บทที่ 39 ขี้อ้อน แอ๊บแบ๊ว ทำตัวน่าสงสาร
บทที่ 39 ขี้อ้อน แอ๊บแบ๊ว ทำตัวน่าสงสาร
ซ่งฉู่อี๋ดึงชุดนอนเธอไว้อย่างอารมณ์เสีย ฉางฉิงขยับขาอยู่นานสองนาน แต่กลับยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหนสักก้าว เธอหงุดหงิด “คุณเข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
“เหอะๆ...” ซ่งฉู่อี๋แกว่งกุญแจห้องของเธอให้ดู “รู้เลยว่าปกติตอนอยู่บ้านคุณขี้งอนอยู่บ่อยๆ พ่อคุณก็เลยเชื่อผม แล้วก็เอากุญแจให้ผมโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
ฉางฉิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วตะโกนเสียงดัง “พ่อคะ ตกลงพ่อเป็นพ่อแท้ๆ ของหนูหรือเปล่า...”
เยี่ยนเหล่ยที่เอาหูแนบประตูแอบฟังพวกเขาคุยกันด้วยความกังวลใจพูดขึ้นมาทันทีว่า “ฉางฉิง เลิกเอะอะโวยวายได้แล้วลูก เข้าใจผิดอะไรกัน สามีภรรยาก็พูดคุยอธิบายกันดีๆ ฉู่อี๋เป็นห่วงลูกมากนะ พ่อเองก็หวังดีกับลูกทั้งสองคน”
เยี่ยนเหล่ยนึกขึ้นได้ว่าสมัยที่ตัวเขายังหนุ่มๆ เขากับภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ บทสนทนาหลังจากนี้คงไม่เหมาะที่เขาจะแอบฟังต่อ เขาจึงไปดูละครแนวสงครามที่ออกอากาศทางช่อง CCTV ในช่วงนี้อย่างเบาใจ
ฉางฉิงเดือดดาล “ตกลงคุณพูดอะไรกับพ่อฉัน”
“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่บอกว่าผมทำงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณก็เลยโกรธ” ซ่งฉู่อี๋ยิ้มเย็นชา แล้วจู่ๆ ก็อุ้มเธอขึ้นมา
“ว้ายๆๆ...” ฉางฉิงร้องกรี๊ด “คุณจะทำอะไรฉันน่ะ พ่อคะ ช่วยหนูด้วย”
“คุณร้องจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์” ซ่งฉู่อี๋โยนเธอลงบนเตียง ฉางฉิงตะเกียกตะกายจะวิ่งหนี แต่เขาดึงสองขาเธอไว้ แล้วเธอก็เข้าไปอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างง่ายดายอีกครั้ง
พอมองใบหน้าเรียวเล็กที่แดงก่ำของเธอ ซ่งฉู่อี๋ก็โกรธจัด “ผมให้คุณรอผม แต่คุณกล้ามากที่หนีผม คุณคิดว่าคุณมาบ้านตระกูลเยี่ยน แล้วผมจะหมดหนทางใช่มั้ย”
วิ่งหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉางฉิงจึงจำต้องควักไม้เด็ดที่เธอถนัดที่สุดออกมาใช้นั่นคือ ขี้อ้อน แอ๊บแบ๊ว ทำตัวน่าสงสาร “ไม่ใช่ค่ะ ฉันกลัวว่าคุณจะโกรธฉันน่ะค่ะ”
เธอบุ้ยปาก ดูน่าสงสาร
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงใช้ได้ผลกับซ่งฉู่อี๋ แต่ตอนนี้เขาโมโหมากจริงๆ ทำไมเจ้าฟู่อวี้คนนี้ชอบวนเวียนอยู่ข้างกายเขาตามติดเป็นวิญญาณอยู่ตลอดเลยนะ กว่านอิงชอบฟู่อวี้ ตอนนี้แม้แต่ฉางฉิงก็ชอบด้วย “คุณกลัวผมโกรธงั้นเหรอ”
