บทที่ 40 ปล่อยเธอนะ
บทที่ 40 ปล่อยเธอนะ
“ไอ้อ้วนห้า! มึงตัดตอนอีกแล้ว! มึงมันไอ้ก้อนขี้! มึงแม่งมีไอ้นั่นหรือเปล่า!”
หานปี้กำลังหยิบมือถือมาก่นด่าด้วยความโกรธลงในช่องคอมเมนต์หนังสือเล่มหนึ่ง
จู่ๆ ก็รู้สึกถึงสายตาที่ส่งมาจากอีกทาง
หานปี้หันกลับไปมอง...หือ?
วัยรุ่นหน้าตาหมดจดกำลังมองเขาอยู่
“มองอะไร? ไม่เคยเห็นหนุ่มหล่อคิ้วเข้มหรือไง!” หานปี้ส่งเสียงฮึ
เฉินเสี่ยวเลี่ยนยืนอย่างอารมณ์ดีอยู่ข้างหานปี้ ยิ้มพลางชี้นิ้วไปยังหน้าจอมือถือของเขาพูดว่า “ที่จริงแล้ว...คราวนี้ที่ไอ้อ้วนห้าตัดตอนมันมีเหตุผลนะ เขาไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วก็เจอเรื่องบางอย่าง เกือบตายอยู่บนเกาะร้างแห่งหนึ่ง”
“นายรู้ได้ยังไง?” หานปี้มองเฉินเสี่ยวเลี่ยนอย่างสงสัย “เที่ยวต่างประเทศอะไรกัน? ไปเจอเรื่องอะไร? ตายบนเกาะ? แต่งนิยายทำแมวนายนะสิ”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่ะ จริงๆ แล้วฉันก็อ่านนิยายของไอ้อ้วนห้าเหมือนกัน ฉันอยู่ในกลุ่มแฟนพันธุ์แท้กลุ่มหนึ่งของเขาด้วยนะ” เฉินเสี่ยวเลี่ยนเกาศีรษะ ยิ้มแห้งๆ พูดว่า “เมื่อกี้ฉันบังเอิญเห็นนายให้มือถือด่าเขาอยู่ ด่าได้แพรวพราวมาก ก็เลยอดดูสักหน่อยไม่ได้”
“นาย...เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขาเหรอ?” หานปี้ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตร
“เอ่อ...” เฉินเสี่ยวเลี่ยนกลอกตาทีหนึ่ง รีบส่ายหัว “แต่ก่อนน่ะใช่ แต่ตอนหลังหมดนั่นตัดตอนปั่นตั๋วตลอด ฉันเลยเปลี่ยนจากแฟนคลับเป็นแอนตี้แฟนแล้ว สร้างไอดีเล็กไปด่ามันทุกสามวันห้าวัน!”
“ฮ่าๆๆๆ! ดี! ทำดีมาก!” หานปี้ชอบอกชอบใจ “ที่แท้เป็นพวกเดียวกันนี่หว่า! ฉันจะบอกอะไรให้ เมื่อวานฉันเพิ่งลงทะเบียนไอดีอันใหม่ ตั้งชื่อว่า ‘อ้วนห้า 5 มิล’ ฮ่าๆๆ! มันต้องโมโหตายแน่”
(น้องสาวแกสิ!!) เฉินเสี่ยวเลี่ยนสบถด่าแรงๆ ในใจ แสบเกินไปแล้ว!
“ทำความรู้จักกันหน่อยสิ ฉันชื่อเฉินเสี่ยวเลี่ยน” เฉินเสี่ยวเลี่ยนยิ้มหยี
“หานปี้ คนหางโจว นายก็ไปซีเป่ยเหมือนกันเหรอ?”
