บทที่ 39 ศึกแรกของศึกประลองนักเรียนใหม่ (3)
บทที่ 39 ศึกแรกของศึกประลองนักเรียนใหม่ (3)
การป้องกันระดับแสดชั้นเดียวย่อมไม่เพียงพอที่จะสกัดกั้นวารีคำรามสี่ลูก แลนซีและเชอรีนยื่นมือขวาออกไปพร้อมกัน โล่แสงสีส้มที่เหมือนกับพีค็อกไม่ผิดเพื้ยนแผ่ขยายออกมา ก่อเกิดเป็นการป้องกันซ้อนสามชั้น
ตอนที่วารีคำรามปะทะเข้ากับการป้องกันสามชั้นพร้อมกัน ภายในสนามประลองพลันระเบิดพายุธาตุเวทมนตร์สีส้มออกมาในทันที โล่ป้องกันเริ่มจะต้านทานไม่ค่อยไหวแล้ว
บนอัฒจันทร์ วัลคีรีแค่นหัวเราะอย่างไม่แยแส “ของวิเศษจะต้านทานเวทมนตร์ได้ทั้งหมดรึไง? ต่อให้เป็นของวิเศษที่แข็งแกร่ง นักเวทก็แค่แสดงพลังที่สูงกว่าตัวเองได้หนึ่งระดับ ไม้เท้าภูตวารีพิทักษ์ของการาจีสามารถย่นเวลาร่ายมนต์สายวารีสามสิบเปอร์เซ็นต์ เจ้าพวกเด็กเอกเทวคีตจะป้องกันได้ยังไง?”
นีนาหัวเราะเยาะ “ถ้าอย่างนั้นท่านคอยดูก็แล้วกัน เอกวารียากไร้ ไม่มีวันรู้ว่าอะไรเรียกว่าของวิเศษ” เธอย่อมรู้อยู่แล้วว่าภูติวารีพิทักษ์คือไม้เท้าวิเศษของวัลคีรีเอง ยกมันให้การาจีใช้ วัลคีรีล้วงของก้นหีบออกมาแล้ว แต่นีนากลับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย แข่งความร่ำรวย เอกไหนก็ไม่สามารถเทียบเคียงเอกเทวคีตที่มักจะมีนักเรียนเป็นเจ้าหญิง ชื่อเสียงของเอกอันดับหนึ่งไม่เสียเปล่าแต่อย่างใด
ขณะเดียวกับที่พลังวารีคำรามสี่ชั้นหายไป โล่ป้องกันเวทมนตร์สีส้มสามด้านก็หายไปพร้อมกัน ของวิเศษก็จำเป็นต้องใช้พลังจิตประคับประคองไว้ระดับหนึ่ง แต่ว่าเชอรีนกับแลนซีที่อยู่ระดับแดงขั้นสูงเริ่มสีหน้าซีดเซียวลงแล้ว
โดยอาศัยผลกระทบของวารีคำรามต่อเสียงกู่เจิงและอิทธิฤทธิ์ของภูตวารีพิทักษ์ เวทมนตร์ของการาจีจึงร่ายเสร็จพอดี ต่อเนื่องจากเวทมนตร์ของเพื่อนร่วมทีม มังกรวารีคำรามยาวประมาณสามเมตรตัวหนึ่งโผล่ออกมา เปล่งประกายสีเหลืองพลางโถมพุ่งเข้ามาทางฝั่งเอกเทวคีต เมื่อร่ายคาถานี้จบสีหน้าของการาจีก็ยิ่งดูซีดเซียวลงไปอีก เสียงกู่เจิงส่งผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องปล่อยพลังเวทมนตร์ที่มีอานุภาพมากที่สุดของตนเอง มังกรวารีคำราม
เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังมาจากฝูงชนนอกสนาม พวกเขาต่างก็มองออก ต่อให้เหล่านักเรียนเอกเทวคีตยังสามารถใช้โล่เวทมนตร์ก่อนหน้านี้ได้อีกครั้ง ก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีของเวทมนตร์ระดับเหลืองไว้ได้ ผลการแข่งขันดูเหมือนว่าจะตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว
ในขณะนั้นเอง เย่อินจู๋หัวเราะเบาๆ พลางถอยไปอยู่ด้านข้างไห่หยางพร้อมกับพวกเชอรีนสามคน รัศมีสีขาวน้ำนมแผ่ออกมาจากเทพจันทราพิทักษ์บนตัวเขา ชั่วพริบตาก็ขยายขอบเขตออกไปเป็นสิบเมตร ครอบคลุมร่างของทั้งห้าคนเอาไว้ข้างใน
ตูม! อานุภาพของมังกรวารีคำรามไม่เลวเลยจริงๆ แต่ทว่า หลังจากการปะทะเพียงชั่วพริบตา เสียงร้องอุทานนอกสนามกลับเปลี่ยนความรู้สึกไป มังกรวารีสีเหลืองยาวสามเมตรแตกกระจัดกระจาย ส่วนเกราะแสงสีขาวน้ำนมกลับปรากฏแค่รอยปริเล็กน้อยเท่านั้น
“เป็นไปไม่ได้” วัลคีรีเบิกตากว้างพลางลุกขึ้นยืนบนอัฒจันทร์ รัศมีเวทมนตร์ที่แผ่ออกจากตัวของเย่อินจู๋เห็นๆ อยู่ว่าเป็นระดับแดง!
