บทที่ 37 ไม้อ่อนไม่ได้ผล คุณหมอซ่งจึงจำต้องใช้ไม้แข็ง
บทที่ 37 ไม้อ่อนไม่ได้ผล คุณหมอซ่งจึงจำต้องใช้ไม้แข็ง
ฉางฉิงเป็นหญิงสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เธอเคยดูภาพยนตร์ที่ไม่ได้ใสมาหลายเรื่องแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิด ขาเธออ่อนปวกเปียกราวกับกระต่ายน้อยที่ตกใจตื่นตูม
ซ่งฉู่อี๋รู้สึกพอใจกับสีหน้าของเธอ “ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับคุณ คุณน่ะใสซื่อเกินไป ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนคุณกับฟู่อวี้จะสนิทสนมกันมากขนาดไหน แต่เขาก็เป็นนักธุรกิจที่ฉลาดหลักแหลมมาก เขาเป็นคนสร้างบริษัทซ่างเหว่ยมาด้วยมือของเขาเอง”
“คนแบบนี้ไม่มีทางลงทุนให้คุณโดยไม่มีเหตุผล เขาต้องการสิ่งตอบแทน แล้วระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงจะตอบแทนอะไรกันได้บ้างล่ะ ฉางฉิง บางครั้งคุณก็อย่ามองผู้ชายในแง่ดีมากเกินไปนัก”
เขาพูดแนะนำอย่างจริงใจ
ฉางฉิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ผู้ชายคนอื่นต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน แต่ฟู่อวี้ไม่มีทางหรอก
ซ่งฉู่อี๋ก็แค่รู้สึกแค้นที่ฟู่อวี้แย่งกว่านอิงไป
“โอเคค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันต้องไปดูคุณป้าเสิ่นแล้วล่ะ” ฉางฉิงผลักเขาออกไป แล้วเดินไปทางประตู
“คุณจะรอจนกว่าฟู่อวี้จะมาจริงๆ เหรอ” คราวนี้ซ่งฉู่อี๋ไม่ได้ดึงตัวเธอไว้ เขายังมีงานที่ค้างอยู่
“ไหนๆ ฉันก็ต้องรอคุณป้าเสิ่นฟื้นขึ้นมาอยู่แล้วนี่คะ” ฉางฉิงพูดจบแล้วก็เดินออกจากห้องไป
พอออกมาจากห้อง เธอก็ ไม่มีเรี่ยวแรงไปทั้งตัว
ความรู้สึกที่โดนชายหนุ่มขโมยจูบแรกไปเป็นยังไงน่ะเหรอ
เหมือนกับลอยละล่องอยู่ในอากาศ...
แล้วเธอก็ลอยละล่องกลับมายังห้องคนไข้ พอหย่อนก้นนั่งลง ในสมองเธอก็อดนึกถึงภาพเมื่อครู่นี้ไม่ได้
ใบหน้าเธอร้อนผ่าว ในปากเธอดูเหมือนว่ายังมีกลิ่นอายของซ่งฉู่อี๋อยู่
เธอปอกส้มกินจนกระทั่งปากเธอไม่หลงเหลือกลิ่นอายของเขาแล้ว
ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง พอฉางฉิงสไลด์ดูเวยป๋อจนตาเริ่มเบลอ ก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากข้างนอก
ฉางฉิงเงยหน้าขึ้น ซ่งฉู่อี๋มาหาพร้อมกับถือกล่องข้าวสีเหลืองอ่อนอยู่ในมือ
“ผมซื้อข้าวที่โรงอาหารมาให้คุณ กินก่อนเถอะ”
ฉางฉิงยังคงไม่พอใจเรื่องเมื่อครู่นี้อยู่ เธอบิดตัวหันไปอีกทางหนึ่ง
ทำไมผู้หญิงชอบเอาแต่ใจแบบนี้นะ
ซ่งฉู่อี๋จึงจำเป็นต้องควักกลยุทธ์ที่ใช้หลอกล่อเด็กๆ ในโรงพยาบาลมาใช้กับเธอ “คุณทานรองท้องสักหน่อยก่อน แล้วเดี๋ยวดึกๆ หน่อยผมจะพาคุณไปทานอาหารมื้อดึกดีมั้ย”
“ฉันไม่อยากไปทานอาหารมื้อดึกกับคุณหรอก” ฉางฉิงทำเสียงฮึดฮัดทางจมูก
ไม้อ่อนไม่ได้ผล คุณหมอซ่งจึงจำต้องใช้ไม้แข็ง “งั้นตอนนี้คุณจะให้ผมทำแบบนั้นกับคุณอีกครั้งเหมือนกับที่ทำในห้องทำงานผมก่อนหน้านี้ใช่มั้ย”
“คุณ...ตาบ้านี่” ในที่สุดฉางฉิงก็จ้องมองเขาตรงๆ
เธอไม่มีทางเลือก คว้ากล่องข้าวมาแล้วเปิดออก ข้างในเป็นซี่โครงผัดพริกหยวก เธอกินไปบ่นไปว่าไม่อร่อย “เมื่อวานคุณยังพูดอยู่หยกๆ ว่าจะทำอาหารที่ฉันชอบ พูดจาไม่เป็นคำพูด อย่างน้อยๆ คุณน่าจะซื้ออาหารในโรงแรมห้าดาวมาให้ฉัน ไม่ใส่ใจฉันเลย รังแกกันชัดๆ”
ซ่งฉู่อี๋ลูบหน้าผาก เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้ลูกสาวมามากกว่า “น้ำมันที่โรงแรมพวกนั้นใช้ไม่ถูกสุขลักษณะ ถึงแม้อาหารของโรงอาหารเราจะรสชาติพื้นๆ แต่ก็สะอาดมาก”
“ถึงได้บอกว่าหมออย่างพวกคุณเรื่องเยอะกันจริงๆ วันๆ สนใจแต่เรื่องถูกสุขลักษณะ คุณควรเอาอย่างพี่สาวฉันบ้างนะ เธอก็เป็นหมอ แต่คติประจำใจของเธอคือขอแค่อร่อยก็พอแล้ว” ฉางฉิงปรับแก้ทัศนคติเขาอย่างจริงจัง
“ใช่แล้ว เธอถึงเป็นพี่สาวคุณไงล่ะ” ซ่งฉู่อี๋จำยอม “ผมยังมีงานต้องไปทำ จริงสิ ถ้าคนไข้ฟื้น อย่าลืมกดกริ่งเรียกด้วย หลังจากเธอฟื้นแล้ว ผมยังต้องมาตรวจดูอีกที แล้วคืนนี้เรากลับบ้านด้วยกัน”
เขากำชับเสร็จแล้วถึงค่อยเดินออกไป
หลังจากที่ฉางฉิงกินอิ่มแล้ว เสิ่นลู่ก็ฟื้นขึ้นมา
ฉางฉิงกดกริ่งเรียกทันที ตอนแรกพยาบาลมาก่อน จากนั้นอีกห้านาทีซ่งฉู่อี๋ก็ตามมา
เขาตรวจร่างกายทั้งหมดอีกครั้ง แล้วถึงค่อยถอดท่อช่วยหายใจออก
เสิ่นลู่พูดเสียงอ่อนแรง “คุณหมอซ่ง ขอบคุณมากค่ะ”
“รอดูอาการช่วงสามวันนี้ก่อน แล้วค่อยว่ากันครับ” ซ่งฉู่อี๋พูด “ถ้าช่วงสองสามวันนี้มีอะไรผิดปกติ ต้องรีบบอกพวกเราเลยนะครับ ถึงการผ่าตัดจะสำเร็จ แต่คนไข้บางรายก็มีอาการแทรกซ้อน”
“ค่ะ” เสิ่นลู่มองไปทางฉางฉิงอีกครั้ง “เด็กคนนี้ บอกให้หนูมา ก็มาจริงๆ ด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ตอนเด็กหนูเชื่อฟังคุณป้าที่สุดนี่นา” ฉางฉิงยิ้มพลางพูด
เสิ่นลู่ยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจ “ช่วงเช้าก่อนที่จะเข้าห้องผ่าตัด ป้าคิดอยู่ว่าถ้าการผ่าตัดล้มเหลว สิ่งเดียวที่ป้าจะรู้สึกเสียใจก็คือไม่ได้เห็นฟู่อวี้เป็นฝั่งเป็นฝา ถ้าหนูได้เป็นลูกสะใภ้ป้าก็ดีน่ะสิ ตอนเด็กๆ น่ะ หนูชอบเดินตามหลังฟู่อวี้ แล้วก็เอาแต่ร้องตะโกนว่าจะแต่งงานกับพี่ฟู่อวี้ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
......................................................