“อือ ไปเที่ยวน่ะ นายล่ะ?” เฉินเสี่ยวเลี่ยนถาม
“เฮ้อ อย่าพูดถึงมันเลย โรงเรียนจัดการแข่งขันเครื่องบินจำลองอะไรก็ไม่รู้ ปิดเทอมฤดูร้อนทั้งที ฉันต้องวิ่งรอกเข้าร่วมแข่งขันเหนือจรดใต้ เอาถ้วยกลับมาให้โรงเรียนหลายๆ อัน ถ้าไม่เห็นแก่เงินรางวัลฉันก็ขี้เกียจจะทำ จะบอกให้นะ เมื่อวานฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ วันนี้ตอนบ่ายต้องออกจากหางโจวอีกแล้ว คณะกรรมการจัดงานภายในประเทศคราวนี้ขี้ตืดเป็นพิเศษ ขนาดตั๋วเครื่องบินยังไม่ออกให้ ให้พวกเรานั่งรถไฟไปแถมยังเป็นเตียงแข็งอีกต่างหาก”
บังเอิญ...จังเลยนะ
เฉินเสี่ยวเลี่ยนจนใจ
ทว่าพอคิดอีกที จู่ๆ ก็รู้สึกระแวงขึ้นมา ทั้งหมดนี่คงไม่ใช่เจ้า GM คนนั้นเตรียมไว้หรอกนะ?
ว่ากันตามเหตุผล ขนาดสงครามโลกเขายังจัดการทำออกมาได้ ประสาอะไรกับ…
เฉินเสี่ยวเลี่ยนมองดูเวลา จู่ๆ ก็มองหานปี้อย่างจริงจัง “จริงสิ ขอถามอะไรหน่อย”
“อะไรล่ะ?”
“นายคุ้นหน้าฉันหรือเปล่า?”
“...” หานปี้ครุ่นคิด “ก็ดูคุ้นๆ อยู่นะ...”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนรู้สึกดีใจ จากนั้นสีหน้าของหานปี้ก็ปรากฎแววยินดีขึ้นมา “อ๊ะ ใช่แล้ว ฉันเคยเจอนายบนเครื่องบินใช่หรือเปล่า? เหมือนว่าตอนนั้นมีสาวน้อยที่สวยมากคนหนึ่งนั่งข้างๆ นาย? เศรษฐีชั้นเฟิร์สคลาสนี่นา!”
สีหน้าเฉินเสี่ยวเลี่ยนดูแปลกๆ ร็อดดี้ที่อยู่ข้างๆ อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “นายรู้จักกับซูซูบนเครื่องบินจริงๆ เหรอ แถมยังนั่งด้วยกันอีก? นายไม่ได้คิดกับเธอ...”
“หุบปาก!” เฉินเสี่ยวเลี่ยนขายหน้าจนแทบโกรธ เขาลุกขึ้นดึงร็อดดี้ไปอีกทาง พูดเสียงเบาว่า “ช่วยฉันเรื่องหนึ่ง”
“อะไร?” ร็อดดี้รีบปิดกระเป๋าทันควัน “บนตัวฉันเหลือเงินไม่มากแล้วนะ”
“ถุ้ย นายยืมเงินตัวเองไปเถอะ นาย...” เฉินเสี่ยวเลี่ยนกดเสียงต่ำ “อยู่ที่นี่ คอยจับตาดูเขาไว้”
“หา?” ร็อดดี้อึ้งไป
“อย่าเพิ่งถาม ถือว่าช่วยฉันเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน นายต้องอยู่ที่นี่ คอยจับตาดูเขาไว้…อืม ถ้าเขามีท่าทีผิดปกติอะไรให้โทรบอกฉันทันที”
“...งั้นนายจะไปไหน?”
“ไปหาราชินีเฉียว”
ร็อดดี้ถอนหายใจ “...ครั้งนี้เอาจริงขนาดนี้เลย? อย่าหาว่าฉันว่านายเลยนะ หนุ่มซิงจะท้าทายคู่มือระดับสูงขนาดนี้ ฉันกังวลแทนนายจังว่ะ”
“จะช่วยหรือไม่ช่วย!” เฉินเเสี่ยวเลี่ยนกัดฟัน
“ได้ๆๆ ฉันจะช่วยนายจับตาดูเจ้าคิ้วเข้มนี่”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนระบายลมหายใจ ดึงร็อดดี้ไปข้างหานปี้ “นาย… ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ว่ามา”
“ดูสิ พวกเรารีบร้อนขึ้นรถมาแถมซื้อตั๋วนั่งไม่ได้อีก ให้เพื่อนฉันคนนี้พักอยู่กับนายตรงนี้ก่อนได้ไหม?”
