ตอนที่แล้วบทที่ 40 ความสามารถเป็นสิ่งดี แต่ก็อย่าทำความลับแตกเสียละ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42 ภารกิจอันหนักหน่วง

บทที่ 41 วิธีเบี่ยงเบนความสนใจ


บทที่ 41 วิธีเบี่ยงเบนความสนใจ

 

เมื่อเห็นว่าซย่าน่าคงไม่ฟื้นขึ้นมาในเร็วๆ นี้ หลิงม่อก็เอาก้อนไวรัสที่อยู่ในมือให้กับเย่เลี่ยน

 

สายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างเขาและเย่เลี่ยนมั่นคงขึ้นมากแล้ว แม้ว่าเย่เลี่ยนจะมองก้อนไวรัสด้วยสายตาที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง แต่เธอก็ไม่มีทีท่าจะเข้ามายื้อแย่ง นอกจากนี้เมื่อเผชิญหน้ากับหลิงม่อ ปฏิกิริยาทางสัญชาตญาณของเธอก็จะอ่อนลงไปมาก

 

จะว่าไปก็ไม่แปลก ตอนนี้เขาและเย่เลี่ยนเป็นเหมือนกับร่างแยก เวลาที่ควบคุมเย่เลี่ยนนั้นจึงไม่ได้ต่างไปจากการควบคุมมือเท้าของตัวเองเลย แน่นอนว่าไม่มีทางเกิดปัญหาเช่นเดียวกันกับซย่าน่า

 

แต่สุดท้ายแล้ว ความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขาก็ยังคงไม่แข็งแกร่งพอ ควบคุมซอมบี้ธรรมดาหลายตัวพร้อมกันยังพอไหว แต่หากควบคุมเย่เลี่ยนและซย่าน่าพร้อมกันเป็นระยะเวลานานๆ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...

 

“กินสิ” หลิงม่อลูบไล้แก้มของเย่เลี่ยนด้วยความรักใคร่และสงสาร พลางมองดูเธอกลืนกินก้อนไวรัสที่มีความบริสุทธิ์สูงก้อนนี้

 

เมื่อก้อนเหนียวหนืดเข้าไปในร่างกาย เชื้อไวรัสที่มีความบริสุทธิ์สูงในนั้นก็จะกระจายไปทั่วร่างกายของเย่เลี่ยน สุดท้ายก็คงจะไปรวมกันอยู่ที่บริเวณศีรษะด้านหลังของเธอละมั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเชื้อไวรัสที่ซ่อนแฝงอยู่ในจุดศูนย์รวมของโรค ซึ่งอยู่ในสมองของเย่เลี่ยนนั้นมีความบริสุทธิ์ระดับไหนกันแน่...

 

แต่ขณะที่เพ่งมองเย่เลี่ยน หลิงม่อก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที เย่เลี่ยนไม่เหมือนกับซย่าน่า ทันทีที่เย่เลี่ยนเกิดวิวัฒนาการ ตัวเขาก็พลอยได้รับผลกระทบอย่างมากด้วยเช่นกัน!

 

คราวที่แล้วที่เย่เลี่ยนเกิดวิวัฒนาการ ถึงแม้เขาจะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ในระหว่างนั้นเขาต้องเจ็บปวดทรมานอย่างมาก ซึ่งครั้งนั้นเธอแค่กลืนกินก้อนเหนียวหนืดไปก้อนเดียว ทว่าคราวนี้เป็นก้อนไวรัสที่มีความบริสุทธิ์สูงเชียวนะ!

 

แม้ว่าผลกระทบจะไม่ได้สูงจนถึงระดับเต็มสิบ แต่อย่างน้อยก็ถึงระดับห้าแน่นอน!

 

แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ หลังจากที่เย่เลี่ยนกลืนกินก้อนไวรัสนี้เข้าไป ในลำคอเธอก็ส่งเสียงประหลาดดัง “โครกคราก” ทันที ดวงตาของเธอที่เปลี่ยนเป็นสีดำหลังจากการวิวัฒนาการครั้งก่อน แต่ตอนนี้เพิ่งจะกลืนกินก้อนไวรัสเข้าไป บริเวณลูกตาขาวของเธอกลับดูเหมือนมีเส้นเลือดฝอยจำนวนนับไม่ถ้วนแตกออกมาและกลายเป็นสีแดงฉานทันที! แม้แต่รูม่านตาก็ดูคล้ายกับว่าปกคลุมไปด้วยหมอกสีแดงหนึ่งชั้น

แต่ยังดีที่เธอไม่ปรากฏเค้าต่อต้านแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ได้เป็นลมสลบไปเหมือนกับซย่าน่า

 

เย่เลี่ยนสั่นเทาไปทั้งตัวและสองตาก็เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความกระหายเลือด หากหันหลังให้กับเธอ ไม่มองเรือนร่างที่อ่อนแอบอบบางและใบหน้าที่สวยงามนั้น ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าบริเวณข้างหลังมีสัตว์ดุร้ายที่กินคนเป็นอาหารกำลังนอนจำศีลอยู่!

