บทที่ 43 พันธสัญญาร่วมชะตา (2)
บทที่ 43 พันธสัญญาร่วมชะตา (3)
“หืม?” เฟอร์กูสันถูกดึงความสนใจในทันที จึงซักถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าตัดสินได้หรือเปล่าว่ามันคือสัตว์เวทอะไรกันแน่?”
มังกรแดงโคซ่าส่ายกะโหลกมหึมาของมัน “ไม่ ข้าไม่สามารถยืนยันได้ ข้ารู้สึกได้แค่ว่าลมปราณของสัตว์เวทเติบโตตัวนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลแก่ข้า แต่ลมปราณแบบนี้ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ตัดสินไม่ได้ว่าเป็นสัตว์เวทประเภทไหน นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีลมปราณมนุษย์ น่าจะมีคนอัญเชิญสัตว์เวทมาที่นี่กระมัง”
ความสามารถในการตอบสนองต่อลมปราณของเผ่าพันธุ์มังกรเหนือกว่ามนุษย์ร้อยเท่า เฟอร์กูสันจึงไม่กังขาคำพูดของสหายตัวเองแม้แต่น้อย ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงความคิด ต่อให้เป็นสัตว์เวทเติบโต ในขณะที่ยังขึ้นไปไม่ถึงระดับเก้าก็ไม่มีทางทำให้โคซ่ารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลได้ แต่หากมีสัตว์เวทระดับเก้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่จริงๆ ก็น่าประหลาด ทำให้โคซ่ารู้สึกสะอิดสะเอียนได้ อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์คำถามหนึ่งได้ว่าสัตว์เวทตัวนี้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มังกรอย่างแน่นอน
เย่อินจู๋ไม่รู้เลยว่าพันธสัญญาร่วมชะตาที่ตัวเองกับม่วงทำสำเร็จเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของผู้อำนวยการเฟอร์กูสัน ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่ระหว่างทางกลับโรงเรียนกับม่วง
“อินจู๋ ข้าต้องไปแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าเจอเรื่องเดือดร้อนอะไรที่จัดการไม่ไหวก็เรียกข้า” ม่วงเดินกอดคออินจู๋อยู่ข้างๆ ตอนนี้แววตาเยือกเย็นของเขาหายไปโดยสิ้นเชิง มีแต่ความอบอุ่นเสมือนพี่ชายห่วงใยน้องชาย
“ม่วง งั้นถ้าเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็ต้องเรียกข้านะ ข้าเคยบอกแล้วว่าจะปกป้องเจ้า” เย่อินจู๋คลี่ยิ้มบางๆ คราวนี้เขาไม่กังวลว่าม่วงจะไม่อยู่ข้างกายเขาอีกแล้ว ขอเพียงตัวเองคิด เขาก็จะมาอยู่ตรงหน้าตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้
หลังจากพันธสัญญาเสร็จสมบูรณ์ ในหัวของอินจู๋กับม่วงต่างก็มีสายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณที่ไม่อาจอธิบายได้ ลมปราณของอีกฝ่ายทำให้พวกเขารู้สึกสนิทสนมกันยิ่งขึ้น โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณนี้ พวกเขาถึงขั้นสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้
“ม่วง ข้าลังเลนิดหน่อย” อินจู่เอ่ยขึ้น
“ลังเลอะไร?”