“ฮ่าๆๆ สี่ทะเลล้วนพี่น้อง! นั่งสิ!” หานปี้ย้มอย่างเบิกบาน
เฉินเสี่ยวเลี่ยนส่งสายตาให้ร็อดดี้ทีหนึ่ง แล้วทำทีขอตัวไปห้องน้ำ
“เฮ้ยนาย พวกเรานั่งเฉยๆ น่าเบื่อแย่ สักเกมไหม?” ร็อดดี้มองดูกระเป๋าโน้ตบุ๊คที่หานปี้วางไว้บนเตียง
“อะโห? มาดิ! นายเอาคอมฯ กับ Pocket WiFi มาไหม?”
ร็อดดี้ยิ้มหยีปลดกระเป๋าเป้ลง หยิบโน๊ตบุ๊คและ Pocket Wifi ของ China Mobile ออกมา “คุยกันก่อน ถ้าแพ้ก็อย่าพาลล่ะ”
“ถุ้ย พี่ใช้แค่สามดาบก็ปราบได้ทั้งโลก คนจริงห้าวิ!”
“ฉายาซุ่มในดงหญ้าของพี่ก็ไม่ได้มาเปล่าๆ นะเว้ย”
……
เฉินเสี่ยวเลี่ยนมุ่งหน้าไปยังตู้ที่เจ็ดต่อไป
ตอนที่เดินผ่านบริเวณที่ตู้รถเชื่อมต่อกัน ผู้ชาย 2 คนด้านข้างก็เดินเฉียดผ่านไป ชายผมยาวหนึ่งในนั้นยังชนเข้ากับไหล่ของเฉินเสี่ยวเลี่ยน อีกฝ่ายก็ดูอกเกรงใจอยู่บ้าง หันกลับมายิ้มพูดว่า “โทษทีนะ”
“ไม่เป็นไร”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนก้มหัวเดินต่อไป
……
“อยู่ตู้ไหนกันแน่นะ?” ชายผมยาวถอนหายใจ “หาไปทีละตู้แบบนี้ยุ่งยากชะมัด”
“อย่าพูดมาก ดูหน้าเรดาห์ไว้ให้ดี ถ้าเห็นจุดสีเขียวให้รีบบอกฉันทันที”
ชายทั้งสองเดินไปอีกสองก้าว ชายผมยาวคนนั้นก็หยุดเดินกะทันหัน ดึงชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมเอาไว้ “เดี๋ยว!”
“อะไร?”
“เมื่อกี้เจอพวกเดียวกันเข้าแล้ว”
สายตาของชายผมยาวเป็นประกาย “เจ้าคนเมื่อครู่ ฉันเห็นเขาแขวนดาบกางเขนประดับยศไว้ที่คอ”
“จริงเหรอ?” ชายวันกลางคนมีสีหน้าตะลึงงัน “ไม่ได้ตาฝาดนะ?”
“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กใหม่ อาวุธระดับ B ที่ได้อันแรกคือดาบกางเขนประดับยศ จะจำผิดได้ยังไง” สายตาของชายผมยาวดูหดหู่ “เฮ้อ เพื่อนร่วมทีมตอนนั้นจากไปทีละคนๆ…ชีวิตช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจริงๆ”
ชายที่สวมเสื้อคลุมยังสุขุมกว่าเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่าทีมอื่นก็อยากได้เป้าหมายเหมือนกัน?”
“ตอนนี้แข่งกันแย่งตัวเด็กใหม่กันมากขนาดนั้นเลยหรือไง?” ชายผมยาวหัวเราะ “ฉันจะตามไปดู”
“ถ้าเลี่ยงไม่ฆ่าได้ก็อย่าฆ่าล่ะ” ชายที่สวมเสื้อคลุมกัดฟัน “เป็นผู้ตื่นเหมือนกันทั้งนั้น ตายไปหนึ่งก็น้อยลงไปหนึ่ง”
“เอาเถอะ นายตามไปดู ฉันจะหาเป้าหมายต่อ หน้าหนึ่งหลังหนึ่ง แยกกันเคลื่อนไหว ถ้าเจอเป้าหมายให้ติดต่ออีกฝ่ายทันที!”
