บทที่ 41 พันธสัญญาร่วมชะตา (1)
บทที่ 41 พันธสัญญาร่วมชะตา (1)
เย่ฉงมองลูกชายอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ของที่เจ้าทำหาย ต้องพึ่งกำลังของตัวเองหามันกลับคืนมา พ่อบอกเจ้าได้แค่ว่าคนที่ขโมยแหวนเจ้าตอนแรกอยู่ที่มิลานเช่นกัน ลูก เจ้าจงจำไว้ หากอยากเป็นยอดฝีมือ เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตและรับรู้ทุกสิ่งรอบตัวเสียก่อน”
“อยู่ที่มิลานเหมือนกัน?” เย่อินจู๋มองพ่อตัวเอง หลังจากคิดสักครู่ จึงกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “พ่อจ๋า ข้าจะต้องพึ่งกำลังตัวเองหาแหวนคืนมาให้ได้”
เย่ฉงกล่าวกับม่วงว่า “ม่วง ข้าอยากคุยกับอินจู๋ตามลำพังสักหน่อย”
ม่วงไม่สนใจเย่ฉง เพียงแต่สายตาทอดมองอินจู๋อีกสักครู่จึงค่อยหันหลังเดินไปทางป่า
“อินจู๋ เหตุการณ์ที่เจ้าพบเจอตลอดทางมานี้อยู่ในสายตาพ่อตลอดเวลา แต่ไม่ว่าเจ้าจะฆ่านักเวทหลายคนที่เมืองลูน่าหรือทำแหวนที่ปู่ฉินให้เจ้าหายในตอนหลังพ่อก็ไม่เคยออกหน้า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเป็นเพราะอะไร?”
เย่อินจู๋ส่ายหน้าอย่างสับสนเล็กน้อย
เย่ฉงกล่าวเสียงขรึมว่า “เพราะพ่อหวังว่าเจ้าจะสามารถเติบโตขึ้นจากประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการคุ้มครองของพ่อ เจ้าทำแหวนมิติหายครั้งหนึ่งพ่ออาจช่วยเจ้าหาคืนมาได้ แต่หากครั้งต่อไปพ่อไม่อยู่ข้างกายเจ้าล่ะ? ปีนี้เจ้าอายุสิบหก ตามธรรมเนียมของลองกินุสถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าอุปสรรคทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉะนั้น พ่อจึงไม่ยุ่งเกี่ยวมาโดยตลอด ตอนนี้เจ้าอาจจะไม่ได้ทำตามแผนของปู่ฉินของเจ้า แต่พ่อรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี ทางของเจ้าเองก็ต้องเดินต่อไปเอง เจ้าจงจำคำสอนของปู่เจ้าทั้งสองก่อนหน้านี้ไว้ตลอดเวลา”
เย่อินจู่สบสายตาเข้มงวดเล็กน้อยของพ่อ จู่ๆ ก็รู้สึกตัวว่าความรู้สึกพะว้าพะวงที่เคยมีมาโดยตลอดหลังจากตัวเองออกจากทะเลโพรงมรกตได้หายไปแล้ว คำว่าเข้มแข็งกลับงอกเงยขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของเขา
“พ่อ ข้าทำได้”
จากพ่อจ๋าเปลี่ยนเป็นพ่อ แม้จะขาดไปเพียงคำเดียว แต่เย่ฉงกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าลูกชายของตนเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ
“อินจู๋ พ่อไม่คัดค้านหากเจ้าฆ่าคน แต่พ่อต้องบอกเจ้าว่าศัตรูไม่จำเป็นต้องฆ่าให้ตายทุกคน บางคนโทษไม่ถึงตายก็จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นมาจัดการ ขณะเดียวกัน การฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต เช่นเจ้าฆ่าคนที่สมาคมเวทมนตร์อาร์คาเดียคราวก่อน แม้ผู้ที่รับภาระชดใช้จะไม่ใช่เจ้า แต่กลับเป็นทั้งสมาคมเวทมนตร์อาร์คาเดีย หรือแม้กระทั่งทั้งประเทศ โชคดีว่านั่นไม่ใช่สภาพที่พวกเราหวังจะได้เห็นแต่แรก ถึงม่วงจะไม่มีเจตนาร้ายอะไรต่อเจ้า แต่ในบางด้านเขาก็ดื้อรั้น คำพูดของเขาไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป เจ้าต้องตัดสินด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาที่พวกเจ้าแยกกัน พ่อเคยสะกดรอยตามเขา ตอนหลังเพราะห่วงว่าเจ้าไม่มีพิณแล้วจะเกิดเรื่องจึงเกือบหันกลับมาอยู่ใกล้ๆ เจ้า ม่วงต้องมีภูมิหลังลึกลับแน่นอน ดูเหมือนเขาจะมีสัมพันธ์พิเศษกับอมนุษย์ในทุ่งราบตอนเหนือสุด”
พอฟังพ่อตัวเองพูดแล้ว เย่อินจู๋ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พ่อ ม่วงจะไม่ทำร้ายข้าแน่นอนพวกเราเป็นพี่น้องกัน อาร์คาเดียชดใช้อะไรแทนข้าเหรอ?”
