บทที่ 36 ทางรอดยามวิกฤติ
บทที่ 36 ทางรอดยามวิกฤติ
หลังจากปูกระดาษพร้อมแล้ว เถี่ยซินหยวนก็ลงมือวาดภาพหน้าไม้วิเศษจากความทรงจำของตน ตำแหน่งไหนที่เขาไม่แน่ใจก็ปรึกษาเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เบาๆ
เมื่อวาดมาถึงส่วนกลไกของหน้าไม้ เถี่ยซินหยวนก็หยุดพู่กันในมือแล้วกล่าวกับชายฉกรรจ์ว่า “ในภาพร่างดั้งเดิมนั้น ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง”
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วถามว่า “ขาดอะไรไป? หรือเจ้าลืมอะไรแล้วคิดจะวาดสิ่งอื่นเติมมั่วๆ สินะ?”
เถี่ยซินหยวนส่ายหน้าแล้วตอบว่า “บรรพบุรุษของข้าเป็นช่างตีเหล็ก ท่านปู่ของข้าก็ตีเหล็ก ท่านพ่อของข้าก็เหมือนกัน แผนภาพร่างพวกนี้ข้าถือเล่นในมือตั้งแต่จำความได้ ฉะนั้นภาพร่างหน้าไม้ที่ท่านต้องการ ข้าเห็นครั้งแรกก็จำได้
แล้ว ส่วนครอบครัวเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์...”
“บรรพบุรุษของเขาทำเฉพาะหน้าไม้เท่านั้น ข้ารู้เรื่องนี้ชัดเจนดีอยู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ ว่าเรื่องสำคัญมาเลยดีกว่า”
เถี่ยซินหยวนกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “หน้าไม้วิเศษนั้นส่วนคันโค้งจะแข็งสายธนูจะอ่อน ทำให้เวลาขึ้นสายต้องใช้แรงเยอะมาก ถ้าหากเพิ่มฟันเฟืองลงไป อย่างน้อยน่าจะผ่อนแรงไปได้ประมาณหกส่วน”
ชายฉกรรจ์ยกร่างเถี่ยซินหยวนขึ้นมาแล้วโยนลงพื้นอย่างแรงก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่ต้องการฟันเฟืองบ้าบออะไรทั้งนั้น แค่ภาพร่างต้นแบบก็พอ”
เถี่ยซินหยวนหล่นกระแทกพื้นแรงน่าดู จมูกก็โดนกระแทกไปด้วย เลือดกำเดาไหลพรั่งพรูออกมา ในศีรษะมีแต่เสียงหวึ่งๆ ดังก้อง สายตาก็พร่าเลือนไปหมด ถึงแม้จะได้เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ประคองลุกขึ้นแล้ว ก็ยังโซเซไปมายืนไม่มั่นคง
หลังจากเช็ดเลือดที่ไหลออกมาแล้ว เถี่ยซินหยวนก็กล่าวตอบชายตรงหน้าอย่างยากลำบากว่า “ภาพร่างต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่องถึงจะสร้างอาวุธที่ดีที่สุดออกมาได้
ก็เหมือนภาพร่างหน้าไม้ภาพนี้ หลังผ่านการแก้ไขนับครั้งไม่ถ้วนถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้”
ชายฉกรรจ์แสยะยิ้มชั่วร้ายแล้วเอ่ยยว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ อย่างพวกเจ้าจะมีปัญญาทำได้ปานนั้น ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งชั่วยาม หากเจ้ายังวาดออกมาไม่ได้ ข้าจะหักคอพวกเจ้าทันที”
เจ้าจิ้งจอกไม่รู้ว่ามุดออกมาจากไหน มันมายืนร้องเสียงดังอยู่หน้าประตู โดยไม่กล้าเดินเข้ามา ได้แต่เดินวนอยู่หน้าประตูด้วยความร้อนใจ
ชายฉกรรจ์เผยรอยยิ้มหยัน ก่อนจะขว้างถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ถ้วยชาใบนั้นตกใส่หัวของเจ้าจิ้งจอกพอดี เมื่อเห็นว่ามันสลบไสลลงไปกองกับพื้น เถี่ยซินหยวนก็ตะโกนออกมาสุดเสียง เตรียมจะพุ่งเข้าไปหามันเดี๋ยวนั้น แต่ก็โดนหิ้วตัวขึ้นมาหย่อนลงตรงหน้าโต๊ะซอมซ่ออีกครั้ง ชายฉกรรจ์กดบ่าของเถี่ยซินหยวนเอาไว้แล้วกล่าวว่า “เจ้าจิ้งจอกนั่นไม่ตายหรอก ข้ายังผ่อนแรงมือไปหลายส่วน เจ้าคงเป็นห่วงมันมากสินะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ตั้งใจวาดภาพให้ข้า มิฉะนั้นน่ะหรือ ข้าจะถลกหนังจิ้งจอกตัวนี้ให้ดู...”