 

เมื่อก่อนหลิงม่อคิดว่า พวก “รังสีเข่นฆ่า” นี้เป็นแค่การขู่ ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เวลานี้เมื่อมองดูเย่เลี่ยน หลิงม่อถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรเรียกว่ามีรังสีเข่นฆ่า!

 

แม้เธอจะนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเก้าอี้ แต่หลิงม่อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้าเธอกลับไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย! ราวกับว่าหากเขากระดิกนิ้วมือสักนิดเดียว จะนำมาซึ่งการจู่โจมของอีกฝ่าย

 

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกชั่วแวบหนึ่ง เพราะว่าสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างหลิงม่อและเย่เลี่ยนนั้นมั่นคงไม่สั่นคลอน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะโจมตีเขา

 

ถึงกระนั้นก็ตาม หลิงม่อยังคงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก! กลิ่นอายความคลุ้มคลั่งที่ไม่ปิดซ่อนแม้แต่น้อยนี้เป็นสิ่งที่เย่เลี่ยนไม่เคยมีมาก่อน

 

แล้วตอนนี้ผลกระทบที่ถ่ายทอดผ่านทางสายสัมพันธ์ทางจิตก็ทำให้หลิงม่อตื่นตกใจทันที ความคิดที่บ้าระห่ำพัดโหมขึ้นในจิตใจของเขาในพริบตา!

 

ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ คราวนี้หลิงม่อไม่ได้รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวแต่อย่างใด ในทางกลับกัน ระหว่างที่สองตาของเขาแดงก่ำและกำหมัดแน่น เขากลับรู้สึกถึงความสบายกายสบายใจสุดขีด!

 

ทุกรูขุมขนตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับได้ถูกเปิดออกทั้งหมด หัวสมองก็ปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าการมองเห็นแทบจะกลายเป็นสีแดงทั้งหมด แต่ความรู้สึกของการที่มีพลังอยู่ในมือนั้นกลับทำให้หลิงม่อพออกพอใจเป็นอย่างมาก

 

ทว่าในขณะเดียวกันความคิดของเขาก็ได้รับผลกระทบจากรังสีเข่นฆ่าอันรุนแรงเช่นกัน บรรดาข้าวของต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาอยากที่จะทำลายเสียให้หมดสิ้น

 

แม้ว่าความรู้สึกสุขสบายทางกายจะทำให้รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว แต่หลิงม่อกลับรู้สึกเลาๆ ว่าถ้าตัวเองสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ ในใจเขาถึงจะรู้สึกพออกพอใจอย่างแท้จริง แล้วความรู้สึกเป็นสุขก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณตามไปด้วย!

เขาถึงขนาดรู้สึกว่าในเวลานี้ วินาทีนี้ วิธีการคิดของเขาและความรู้สึกที่ส่งต่อมาจากร่างกายเขาล้วนเหมือนกับซอมบี้ไม่มีผิดเพี้ยน!

 

หากไม่ใช่เพราะพลังจิตของเขาได้รับการยกระดับมาแล้วล่ะก็ หลิงม่ออาจจะจมถลำลึกอยู่ในความรู้สึกนี้ก็เป็นได้ แต่ขณะที่เขากำลังจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปทีละน้อยๆ แรงต่อต้านที่มาจากตัวเย่เลี่ยนก็พลันทำให้หลิงม่อตกใจตื่นขึ้นมาทันที

 

เขาเพิ่งจะได้รับผลกระทบนี้ และทำให้เย่เลี่ยนเกือบจะหลุดจากการควบคุมของเขาไป...

 

มิน่าล่ะพวกซอมบี้ถึงได้สูญเสียสติสัมปชัญญะและกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักแต่การสังหาร ความรู้สึกที่มอบทั้งกายและใจให้กับสัญชาตญาณก็เหมือนกับการกดปุ่มกดที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นไม่หยุด แล้วทันทีที่ประตูน้ำนี้ถูกเปิดออก มันก็คงจะปิดไม่ได้อีกแล้ว

 

หลังจากที่ได้สติกลับมา ด้านหนึ่งหลิงม่อรู้สึกหวาดกลัว อีกด้านหนึ่งก็พยายามสกัดกั้นความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นที่มาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างยากลำบาก

 

ถึงแม้เขาจะมีความมุ่งมั่นเป็นพิเศษ ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะหอบหายใจ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่ไม่ใช่เพราะเจ็บปวดทรมาน แต่เป็นเพราะความรู้สึกเป็นสุขที่ทะลักพรั่งพรูมาเป็นระลอกๆ...