“วันนี้ศึกประลองนักเรียนใหม่เริ่มขึ้นแล้ว พวกเราชนะเอกวารีในสนามแรก แต่คุณยายนีนาเคยบอกว่าเอกวารีเป็นเอกที่อ่อนที่สุดในเก้าเอกเวทมนตร์ คู่ต่อสู้เอกอื่นแข็งแกร่งกันหมด ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าควรใช้มีดเสียงประกอบเพลงเพื่อสู้กับพวกเขาหรือเปล่า ปู่ฉินเคยบอกว่าศัตรูที่เห็นมีดเสียงของข้าจะต้องตายทุกคน แต่เมื่อกี้พ่อก็บอกเรื่องโทษไม่ถึงตาย แค่การประลอง ย่อมถือเป็นเรื่องโทษไม่ถึงตายอยู่แล้ว”
ม่วงเข้าใจความสับสนในใจของอินจู๋ จึงยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องตัดสินใจเอง แต่ข้าพูดได้แค่ว่าถึงปู่ฉินของเจ้าจะกังวลอยู่บ้างเพราะกลัวความสามารถของเจ้าถูกเปิดเผย แต่หากเจ้าอยากเป็นยอดฝีมือ แม้จำเป็นจะต้องปิดบังความสามารถ แต่ถ้าเจ้าไม่หมั่นฝึกฝนพลังของตัวเองเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์สู้รบจริง ก็ไม่เป็นประโยชน์เช่นเดียวกัน การปิดบังไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งขึ้นนั่นแหละคือเป้าหมาย”
เย่อินจู๋พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าก็คิดอย่างนี้ อีกอย่าง สิ่งที่สำคัญกว่าคือนอกจากข้าแล้วเอกเทวคีตเป็นผู้หญิงทั้งหมด ข้าไม่หวังให้พวกเธอได้รับบาดเจ็บในการประลองครั้งต่อไป และไม่หวังให้พวกเธอช่วยข้าต้านการโจมตีจากคู่ต่อสู้ด้วย ข้าเป็นผู้ชาย ข้าต้องยืนอยู่ข้างหน้า”
“อินจู๋ เจ้าโตขึ้นเร็วมาก แบบนี้ข้าก็ไปได้อย่างสบายใจแล้ว เจ้าต้องจำไว้หน่อยว่าการอัญเชิญร่วมของเราต้องอัญเชิญตอนที่อีกฝ่ายไม่อยู่ในสถานการณ์สู้รบเท่านั้นถึงจะอัญเชิญสำเร็จ พูดอีกอย่างว่าถ้าตอนนี้เจ้าอยากเรียกข้ามาอยู่ข้างๆ ก่อนอื่นข้าต้องไม่อยู่ในสถานการณ์สู้รบ ไม่อย่างนั้นก็จะอัญเชิญไม่สำเร็จ ในทางกลับกันก็เช่นกัน มีแต่ฝ่ายที่สู้รบเท่านั้นที่สามารถอัญเชิญฝ่ายที่ไม่อยู่ในสถานการณ์สู้รบได้” ม่วงตบบ่าอินจู๋อีกครั้ง ก่อนหันหลังเดินจากไป เย่อินจู๋เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกลับมาถึงหน้าประตูโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานโดยไม่ทันรู้ตัว
อินจู๋เดินทอดน่องเข้ามาในโรงเรียน ตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ก่อนจะค่อยๆ เดินคนเดียวไปทางเขตรวม ความจำของเขาดีเยี่ยม ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนไม่กี่วันก็จำเส้นทางของสถานที่ที่ตัวเองต้องไปประจำได้ขึ้นใจ
สูดอากาศสดชื่นในโรงเรียนพลางเดินทะลุไปเขตเหนือ ไม่ช้าก็ใกล้จะถึงเขตรวมแล้ว ในขณะนั้นเอง อินจู๋กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางทางไว้
ทั้งหมดมีเจ็ดคน รูปร่างสูงต่ำคละกันไป อาวุธติดตัวบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในคณะนักเวทเขตเหนือ
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้าคือเย่อินจู๋สินะ” ทั้งเจ็ดคนยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ขวางอยู่ข้างหน้าอินจู๋
“ข้าเอง พวกเจ้ามีธุระอะไร?” อินจู๋ขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์บอกเขาว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาดี
“มีธุระ? ต้องมีธุระอยู่แล้ว เจ้าหนู วันนี้เจ้าทำให้พวกเราเสียพนันไปไม่น้อย ตอนแรกว่าจะหาเงินติดกระเป๋าสักหน่อย ไม่นึกว่าจะโดนหงส์ในฝูงกาอย่างเจ้ามาทำเสียเรื่อง เจ้าบอกมาว่าจะเอาอย่างไร” ชายหนุ่มที่เป็นหัวโจกรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับฟิซเชลลา ดูไปแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบปี บุคลิกหน้าตาห้าวหาญ ข้างหลังแบกขวานรบใหญ่ยักษ์สองเล่ม
เย่อินจู๋กล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อยว่า “ข้าทำให้พวกเจ้าเสียพนัน?”