เถี่ยซินหยวนสบตาชายฉกรรจ์ด้วยความโกรธแค้น เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์อุ้มเจ้าจิ้งจอกไปรวมกับเด็กคนอื่นๆ แล้วถึงได้หยิบพู่กันขึ้นมาวาดภาพต่ออย่างไม่เต็มใจที่สุด
ชายฉกรรจ์หัวเราะออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะหยิบกาน้ำชาด้านหลังออกมาดื่มรวดเดียวจนหมดเกลี้ยง
อากาศร้อนอบอ้าวเหลือเกิน หยาดเหงื่อของเถี่ยซินหยวนหยดย้อยลงมาจากคอและขมับสองข้างเสียงดังติ๊งๆ เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่ถือผ้าเอาไว้ไม่มีทางตามซับได้หมด เพียงไม่นานผ้าเช็ดหน้าก็สามารถบิดน้ำออกมาได้
เจ้าจิ้งจอกรู้สึกตัวแล้ว มันยังหลบอยู่ในกลุ่มเด็กๆ ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา แม้จะอยู่ห่างสมควร เถี่ยซินหยวนก็ยังเห็นชัดว่าบนหัวของมันมีเลือดไหลซึมออกมา
ทางฝ่ายชายฉกรรจ์กลับรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย เขากำลังสะบัดศีรษะทำให้ตัวเองมีสติแจ่มใสเอาไว้ เนื่องจากเขาไม่ได้หลับเลยสักชั่วขณะเดียวมาตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ยังเจอกับอากาศร้อนอบอ้าวซ้ำอีก ยิ่งทำให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าชัดเจน
เขาจึงยืนขึ้นมาด้วยความรำคาญ ขยับเข้าไปใกล้เถี่ยซินหยวนก็เห็นว่า ภาพโครงร่างลักษณะของหน้าไม้คืบหน้าไปกว่าครึ่งแล้ว เจ้าหนูนี่กำลังปรึกษากับเจ้าเด็กตระกูลหลี่เรื่องความยาวของส่วนประกอบหน้าไม้ แม้จะวาดได้ช้านัก แต่กลับวาดได้อย่างต่อเนื่อง
ความจริงแล้วชายฉกรรจ์ผู้นี้รู้สึกนับถือเถี่ยซินหยวนมากทีเดียว สำหรับเขาคนที่สามารถอาศัยความทรงจำของตน วาดภาพร่างที่มีรายละเอียดซับซ้อนออกมาได้เหมือนต้นแบบ เรียกได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะ
แต่น่าเสียดายนัก ที่นี่คือเมืองหลวงของต้าซ่ง ถ้าหากเป็นจวนซีผิงล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะเอาตัวเจ้าเด็กนี่มอบให้ท่านแม่ทัพ เลี้ยงดูอย่างดีประหนึ่งสมบัติล้ำค่า
จวนซีผิงมีกองทัพที่แข็งแกร่งนัก แต่ขาดสิ่งสำคัญไปเพียงอย่างเดียวก็คือหน้าไม้วิเศษ หลี่หยวนฮ่าวเห็นหน้าไม้นี้เป็นดั่งของรักของหวง นอกจากกองทัพฉินเซิงจวิน[1]และทหารคนสนิทที่เขาไว้ใจแล้ว กองทัพชนเผ่าอื่นๆ ในดินแดนซีเซี่ยต่างไม่ได้รับจัดสรรให้ใช้งาน ถ้าหากมิใช่เพราะอาวุธชนิดนี้สร้างความเสียหายร้ายแรงกับทหารม้า แม่ทัพทั้งหลายแห่งจวนซีผิงคงไม่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของหลี่หยวนฮ่าวไปเสียทุกเรื่องหรอก...
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ตรงหน้าชายฉกรรจ์นามซี่เฟิงซือเมิ่ง จู่ๆ ปรากฏภาพภูเขาเฮ่อหลันซาน[2]ที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวผ่อง ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนยอดเขา ราวกับว่าบนภูเขาหิมะปูทองคำชั้นหนึ่ง
สถานที่แห่งนั้นคือภูเขาทองคำที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งติดตามท่านพ่อไปตอนยังเด็ก ท่านพ่อบอกว่าที่นั่นเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหมาป่าแห่งทวยเทพ มีเพียงชายชาตรีที่แข็งแกร่งที่สุดถึงสามารถปีนขึ้นไปบนภูเขาหิมะ และมอบเครื่องบูชาของตัวเองแด่เทพแห่งท้องฟ้าได้
แขนข้างหนึ่งพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง เมื่อก้มหน้ามองถึงพบว่ามีหมาป่าขนหลากสีตัวหนึ่ง กำลังกัดแขนของตัวเองจนจมเขี้ยว
ซี่เฟิงซือเมิ่งตกใจจนร้องไห้โฮขึ้นมา เขาร้องคร่ำครวญให้ท่านพ่อมาช่วยเสียงดังลั่น แต่กลับเห็นหมาป่าขนสีขาวโพลนดุจหิมะตัวหนึ่งคาบศีรษะของท่านพ่อเอาไว้ แล้วมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเย็นชา
“คนผู้นี้แปลกพิกลนัก เมื่อครู่นี้ยังทุบตีสะเปะสะปะอย่างกับคนคลุ้มคลั่ง ตอนนี้กลับร้องไห้ได้อย่างไรกัน? หยวนเกอเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาไม่ได้เสียสติ”
เถี่ยซินหยวนที่นั่งกอดเจ้าจิ้งจอกด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “รีบเอาตะปูตอกตรึงแขนขาเขาเอาไว้ดีกว่า ผ่านไปอีกครู่หนึ่งข้ากลัวว่าเจ้าคนนี้จะกลับเป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราคงหนีไปไหนไม่รอดแล้ว เจ้าก็เห็นว่าหมัดเดียวของเขาชกต้นไม้หักได้”
หลังจากซี่เฟิงซือเมิ่งร้องไห้โฮอยู่สักพัก ทันใดนั้นเขาก็พบว่าร่างกายของตัวเองเหมือนจะโตขึ้นแล้ว แม้แขนขาสี่ข้างยังโดนหมาป่ากัดถลอกปอกเปิก แต่ร่างกายมีเรี่ยวแรงฟื้นคืนดังเดิมแล้ว
เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ดวงตาของหมาป่าตัวนั้นกลับเหมือนเส้นเชือกที่มัดร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ใช้ค้อนตอกลงไปสุดกำลัง นำตะปูเหล็กตัวยาวตอกตรึงเข้าเนื้อบริเวณแขนขาทั้งสี่ข้างของชายฉกรรจ์ แม้จะทำถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังดิ้นไปมาไม่หยุด เลือดสดๆ ไหลนองเต็มพื้นแต่กลับไม่ยอมลืมตาขึ้นมา
“ไม่ไหว เจ้านี่แข็งแกร่งเกินไป เรี่ยวแรงมหาศาล ต้องตัดแขนขาของเขาทิ้ง”
เถี่ยซินหยวนหาขวานมาเล่มหนึ่ง ฟันฉับลงไปบนข้อมือของชายฉกรรจ์ที่นอนดิ้นพล่าน แต่แรงมีไม่มากพอ จึงไม่สามารถตัดข้อมือขาดได้ กลับเผยให้ข้อกระดูกสีขาวซีดน่าสยดสยอง
ไม่รอให้เถี่ยซินหยวนฟันฉับลงไปครั้งที่สอง ดวงตาของซี่เฟิงซือเมิ่งก็เบิกโพลงขึ้นมาทันใด ปากที่อาบย้อมด้วยเลือดเปล่งเสียงร้องโหยหวนราวกับไม่ใช่มนุษย์
เถี่ยซินหยวนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ไว้ชีวิตชายผู้นี้ จึงยกขวานขึ้นมาแล้วฟันลงไปที่ตรงกลางระหว่างคิ้วของซี่เฟิงซือเมิ่ง ขอเพียงสมองตาย เจ้านี่ก็จะไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านอีก ถ้าหากฟันเขาให้ตายในครั้งเดียวไม่ได้ ตัวเองกับเด็กกลุ่มนี้ก็คงเจอเคราะห์ร้ายมากกว่าดีแน่นอน