 

เย่เลี่ยนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาก็ใบหน้าแดงเรื่อเช่นกัน สองตาเธอจับจ้องที่หลิงม่อเขม็ง ราวกับว่าเธอได้จมถลำอยู่ในความรู้สึกนั้นไปตั้งนานแล้ว

 

ขณะที่หลิงม่อแทบจะยับยั้งเอาไว้ไม่อยู่นั้น จู่ๆ ลำคอของเขาก็ส่งเสียงคำรามต่ำออกมา แล้วพุ่งกระโจนเข้าหาเย่เลี่ยนทันทีและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแน่น

 

นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาจะเบนความสนใจของตัวเองไปได้ ให้เขาหลุดพ้นจากความปรารถนาที่อยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปได้! อย่างไรก็ตามกอดแน่นๆ ยังไม่พอ เขายังต้องการมากกว่านี้อีก!

 

ทันใดนั้นหลิงม่อก็พลันประคองใบหน้าของเย่เลี่ยน ภายใต้การจ้องมองของดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นของเธอ ทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัวและจูบที่ริมฝีปากของเธอทันที

 

ในที่สุดริมฝีปากที่เย็นเฉียบและเรียวลิ้นที่ร้อนแรงของเธอก็ทำให้ความคลุ้มคลั่งภายในใจของหลิงม่อสงบลง

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหลิงม่อก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมา แต่เมื่อเขาได้สติรู้ตัว เขาก็ลงไปกลิ้งบนพรมด้วยกันกับเย่เลี่ยนเสียแล้ว ซึ่งเย่เลี่ยนกำลังอ้าปากเล็กน้อยและแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน

 

ในขณะนั้นที่ใกล้จะสูญเสียจิตวิญญาณไป หลิงม่อได้ปลุกความปรารถนาภายในใจที่มีต่อเย่เลี่ยนให้ตื่นขึ้น เพื่อใช้สกัดกั้นความรู้สึกคลุ้มคลั่งนั้น ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากสัญชาตญาณ ตอนนี้เห็นได้ว่าผลลัพธ์ของการเบี่ยงเบนความสนใจออกมาไม่เลวทีเดียว...

 

แต่จูบกับซอมบี้?

 

คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ คงจะมีแต่เขาคนเดียวละมั้ง...แต่ให้ตายเถอะ ใครบอกว่าซอมบี้จูบไม่ได้! ความรู้สึกนี้มันดีชะมัดเลย...

 

ใช่แล้ว ในใจหลิงม่อนั้นเย่เลี่ยนไม่ใช่ซอมบี้กระหายเลือด แล้วก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาด เธออาจจะไม่นับว่าเป็นคนแล้ว แต่ในสายตาของหลิงม่อ เธอยังคงเป็นเด็กหญิงคนนั้นที่ทำให้ใจเขาหวั่นไหวไม่หยุด!

 

แต่หลังจากที่ค่อยๆ สงบลง จู่ๆ หลิงม่อกลับรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นหนึ่งกะละมังราดใส่หัว!

 

สิ่งที่ลู่ซินและซย่าน่าได้ประสบเพียงพอที่จะยืนยันได้แล้วว่าไวรัสติดต่อกันทางเลือดได้ แล้วน้ำลายล่ะ เมื่อกี้ตอนที่เขาเกือบจะสูญสิ้นซึ่งสติสัมปชัญญะ เขาได้รับเอาน้ำรสหวานจากในปากของเย่เลี่ยนมาไม่น้อยทีเดียว!

 

นอกจากนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือเย่เลี่ยนเพิ่งจะกลืนกินก้อนไวรัสลงไปด้วย! นี่เท่ากับว่าเขาได้ดื่มเชื้อไวรัสโดยตรงหรือเปล่านะ

 

เวลาที่คนๆ หนึ่งรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ก็จะขาดความสามารถในการคิดพิจารณาไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่ออยู่ภายใต้ผลกระทบจากภายนอก หลิงม่อไม่ได้เสียสติและเป็นบ้าไปก็นับว่าดีแล้ว แต่ตอนนี้พอสงบลง หลิงม่อกลับมีเหงื่อเย็นๆ ออกทั่วทั้งตัวทันที

 

แต่ไม่ว่าคนปกติคนไหนก็ไม่อยากกลายเป็นซอมบี้กันทั้งนั้น แถมถ้าเขาเกิดกลายร่าง ซย่าน่ากับเย่เลี่ยนจะต้องจบเห่แน่ ไม่แน่ว่าเย่เลี่ยนอาจจะควักศีรษะด้านหลังของเขาจนกลวงโบ๋ จากนั้นหายตัวไปในเมืองใหญ่อันน่ากลัวแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยซอมบี้...

 

ส่วนซย่าน่า? เธอเองก็อย่าหวังจะรอดพ้นเงื้อมมือของเย่เลี่ยนเลย ทำยังไงดีล่ะ!

 

หลิงม่อนั่งหนาวยะเยือกไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น พลางจ้องมองเย่เลี่ยนด้วยความงงงวย จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเจื่อนเล็กน้อย

 

จูบแรกของฉันเป็นอันตรายถึงชีวิตเชียวเหรอเนี่ย!

 

.......................................................................................................................................................

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด