บทที่ 37 แม่ทัพเจิ้นอู่องอาจนัก!
บทที่ 37 แม่ทัพเจิ้นอู่องอาจนัก!
อานุภาพของผงเห็ดพิษพิสูจน์ให้เห็นผ่านร่างกายของซี่เฟิงซือเมิ่งแล้วว่าร้ายแรงนัก แม้ร่างกายของเขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่ภายในใจของเขายังคงเห็นว่าตัวเองต่อสู้กับฝูงหมาป่าอยู่ดี
ด้วยความสามารถของยอดนักรบ ซี่เฟิงซือเมิ่งที่ถือทวนยาวเอาไว้ในมืออาละวาดคลุ้มคลั่งทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า จากนั้นหนีออกมาจากสวนในคฤหาสน์ร้าง หนีออกมาจากการควบคุมของราชาหมาป่าที่น่ากลัวนั่น
เมื่อยืนท่ามกลางแสงอาทิตย์เจิดจ้าในวันฟ้าโปร่ง มองเห็นฝูงหมาป่ามารวมตัวกันมากมายเหลือคณา ซี่เฟิงซือเมิ่งไม่คิดทำแม้กระทั่งดึงขวานที่ปักอยู่บนใบหน้าออกไป เขาลงมือสังหารฝูงหมาป่าเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงสุด โดยที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถฝ่าวงล้อมของพวกมันไปได้หรือไม่ แต่รับรู้เพียงว่าถ้าหากไม่เร่งบุกโจมตีในเวลานี้ เขาคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะฝ่าออกไปแล้ว
เคราะห์ดีที่ไม่มีราชาหมาป่า พวกมันที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่อาจทนรับการโจมตีได้ เลือดเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง ฝูงหมาป่าต่างแยกย้ายกันหลบหนีให้วุ่น เส้นทางที่มีเลือดเจิ่งนองปรากฏสู่สายตาซี่เฟิงซือเมิ่งในที่สุด
จ้าวเฟิ่งยืนสองขาสั่นพั่บๆ ฝืนยกดาบของตัวเองไว้เต็มที่ ขณะเฝ้ามองชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ไล่สังหารผู้คนมาจากถนนด้านนั้น เขารู้สึกเหมือนสูญสิ้นความหวังไปแล้ว
นับตั้งแต่เห็นชายฉกรรจ์ผู้นี้แวบแรก จ้าวเฟิ่งก็รู้ในทันทีว่าคนร้ายสังหารฮวาเหนียงต้องเป็นเขาแน่นอน แต่ชายตรงหน้าเสียสติไปแล้ว เปิดฉากสังหารผู้คนกลางถนนในเมืองหลวงราวกับเทพมาร
ชาวบ้านพากันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายที่มีขวานปักอยู่บนหน้าลากทวนยาวเล่มหนึ่ง ส่งเสียงคำรามเดินผ่านมา ช่วยทำให้ถนนโล่งปลอดคนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
พลทหารที่ลาดตระเวนบริเวณกำแพงเขตพระราชฐานไม่อาจหลบหนีไปไหนได้อยู่แล้ว พวกเขาตะโกนเสียงดังก้องบอกให้ชายฉกรรจ์ที่ได้รับบาดเจ็บผู้นี้ยอมจำนนแต่โดยดี แต่น่าเสียดาย ชายคนดังกล่าวไม่เกรงกลัวพวกเขาเลยสักนิด ทวนยาวเล่มนั้นกวาดเข้าใส่มีรอยเลือดสาดกระเซ็น หัวหน้าพลทหารที่ตะคอกอย่างเดือดดาลเมื่อครู่ เวลานี้บนลำคอมีแผลเป็นรูใหญ่น่ากลัว เขาเอามือปิดปากแผลเอาไว้ด้วยความสิ้นหวัง แต่เลือดสีแดงสดกลับไหลพรั่งพรูออกมาตามรอยแยกของนิ้วมือ
“เชือกพันม้า!”[1]
จ้าวเฟิ่งตะโกนสั่งการเสียงดังลั่น มือปราบสี่คนดึงรั้งปลายเชือกสองด้านอ้อมวนมาแต่ไกล เมื่อเชือกพันขาของชายฉกรรจ์เอาไว้ พวกเขาก็วิ่งวนสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วว่องไวดุจเงา