“แน่นอน ข้าการ์เน็ตยังจะพูดโกหกพกลมอีกหรือไง วันนี้พวกเจ้าเอกเทวคีตชนะเอกวารี พวกเราเดิมพันให้เอกวารีชนะ ผลสุดท้ายขาดทุนย่อยยับ” เดิมทีในศึกประลองนักเรียนใหม่จะมีนักเรียนชั้นปีสูงๆ บางคนแอบตั้งวงพนัน ศึกระหว่างเอกเทวคีตกับเอกวารีในวันนี้เป็นจุดสนใจของศึกประลองนักเรียนใหม่ วงพนันย่อมไม่พนันว่าใครจะชนะ เพราะไม่มีใครเห็นความสำคัญของเอกเทวคีต หัวข้อพนันคือเอกเทวคีตจะสามารถยืนหยัดต่อหน้าเอกวารีได้ถึงครึ่งชั่วโมงหรือไม่ ผลลัพธ์เห็นชัดว่าส่วนใหญ่แพ้กันหมด การ์เน็ตตรงหน้าคนนี้กับอีกหกคนล้วนเป็นนักเรียนทำงานพิเศษที่พักอยู่ในเขตรวม ทีแรกก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว วงพนันที่เดิมทีนึกว่ามีแต่ได้ไม่มีเสียก็เสียไปไม่น้อยอีก จึงหัวเสียไปสักพักหนึ่ง พวกเขาไม่กล้าไปทำให้เหล่าสาวสวยผู้สูงส่งของเอกเทวคีตต้องลำบากใจ จึงมาสกัดเย่อินจู๋ที่อาศัยในเขตรวมเหมือนกันอยู่ตรงนี้ เตรียมจะระบายอารมณ์
“นี่มันเรื่องของพวกเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้า พวกเจ้าคิดจะเอาอย่างไร?” เย่อินจู๋ไม่ได้รังแกง่ายขนาดนั้น สายตามองพวกการ์เร็ตเจ็ดคนที่เข้ามาหาเรื่อง ในใจเขากำลังครุ่นคิดว่าหลายคนตรงหน้านี้คงจะเป็นพวกโทษไม่ถึงตายที่พ่อบอกสินะ
“เอาอย่างไร? พวกเราก็ไม่คิดจะเอาอย่างไรหรอก แค่เจ้าชดใช้ค่าเสียหายพวกเรามาก็ได้แล้ว ไม่มาก ทั้งหมดสี่สิบเหรียญทอง เอาเงินมาแล้วพวกเราจะไป ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ วันนี้เจ้าได้เจ็บตัวแน่” รูปร่างของการ์เน็ตก็ด้อยกว่าม่วงไม่เท่าไหร่ มือใหญ่ดุจพัดใบปาล์มกำเข้าหากันแน่น ส่งเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบ ไหนจะรูปลักษณ์ห้าวหาญของเขา ช่างน่าเกรงขามจริงๆ น่าเสียดายที่วันนี้เขากลับเลือกเป้าหมายผิดไป
“ข้าไม่มีเงิน ถึงมีก็ไม่ให้พวกเจ้า ข้าเคยได้ยินว่ายามพนันกล้าพนันต้องกล้าเสีย พวกเจ้าไม่เข้าใจกันหรอกเหรอ?” ประกายเย็นเยียบจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเย่อินจู๋ พลังยุทธ์ไผ่ไหลเวียนในร่างกาย พลังที่พร้อมจะระเบิดซึ่งได้รับจากพันธสัญญาของม่วงโหมซัดอยู่ภายในร่างใกล้จะปะทุออกมา เมื่อเผชิญหน้าคู่ต่อสู้เหล่านี้ เขาไม่ได้เตรียมจะใช้พิณแสงทะเลจันทราที่ตัวเองเพิ่งได้มาเลย
ในขณะนั้นเอง ภาพอันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น ร่างทั้งร่างของการ์เน็ตที่กำลังจะลงมือพลันแข็งทื่อ ร่างยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาเต็มไปด้วยแววตื่นตระหนก กริชยาวเพียงเจ็ดนิ้วไม่รู้ว่าจ่ออยู่ที่ลำคอเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ กริชเป็นสีดำ ไม่สะท้อนแสง แต่ลมปราณอันน่าสะพรึงกลับทำให้ผิวหนังของเขาสั่นสะท้าน ถึงขนาดสั่นระริก จิตสังหารเย็นเยียบกระตุ้นคอหอยของเขา เขาราวกับรู้สึกได้ว่าเลือดเดือดในกายตัวเองกำลังจะพุ่งทะลักออกมา
“ใช่ อย่างนั้นแหละ อย่าขยับ ข้ารับรองไม่ได้นะว่ามือตัวเองจะนิ่งอย่างนี้ได้ตลอด” น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้นข้างหลังการ์เน็ต เพื่อนหกคนของการ์เน็ตหันไปมองอย่างตกตะลึง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้างหลังการ์เน็ตมีเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ขณะนี้ มือข้างหนึ่งของเขากดอยู่บนบ่าหนากว้างของการ์เน็ตพยุงร่างตัวเองไว้ มืออีกข้างกำลังจับกริชใบมีดดำเล่มนั้น แม้บนใบหน้าจะเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ แต่ดวงตาคู่นั้นของเขากลับเต็มไปด้วยประกายนิ่งสนิทดุจไร้ชีวิต
……………………………………….