เฟอร์กูสันเหลือบมองนีนาด้วยสายตาแฝงความหมายลึกซึ้ง “เทพจันทราพิทักษ์ แม้แต่ข้าก็ยังต้องอิจฉานักเทวคีต”
‘ความฝัน’ ผ่านไปครึ่งเพลงแล้ว ทุกอย่างไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ ไม่ว่าการาจีหรือเพื่อนร่วมทีมของเขาล้วนไม่ได้ปล่อยพลังเวทมนตร์ต่อไปอีก รุ่นน้องทั้งสี่คนของเขาตกเข้าสู่ห้วงความฝันทันทีด้วยผลกระทบจาก ‘ความฝัน’ การาจีเองก็ง่วงนอนใกล้หลับ ร่ายคาถาไม่เป็นประโยคอีกต่อไป ‘ความฝัน’ ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกอินจู๋อยู่แล้ว การโจมตีประเภทเลือกโจมตีเป็นความสามารถพิเศษของนักเทวคีตทุกคน
“นักเรียนเอกวารีทุกคนสูญเสียพลังต้านทาน เอกเทวคีตชนะ” กรรมการตัดสินอย่างถูกต้องแม่นยำ ต่อให้นักเวทตัวจ้อยด้อยฝีมือ แต่การโยนคนหลับลงจากสนามประลองก็ยังเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
“เย้! พวกเราชนะแล้ว พวกเราชนะจริงๆ ด้วยล่ะ” เชอรีนกระโดดผลุงขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะโอบคอเย่อินจู๋แล้วหอมแก้มเขาทีหนึ่งอย่างสนิทสนม ทำเอาเย่อินจู๋หน้าแดงก่ำ อึกอักไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
แลนซีสงวนท่าทีกว่ามาก จึงคลี่รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า
พีค็อกยืดอกอวบอิ่มของตัวเองขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ก่อนเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “เอกเทวคีตแกร่งที่สุด”
ไห่หยางมีปฏิกิริยาธรรมดาที่สุด เมื่อ ‘ความฝัน’ จบลงก็อุ้มกู่เจิงของตัวเองเดินออกไปจากสนามประลอง
ทั่วทั้งสนามเงียบกริบ
ก่อนการประลองเริ่มต้นขึ้น ไม่มีใครคิดว่าเอกเทวคีตจะได้รับชัยชนะสักคนเดียว การประลองเวทมนตร์ที่ผ่านมาล้วนเป็นการใช้เวทมนตร์กระหน่ำโจมตีซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย พลังเวทมนตร์ของฝ่ายไหนหมดก่อนจึงจะแพ้การประลอง เป็นการประลองกันด้วยความสามารถล้วน แต่การประลองในวันนี้กลับจบลงเร็วมากจริงๆ เหล่านักเรียนเอกวารีถึงขนาดแค่ปล่อยเวทมนตร์โจมตีก็แพ้อยู่ตรงหน้าเอกเทวคีตเสียแล้ว ตอนนี้นักเรียนมากมายต่างพากันเกิดความสงสัยในชื่อเสียงด้านความกระจอกของเอกเทวคีต
วัลคีรียืนอยู่ตรงนั้นด้วยความอึ้งตะลึงเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้ ถึงจะเป็นเทพจันทราพิทักษ์ หากใช้โดยนักเวทระดับแดงก็ไม่มีทางสกัดมังกรวารีคำรามได้” เขาที่เดิมทีคิดว่าเอกเทวคีตเข้าร่วมแข่งขันเอกวารีจะได้ไม่ต้องรั้งท้าย ตอนนี้ความรู้สึกกลับดำดิ่งสู่เหวลึกอย่างสิ้นเชิง
นีนาลุกขึ้นยืนก่อนเชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนง “ตาเฒ่าวัลคีรี จงจำคำข้าไว้ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
วัลคีรีพ่นลมทางจมูกอย่างแค้นเคือง และไม่ได้ตอบโต้ ก่อนพาเหล่าอาจารย์เอกวารีหันหลังเดินจากไป แพ้ให้กับเอกเทวคีต เขาไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
เฟอร์กูสันหัวเราะเบาๆ “เวทมนตร์เอกวารีจริงๆ แล้วดีมากทีเดียว น่าเสียดายที่เวทมนตร์วารีระดับต่ำมีอานุภาพไม่เพียงพอ หัวหน้าเอกนีนา หัวหน้าทีมของเอกเทวคีตที่ชื่อเย่อินจู๋น่าสนใจนัก” คำพูดของวัลคีรีเขาเองก็เห็นด้วยนิดหน่อย แม้ว่าจะเป็นเทพจันทราพิทักษ์ นักเวทระดับแดงก็ยังไม่มีทางใช้สกัดเวทมนตร์ระดับเหลืองได้
ข่าวเรื่องเอกเทวคีตเอาชนะเอกวารีในศึกประลองนักเรียนใหม่แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานตั้งแต่วินาทีแรก การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายจนทุกคนประหลาดใจ ประเด็นสนทนาต่างๆ เกี่ยวกับเอกเทวคีตเริ่มเล่าลือกันไปทั้งโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน เย่อินจู๋กับสี่สาวงามที่เข้าร่วมแข่งขันกลายเป็นเป้าหมายของการสนทนา โดยเฉพาะเกราะกำบังธาตุที่เย่อินจู๋ปล่อยออกมาในวินาทีสุดท้ายกับกู่เจิงของไห่หยางยิ่งเป็นประเด็นหลักของการสนทนา
เย่อินจู๋ไม่รู้เลยว่าคนอื่นกำลังพูดคุยถึงเขา พอการประลองจบลง เขาก็ออกจากสนามประลองหมายเลขหกตั้งแต่วินาทีแรก วิ่งไปทางไหนสักแห่ง เพราะชั่วขณะที่การประลองจบสิ้นลง เขาได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด
ประกายแสงสีเหลืองสว่างวาบ ทิ้งไว้เพียงเงาจางๆ ตลอดทาง เหล่านักเวทบางคนที่กำลังเดินอยู่ในโรงเรียนอดคิดไม่ได้ว่า นี่คงจะเป็นนักเรียนชั้นปีสูงๆ ของเขตนักรบที่ไหนวิ่งมาเขตนักเวทอีกแล้ว
เพื่อจะได้ใช้ความเร็วสูงสุดรีบไปให้ถึงจุดหมาย เย่อินจู๋ถึงกับไม่ปิดบังพลังยุทธ์ไผ่ของตัวเองอีกต่อไป ถึงอย่างไรโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานก็ใหญ่มากจริงๆ ด้วยการสนับสนุนจากพลังยุทธ์ เขาเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ใช้เวลาสิบนาทีวิ่งออกมาจากโรงเรียน
พอออกมาจากโรงเรียน เย่อินจู๋ก็วิ่งฉิวมาทางทิศเหนือเป็นระยะห้ากิโลเมตรแล้วจึงหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าป่าแห่งหนึ่ง ความตื่นเต้นในสีหน้ายากจะปิดบัง ก่อนจะตะโกนเสียงดังระหว่างที่หัวใจเต้นรัวแรง “ม่วง เจ้าอยู่ที่ไหน? ข้ามาแล้ว”
ใช่แล้ว ในขณะที่การประลองจบลงเมื่อสักครู่ เสียงของม่วงดังขึ้นข้างหูเขาอย่างชัดเจน ม่วงพูดเพียงประโยคเดียวว่า ‘ข้ารอเจ้าอยู่ที่ป่าทิศเหนือห่างจากโรงเรียนห้ากิโลเมตร’
สำหรับเย่อินจู๋ แม้ว่าจะอยู่ในโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานได้อย่างสงบสุขแล้ว แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเขา ส่วนม่วงก็เป็นสหายที่อยู่ร่วมกับเขามาสิบปี นอกจากญาติแล้ว ม่วงจะเป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุดอย่างแน่นอน
เงาร่างสูงใหญ่กำยำเดินออกมาจากในป่าช้าๆ ผมของเขายังคงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง นัยน์ตาสีม่วงสุกใสดุจดวงดาวดูอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่ใบหน้าแข็งกร้าวนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เมื่อมองเห็นอินจู๋ แววตาเรียบเฉยของเขาก็อ่อนโยนลง และมีเพียงตอนที่อยู่ด้วยกันกับอินจู๋เท่านั้น สีหน้าของเขาจึงจะปรากฏความเปลี่ยนแปลงแบบนี้
“อินจู๋” น้ำเสียงอันทุ้มลึกและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ทำให้เย่อินจู๋สัมผัสถึงความสนิทสนมได้อย่างชัดเจน
“ม่วง!” อินจู๋ร้องเรียกเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ร่างแล่นพรวดไปอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตาดั่งลูกธนูพร้อมกับแสงสีเหลืองเจิดจ้า ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นการเคลื่อนไหวกะทันหันเลยแม้แต่น้อยดั่งเป็นตะปูที่ตอกอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว
……………………………………….