ในขณะเดียวกันก็มีมือปราบอีกสองคนกางตาข่ายผืนใหญ่กระโดดลงมาจากด้านบน พวกเขาต้องการใช้ตาข่ายจับปลาห่อตัวชายฉกรรจ์เอาไว้
นี่เป็นวิธีการจับกุมคนร้ายตามแบบของมือปราบ ไม่มีครั้งไหนเลยที่คนร้ายจะเอาชนะไม้ตายนี้ไปได้ โดยเฉพาะเมื่อบนตาข่ายมีตะขอหนามเล็กๆ ติดอยู่เต็มไปหมด ถ้าหากโดนทิ่มแทงเข้าไปแล้วก็ยากจะดิ้นหลุด ตาข่ายนี้จึงเป็นสมบัติชิ้นสำคัญใช้รับมือกับคนร้ายที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล
จ้าวเฟิ่งคาดไม่ถึงว่าทวนยาวในมือชายฉกรรจ์จะพุ่งออกมาได้ จนกระทั่งทวนแทงทะลุหน้าอก ร่างกายโดนกระชากมาอยู่ตรงหน้าชายผู้นี้ ถึงรู้สึกสำนึกเสียใจกับความวู่วามของตัวเองยิ่งนัก
ร่างกายของเขาโดนทวนยาวกระชากมาชนกับตาข่ายจับปลา ทำให้ตาข่ายนั้นพันเข้ากับร่างจ้าวเฟิ่งที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นหนาและร่วงลงกับพื้นในที่สุด สภาพศพของจ้าวเฟิ่งที่ดูคล้ายกับถุงขาดๆ ใส่น้ำไว้เต็มปริ่ม มีเลือดไหลนองเป็นวงกว้าง
แขนทั้งสองของชายฉกรรจ์ขยับออกแรง และลากตัวมือปราบสองคนที่ใช้เชือกมัดตัวเองให้เข้ามาหาทั้งอย่างนั้น ก่อนจะดึงขวานออกจากใบหน้าเร็วปานสายฟ้า แล้วฟันลงไปที่กลางกะโหลกศีรษะของมือปราบคนหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่คว้าใบหน้าของมือปราบอีกคน จากนั้นก็ใช้สองนิ้วทิ่มลึกเข้าไปในเบ้าตา...
ซี่เฟิงซือเมิ่งรู้สึกกระหายน้ำเหลือเกิน จึงยื่นมืออกไปคว้าร่างมือปราบที่ตนเพิ่งจับไว้เมื่อครู่มาพิงอก แล้วฉีกกระชากเนื้อบริเวณลำคอเพื่อดื่มเลือดที่ไหลทะลักออกมาอย่างสะใจ
“ปีศาจจจ....”
มือปราบที่เหลือต่างร้องตะโกนออกมา ชั่วพริบตาพวกเขาก็วิ่งหนีหายไปไม่เหลือแม้แต่เงาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ในขณะเดียวกันชาวบ้านทั้งหลายที่แอบดูอยู่ด้านหลังประตูก็ผละออกมาในทันที แล้วไปนั่งกอดลูกเมียตั่วสั่นงันงกอยู่ใต้ผ้าห่ม
เมืองหลวงสงบสุขมานานปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยปรากฏคนร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้ เขาไม่เพียงสังหารคนกลางถนน แต่ยังดื่มกินเลือดสดๆ อีกด้วย เรื่องนี้ทำให้ราษฎรในเมืองหลวงหวาดผวาจนขวัญหนีดีฝ่อ...
หลังจากดื่มเลือดจนหนำใจแล้ว ซี่เฟิงซือเมิ่งก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนแทบระเบิด ดวงตาข้างซ้ายยิ่งเจ็บปวดเกินจะรับไหว ส่วนข้อมือและข้อเท้าล้วนชาด้านทั้งสิ้น พอคิดจะขยับก็รับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องที่เกินกำลังของตน
แต่ดวงตาข้างขวาของเขาค่อยๆ มองเห็นแจ่มชัดขึ้น ภาพภูเขาหิมะที่รกร้างหนาวเย็นพลันเปลี่ยนเป็นถนนสายใหญ่ที่คึกคักรุ่งเรือง เสียงฝีเท้าของพลทหารเกราะหนักลอยมาอยู่ไม่ไกล เสียงดังเคร้งคร้าง....
เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดท่าเข้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฝีมือของเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งด้วย สิ่งที่ซี่เฟิงซือเมิ่งอยากจะทำประเดี๋ยวนี้เลยก็คือ สังหารเจ้าเด็กนั่นให้ตายทั้งเป็น
ฉะนั้นเขาจึงฝืนลุกขึ้นมา แล้วเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปที่คฤหาสน์ร้างอีกครั้ง
“เสี่ยวฝูเอ๋อร์ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เสี่ยวหั่วเอ๋อร์ต้องเข้าเรียนอยู่แล้ว แต่ยังไม่แก้ไขปัญหาเรื่องทะเบียนราษฎร์ ภายหน้าคงจะเข้าเรียนระดับอำเภอของไคเฟิงไม่ได้ ยิ่งไม่มีทางเข้าสำนึกศึกษาตามธรรมเนียมได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักศึกษาระดับสูงอย่างกั๋วจื่อเจียน ถึงจะมีเงินแต่ไม่มีลู่ทางเลย..”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เกาศีรษะแกรกๆ รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ช่างน่ายุ่งยากเสียจริง
เถี่ยซินหยวนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก ลืมแล้วหรือว่าตอนนี้ข้างกายพวกเรายังมีแม่ทัพเจิ้นอู่อยู่ทั้งคน”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองเจ้าจิ้งจอกที่มีผ้าพันศีรษะ กำลังเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติบีบนวดจากเด็กคนอื่น เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าอย่าพูดสิ มันมีมาดของแม่ทัพเจิ้นอู่เข้าจริงๆ แล้ว”
“เจ้าจิ้งจอกคือแม่ทัพเจิ้นอู่ เรื่องนี้เป็นความจริงที่ถูกบันทึกลงทำเนียบรายชื่อขุนนางของกรมปกครองของต้าซ่งแล้ว ได้ยินว่าหยางเหวินก่วงแห่งตระกูลหยางยังมีกองกำลังส่วนตัว ทำไมเจ้าจิ้งจอกของพวกเราจะมีเด็กๆ สิบกว่าคนเป็นลูกน้องในสังกัดไม่ได้เล่า?”
“นี่แปลว่าต่อไปพวกเราต้องจ่ายภาษีให้มันด้วยสินะ? เจ้าจิ้งจอกเอ๋ย...ข้าจ่ายภาษีด้วยเนื้อชิ้นหนึ่งต่อปีได้ไหม? ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวล้อเล่นไปก็รู้สึกว่าน่าขบขันเสียเหลือเกิน จึงหัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่
ทันใดนั้นเถี่ยซินหยวนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาบอกให้เด็กๆ ในโพรงใต้ดินเงียบเสียงลง ทุกคนต่างเอียงหูรอฟัง พวกเขาได้ยินเพียงเสียงคนคำรามอย่างโกรธแค้นอยู่ข้างนอก
มีฝุ่นละอองร่วงกราวลงมาในโพรงใต้ดิน ไม่รู้ว่าเจ้านั่นคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาอีก
“เจ้าบ้านี่ไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงกลับมาอีกเล่า?”
