ตอนที่แล้วบทที่ 37 แม่ทัพเจิ้นอู่องอาจนัก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน

บทที่ 38 โจรขโมยสาลี่


บทที่ 38 โจรขโมยสาลี่

 

จ้าวเจินวางตะเกียบในพระหัตถ์ แล้วทอดพระเนตรมองเจ้าจิ้งจอกที่ก้มหน้ากินไก่อวบอ้วนบนจานทองคำ ก่อนจะตรัสว่า “ขุนนางที่รัก[1]ต้องลำบากแล้ว สังหารขุนพลฝีมือร้ายกาจของโจรถ่อยซีเซี่ย เจ้าเหน็ดเหนื่อยตรากตรำจนมีผลงานใหญ่หลวง จะกินให้มากสักหน่อยก็ได้”

 

เจ้าจิ้งจอกรู้สึกพออกพอใจกับไก่ในจานอย่างยิ่ง มันอ้าปากกัดกินปีกไก่ข้างนั้นในคำเดียว เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยสองสามครั้ง คราบมันแวววาวก็ไหลย้อยออกมาจากปาก

 

หวังเจี้ยนค้อมกายลงแล้วกราบทูลว่า “ฝ่าบาท ศาลไคเฟิงและตุลาการฝ่ายซ้ายขวา รวมถึงนายอำเภอไคเฟิงนายอำเภอเสียงฝูมาเข้าเฝ้าขอรับโทษอยู่ด้านนอก พ่ะย่ะค่ะ”

 

จ้าวเจินหันกลับมาทอดพระเนตรมองหวังเจี้ยน สีพระพักตร์ที่เคยแช่มชื่นยินดีกลับบึ้งตึงมากขึ้นเป็นลำดับ ทรงตรัสอย่างไม่ใส่พระทัยนักว่า “ไปบอกจางมี่ เรากำลังเลี้ยงรับรองขุนนางผู้มีความชอบ ให้พวกเขารอไปก่อน

 

เจ้าถามจางมี่แทนเราด้วยว่า ตูอวี๋โหวของซีเซี่ยสังหารผู้คนมาถึงข้างวังหลวงได้แล้ว แล้วเมื่อใดหยวนฮ่าวจะมาตัดศีรษะเรา?”

 

หวังเจี้ยนทั่วร่างสั่นสะท้าน ถอยหลังเดินออกจากตำหนักต้าชิ่งโดยพลัน

 

เวลานี้ในตำหนักต้าชิ่งมีเสียงบรรเลงดนตรีขับกล่อมไม่ขาดสาย จ้าวเจินยกจอกจิบสุราสีเหลืองทองเล็กน้อย เมื่อทอดพระเนตรเห็นเจ้าจิ้งจอกกินอาหารอย่างสำราญใจ พระองค์ก็วางจอกสุราแล้วยกชามที่มีข้าวเม็ดสวยแวววาวดุจไข่มุกขึ้นเสวย พระทัยสดชื่นเบิกบานกว่าเดิมมาก

 

ฮ่องเต้รู้สึกไม่สบพระทัยกับประสิทธิภาพ และวิธีรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในครั้งนี้ยิ่งนัก ศึกหาวสุ่ยชวนที่พ่ายแพ้ไปแล้วก็ช่างเถิด อย่างไรเสียเรื่องราวก็เกิดในพื้นที่แถบชายแดน ความเกรียงไกรของหลี่หยวนฮ่าวทำให้พระองค์เสวยอาหารไม่รู้รส บรรทมหลับไม่สนิท หลังจากส่งกองทัพล้อมปราบหลายครั้ง นอกจากไม่อาจขจัดบ่อเกิดแห่งเภทภัย กลับยิ่งทำให้พวกโจรถ่อยซีเซี่ยกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น

 

ฎีกาที่ฟ่านจงเยียนกราบทูลเสนอความเห็นเรื่องซีเป่ย แม้ว่าจะอธิบายรายละเอียดอย่างมีเหตุมีผลนัก แต่ความเหมาะสมสอดคล้องที่นำไปใช้งานได้จริงกลับไม่มีเท่าที่ควร จนกระทั่งวันนี้ต้าซ่งยังต้องเลียปิดปากแผลที่เกิดจากศึกหาวสุ่ยชวน

