ตอนที่ 142 ข้าก็อยากจะลองดู (ฟรี)
ถังหว่านเอ๋อมองไปยังบริเวณที่ห่างไกลออกไปด้วยสีหน้าแตกตื่นอย่างถึงที่สุด แม้แต่เหร่ยเชียนซังเองก็ยังต้องหันเหความสนใจไปยังขุมพลังอันน่าหวาดกลัวนั้น
“อะไรกัน?”
หลังจากที่ฝุ่นควันเริ่มจางหายไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว ผู้คนทั้งหมดก็ได้หันไปมองยังเงาร่างของาชยหนุ่มสองคนที่ปรากฏขึ้นมาตรงส่วนปลายสุดของหุบเขา ซึ่งบริเวณแห่งนั้นเป็นตำแหน่งใกล้กับหน้าผาอันสูงชัน
พื้นดินบริเวณนั้นเกิดรอยแตกร้าวคล้ายกับใยแมงมุมมากมาย ในขณะนี้หลงเฉินกำลังจ้องมองไปยังเงาร่างที่กำลังคุกเข่าอยู่ห่างออกไปกว่าสิบเซียะ นั่นก็คือเงาร่างของจ้าวหวู่
จ้าวหวู่นั่งอยู่บนพื้นโดยใช้แขนข้างขวายันร่างกายเอาไว้ สภาพร่างกายของเขาสร้างความตกใจให้กับผู้คนที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหนังตามร่างกายคล้ายกับถูกฉีกออกจนเผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ด้านใน อีกทั้งยังส่งกลิ่นคาวของโลหิตคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
บนใบหน้าของจ้าวหวู่ทั้งแตกตื่นทั้งลนลาน ที่มุมปากมีสายโลหิตไหลรินออกมาไม่หยุด ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกับไม่รู้สึกตัวเองอีกแล้ว
ทั่วทั้งลานต่อสู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบงันประดุจป่าช้า แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่เล็ดรอดออกมา จ้าวหวู่ผู้นั้นได้ใช้พลังฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาจนหมดสิ้น ทว่ากลับยังได้รับบาดเจ็บจนสาหัส
หากคู่ต่อสู้ของจ้าวหวู่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีพรสวรรค์อย่างเหร่ยเชียนซัง พวกเขาคงจะไม่แตกตื่นจนถึงเพียงนี้ ทว่าคู่ต่อสู้ของเขากลับไม่ใช่เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งห้าคน นี่จะเป็นการประกาศว่าหลงเฉินเป็นสัตว์ประหลาดคนที่หกหรืออย่างไรกัน?
“แค่กแค่ก……”
จ้าวหวู่ไอออกมาอย่างรุนแรงจนร่างกายสั่นเทาไปทั้งหมด ฝนโลหิตสาดกระเซ็นออกมามากมายจนผู้คนทั้งหลายยิ่งหวาดหวั่นขึ้นมามากกว่าเดิม
ในตอนนี้จ้าวหวู่คงจะไม่อาจสวนกลับไปได้อีกแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บได้ถูกลุกลามไปจนถึงอวัยวะภายใน ทว่าไม่อาจทราบได้ว่าจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่
“หลงเฉิน เจ้าตัวบัดซบ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้”
จ้าวหวู่กล่าวขึ้นมาทั้งที่ยังไออยู่ แววตาอาฆาตมาดร้ายจดจ้องมาที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าเขาไม่อาจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้นอกจากยอดฝีมือในระดับสัตว์ประหลาดแล้ว ก็มีตัวของเขาที่แข็งแกร่งจนแทบจะพลิกผืนฟ้าและผืนดินได้
ตั้งแต่กำเนิดมาพลังการต่อสู้ของเขาก็เป็นรองแค่เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งห้าคนเท่านั้น ทว่าในตอนนี้กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าหนูผู้ไร้ชื่อเสียงอย่างหลงเฉินไปอย่างราบคาบ จะไม่ให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมาย่อมเป็นไปไม่ได้
“ต่อให้เจ้าฝึกยุทธ์ไปอีกนับหมื่นปีก็ไม่อาจฆ่าข้าได้” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว
กระบวนท่าของจ้าวหวู่นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลงเฉินกลับชักนำพลังกักวายุขึ้นมาพร้อมทั้งใช้พลังหมัดต้านออกไป
ในตอนนี้เขาเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้เบิกวงแหวนแห่งเทพขึ้นมาก็จะสามารถใช้กักวายุออกมาได้โดยที่ไม่มีผู้ใดสงสัย นอกเสียจากว่าจะมีคนจับจ้องที่เขาจนตาไกระพริบเท่านั้น
และหลังจากที่ผ่านการทดสอบมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว หลงเฉินก็สามารถไหลเวียนพลังกักวายุขึ้นมาได้อย่างง่ายดายและคุ้นเคยยิ่งขึ้น อีกทั้งยังรั้งกลับเข้าไปได้ตามใจนึกคิด ขอเพียงสามารถใช้กักวายุโจมตีอีกฝ่ายได้ก็จะประหยัดพลังต่อสู้ไปได้มากพอสมควร
ที่สำคัญก็คือไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนจนเกินไปด้วย แม้ว่าผลลัพธ์จะน่าประหลาดใจ ทว่าคนเหล่านั้นคงจะไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดอันใดขึ้นกันแน่
“หลงเฉิน เจ้าอย่าได้เสแสร้งแกล้งทำต่อไปเลย หากว่าเจ้ามีความสามารถจริงก็ฆ่าข้าซะสิ” จ้าวหวู่โพล่งวาจาออกมาคล้ายกับสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปทั้งหมดแล้ว แม้แต่ร่างกายก็ยังไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ใบหน้าของหลงเฉินไร้ซึ่งอารมณ์ใดใด มีเพียงดวงตาคู่คมที่สาดรังสีสังหารอันเย็นเยียบออกมาอย่างบ้าคลั่งกำลังจ้องมองไปยังใบหน้าของจ้าวหวู่
“หลงเฉิน อย่าไปฟังเขา หากเจ้าฆ่าเขา เจ้าจะต้องถูกขับไล่ออกจากหมู่ตึกอย่างแน่นอน” ถังหว่านเอ๋อตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
หลงเฉินย่างก้าวฝีเท้าไปทางด้านหน้าราวกับไม่ได้ยินเสียงเตือนสติจากถังหว่านเอ๋อ “เจ้าแพ้แล้ว ทว่าเจ้ากลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ การด่าทอผู้อื่นเหมือนกับเป็นแม่ค้าในตลาดเช่นนั้นคงจะช่วยลดทอนความหวาดกลัวภายในจิตใจของเจ้าได้ไม่น้อย
เจ้าแอบอ้างถึงกฎเกณฑ์ของหมู่ตึกเพื่อไม่ให้ข้าฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้ามีร่างกายพิกลพิการทว่ายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ มาลองดูกันว่าเจ้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้หรือไม่
เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้วใช่หรือไม่? นี่เป็นเพียงผลลัพธ์เล็กน้อยจากกระบวนท่าของข้า หากพวกเจ้ายังเอาแต่แอบอ้างถึงตระกูลใหญ่ของพวกเจ้า แล้วมาดูแคลนตระกูลของข้า ผลลัพธ์ของคนผู้นั้นก็คือ……ความตาย”
แม้ว่าหลงเฉินจะกล่าวขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองไปที่จ้าวหวู่ ทว่าผู้คนโดยรอบกลับสัมผัสได้ว่าหลงเฉินกำลังเตือนสติพวกเขาอยู่ ทุกตัวอักษรภายในประโยคยังคงดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย
และภายในจิตใจของหลงเฉินจะตระหนักได้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นจงใจจะทำให้เขาติดกับ ทว่าเขาก็ยังกระโจนออกไปด้านหน้าอีกครั้ง
“หลงเฉิน เจ้าคนบัดซบ เขาคิดจะล่อลวงให้เจ้าติดกับอยู่นะ” ถังหว่านเอ๋อแผดเสียงดังขึ้นมาอย่างร้อนรน แม้ว่าจะได้เตือนสติออกไปแล้ว ทว่าหลงเฉินก็ยังทะยานตัวออกไป
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะกลั่นแกล้งหลงเฉินสารพัด แต่นั่นก็เป็นเพียงนิสัยของอิสตรีที่ต้องการจะเอาคืนอย่างสาสมก็เท่านั้น ทว่าภายในใจกลับไม่ใช่ความมุ่งร้ายแต่อย่างใด
และหลังจากที่ได้เห็นพลังอันไร้ขีดจำกัดของหลงเฉินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองดูผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งกระโดดเข้าไปในกองเพลิง ถูกขับไล่ออกจากหมู่ตึกจนสูญสิ้นอนาคตอันสดใส
“หลงเฉิน เจ้าเป็นผู้ติดตามของคุณหนูหว่านเอ๋อแล้ว ฉะนั้นเจ้าต้องเชื่อฟังวาจาของคุณหนูด้วย ที่เจ้ากำลังกระทำอยู่ตอนนี้ถือเป็นปรปักษ์ เจ้าไม่คิดจะเป็นคนดีบ้างหรือไรกัน?”
ชิงยวูตะโกนเสียงเล็กแหลมขึ้นมาจนผู้คนรอบข้างแสดงอาการงุนงงขึ้นมา นี่ไม่คล้ายกับเป็นการโน้มน้าวจิตใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อย
“ฮาฮา หลงเฉิน เหตุใดข้าจะด่าทอเจ้าไม่ได้? เจ้าตัวบัดซบ เจ้าลูกชู้ หากมีความสามารถจริงก็ฆ่าข้าซะสิ ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้าไม่กล้าฆ่าข้าหรือ? เจ้าลูกชู้ ฮาฮา……อา!”
จ้าวหวู่กร่นด่าออกมาพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทว่ายังไม่ทันจะกล่าวจบก็ได้แผดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาแทน หลงเฉินวางเท้าข้างหนึ่งบดขยี้ไปที่ขาของจ้าวหวู่สุดแรงเกิด เสียงดังกร่อบดังขึ้นมาต่อเนื่อง
หลงเฉินนั้นเข้าใจทุกส่วนภายในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างถ่องแท้ประดุจพลิกฝ่ามือ ทราบแม้กระทั่งจุดที่แตกหักได้ง่ายนั่นก็คือจุดที่ห่างจากหัวเข่าลงไปสามนิ้ว ซึ่งจุดนี้สามารถสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้แก่ผู้คนได้มากที่สุด
“อา……”
จ้าวหวู่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมทั้งดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เป็นความรู้สึกเจ็บปวดอย่างไร้ที่เปรียบโดยแท้จริง แม้แต่ผู้คนที่ได้ยินได้เห็นยังต้องรู้สึกเจ็บปวดจนขนตัวลุกชันขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน
“ข้าจะทำอันใดได้อย่างนั้นหรือ? ข้าเพียงกำลังทดสอบเจ้าดูก็เท่านั้น ดูว่าเจ้าได้เตรียมพร้อมกับการตายแล้วหรือไม่ ทว่าผลลัพธ์กลับน่าเสียดายอย่างยิ่ง ขยะอย่างเจ้าคงไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้เลยสินะ”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างอดสู หลังจากที่กล่าวจบก็ได้ออกแรงที่ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปอย่างหนักหน่วง อีกทั้งยังลงมือกับเท้าอีกข้างหนึ่งของจ้าวหวู่ด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน
จ้าวหวู่แผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงจนไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา เส้นโลหิตที่อยู่บนศีรษะก็ได้ปูดโปนขึ้นมาคล้ายกับว่าจะระเบิดไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา ทั่วทั้งใบหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ ร่างกายที่มีแต่คราบโลหิตก็ได้เกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาไม่หยุด
“ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เช่นเจ้ากลับมองไม่เห็นความเป็นตาย ดูเหมือนว่าข้าคงจะให้แรงผิดตำแหน่งไปเสียแล้ว
หรือว่าข้าควรจะเปลี่ยนไปเป็นศีรษะทั้งใบของเจ้าดี หรือที่แขน ที่หลังของเจ้า ฉะนั้นโปรดยกโทษข้าด้วยที่กระทำการล่าช้าไป เจ้าอดทนสักครู่นะ ข้าจะหาตำแหน่งนั้นให้พบโดยเร็วที่สุด” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลันก็ได้เบือนสายตาไปยังท่อนแขนของจ้าวหวู่
“หลงเฉิน เจ้าลูกชู้ เจ้าไม่ตายดีแน่ แน่จริงก็ฆ่าข้าเลย” แม้ใบหน้าของจ้าวหวู่จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว ทว่าปากคอของเขาก็ยังคงด่าทอออกมาไม่หยุด
“ฆ่าเจ้าหรือ? แน่นอนอยู่แล้ว ทว่าข้าต้องใช้เวลาในการหาตำแหน่งที่ถูกต้องเสียก่อน” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“กร่อบ กร่อบ……” เสียงกระดูกลั่นดังติดต่อกันออกมาจากภายในร่างกายของจ้าวหวู่
ผู้คนทั้งหลายยังคงขนลุกชันขึ้นมาตามๆ กัน บริเวณแห่งนี้มีลูกหลานจากตระกูลมั่งคั่งชั้นแนวหน้าอยู่ไม่น้อย ด้วยการทรมานร่างกายเช่นนี้ย่อมไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำให้ใบหน้าของพวกเขามีสีหน้าขาวซีดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ความน่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือใบหน้าที่สงบนิ่งมาตั้งแต่แรกของหลงเฉินนั่นเอง
ไม่เว้นแม้แต่ยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดอย่างถังหว่านเอ๋อเอง ถึงแม้ว่านางจะมีพลังการต่อสู้ไม่เป็นรองจากผู้ใด อีกทั้งยังเคยสยบยอดฝีมือมาแล้วนับไม่ถ้วน ทว่าด้วยการทรมานผู้คนเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ประจักษ์กับตาของตัวเอง
ในสายตาของนางเห็นหลงเฉินเป็นเทพแห่งความตายผู้ไร้ซึ่งเยื่อใย ต่างไปจากสีหน้าท่าทางที่ซุกซนเมื่อก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มผู้นี้ได้อยู่เหนือการคาดเดาของนางไปทั้งสิ้นแล้ว
หลังจากที่เสียงร้องเริ่มลดทอนลงไปแล้ว หลงเฉินก็ได้ยื่นมือใหญ่เข้าไปบีบคอของจ้าวหวู่แล้วยกขึ้นมาอย่างช้าๆ
ร่างกายอันสั่นเทิ้มของจ้าวหวู่ถูกยกจนลอยขึ้นมากลางอากาศ สองเท้าลอยพ้นจากพื้นดิน ทว่ายังคงสามารถด่าทอออกมาได้อย่างแสบทรวงถึงที่สุด
“เจ้าลูกนอกคอก เจ้าจะทรมานข้าเช่นนี้ไปเพื่ออันใดกัน หรือว่าเจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้ ฮาฮา……”
หลงเฉินจ้องไปที่จ้าวหวู่อย่างเย็นชา ทว่าแฝงเอาไว้ด้วยความเมตตาอยู่ส่วนหนึ่ง แล้วก็ได้เอ่ยวาจาแผ่วเบาขึ้นมาว่า “เจ้ามีจิตใจที่ลึกล้ำเหลือเกินนะ เจ้าจะใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อสั่นคลอนจิตใจของข้าอย่างนั้นหรือ คิดว่าข้าจะหน้ามืดตามัวจนแยกแยะความถูกต้องไม่ได้หรืออย่างไรกัน
ทว่าหากข้าปล่อยเจ้าไป ในภายภาคหน้าข้าอาจจะกลายเป็นผู้ที่มีจิตมารไปก็เป็นได้ ฉะนั้นขอให้เจ้าจงจำเอาไว้ว่าไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างที่จะเป็นดั่งเส้นตรง ไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างจะเป็นไปตามใจนึกคิด สุดท้ายนี้เจ้ามีคำสั่งเสียหรือไม่ หากมีก็บอกออกมาก่อนที่ข้าจะส่งเจ้าไปยังประตูแห่งความตาย”
ผู้คนที่ยืนดูอยู่ต่างก็ฉงนสงสัยในคำพูดของหลงเฉิน ทว่ามีเพียงเหร่ยเชียนซังกับถังหว่านเอ๋อเท่านั้นที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
คนผู้อื่นนั้นคงจะไม่เคยเข้าถึงพลังแห่งจิต ทว่าเหร่ยเชียนซังกับถังหว่านเอ๋อนั้นเป็นยอดฝีมือที่ฝึกฝนมาอย่างเนิ่นนานและหนักหน่วง ฉะนั้นย่อมต้องฝึกพลังแห่งจิตของตัวเองให้แข็งแกร่งอย่างไม่มีที่ติจึงจะสามารถทำให้ตัวเองฝึกยุทธ์ไปได้ไกลยิ่งขึ้น
พลังแห่งจิตนั้นเปรียบเสมือนหลักวิชาหนึ่งที่สามารถรักษาจิตใจของผู้คนเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นไปตามที่หลงเฉินกล่าวออกมาทั้งหมด ในเมื่อหลงเฉินถูกจ้าวหวู่กล่าววาจาดูแคลนขึ้นมา ทว่ากลับไม่กระทำอันใดต่อจ้าวหวู่ ภายในจิตใจของหลงเฉินย่อมเกิดความอัดอั้นจนเกิดเป็นปมที่ยากจะแก้ได้
แม้จะเป็นเพียงปมภายในจิตใจที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ทว่ากลับส่งผลต่อการพัฒนาวิทยายุทธ์ของหลงเฉินในภายภาคหน้าเป็นอย่างมาก คล้ายกับเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่ยากจะก้าวข้ามไปได้ อีกทั้งอาจจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดเกิดเป็นจิตมารที่ทำให้คนผู้นั้นถูกธาตุไฟแทรกจนตายลงไปทั้งเป็น
เดิมทีถังหว่านเอ๋อคิดว่าการกระทำของหลงเฉินนั้นเกินกว่าเหตุไป ทว่าเมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวออกมาเช่นนี้ นางจึงบังเกิดจิตสังหารต่อจ้าวหวู่ผู้น่ารังเกียจด้วยเช่นกัน
“เหอะเหอะ ฆ่าข้า? เจ้ากล้าหรือ? หากเจ้าทำจริง เจ้าจะต้องถูกขับออกไปจากหมู่ตึกเชียวนะ แล้วทุกอย่างที่เจ้าฟันฝ่ามาก็จะถือจบสิ้นลง ฮาฮา” จ้าวหวู่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าก็อยากจะลองดูเหมือนกัน”....
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 360 แล้วครับ)