เถี่ยซินหยวนตอบว่า “เขาไม่รอดแล้ว ถ้าหากหนีไปได้ คงหนีไปนานแล้ว คิดว่าเขาคงหมดทางไป ก็เลยอยากฆ่าพวกเราเพื่อแก้แค้น
ไม่ต้องสนใจเขาหรอก ตอนนี้เขายิ่งเคลื่อนไหวร่างกายมากเท่าไร ก็ยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลที่มือเท้าหรือว่าบนใบหน้า ล้วนทำให้เขาไม่อาจต่อสู้กับใครได้อีกแล้ว”
หลังจากพังศาลาพักผ่อนไปหลังหนึ่ง ในที่สุดซี่เฟิงซือเมิ่งก็นั่งลงเสียที บริเวณหน้าอกของเขารู้สึกคล้ายกับมีเปลวไฟลุกท่วม ภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ มืดสลัวลง นี่เป็นอาการของผู้ที่เสียเลือดไปมาก
ต่อให้เขาจะลุกไม่ขึ้นแล้ว แต่ความหยิ่งทระนงของนักรบก็ทำให้เขาฝืนเงยหน้าขึ้นมาจนได้ แล้วใช้ดวงตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวหรี่มองแม่ทัพของต้าซ่งตรงหน้า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้าพลาดท่าเสียที มีเจ้าถึงสามคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
แม่ทัพที่นั่งบนหลังม้าถอดหน้ากากแล้วเอ่ยว่า “โจรถ่อยซีเซี่ย เจ้าสังหารราษฎรผู้บริสุทธิ์ของต้าซ่ง ไม่ว่าข้าจะสังหารเจ้าอย่างไร ก็นับว่าเป็นความชอบครั้งใหญ่”
ซี่เฟิงซือเมิ่งหัวเราะเสียงดังแล้วสวนกลับไปว่า “แม่ทัพของต้าซ่งเช่นเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเด็ดหัว บอกชื่อของเจ้ามา แม่ทัพตูอวี๋โหวแห่งกองทัพจวนซีผิงของต้าเซี่ย ซี่เฟิงซือเมิ่งอยู่ที่นี่แล้ว!”
แม่ทัพบนหลังม้ายิ่งหัวเราะออกมาอย่างสะใจก่อนเอ่ยปากว่า “นายทหารต้องโทษแห่งประตูซีสุ่ยของต้าซ่ง หยางไฮว๋อวี้อยู่ที่นี่แล้ว ตายเสียเถอะ โจรถ่อยซีเซี่ย!”
เมื่อได้ยินว่าคนร้ายตรงหน้าเป็นชาวซีเซี่ยดังคาด หยางไฮว๋อวี้มีหรือจะทนได้ ขอเพียงจับเป็นเจ้าโจรถ่อยนี่ได้ เขาก็จะกลับคืนตำแหน่งเดิมทันที ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนไปอีกขั้นหนึ่งด้วย
หยางไฮว๋อวี้เร่งม้าก้าวไปข้างหน้า หลาวหม่าซั่วแทงตรงไปที่ไหล่ซ้ายของซี่เฟิงซือเมิ่ง เขาไม่คิดจะสังหารเจ้านี่ในทันทีหรอก โจรที่ยังมีชีวิตมีประโยชน์มากกว่าโจรที่ตายไปแล้วมากนัก
ซี่เฟิงซือเมิ่งมือเดียวถือทวนเบี่ยงตัวหลบหลาวหม่าซั่วของหยางไฮว๋อวี้ที่แทงมาได้ทัน เขาอาศัยแรงจากทวนยาวพยุงร่างลุกยืนขึ้น ทวนเหล็กหมุนควงในอากาศรอบหนึ่งหมายตวัดใส่ศีรษะศัตรูให้ร่วงลงมา
หยางไฮว๋อวี้สะบัดหลาวหม่าซั่วรับไว้ได้ หลังจากมีเสียงปะทะกันดังสนั่น ซี่เฟิงซือเมิ่งก็ถอยไปสองก้าวแล้วทรุดลงกับพื้น หยาวไฮว๋อวี้แสยะยิ้มแล้วแทงหลาวในมือใส่ซี่เฟิงซือเมิ่งอีกครั้ง เขาสามารถรับรู้ได้ชัดเจนว่า เรี่ยวแรงมหาศาลของคนตรงหน้าเหลือเพียงเฮือกสุดท้ายแล้ว
ขณะที่หยางไฮว๋อวี้รุกโจมตีอย่างรวดเร็ว และซี่เฟิงซือเมิ่งป้องกันอย่างเต็มกำลัง เถี่ยซินหยวนที่เกาะขอบบ่อน้ำเฝ้ามองการต่อสู้อยู่นั้น ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นประโยชน์กับพวกของตนอย่างมากทีเดียว