 

ไม่ใช่เพียงเมืองเหยียนโจวที่ตกอยู่ในวงล้อมของซีเซี่ย แต่เมืองฉินโจวที่อยู่แถบซีเป่ยก็อกสั่นขวัญแขวนวันละสามเวลา

 

ในแต่ละวันหนังสือราชการที่วางตั้งอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษร เล่มที่วางอยู่ด้านบนสุดล้วนเป็นฎีการายงานเรื่องชายแดนแถบซีเป่ยมาโดยตลอด ถ้าหากวันใดไม่เห็นรายงานพวกนั้น ฮ่องเต้ก็ไม่อาจสบายพระทัยได้เลย

 

ที่ปรึกษาทางการเมืองมหาบัณฑิตตำหนักจือเจิ้งนามจางมี่ ยืนประสานมืออยู่หน้านอกตำหนักต้าชิ่ง ด้วยอากัปกิริยาสงบนิ่งคล้ายกำลังเข้าสู่สมาธิ

 

ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงรับรองจิ้งจอกตัวหนึ่งให้กินดื่มอย่างดี แต่เขากับขุนนางของศาลไคเฟิงกลุ่มหนึ่งต้องรอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก นับว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามคนอย่างที่สุด

 

ถ้าหากในเมืองหลวงไม่มีเรื่องร้ายแรงปานนี้เกิดขึ้น จางมี่ต้องหยิบยกเรื่องที่ฮ่องเต้ให้ค่าเดรัจฉานดูแคลนมนุษย์มาถกเถียงหาคำอธิบายให้กระจ่างแน่

 

ทว่าวันนี้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงสะเทือนขวัญขึ้นแล้ว ทำให้เหล่าขุนนางสังกัดศาลไคเฟิงขายหน้าไม่มีชิ้นดี ยังไม่ต้องกล่าวถึงราษฎรผู้บริสุทธิ์ที่โดนเจ้าโจรถ่อยนั่นสังหาร เพียงแค่ทหารในหน่วยลาดตระเวนของเมืองหลวงก็ต่อสู้จนเสียชีวิตไปสิบเอ็ดคนแล้ว ยังมีหัวหน้ามือปราบอำเภอไคเฟิงที่ชื่อจ้าวเฟิ่ง และมือปราบอีกเจ็ดคนล้วนโดนสังหารหมดสิ้น

 

หนึ่งในมือปราบที่โดนสังหาร เจ้าโจรถ่อยซีเซี่ยยังดื่มกินเลือดสดๆ จนแทบหมดร่าง มือปราบคนอื่นในที่เกิดเหตุต่างตกใจจนเสียสติไปไม่ต่ำกว่าสามคน

 

นายทหารในหน่วยลาดตระเวนเช่นหยางไฮว๋อวี้ แม้เขาจะเป็นถึงทายาทตระกูลขุนศึก ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขุนพลผู้ห้าวหาญที่ได้รับบาดเจ็บของฝ่ายศัตรู ถ้าหากไม่ได้เด็กเล็กๆ กลุ่มนั้นลงมือช่วยเหลือ หยางไฮว๋อวี้คงยากจะหนีพ้นชะตากรรม ที่ต้องสิ้นชื่อเพราะโดนสูบเลือดจนหมดร่าง

 

หลังจากกองทหารในชุดเกราะเข้าล้อมคฤหาสน์ร้างหลังนั้นไว้ ภาพที่ปรากฏสู่สายตาทำให้ชาวเมืองหลวงที่พบเห็นไม่อาจลืมเลือนได้ลง เด็กตัวเล็กๆ หลายคนยืนห้อมล้อมศพที่ไม่ครบชิ้นส่วนนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เด็กชายที่อายุมากที่สุดในกลุ่มหิ้วศีรษะของชายหน้าตาดุร้ายเอาไว้

 

