินจู๋ขมวดคิ้วก่อนเอ่ยว่า “ปู่ฉินเคยบอกว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี”
ชูร่าหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “แค่พอหอมปากหอมคอน่า ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ เจ้ารีบลงสนามเถอะ ข้าจะให้กำลังใจเจ้าตลอดเวลาเลย”
แตกต่างจากการประลองสนามแรก ครั้งนี้เอกเทวคีตไม่ได้ขนโต๊ะเก้าอี้เข้ามาในสนามประลองแค่ชุดเดียวอีกแล้ว แต่เป็นสามชุด นอกจากเย่อินจู๋ที่ขนโต๊ะเก้าอี้เข้ามาในสนามประลองเอง อีกสองชุดสำหรับไห่หยางกับแลนซีก็มีนักเรียนเอกอื่นมาช่วยขนแทนให้แล้ว
“เอกเทวคีตสู้ๆ เอกเทวคีตต้องชนะ” เสียงโห่ร้องตะโกนอันใสกังวาน งดงามเพียงพอที่จะดึงดูดสายตาผู้คนจนกลายเป็นจุดสนใจของทั้งสนาม นักเรียนใหม่ชั้นปีที่หนึ่งของเอกเทวคีตอีกแปดคนนอกเหนือจากสี่คนที่ลงแข่งขัน ตอนนี้ต่างก็สวมชุดนักเรียนให้กำลังใจพวกเย่อินจู๋อยู่ข้างสนามประลอง ทว่าขณะนี้สายตาของสาวๆ ส่วนใหญ่กลับจดจ้องไปที่เย่อินจู๋ แม้ว่าเย่อินจู๋จะทำให้รู้สึกว่าเกิดมายากจนข้นแค้น แต่บุคลิกและหน้าตาของเขาช่างโดดเด่นเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะอาชีพของเขาคือนักเทวคีตกระจอก เกรงว่าคงมีนักเรียนหญิงเดินหน้าตามจีบเขาตั้งนานแล้ว
นักเรียนเอกมนตร์ดำมีจำนวนน้อยที่สุดในเก้าสาขาเอกใหญ่ของคณะเวทมนตร์ มากกว่าเอกเทวคีตซึ่งเป็นสาขาย่อยของเอกจิตวิญญาณไม่เท่าไหร่ ทุกชั้นปีมีแค่ประมาณยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น ตอนนี้เมื่อมารวมอยู่กับเหล่านักเรียนเอกอื่นๆ ก็ยังแลดูไม่เข้าพวก
โต๊ะกับเก้าอี้ของเย่อินจู๋วางไว้ด้านหน้าสุด ข้างหลังด้านซ้ายขวาคือแลนซีกับไห่หยาง เชอรีนกับพีค็อกยืนอยู่ด้านหลังสุด เครื่องดนตรีของพวกเธอเย่อินจู๋เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก เครื่องดนตรีของเชอรีนคือขลุ่ยหยกสีฟ้า ส่วนผีผาของพีค็อกกลับเป็นสีเหลืองน้ำนม วาววับโปร่งใสราวกับเจียระไนจากงาช้าง เสียงที่เปล่งออกมายามบังเอิญแตะสายเต็มไปด้วยกลิ่นอายโลหะดังสะท้อนกังวาน
……………………………………….