ซี่เฟิงซือเมิ่งดิ้นรนไปมาจนขยับศีรษะเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย ทำให้ขวานของเถี่ยซินหยวนจามลงไปที่แก้มของเขาในทันใด ปลายขวามคมกริบแทงลึกเข้าไปในเบ้าตา เลือดสีแดงสดไหลทะลักพร้อมกับอะไรบางอย่างสีดำๆ กระเด็นพรวดออกมาจากขอบตา
ซี่เฟิงซือเมิ่งส่งเสียงร้องแปลกประหลาด ร่างที่นอนอยู่บนเตียงไม้หนาชักกระตุกขึ้นมาเหมือนโดนสายฟ้าฟาด ตามด้วยเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แขนสองข้างพลันขยับอย่างแรง จนสลัดหลุดจากพันธนาการด้วยตะปูอย่างเหลือเชื่อ
หลังจากสองแขนข้างหลุดออกมาได้ ข้อเท้าทั้งสองข้างก็มีเลือดสาดกระเซ็น กระชากหลุดจากตะปูที่ตรึงไว้เช่นกัน ชายที่โซซัดโซเซลุกขึ้นมา บนใบหน้ายังมีขวานฝังประดับไว้ ทั่วร่างอาบย้อมด้วยเลือดสดๆ ราวกับเทพแห่งสงคราม
นับตั้งแต่แขนของซี่เฟิงซือเมิ่งสลัดหลุดจากพันธนาการด้วยตะปู แม้กระทั่งขวานเถี่ยซินหยวนก็ไม่เอาแล้ว เขาเตรียมพร้อมวิ่งหนี เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์อยากพุ่งเข้าไปจัดการ แต่ก็โดนเถี่ยซินหยวนลากตัวไปด้วย หลังจากสัตว์ร้ายได้รับบาดเจ็บจะเป็นช่วงที่มันดุร้ายน่ากลัวที่สุด
สองคนหนึ่งจิ้งจอกวิ่งหนีออกมาจากห้อง พุ่งผ่านพงหญ้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เถี่ยซินหยวนก็เตะเจ้าจิ้งจอกลงบ่อไปโดยไม่ลังเล จากนั้นคนทั้งสองก็รีบกระโดดตามลงไปติดๆ
ที่แห่งนี้เป็นบ่อน้ำแห้งสนิท อีกทั้งไม่ลึกมากนัก หลังจากเจ้าจิ้งจอกร่วงถึงพื้นแล้วก็มุดเข้าไปในโพรงเล็กๆ เถี่ยซินหยวนกับเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ปีนตามมันเข้าไปข้างในด้วย
กระทั่งเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ดึงประตูไม้บานเล็กๆ ปิดลง คนทั้งสองนั่งเอาหลังชนกันแล้วพักหอบหายใจ ไม่ว่าใครต่างก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามของอีกฝ่าย
หลังจากเสี่ยวฝูเอ๋อร์จุดเทียนขึ้น เด็กคนอื่นๆ ถึงเห็นว่าคนทั้งสองมีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษก็ไม่ปาน
“ขนาดนี้แล้วยังไม่ตาย? รู้แบบนี้น่าจะเอาตะปูตอกเข้าหัวไปเลยก็ดีหรอก” เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวด้วยความหวาดผวาไม่หาย
เถี่ยซินหยวนพยักหน้าแล้วตอบว่า “เรียกว่ารู้ผิดเป็นครู คราวหน้าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้อีก จะต้องชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ข้านึกว่าขอแค่จับเขาตอกตะปูตรึงบนไม้กระดาน ก็คงขยับไม่ได้แล้ว จากนั้นพวกเราจะได้ถามว่าเจ้าคนนี้เป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่ ใครเป็นคนส่งมา ไม่คิดเลยว่าเขาจะดุร้ายแรงเยอะปานนี้!”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่แล้ว แต่ว่าข้ารู้นะ ว่าเขามาจากที่ไหน”
เถี่ยซินหยวนตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้ารู้?”
“ข้าต้องรู้จักอยู่แล้ว ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่มีให้เห็นมากมายแถบเส้นทางกานเหลียง แต่ว่าที่ข้าเคยเห็นส่วนใหญ่จะศีรษะโล้น หรือไม่ก็เหลือปอยผมเอาไว้เล็กน้อย เจ้าคนนี้มีเส้นผมเต็มศีรษะ ข้าเลยนึกไม่ออกไปพักหนึ่ง”
“เจ้าหมายความว่า เจ้านี่เป็นชาวซีเซี่ย?”
“ใช่แล้ว ข้าโดนเขาหนีบไว้ใต้แขนนานเลยทีเดียว เกือบโดนกลิ่นสาบแพะรมตายเสียแล้ว ท่านพ่อข้าเคยบอกไว้ ร่างกายสะอาดไร้กลิ่นสาบแพะก็คือชาวฮั่น มีกลิ่นสาบแพะเดาได้แปดส่วนว่าเป็นพวกคนเถื่อนแน่”
เถี่ยซินหยวนฟังเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ว่าแบบนี้ ก็พลิกปีนขี่หลังอีกฝ่าย แล้วรัวหมัดทุบตีโดนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทุบตีไปด่าไปว่า “ก็เพราะเจ้านี่แหละ มือเท้าไม่สะอาด ไปกวักเรียกคนร้ายจากซีเซี่ยมาได้ เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราจะได้อยู่กันอย่างสงบอีกหรือ?”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เอามือบังศีรษะตนไว้ ปล่อยให้เถี่ยซินหยวนสั่งสอนเขาตามใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเห็นเถี่ยซินหยวนไม่ทุบตีเขาแล้ว ถึงเอ่ยปากด้วยความจนใจว่า “มาโทษข้าได้หรือ?”
เถี่ยซินหยวนไม่เหลียวแลเขา แต่เอาหูแนบท่อไม้ไผ่เพื่อฟังเสียงจากด้านบน จากนั้นกลับมานั่งอย่างเดิมแล้วเอ่ยว่า “เจ้านั่นยังอาละวาดอยู่ข้างบน ข้ากลับหวังว่าให้เขาทนไปได้อีกสักพัก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น เลือดก็คงไหลหมดตัวจนตายไปเอง”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์นับจำนวนคนในโพรงใต้ดินอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจว่า “พี่น้องทุกคนแค่ตกใจนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมาก”
เถี่ยซินหยวนนำห่อผ้าของตัวเองออกมา ในนั้นมีขนมเปี๊ยะแห้งๆ อยู่หลายชิ้น เป็นขนมที่เขาซื้อมาตอนเดินผ่านร้านของหนิวซานพ่า เขาส่งให้เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เอาไปแบ่งให้เด็กๆ กิน
หลังจากเห็นพี่น้องทุกคนกินขนมเปี๊ยะกันคนละชิ้นอย่างเอร็ดอร่อย เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ถามว่า “เพราะอะไรเจ้านั่นถึงได้คลุ้มคลั่งอาละวาดไปทั่วแบบนั้น สุดท้ายยังมานอนหลับบนเตียงอีก?”
เถี่ยซินหยวนสูดอากาศเย็นจนเหมือนปวดฟันนิดๆ แล้วตอบว่า “คงเพราะเขาเป็นโรคลมบ้าหมูกระมัง”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็นั่งกินขนมส่วนของตนต่อไป
เถี่ยซินหยวนวางขนมในมือแล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าเชื่อรึ?”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติว่า “เจ้าพูดอะไร ข้าเชื่อทั้งนั้น!”
----------------------------
[1] กองทัพฉินเซิงจวิน(擒生军)ชื่อกองทัพที่เกรียงไกรของฝั่งซีเซีย มีทั้งทหารเจนศึก ยุทธปัจจัยครบสมบูรณ์ และความห้าวหาญ สามารถจับเป็นทหารและราษฎรของแคว้นศัตรูมาเป็นทาสได้ จึงได้ชื่อว่า ฉินเซิง(จับทั้งเป็น)
[2] ภูเขาเฮ่อหลันซาน(贺兰山)เป็นแนวเขาแถบซีเป่ย(ตะวันตกเฉียงเหนือ) ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ย(宁夏)ของชาวหุย(回族)กับเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน(内蒙古)มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,000-3,000 เมตร