เย่ฉงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรื่องของอาร์คาเดียเจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้ ปู่ทั้งสองของเจ้าจะจัดการเอง พ่อเพียงแค่ตักเตือนเจ้า ไม่ได้ช่วยเจ้าตัดสินใจ ข้อเสนอที่ม่วงพูดถึงเมื่อกี้พ่อได้ยินแล้ว ถึงพ่อจะไม่รู้ว่าความหมายแฝงจริงๆ ของพันธสัญญาร่วมชะตาคืออะไร แต่พ่อกลับยืนยันได้นิดหน่อยว่าหากเจ้ากับเขาบรรลุพันธสัญญานี้ ถ้าอย่างนั้น ต่อจากนี้เจ้าก็จะมีสัตว์เวทไม่ได้อีกต่อไป พันธสัญญาประเภทนี้เป็นแบบเดี่ยว ในฐานะนักเวท สัตว์เวทของตัวเองสำคัญที่สุด ปู่ฉินของเจ้าก็จำต้องทำพันธสัญญากับสัตว์เวทขั้นต่ำเพราะตอนฝึกฝนมนต์พิณเมื่อนานมาแล้วความสามารถยังอ่อนแอเกินไป ทำให้ภายหลังไม่สามารถมีสัตว์เวทที่แข็งแกร่งได้”
“ปู่ฉินก็มีสัตว์เวทเหรอ? ทำไมข้าไม่รู้เลย?”
เย่ฉงถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “สัตว์เวทของปู่ฉินของเจ้าสู้จนตัวตายเพื่อปกป้องเขาเมื่อนานมาแล้ว เพื่อระลึกถึงมัน และเพราะผลกระทบจากพันธสัญญาในอดีต ตลอดมาปู่ฉินของเจ้าจึงไม่มีสัตว์เวทอีกเลย จะจัดการความสัมพันธ์กับม่วงอย่างไรก็อยู่ที่ตัวเจ้าเอง พ่อต้องไปแล้ว ออกจากทะเลโพรงมรกตครั้งนี้ อย่างหนึ่งคือเพื่อคุ้มครองเจ้ามาส่งถึงมิลาน อีกอย่างหนึ่งก็เพราะต้องไปจัดการธุระที่อาณาจักรอัสโคลีนิดหน่อย เจ้าอยู่ที่โรงเรียนนี่แหละ จบภาคเรียนก็ไม่ต้องกลับบ้าน พวกเราจะติดต่อเจ้าเอง เจ้าโตแล้ว พวกเราสำนักไผ่กับสำนักพิณก็น่าจะเคลื่อนไหวกันบ้างแล้ว”
พูดจบเย่อินฉงก็กอดลูกชายทีหนึ่ง ไม่ทันรอให้เย่อินจู๋พูดอะไรต่อ ร่างก็พุ่งทะยานขึ้นดั่งฝนดาวตก หลังจากขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“เข้มแข็ง ข้าต้องเข้มแข็งให้ได้” ฝืนข่มความรู้สึกอ้างว้างที่มาพร้อมกับการแยกจากไปของพ่อ แววตาแจ่มใสของอินจู๋ฉายประกายอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา เมื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ บทเรียนที่เย่ฉงสอนให้แก่เขาสำคัญอย่างยิ่ง เย่อินจู่ค่อยๆ หลุดพ้นจากชีวิตที่นอกจากทะเลโพรงมรกตก็ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้นในตอนแรก เขาเข้าใจแล้วว่าจากนี้ไปสิ่งที่ตัวเองพึ่งพาได้มีแต่ตัวเองเท่านั้น
พอเห็นเงาร่างสูงใหญ่เดินกลับมายืนอยู่ข้างตัวเอง เย่อินจู๋ก็หัวเราะเบาๆ พยักหน้าให้กับเขาแล้วกล่าวว่า “เรามาเริ่มกันเถอะ”
ม่วงชะงักไป “เริ่ม? เริ่มอะไร?”