ชายสวมเสื้อคลุมมุ่งหน้าเดินต่อไป ส่วนชายผมยาวหมุนตัวกลับไปในทิศทางเดียวกับเฉินเสี่ยวเลี่ยน
……
“ไม่มีคน?”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องเตียงนุ่มห้องหนึ่งในตู้ที่เจ็ด มองเห็นข้างในว่างเปล่าโล่งโจ้งก็ขมวดคิ้ว
ร็อดดี้บอกว่าซื้อตั๋วตรงนี้ให้เฉียวเฉียวนี่หน่า
ตอนที่เฉินเสี่ยวเลี่ยนยืนนิ่งไป ชายผมยาวก็เดินมาถึงด้านหลัง แต่ว่าเขาไม่ได้หยุดตรงเฉินเสี่ยวเลี่ยน แต่กลับแกล้งเดินผ่านเฉินเสี่ยวเลี่ยนไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็เดินต่อไป
(ที่แท้ก็เป็นเด็กใหม่...)
ชายผมยาวแอบขำในใจ
เขารีบเดินจนพ้นตู้ที่เจ็ด ตู้ที่แปดด้านหลังเป็นตู้เสบียง
ชายผมยาวยืนอยู่ตรงประตูตู้ที่แปด กวาดตามองผ่านๆ ฉับพลันสายตาก็จดจ้องไปยังจุดหนึ่ง!
ตำแหน่งริมหน้าต่างทางซ้าย…
……
เฉียวเฉียวกับซูซูนั่งหันหน้าเข้าหากัน ซูซูคิ้วขมวดทำแก้มป่องมองดูเฉียวเฉียว “ออนนี่ ทำไมจะต้องกินของแบบนี้ด้วยคะ?”
“คนต่างชาติอย่างเธอไม่เข้าใจธรรมเนียมการนั่งรถไฟของจีนสักนิด ไม่เคยได้ยินกลอนคู่ที่บอกว่า เครื่องดื่มเบียร์น้ำเปล่า เมล็ดแตงถั่วลิสงโจ๊กแปดเซียน กลอนขวางที่ว่า จัดมาม่ามาชามหนึ่ง!”
ในมือของเฉียวเฉียวมีบะหมี่คัพกึ่งสำเร็จรูปถ้วยรสผักดองยี่ห้อเหล่าถานอยู่ มืออีกข้างคีบตะเกียบ ดูดบะหมี่ซู้ดๆ
ซูซูคลี่เบะปาก ขณะกำลังจะพูดบางอย่าง
จู่ๆ ก็เห็นชายผมยาวเดินเข้ามา นั่งลงข้างซูซูอย่างไม่เกรงใจ
หน้าตาของชายผมยาวนับว่าดูใช้ได้ แต่พออ้าปากพูดก็ทำให้คนรังเกียจ
“ที่แท้ก็เป็นสาวน้อยสวยน่ารักนี่เอง! ดูท่าสวรรค์ยังไม่ได้ทอดทิ้งฉัน! เรียกพ่อกลับมาจากทะเลอีเจียนเพื่อมาขึ้นรถไฟห่านี่ ที่แท้ก็มีสิ่งสวยงามรอฉันอยู่นี่เอง! สาวน้อย มาๆๆ ไปกับอานะ อาจะพาเธอไปชมดูวิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในโลกเลยดีไหม?” ชายผมยาวจับจ้องใบหน้าซูซูด้วยสีหน้าประทับใจ “เป็นโลลิที่น่ารักสุดๆ เลย ไม่เจอโลลิน่ารักขนาดนี้ตั้งนานแล้ว...อูย...”
ว่าแล้ว เขาก็ยื่นมือไปจับไหล่ซูซูไว้ ซูซูร้องกรี๊ด
เฉียวเฉียวปาตะเกียบทิ้งไปแล้ว เธอเหวี่ยงหมัดใส่โดยไม่ลังเล
ชายผมยาวยกมือซ้ายขึ้น รับหมัดของเฉียวเฉียวไว้ได้อย่างง่ายดาย เหลือบมองเฉียวเฉียวแวบหนึ่ง “เอ๋? สาวซ่างั้นเหรอ? น่าเสียดาย อายุเกินเกณฑ์โลลิแล้ว ฉันไม่สนใจ”
“ทำอะไรหะ!! สวะจากไหนวะ!!”