เจ้าโง่บัดซบหยางไฮว๋อวี้ นั่งอยู่บนหลังม้าต่อสู้กับผู้อื่นตั้งนานก็ยังไม่รู้ผลว่าจะแพ้หรือชนะ ถ้าหากชาวซีเซี่ยผู้นี้ไม่โดนตัวเองและเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ทำร้ายบาดเจ็บมาก่อน หยางไฮว๋อวี้คงโดนทวนยาวของอีกฝ่ายแทงกลายเป็นศพไปนานแล้ว
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจำเป็นต้องมีทหารเกราะกลุ่มหนึ่งถือโล่ป้องกันแล้วบุกเข้าไป แต่กลับดึงดันจะต้องสำแดงวรยุทธ์ของตนในเวลานี้ให้ได้ แม้กระทั่งความจริงที่ว่าเจ้าโจรถ่อยซีเซี่ยเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ กลับไม่สนใจสักนิด
“แถวนั้นยังมีกับดักที่ยังไม่ทำลายทิ้ง”
เสี่ยวสุ่ยเอ๋อร์ที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้มีหรือจะไม่เข้าใจความคิดเถี่ยซินหยวน จึงรีบเสนอความคิดของตนออกมา
“รอหยางไฮว๋อวี้เคราะห์ร้ายก่อนค่อยว่ากัน เจ้าลูกขุนนางไร้น้ำยานี่ไม่รู้อะไรสักอย่างก็กล้าดุ่มๆ บุกเข้ามา ถ้าหากบิดาของเขาอยู่ตรงนี้ การต่อสู้คงยุติไปนานแล้ว”
เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ขณะที่หยางไฮว๋อวี้คิดว่าควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว ต่อสู้ฟาดฟันหลายครั้งก็ยังไม่ยอมใช้ไม้ตาย ซี่เฟิงซือเมิ่งฉวยโอกาสที่รู้ทันว่าหยางไฮว๋อวี้คิดจะจับเป็นตัวเอง แกล้งเคลื่อนไหวช้าลงให้อีกฝ่ายตายใจ หยางไฮว๋อวี้ดีใจลิงโลด ซัดหลาวแทงทะลุไหล่ของซี่เฟิงซือเมิ่งโดยไม่ลังเล
หลังจากโดนหลาวหม่าซั่วแทงทะลุร่าง ซี่เฟิงซือเมิ่งเผยยิ้มชั่วร้าย เขารุกขึ้นหน้าไปโดยไม่ถอยกลับ ปล่อยให้ด้ามหลาวที่เสียบไหล่ตนอยู่ไถลผ่านเนื้อหนังออกมาอีกสามฉื่อ แล้วยกเท้าข้างหนึ่งเตะท้องม้าซึ่งเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดเต็มแรง หยางไฮว๋อวี้ที่เจอการเคลื่อนไหวอย่างผิดธรรมดาของซี่เฟิงซือเมิ่ง ก็รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด เขารับรู้เพียงว่าจะต้องคว้าปลายหลาวของตนเอาไว้ให้แน่น ไม่ยอมให้เจ้าโจรถ่อยซีเซี่ยแย่งไปได้
ม้าศึกล้มลงกับพื้นเสียงดังเลือนลั่น ขาข้างหนึ่งของหยางไฮว๋อวี้โดนม้าทับไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ หลาวหม่าซั่วอาวุธคู่กายหลุดมือไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
ซี่เฟิงซือเมิ่งได้หลาวหม่าซั่วที่หลุดจากมือหยางไฮว๋อวี้ยันพื้นประคองร่างไว้ เขาหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กน้อยโง่เขลาก็กล้าประลองกับข้ารึ”
ขณะที่เอ่ยวาจาก็ลงมือดึงหลาวที่เสียบทะลุร่างออกมาเพื่อกำจัดหยางไฮว๋อวี้ ในเวลาเพียงชั่วพริบตาซี่เฟิงซือเมิ่งที่คลุกคลีอยู่ในสมรภูมิมานาน ก็ประเมินสถานการณ์ได้กระจ่างแล้ว บัดนี้เขาทำความผิดร้ายแรงในเมืองหลวงของต้าซ่ง ต่อให้จับหยางไฮว๋อวี้เป็นตัวประกัน ก็ไม่อาจหนีไปจากที่นี่ได้อยู่ดี
ระหว่างที่เขาพยายามดึงหลาวออกมาอยู่นั้น ไม้ท่อนหนาประมาณขาคนก็พุ่งออกมาจากมุมรกครึ้มของต้นหลิวสูงใหญ่ด้านข้าง มันฟาดเข้าที่แผ่นอกของซี่เฟิงซือเมิ่งอย่างแรง...