ซ่งฉู่อี๋ยิ้มเยาะ “ฉางฉิง ก่อนหน้านี้ผมเชื่อคุณนะ คุณบอกว่าคุณกับฟู่อวี้แค่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก แต่ผมไม่รู้เลยนะว่าคุณยังตะโกนร้องเต็มปากเต็มคำว่าจะแต่งงานกับเขาด้วยน่ะ ตอนนี้คุณเสียใจมากเลยใช่มั้ยที่จู่ๆ ก็ต้องแต่งงานกับผม ไม่ว่าจะพูดยังไงตระกูลฟู่ก็มีทั้งอำนาจและอิทธิพล ถ้าตอนแรกคุณแต่งงานกับเขา ไม่แน่ว่าแค่คุณนอนกับเขาคืนเดียว เขาก็อาจช่วยคุณแล้วก็ได้”
“ซ่งฉู่อี๋ คุณพูดจาทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว” คราวนี้คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกเสียใจจริงๆ น้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เธอร้องไห้จริงๆ “ใช่ ฉันไม่ได้บอกคุณ แต่มันก็เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว ตอนเด็กๆ ฉันไม่ประสีประสาอะไร นี่ก็เป็นความผิดของฉันด้วยเหรอคะ แต่ยังไงฉันก็ยังดีกว่าคุณ อย่างน้อยตอนที่เจอคุณ รักแรกกับจูบแรกของฉันก็ยังอยู่ครบ แล้วคุณล่ะ ถึงแม้ฉันจะไม่รู้เรื่องในอดีตของคุณ แต่ตอนที่คุณจูบฉัน เทคนิคการจูบที่ช่ำชองของคุณ ฉันรู้สึกได้เลยว่าเมื่อก่อนคุณต้องเคยคบผู้หญิงมาไม่น้อยแน่นอน”
ซ่งฉู่อี๋ตะลึงงัน เธอไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับผิด ยังพูดย้อนเขาอีกด้วย เขารู้สึกเหมือนจนปัญญาที่จะโต้แย้งเล็กน้อย
ฉางฉิงฉวยโอกาสตะเกียกตะกายขึ้นมาและเป็นฝ่ายทุบตีเขา
เรือนร่างอรชรบิดไปบิดมาบนตัวเขา จนเขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
“พอได้แล้ว” ซ่งฉู่อี๋ถูกเธอเล่นงานจนเวียนหัว แล้วจิตใต้สำนึกก็สั่งให้คว้าสองมือของเธอไว้
ฉางฉิงส่ายศีรษะไปมา พอรู้ตัวอีกที เธอก็นอนอยู่บนเตียง ส่วนซ่งฉู่อี๋คร่อมอยู่บนตัวเธอ ใบหน้าที่หล่อเหลาไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนเมื่อครู่แล้ว แสงไฟนวลละมุนที่อยู่เหนือศีรษะสาดส่องเข้าที่ใบหน้าด้านข้างที่หล่อคมคายของเขา ดวงตาเขาดูใสแวววาวเหมือนกับอัญมณีล้ำค่าในตู้โชว์สินค้า
ฉางฉิงจ้องมองอัญมณีคู่นั้น แล้วใบหน้าที่บอบบางก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ซ่งฉู่อี๋เองก็มองดูบลัชออนบนใบหน้าของเธอที่ดูสว่างราวกับเมฆออกสีชมพูที่มารวมตัวกัน ในดวงตากลมโตคู่นี้ดูเหมือนมีกระแสไฟฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับ มีเสน่ห์ดึงดูดใจ
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงแหบแห้งว่า “ยังจำที่ผมบอกคุณในห้องทำงานได้หรือเปล่า ผมห้ามไม่ให้คุณยั่วโมโหผม ไหนคุณบอกมาซิทำไมคุณถึงได้ดื้อแบบนี้”
ฉางฉิงมึนงง เธอกลัวหัวหด “ก็ฉันกลัว...”
“คุณน่ะดื้อเกินไป ถ้าวันนี้ผมไม่สั่งสอนคุณ คราวหน้าคุณต้องทำผิดซ้ำอีกแน่นอน” ซ่งฉู่อี๋พูดจบแล้ว
ฉางฉิงช็อก แล้วมองขนตาของชายหนุ่มที่อยู่ในระยะประชิด
เธอนึกขึ้นได้ว่าห่างจากจูบครั้งที่แล้วยังไม่ถึงสามชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ เธอกลับโดนเขาจูบอีกแล้ว
...........................................