เฉียวเฉียวเลิกคิ้ว หมัดขวาถูกอีกฝ่ายจับไว้ได้ เธอออกแรงสะบัดแขนดิ้นรน แต่ที่ทำให้เฉียวเฉียวหนักอึ้งในใจก็คือพลังของอีกฝ่ายน่าตื่นตะลึงมาก! ฉายาของเธอคือมือหมัดสยบทั้งโรงเรียน แต่พอถูกอีกฝ่ายจับไว้ก็ดิ้นรนดึงออกไม่ได้อีก
เฉียวเฉียวไม่ลังเลแม้แต่น้อย มือซ้ายสะบัด ขว้างถ้วยบะหมี่ตรงหน้าออกไป ชายผมยาวจ้องเขม็ง รับถ้วยบะหมี่ไว้อย่างสบายๆ เขาดมกลิ่นแล้วพูดว่า “ยัยสาวซ่า กินมาม่ามันทำลายความเป็นสาวสวยนะไม่รู้ไง?”
“ไอ้สวะ! รีบปล่อยน้องสาวฉันนะ!!”
เฉียวเฉียวอาศัยตอนที่อีกฝ่ายกำลังพูดดีดตัวกระโดดขึ้นจากที่นั่ง ถึงแม้มือขวาของเธอจะยังคงถูกอีกฝ่ายจับไว้ แต่จู่ๆ ก็พลิกตัว ตวัดเท้าขึ้นใส่หน้าชายผมยาว
ลูกเตะนี้ ไม่ว่าจะในแง่ของมุมองศาหรือพลังล้วนดูสมบูรณ์แบบ
ดวงตาชายผมยาวสว่างวาบโดยพลัน “พลังขาดี! พลังเอวดี!”
ลูกเตะนี้ของเฉียวเฉียววืดอีกครั้ง ชายผมยาวกลับคลายมือปล่อยเธอ พุ่งไปข้างตัวเฉียวเฉียวอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปผลักไหล่ของเธอ เฉียวเฉียวล้มตามแรง หัวกระแทกเข้ากับโต๊ะอาหารตัวหนึ่ง
“ออนนี่!” ซูซูกรีดร้อง
ชายผมยาวมองเฉียวเฉียวอย่างเสียดาย “สาวสวย แสบซ่า รูปร่างก็ดี พลังขาก็ดีพลังเอวก็เยี่ยม… เสียดาย ไม่ใช่สเปคฉัน”
พูดจบเขาก็ยื่นมือไปดึงซูซูขึ้นมาหนีบไว้ใต้แขน หัวเราะพลางพูดว่า “ไปกันเถอะ!! ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายที่หาอยู่จะเป็นสาวน้อยอ่อนหวานคนนึง ฉันชอบภารกิจแบบนี้จริงๆ”
“ปล่อย...น้องสาวฉันนะ!!”
เฉียวเฉียวดิ้นรนตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา หน้าผากของเธอกระแทกเข้ากับโต๊ะมีเลือดไหลออกมา ยืนขวางอยู่หน้าชายผมยาว เสียงร้องย้ากใสกังวานดังขึ้น เฉียวเฉียวกระโดดขึ้นทั้งตัว เท้าซ้ายเตะสูงเหนือหัว ขาเรียวยาวตวัดลงตรงตำแหน่งศีรษะของชายผมยาว!
“ฝีมือดีนี่!”
ชายผมยาวยกมือเดียวขึ้นกันขาเฉียวเฉียวไว้ได้ จากนั้นก็ดันออก เฉียวเฉียวลอยไปทางด้านหลังอีกครั้ง
“ถ้ามองว่าเธอเป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ศักยภาพของเธอไม่เลวเลยจริงๆ ฉันมีความคิดดีๆ แล้ว อยากพาเธอกลับไปด้วยกันจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีค่าก็ได้”
เฉียวเฉียวล้มลงบนพื้นอย่างแรง แผ่นหลังเจ็บแปลบแสบร้อน เห็นชายผมยาวตรงหน้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ใจของเฉียวเฉียวก็หนักอึ้ง เธอออกแรงกัดริมฝีปาก “ไอ้สวะ! ปล่อยน้องสาวฉันนะ!! ถ้าแกกล้าทำร้ายเธอแม้แต่นิด ฉันจะฆ่าแกให้ดู!!”
เฉียวเฉียวออกแรงตะกายลุกจากพื้น ทว่ายังไม่ทันยืนให้ตรง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้อนรนดังมาจากด้านหลัง “เฉียวเฉียว ก้มลง!”
…………………………
สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ fictionlog