เมื่อมองไปก็เห็นว่าเขามีเลือดไหลทะลักออกจากปากอย่างต่อเนื่อง ในเลือดสดๆ ที่ไหลออกมามีก้อนเลือดสีดำปะปนอยู่ด้วย นี่คงเป็นเพราะอวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักกระมัง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเจ้าโจรถ่อยซีเซี่ยไม่อาจตอบโต้ได้อีก เถี่ยซินหยวนจึงอุ้มเจ้าจิ้งจอกปีนออกมาจากบ่อน้ำ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซี่เฟิงซือเมิ่ง พร้อมกับเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่ไปซ่อนอยู่บนต้นไม้ก่อนหน้านี้
ถ้าหากไม่มีหลาวหม่าซั่วของหยางไฮว๋อวี้ประคองไว้ ซี่เฟิงซือเมิ่งคงล้มลงไปนานแล้ว
“เยี่ยมมาก!” ซี่เฟิงซือเมิ่งเค้นวาจาหลุดปากได้สองคำ ร่างกายก็ทรุดฮวบนอนหงายลงกับพื้นหญ้า
“เฉี่ยวเอ๋อร์ รีบตัดหัวเจ้านี่เร็ว แล้วพวกเราไปรับรางวัลที่ศาลไคเฟิงกัน” เถี่ยซินหยวนหันไปกล่าวกับเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่ทำท่าทางอยากลองเต็มแก่แล้ว
“หยุดนะ ข้าเป็นคนสังหารเจ้าโจรถ่อยคนนี้ต่างหาก” หยางไฮว๋อวี้เห็นเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เตรียมใช้ขวานตัดหัวคน ก็เอ่ยปากยับยั้งอย่างร้อนรน
เถี่ยซินหยวนมองหยางไฮว๋อวี้อย่างดูแคลนแวบหนึ่ง เจ้านี่เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่คิดไว้จริงๆ เมื่อครู่นี้ถ้าไม่ได้เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ลงมือ เขาคงโดนสังหารไปแล้ว ตอนนี้ยังมีหน้ามาแย่งผลงานกันอีก
หยางไฮว๋อวี้รู้สึกเสียหน้าเกินทนไปชั่วขณะ เขาเพิ่งจะก้มหน้าลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาฉับพลันก็เอ่ยว่า “นี่เป็นความดีความชอบทางทหาร ไม่ใช่สิ่งที่เด็กเล็กๆ อย่างพวกเจ้าจะรับไปได้”
เถี่ยซินหยวนอุ้มเจ้าจิ้งจอกของตนขึ้นมา ชี้ที่ผ้าพันแผลบนหัวของมันแล้วตอบไปว่า “แม่ทัพเจิ้นอู่ต่อสู้กับโจรร้ายจนได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายหลังจากต่อสู้กันอยู่นานหลายร้อยกระบวนท่าก็ตัดศีรษะโจรร้ายได้”
“เหลวไหล เจ้าจิ้งจอกจะทำได้...”
“หุบปาก แม่ทัพเจิ้นอู่ไม่อาจต่อสู้ ก็ยังมีทหารในสังกัดกลุ่มหนึ่งไม่ใช่หรือ?” เถี่ยซินหยวนเอ่ยสวนกลับ แล้วชี้ไปที่เด็กตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่เพิ่งปีนออกมาจากบ่อน้ำ
----------------------------
[1] เชือกพันม้า(绊马索)อาวุธโบราณที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสุยหู่จ้วน(水浒传)และสามก๊ก(三国演义) เป็นเชือกที่ซ่อนในผืนดินไว้ใช้พันขาม้าของศัตรูให้ล้มลง