เย่อินจู๋กล่าวว่า “ก็ต้องพันธสัญญาร่วมชะตาอยู่แล้วสิ!”
ม่วงจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอินจู๋อย่างลึกซึ้ง ก่อนกล่าวเสียงขรึมว่า “เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ เหรอ? ข้าว่าตอนที่พ่อเจ้าคุยกับเจ้าเมื่อกี้ คงจะบอกจุดบกพร่องของพันธสัญญากับผลกระทบต่อเจ้าในอนาคตแล้วแน่ๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะไตร่ตรองให้ดี อย่าเสียใจทีหลัง”
“ไม่ต้องไตร่ตรองอะไรหรอก ข้าคิดดีแล้ว อันที่จริง ตอนที่พ่อพูดเรื่องพันธสัญญาจะส่งผลต่อการอัญเชิญสัตว์เวทในอนาคตเสร็จเมื่อกี้ ข้าถามตัวเองแค่คำถามเดียว ข้าถามตัวเองว่าพอเทียบการมีสัตว์เวทที่แข็งแกร่งกับมีพลังพาเจ้ามาอยู่ใกล้ๆ ได้ตลอดเวลา อันไหนสำคัญกว่ากัน คำตอบคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรอกมั้ง” ตั้งแต่ต้นจนจบเย่อินจู๋ไม่ได้คิดจะปฏิเสธพันธสัญญาร่วมชะตาเพราะปัญหาเรื่องสัตว์เวท ความคิดของเขาไร้เดียงสานัก แต่กลับจับใจความสำคัญขณะครุ่นคิดได้เสมอ การทำพันธสัญญา ไม่เพียงแต่เป็นข้อจำกัดของเขา ทว่าเป็นข้อจำกัดของม่วงด้วย ม่วงไม่กังวลเลย แล้วเรายังต้องกังวลอะไรอีก? ไม่มีสัตว์เวทก็กลายเป็นยอดฝีมือไม่ได้อย่างนั้นหรือ? พ่อเพิ่งบอกเราว่าถ้าอยากแข็งแกร่งขึ้นต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น
พอเห็นรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าเย่อินจู๋ ความรู้สึกอันลึกซึ้งพลันปะทุออกมาจากนัยน์ตาแวววาวของม่วง “น้องรัก ความเชื่อใจจากเจ้าข้าจะไม่มีวันลืมเช่นกัน”
“เราคือพี่น้องกัน” เย่อินจู๋พูดเพียงแค่ประโยคเดียว ใช่! ในเมื่อเป็นพี่น้องกัน ยังจะต้องพูดอะไรให้มากความอีกล่ะ?
นี่คือการสบสายตาระหว่างราชาพิณและราชาม่วง ตั้งแต่วินาทีนี้ไป ตลอดชั่วชีวิตพวกเขา ความรักของพี่น้องระหว่างทั้งสองคนไม่เคยแปรเปลี่ยน มั่นคงยืนนาน
“ม่วง เริ่มกันเถอะ” อินจู๋มองออกว่าม่วงตื่นเต้น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ขอเพียงบรรลุพันธสัญญานี้ หลังจากนี้ไปแม้เขาจะอยู่ในโรงเรียนก็สามารถพบกับม่วงเมื่อไหร่ก็ได้
“ดี เจ้าว่าตามข้า” ม่วงไม่ใช่คนขี้ลังเลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร “ตะวันจันทราดารานทีอันดำรงอยู่แต่บรรพกาลจงเป็นสักขีพยาน ข้าม่วง”
“ตะวันจันทราดารานทีอันดำรงอยู่แต่บรรพกาลจงเป็นสักขีพยาน ข้าเย่อินจู๋”
ม่วงกัดนิ้วชี้ข้างขวาของตัวเองอย่างยากลำบากเล็กน้อย เลือดสดของเขากลับเป็นสีม่วงอ่อน แลดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
เย่อินจู๋ทำแบบเดียวกัน นิ้วมือที่มีเลือดสดซึมออกมาของทั้งสองคนสัมผัสกันกลางอากาศ ทันใดนั้น โลหิตสีแดงฉานและม่วงอ่อนแตกต่างกันสองชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกันทันที คลื่นพลังธาตุเวทมนตร์อันรุนแรงมหาศาลระเบิดออกในพริบตา หมุนล้อมร่างของพวกเขาทั้งสองไว้ข้างในดุจพายุ กลางอากาศราวกับมีประกายแสงดุจทางช้างเผือกพาดลงมาจากฟากฟ้า ตัดขาดจากทุกสิ่งรอบด้าน
……………………………………….