บทที่ 42 พันธสัญญาร่วมชะตา (2)
บทที่ 42 พันธสัญญาร่วมชะตา (2)
ทันใดนั้น เย่อินจู๋รู้สึกเพียงว่าพลังจิตของตัวเองราวกับเข้ามายังอีกโลกหนึ่ง ประสาทสัมผัสต่อทุกสิ่งรอบด้านก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว สิ่งที่เขาสามารถรู้สึกได้ มีเพียงการดำรงอยู่ของลมปราณอันน่าเกรงขาม ถูกต้อง นั่นคืออานุภาพแห่งตะวันจันทราดารานทีอันดำรงอยู่แต่บรรพกาล
รอบด้านสว่างไสว นั่นคือประกายแสงที่มาพร้อมกับตะวันจันทราดารานที แต่สิ่งที่เย่อินจู๋สามารถมองเห็นได้ กลับมีเพียงม่วงตรงหน้าเท่านั้น
“จงเปิดออกเถิด ประตูแห่งพันธสัญญา เผื่อแผ่แสงแห่งเกียรติยศอันสูงส่งอำนวยพรแก่ตัวข้า ผนึกไร้สูญจักบังเกิดผล ณ ที่แห่งนี้ แผ่นดินดำรงเขตแดน มหาสมุทรดำรงน่านน้ำ ลมหวนพัดทวนในวงกต เพลิงสงครามลุกโพลงในแดนศักดิ์สิทธิ์ สดับฟังปณิธานของผู้ศรัทธานิรันดร์ ใช้โลหิตทั้งสองฝ่ายเป็นตัวชักนำ ข้าม่วง ยินดีเริ่มต้นนับแต่บัดนี้ ร่วมแบ่งปันชีวิตข้ากับเย่อินจู๋ ช่วยเหลือกันและกันอย่างเท่าเทียม มิแปรเปลี่ยนตลอดกาล”
ประกายแสงสีม่วงมากมายมหาศาลทะยานสูงขึ้น ทันใดนั้น ลำแสงสองสายพวยพุ่งออกจากนัยน์ตาของม่วงแทงตรงไปยังส่วนลึกในหัวใจของอินจู๋ อินจู๋รู้สึกได้ชัดเจนว่าในสมองของตัวเองคล้ายกับมีอะไรบางอย่างเพิ่มเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างของม่วงประทับลงในวิญญาณและความทรงจำด้วยวิธีอันล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม โดยไม่รู้ตัว ร่างกายของม่วงขยายใหญ่โตขึ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่เขาในตอนนี้กลับดูเหมือนเริ่มจะเลอะเลือน
“จงเปิดออกเถิด ประตูแห่งพันธสัญญา เผื่อแผ่แสงแห่งเกียรติยศอันสูงส่งอำนวยพรแก่ตัวข้า ผนึกไร้สูญจักบังเกิดผล ณ ที่แห่งนี้ แผ่นดินดำรงเขตแดน มหาสมุทรดำรงน่านน้ำ ลมหวนพัดทวนในวงกต เพลิงสงครามลุกโพลงในแดนศักดิ์สิทธิ์ สดับฟังปณิธานของผู้ศรัทธานิรันดร์ ใช้โลหิตทั้งสองฝ่ายเป็นตัวชักนำ ข้าเย่อินจู๋ ยินดีเริ่มต้นนับแต่บัดนี้ ร่วมแบ่งปันชีวิตข้ากับม่วง ช่วยเหลือกันและกันอย่างเท่าเทียม มิแปรเปลี่ยนตลอดกาล”
ลำแสงที่พุ่งออกจากตัวของเย่อินจู๋เป็นสีขาวน้ำนม แสงสีขาวอันอ่อนโยนกับแสงสีม่วงที่เปี่ยมด้วยพลังอันแข็งแกร่งหลอมรวมกันในชั่วพริบตา ทั้งสองสายหมุนวนเป็นเกลียวทะยานสูงขึ้น ลมปราณอันน่าเกรงขามเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเย่อินจู๋หรือม่วง ขณะนี้ต่างก็รู้สึกได้ชัดเจนถึงทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง เย่อินจู๋คล้ายกับมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างของม่วง แต่ทั้งหมดนี้ก็พร่าเลือนอย่างยิ่งเช่นกัน ราวกับเขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าอันไร้จุดสิ้นสุดและความเดือดดาลจนแทบจะบ้าคลั่งที่เคยปรากฏขึ้นภายในใจของม่วง ความรู้สึกทั้งมวลล้วนประทับลงอย่างลึกซึ้ง
ดาวเวทมนตร์หกแฉกใหญ่มหึมาที่เกิดจากการควบรวมของสีม่วงและสีขาวปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของพวกเขา ร่างกายของทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว หมุนวนอย่างเชื่องช้า พลังจิตของพวกเขาในขณะนี้ต่างหลอมรวมซึ่งกันและกัน แม้แต่หลอดเลือดที่ไหลระบายก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เย่อินจู๋รู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองเสมือนเต็มไปด้วยพลังอันไร้ขอบเขต ส่วนม่วงก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าสมองของตัวเองเสมือนเริ่มปลอดโปร่งขึ้นเรื่อยๆ
อันที่จริง แม้กระทั่งม่วงก็ยังไม่รู้ว่าพันธสัญญาร่วมชะตาเป็นประเภทที่มีระดับสูงสุดในบรรดาพันธสัญญาทั้งปวง เมื่อทำสัญญา ไม่เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายสามารถอัญเชิญกันและกันได้ ในชั่วพริบตาที่พันธสัญญาเสร็จสมบูรณ์ ยังจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในระดับหนึ่งโดยส่งมอบความสามารถของทั้งสองฝ่ายให้แก่กันภายใต้สภาวะไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ผลประโยชน์ที่เย่อินจู๋ได้รับคือลมปราณชีวิตและความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลประโยชน์ที่ม่วงได้รับก็คือพลังจิตยกระดับขึ้นและความคิดปลอดโปร่งขึ้น นี่เป็นการเพิ่มแบบสมทบโดยไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในตัวของพวกเขา หลังจากพลังจิตของม่วงยกระดับขึ้นยังแสดงผลให้เห็นไม่ชัดเจนนัก แต่พลังยุทธ์ไผ่ของเย่อินจู๋หลังจากความแข็งแกร่งของร่างกายยกระดับขึ้นอย่างมากกลับเลื่อนระดับขึ้นไปถึงไผ่เหลืองขั้นสองอย่างเงียบๆ หรือก็คือระดับเขียวขั้นกลางในระดับสายรุ้ง
โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน
ในฐานะที่เฟอร์กูสันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน เขาอยู่ในอาคารสูงดุจหอคอยที่ตั้งโดดเดี่ยวในเขตศูนย์กลางอันมีสภาพแวดล้อมงดงามที่สุดในโรงเรียน แม้หอคอยสูงหลังนี้จะไม่อาจเทียบกับหอคอยทั้งเจ็ดแห่งฟาร์เลน แต่ก็แทนสถานะของเขาในโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน
ขณะนี้ เฟอร์กูสันกำลังอาบแสงแดดอบอุ่นไปพลาง อ่านจดหมายของเพื่อนเก่าไปพลางบนเก้าอี้นอนริมระเบียง
“เอ๊ะ นี่มันพลังอะไรกัน แปลกประหลาดอะไรอย่างนี้” สายตาเฉื่อยชาของเฟอร์กูสันในตอนแรกพลันเฉียบคมขึ้นมาทันที ก่อนพลิกตัวขึ้นมองไปยังทิศเหนือ กระแสอากาศสีม่วงขาวอ่อนๆ ไหลเวียนอยู่ในอากาศ ดำเนินต่อไปครึ่งนาทีเต็มจึงค่อยๆ จางหาย
เฟอร์กูสันสัมผัสลมปราณจากที่ไกลๆ นั้นแล้วคิดในใจว่า ‘คลื่นพลังธาตุแข็งแกร่งมาก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่การโจมตีหรือป้องกัน มีสัตว์เวทแข็งแกร่งตัวไหนถือกำเนิดอย่างนั้นรึ? ไม่ ไม่ใช่ ลมปราณนั่นสงบนิ่ง ไม่เหมือนกับสัตว์เวท กลับเหมือนคลื่นพลังธาตุของการอัญเชิญหรือพันธสัญญามากกว่า นี่เป็นพันธสัญญาหรือการอัญเชิญแบบไหนกันล่ะ?’
เรื่องที่สามารถดึงดูดความสนใจเฟอร์กูสันได้ในมิลานมีไม่มากเลยจริงๆ วันนี้นักเรียนที่อาศัยความสามารถระดับแดงใช้เทพจันทราพิทักษ์ต้านทานมังกรวารีคำรามระดับเหลืองเอาไว้ได้ทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้คลื่นพลังธาตุสีขาวม่วงกลับดึงดูดใจเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ออกมาเถิด เพื่อนยากของข้า โคซ่า” มือขวาวาดเป็นวงกลางอากาศ กระแสอากาศสีม่วงก่อตัวเป็นรูปดาวเวทมนตร์หกแฉกขนาดยักษ์ขึ้นในอากาศอย่างสบายๆ จากนั้นเสียงคำรามต่ำที่เต็มไปด้วยแรงกดดันก็ดังขึ้นทันที เงาร่างมหึมามุดออกมาจากดาวหกแฉกดวงนั้น
นั่นคือมังกรยักษ์สีแดงรูปร่างใหญ่โตมหึมา มังกรแดง คือสมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกร แม้ในบรรดาเผ่าพันธุ์มังกร เผ่ามังกรแดงจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกมันกลับเป็นมังกรแท้ไม่ใช่มังกรเลี้ยง ระดับขั้นของมังกรแดงโตเต็มวัยสามารถขึ้นสูงถึงขั้นแปด ราชามังกรแดงยิ่งจะเข้าใกล้ความสามารถขั้นเก้า เวทมนตร์สายอัคคีของมังกรแดงขั้นแปดรวมกับความสามารถประจัญบาน หากไม่ใช่มนุษย์ที่มีความสามารถระดับม่วงก็ไม่มีทางรับมือไหว
มังกรแดงที่มีชื่อว่าโคซ่าซึ่งเฟอร์กูสันอัญเชิญออกมาตัวนี้ ลำตัวยาวเกินกว่ายี่สิบเมตร เห็นได้ชัดว่าเป็นมังกรโตเต็มวัย พลังอานุภาพขั้นแปด ทำให้เหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยในป่ารอบๆ หอคอยต่างสลบไสลกันหมด
โคซ่ากระพือปีกที่สามารถสร้างพายุหมุนบนหลังคู่นั้น ก่อนยกอุ้งเท้าหน้าที่ค่อนข้างเล็กสั้นตบหัวตัวเองเบาๆ “เพื่อนยาก เรียกข้าทำไมกัน?” ในฐานะสัตว์เวททรงภูมิปัญญาเกินกว่าระดับเจ็ด แม้มันจะไม่มีพลังที่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้อย่างสัตว์เวทระดับเก้า แต่การพูดยังคงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
เฟอร์กูสันยิ้มพลางกล่าวว่า “โคซ่า รบกวนเจ้าตอนหลับเสียแล้ว แต่เมื่อครู่ข้ารู้สึกถึงคลื่นพลังธาตุแปลกประหลาด อยากจะไปดูสักหน่อย เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นนักเวทจิตวิญญาณ ใช้เวทมนตร์ช่วยเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้”
โคซ่ากลอกลูกตา ม้วนตัวมาอยู่หน้าหอคอยอย่างจนปัญญา หันบั้นท้ายมังกรใหญ่โตของตัวเองเข้าหาเฟอร์กูสัน “ขึ้นมาสิ ถึงอย่างไรข้าก็มอบชีวิตเป็นพาหนะให้เจ้าแล้ว”
เฟอร์กูสันหัวเราะหึๆ ทำท่าทางเป็นเชิงว่าเจ้าหนีข้าไม่รอดหรอก ก่อนเดินโซซัดโซเซขึ้นไปบนหลังของโคซ่า เดินตรงไปถึงบริเวณลำคอของมันแล้วจึงนั่งลง เขาไม่กังวลว่าตัวเองจะร่วงลงไป ด้วยความสามารถของโคซ่า ต่อให้อยากกระโดดลงจากตัวมันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
ปีกใหญ่ยักษ์โหมกระพือจนเกิดเป็นลมกระโชก ร่างใหญ่มหึมาของมังกรแดงโคซ่าเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับกระแสอากาศร้อนระอุจางๆ มุ่งไปยังทิศทางที่เฟอร์กูสันชี้นำ
มังกรยักษ์เหาะเหินในโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดมาตั้งนานแล้ว มีแต่นักเรียนใหม่บางคนเท่านั้นที่อาจรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้
ระยะทางหลายกิโลเมตรสำหรับมังกรแท้ใช้เวลาแค่สิบกว่าช่วงลมหายใจเท่านั้น เมื่อยืนยันตำแหน่งคลื่นพลังธาตุแล้ว เฟอร์กูสันก็ให้โคซ่าดิ่งลงไป
พอเพิ่งลงมาถึงพื้น ร่างของโคซ่าพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง อานุภาพมหาศาลของมังกรแผ่ออกมาอย่างฉับพลัน เปลวไฟสีน้ำเงินอ่อนหมุนวนรอบๆ ร่างมหึมาของมัน ถึงขนาดแม้แต่ป่าที่ห่างออกไปไม่ไกลนักยังล้วนถูกเผาจนไหม้เกรียมเป็นสีเหลือง
“โคซ่า เจ้าเป็นอะไรไป?” เฟอร์กูสันรู้สึกได้ว่าสหายของตนกระวนกระวาย
ตอนนี้อาการง่วงงุนในแววตาของโคซ่าหายเป็นปลิดทิ้ง ดวงตามังกรเปล่งประกายเฉียบคมพลางมองไปรอบด้าน “นี่เป็นลมปราณของสัตว์เวทเติบโต และเป็นลมปราณที่ทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียน”
……………………………………….