หลังจากเห็นว่ามีทหารมาถึงแล้วก็โยนศีรษะในมือออกไป ศีรษะนั้นก็กลิ้งหลุนๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าพลทหารชุดเกราะ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นแค่ศีรษะของคนร้าย แต่ทหารทั้งหลายกลับสะดุ้งตกใจจนถอยหลังกรูดไปตามๆ กัน

 

และภาพนี้ก็ตกอยู่ในสายตาของขันทีนามหวังเจี้ยน ซึ่งออกจากวังหลวงมาสอบถามข่าวคราวอย่างชัดเจนที่สุด

 

จางมี่หลับตาลงแล้วครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ในเมื่อเวลานี้ฮ่องเต้ไม่ยอมพบหน้าเขา นั่นก็หมายความว่าพระองค์มีตัวเลือกใหม่ที่จะรับตำแหน่งข้าหลวงแห่งศาลไคเฟิงแล้ว ทางเลือกเดียวที่สามารถทำได้ก็คือขอย้ายตัวเองไปอยู่เขตทหารแถบชายแดนห่างไกล

 

หวังเจี้ยนเดินออกมาแล้ว เขาเดินมาถึงข้างกายจางมี่ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ฝ่าบาทตรัสถามจางมี่ ตูอวี๋โหวของซีเซี่ยสังหารผู้คนมาถึงข้างวังหลวงได้แล้ว แล้วเมื่อใดหยวนฮ่าวจะมาตัดศีรษะเรา?”

 

จางมี่ได้ยินดังนี้ก็ไม่อาจรักษาสีหน้าสงบนิ่งผ่องใสดังผู้สูงส่งต่อไปได้อีก เขารีบคุกเข่าโขกศีรษะด้วยความร้อนใจว่า “กระหม่อมจางมี่สำนึกผิดแล้ว วันนี้มาเพื่อจะขอย้ายไปอยู่เขตทหารอันห่างไกล เพื่อช่วยฝ่าบาทรักษาการณ์ชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”

 

หวังเจี้ยนเอ่ยตอบอย่างเย็นชาว่า “ข้าทราบแล้ว”

 

จากนั้นหวังเจี้ยนก็นำแส้ขนหางจามรีวางพาดแขนเสื้อเช่นเดิม แล้วหันหลังกลับเข้าตำหนักต้าชิ่งไป

 

ปกติเมื่อเจ้าจิ้งจอกกินอิ่มแล้วก็จะไปจากวังหลวงทันที วันนี้ก็เป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน มันตบหนังท้องตึงๆ ด้วยความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ จากนั้นก็วิ่งออกจากตำหนักต้าชิ่งไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา

 

ฮ่องเต้ไม่ใส่พระทัยอะไร พอทอดพระเนตรเห็นหวังเจี้ยนกลับเข้ามาก็ตรัสถามว่า “ว่าอย่างไร?”

 

“จางมี่ไม่อ้างเรื่องวัยแก่ชรา ขอย้ายไปรักษาการณ์ชายแดนเพื่อฝ่าบาทด้วยตัวเอง พ่ะย่ะค่ะ”

 

“ชายแดนเราขาดแคลนพลทหารแก่ชราอย่างเขามากรึ?”

 

หวังเจี้ยนไม่มีวาจาใดจะโต้ตอบ

 

ชีวิตของเถี่ยซินหยวนก็ผ่านไปอย่างเลวร้ายนัก หวังโหรวฮวาโมโหเดือดดาลถึงขีดสุด นางถอดกางเกงบุตรชายแล้วคว้าไม้ไผ่มาตีอย่างดุร้ายเป็นครั้งแรก หลังจากตีสั่งสอนเสร็จแล้วก็กอดเขาร้องไห้ด้วยความหวาดผวาเสียยกใหญ่ นางตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ไปดูแลร้านทังปิ่งพี่ชีอีก แต่จะอยู่ที่บ้านคอยเฝ้าบุตรชายเอาไว้

 

เถี่ยซินหยวนโดนตีไปแล้ว เจ้าจิ้งจอกที่เพิ่งรับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้ ก็ไม่อาจหนีพ้นกรงเล็บมารของหวังโหรวฮวาไปได้ มันกำลังคิดจะเข้ามาประจบเอาใจ แต่ก็โดนหวังโหรวฮวาเตะกลับไปอยู่ตรงข้างผนัง

 

หลังจากนั้นเถี่ยซินหยวนก็โดนมารดากักบริเวณ ท่านอาจารย์กัวที่ทราบต้นสายปลายเหตุก็เห็นด้วยกับการกระทำของหวังโหรวฮวามากอย่างยิ่ง เขาส่งบุตรชายจางต้าฮู่นำการบ้านมาให้เถี่ยซินหยวน อีกทั้งยังฝากบอกหวังโหรวฮวาว่า เถี่ยซินหยวนนิสัยร้ายกาจสั่งสอนได้ยาก ถึงเวลาได้รับบทเรียนบ้างแล้ว

 

หลังจากบั้นท้ายโดนฟาดจนฟกช้ำไปหมด เถี่ยซินหยวนก็ได้แต่นอนแผ่อยู่บนหลังคา เฝ้ามองดูเหตุการณ์นอกรั้วบ้าน

 

คาดว่าหวังโหรวฮวาคงตกใจจนขวัญเสียแล้วจริงๆ นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเป็นต้นมา นางก็แทบไม่เคยไปดูแลร้านทังปิ่งพี่ชี แต่ไปเชิญผู้ดูแลร้านคนหนึ่งมาคอยเฝ้าโดยเฉพาะ มีเพียงสูตรการต้มเนื้อหมูที่ไม่ปล่อยให้ใครจัดการแทน นางจะต้องเป็นคนเติมเครื่องเทศลงหม้อด้วยตัวเอง

 

ส่วนห่อเครื่องเทศปรุงรสที่ใช้ต้มเนื้อหมูแล้ว นางจะต้องเห็นมันโดนโยนเข้ากองไฟเผาไหม้จนไม่เหลือซากกับตาถึงจะวางใจ นอกเหนือจากเรื่องนี้ นางจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดจับตาดูเถี่ยซินหยวนอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสออกไปวิ่งเล่นสุ่มสี่สุ่มห้ากับใครได้อีก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กขอทานเกเรที่ตัดศีรษะแม่ทัพของซีเซี่ยในสวนร้าง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ยิ่งสั่งห้ามไม่ให้เถี่ยซินหยวนคบหากับพวกเขาอย่างเด็ดขาด

 

ตามความเห็นของนาง บุตรชายที่เป็นเด็กเฉลียวฉลาดเชื่อฟังคำสั่งของนางมาแต่เล็ก เริ่มทำตัวเหลวไหลก็เพราะคลุกคลีอยู่กับขอทานกลุ่มนั้นโดยแท้

 

ปุยเมฆสีขาวลอยเลื่อนเคลื่อนผ่านท้องฟ้าไป ยังมีหมู่นกมากมายนับไม่ถ้วนบินผ่านเหนือศีรษะ นกพิราบที่เถี่ยซินหยวนเลี้ยงไว้ เมื่อบินจากไปแล้วไม่เคยย้อนกลับมา เรื่องนี้ทำให้มารดาหัวเราะเย้ยหยันเขาอยู่นานเลยทีเดียว

 

ลำไม้ไผ่เรียวยาวผูกถุงผ้าแพรสีขาวลอยข้ามศีรษะเขาไปอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ต้นสาลี่ในสวนลานบ้านตระกูลเถี่ยต้นนั้น ส่วนปลายด้านหน้าของไม้ก้านยาวที่โดนเผาจนโค้งงอขยับเพียงเล็กน้อย สาลี่ลูกอวบใหญ่ก็ร่วงลงในถุงผ้าสีขาว จากนั้นไม้ก้านยาวก็โดนดึงกลับไปอย่างรวดเร็ว

 

เถี่ยซินหยวนยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของสาวน้อยคนหนึ่ง ในเสียงหัวเราะนั้นยังมีคำว่าเจ้าทึ่ม เจ้าโง่ปะปนอยู่ด้วย เถี่ยซินหยวนไม่อาจอดทนอดกลั้นได้อีก จึงกล่าววาจาด้วยความขุ่นเคืองว่า “จะขโมยสาลี่ก็ขโมยไปสิ อยู่ดีๆ มาด่าทอผู้อื่นหาอะไร ถ้าหากข้าไม่ใช่เจ้าทึ่ม พวกเจ้าจะมีโอกาสขโมยสาลี่ได้รึ”

 

เวลานี้ไม้ไผ่ก้านยาวโดนดึงมาอยู่เหนือศีรษะเถี่ยซินหยวนพอดี โจรขโมยสาลี่ไม่คิดว่าเขาจะตื่นขึ้นมาได้จึงรู้สึกตกใจ ปล่อยไม้ไผ่หลุดมือไปโดยพลัน สาลี่ลูกโตหล่นกระแทกใบหน้าทำให้เขาร้องเอะอะโวยวาย

 

หลังจากเก็บไม้ไผ่สอยสาลี่ด้วยไฟโทสะคุกกรุ่น ก็เงยหน้ามองบนกำแพงสูง เห็นเพียงสีหน้าแปลกพิกลของเหล่าองครักษ์และไม่พบสิ่งอื่นใดอีก

 

เมื่อมองตามสายตาขององครักษ์ไปถึงตรงประตูกำแพงเขตพระราชฐาน ก็เห็นปลายหมวกบังหน้าของใครคนหนึ่ง รวมถึงมวยผมสองข้างที่ถูกหวีเป็นวงกลม

 

หลังจากเห็นองครักษ์ส่ายหน้าไปมาช้าๆ เถี่ยซินหยวนก็รู้ว่าต้องรับเคราะห์กรรมโดยไร้เค้าลางครั้งนี้ไปเปล่าๆ แล้ว เขาโยนไม้ยาวนั้นทิ้งไปก่อนจะหยิบสาลี่ลูกใหญ่ขึ้นมากัดอย่างดุดันคำหนึ่ง ในที่สุดปีนี้ลูกสาลี่ก็เจริญงอกงามเต็มที่เสียที รสชาติของมันหวานอร่อยถูกปาก ไม่ระคายลิ้นมากเท่าผลที่ติดเมื่อปีก่อน

 

“เจ้าทึ่ม เอาไม้สอยของพวกเราคืนมานะ” เด็กหญิงสวมชุดเสื้อกั๊กตัวยาวสีเขียวโผล่หน้าออกมาจากบนกำแพง นางส่งเสียงคำรามใส่เถี่ยซินหยวนอย่างดุร้าย

 

เถี่ยซินหยวนเคยพบนางกำนัลน้อยในวังมามากแล้ว พอได้ยินเข้าก็ไม่แยแสแต่อย่างใด เขานอนเอนกายในท่าเหมาะๆ เอาเท้าเตะเจ้าจิ้งจอกไปอีกทางหนึ่ง เจ้าตัวยุ่งนี่กำลังผลัดขน ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มีขนร่วงกองเต็มพื้น

 

“ดีมาก เจ้ากล้าเตะแม่ทัพเจิ้นอู่ นี่คือการล่วงเกินเบื้องบนชัดๆ” นางกำนัลน้อยกรีดร้องเสียงแหลม เจ้าจิ้งจอกได้รับความโปรดปรานยิ่งนัก ไม่ว่าใครพบเห็นต่างปฏิบัติตัวด้วยความเกรงอกเกรงใจ ขนาดอยู่เบื้องพระพักตร์ฮองเฮา มันยังขอนมวัวมาดื่มได้ชามหนึ่ง

 

“ใครเตะมันกันเล่า มันอยากจะเตะข้าต่างหาก ไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิ มันหัวเราะเบิกบานแค่ไหน” เถี่ยซินหยวนเอ่ยปากไปพลางยกหนังหน้าของมันขึ้นมา แล้วจับฉีกปากจนกลายเป็นรอยยิ้มให้นางกำนัลน้อยดู

 

“หา! เจ้ากล้าล่วงเกินท่านแม่ทัพใหญ่อิ๋นจื่อ(ก้อนเงิน)ถึงเพียงนี้!”

 

สาวน้อยอีกคนหนึ่งที่สวมหมวกทรงสูงมีผ้าบังหน้าร้องขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว นางชี้หน้าเถี่ยซินหยวนแล้วตะโกนเสียงดังอย่างแค้นเคือง

 

“แม่ทัพใหญ่อิ๋นจื่อ? โอ้ ชื่อนี้ฟังดูไม่เลวเลย แม่ทัพมีเงินมากย่อมไร้ผู้ต่อกร ท่านว่าใช่หรือไม่แม่ทัพใหญ่อิ๋นจื่อ?”

 

เถี่ยซินหยวนเอ่ยยิ้มๆ แล้วโยกคลอนร่างเจ้าจิ้งจอก จากนั้นก็ยื่นจมูกไปชนปลายจมูกสีดำเปียกชื้นของมัน

 

เจ้าจิ้งจอกเข้าใจว่าเถี่ยซินหยวนต้องการเล่นสนุกด้วย มันสะบัดหัวก่อนจะลุกขึ้นมา ย่ำพุงน้อยๆ ของเขาอย่างเริงร่าแล้วกระโดดผลุงลงจากหลังคา เฝ้ารอให้เถี่ยซินหยวนวิ่งไล่ตามจับมัน

 

สาวน้อยทั้งสองบนกำแพงยิ่งไม่พอใจ พวกนางนึกว่าเถี่ยซินหยวนกำลังรังแกเจ้าจิ้งจอก พากันรุมตำหนิว่าเขาทำเกินเลยไปต่างๆ นานา

 

ข้างกายองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่ง มีสาวน้อยโผล่หน้าออกมาทางซ้ายทีขวาทีตะโกนด่าทอเถี่ยซินหยวน องครักษ์คนนั้นได้แต่ชูมือสองข้างขึ้นสูง แหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างอับจนปัญญา เขาไม่อยากมีส่วนร่วมในบุญคุณความแค้นระหว่างเด็กสองฝ่ายนี้เลยสักนิด

 

สาวน้อยสองคนจะมีคำด่าทอเจ็บแสบได้สักแค่ไหนกัน ตะโกนด่าไปด่ามาก็วนเวียนอยู่แค่ว่าเถี่ยซินหยวนเป็นอันธพาล เป็นคนเลวอะไรทำนองนั้น

 

สำหรับคำด่าไม่แสบไม่คันเช่นนี้ เถี่ยซินหยวนย่อมไม่ใส่ใจ อีกทั้งยังสวนกลับไปสองประโยค เล่นเอาสาวน้อยทั้งสองสำลักน้ำลายจนใบหน้าหูตาแดงเถือก แต่พวกนางก็ทำได้เพียงกระทืบเท้าชี้นิ้วด่าว่าเถี่ยซินหยวนเป็นคนสารเลว อันธพาลหยาบคาย

 

เถี่ยซินหยวนไม่กล้าอาจเอื้อมแตะต้องบิดาของนาง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าสาวน้อยสวมหมวกทรงสูงมีที่มาอย่างไร สมมติว่านางเป็นองค์หญิง แล้วเขาเผลอไปด่าทอบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของจ้าวเจิน โทษตัดศีรษะยังน้อยไปด้วยซ้ำ

 

นับตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ สิ่งที่เถี่ยซินหยวนรังเกียจที่สุดก็คือเรื่องศีรษะหลุดจากบ่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาดวงแข็งล่ะก็ ศีรษะคงหลุดจากบ่าไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

 

หลายต่อหลายครั้งที่เขาดำรงชีวิตเหมือนผู้ใหญ่ แต่จู่ๆ เขากลับพบว่าการมองตัวเองเป็นเด็กคนหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

----------------------------

[1] ขุนนางที่รัก(爱卿)คำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขุนนางระดับสูง เริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง นอกจากนี้อาจหมายถึง หญิงในหอนางโลมก็ได้

 

สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่  fictionlog

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด