บทที่ 37 ตัวเลือกสัมบูรณ์ที่บังคับให้เปลี่ยนตอนจบ
บทที่ 37 ตัวเลือกสัมบูรณ์ที่บังคับให้เปลี่ยนตอนจบ
เมื่อได้ยินเสียงรบเร้าจากสือเสี่ยวไป๋ ซีซือถึงกลับชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้นมา ตำราเล่มเล็กพลิกไปยังหน้าที่สี่ แล้วอ่านต่อ “คนต่อไป เซี่ยงอู่”
สือเสี่ยวไป๋ได้ฟังต้องชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะเก็บโล่พิทักษ์เบื้องหน้าลงไป สายตาทอดมองไปยังมุมของที่นั่งด้านซ้าย ผู้ชายที่ชื่อเซี่ยงอู่คนนั้น สำหรับเขาแล้วเป็นคนอิสระที่โดดเดี่ยว เป็นผู้ที่สมควรได้รับการเคารพ
เซี่ยงอู่รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่เท่าไร หน้าตาคมชัดเผยบุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผาย สวมใส่ชุดนินจาท่อนบนสีขาวท่อนล่างสีดำ ท่วงท่าการเดินราวกับเป็นกระบี่คมซ่อนอยู่ในฝัก
“คนผู้นี้ แข็งแกร่งมาก” ในใจของสือเสี่ยวไป๋เกิดความรู้สีกเช่นนี้
“เซี่ยงอู่ โปรดช่วยชี้แนะด้วย” เซี่ยงอู่เดินมาหยุดยืนหน้าสือเสี่ยวไป๋ ก่อนจะโค้งเล็กน้อยเป็นการทักทาย
ฉือเสี่ยวไป่พยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วกางโล่พิทักษ์วิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง ระลอกคลื่นหมุนเป็นเกลียวออกมาจากใจกลางของโล่พิทักษ์ แผ่กระจายออกสู่ด้านนอกระลอกแล้วระลอกเล่า ประดุจม่านน้ำหมุนเป็นระลอกคลื่นอย่างนั้น
เซี่ยงอู่มองดูโล่พิทักษ์ระลอกคลื่นนั้นอย่างเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาทันควันว่า “โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นของนาย เพิ่งจะเรียนรู้มาเมื่อครู่ หรือว่าได้รับการฝึกฝนมานานแล้ว?”
ผู้คนได้ฟังดวงตาก็สว่างวาบ ที่จริงแล้วคำถามนี้ก็เป็นข้อสงสัยที่พวกเขาคิดถึงกันมากที่สุด เจ้าก้อนดินนี่เพิ่งจะเรียนรู้โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นเมื่อครู่นี้จริงๆ เหรอ?
ระดับการเรียนรู้ถึงทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณ วิชาป้องกันตัวและวิชาฝึกกายนั้นดูจากพลังควบคุมพลังจิตและทักษะความชำนาญ สำหรับพลังควบคุมพลังจิตแห่ง ‘การเรียนรู้ขั้นต้น’ ของถู่ต้าเฮยนี้ นอกเสียจากต้องผ่านการฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วน และต้องมีทักษะความชำนาญถึงขั้น ‘ชำนาญจนเกิดการพลิกแพลง’ ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถใช้โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นแบบนี้ได้
แต่หากว่าต้าเฮยสามารถใช้โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นได้จริง แล้วทำไมในตอนแรกเขาถึงพูดว่าตัวเองไม่เข้าใจว่าโล่พิทักษ์จิตวิญญาณคืออะไรเล่า? หรือว่าเขาจะโกหกตั้งแต่แรก?
“สือเสี่ยวไป๋ไม่มีทางโกหกกับเรื่องเหล่านี้ได้ เขาเพิ่งจะเรียนรู้ได้เมื่อครู่จริงๆ จากที่เห็นเขาเพิ่งจะเรียนรู้ทักษะความชำนาญสำหรับโล่พิทักษ์ระลอกคลื่นได้ถึงเพียงขั้นความเข้าใจเบื้องต้นเอง ทว่าเขากลับใช้โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นได้แล้ว เรื่องนี้ทำไมถึง...หรือว่า...”
ความคิดคาดเดาอย่างไม่น่าเชื่อบางอย่างแล่นขึ้นมาในสมองของหลิงฉุน มองดูสายตาของสือเสี่ยวไป๋ จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงอย่างที่สุด
และในนาทีนี่เอง สือเสี่ยวไป๋กล่าวตอบอย่างคึกคะนองว่า “ข้าสัมผัสได้ถึงประตูแห่งสัจธรรมจากหมัดของเจ้ากระทิงเหล็กยักษ์ พลังก้าวแรกที่หลับใหลอยู่ในร่างของราชาเทพซาร์ซได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว การสามารถใช้พลังเทพระลอกคลื่นได้นั้นมันแปลกตรงไหนเหรอ?”
หน้าผากของทุกคนต่างมีเส้นสีดำโผล่ขึ้นมา พวกเขารู้สึกเพียงว่าเจ้าก้อนดินนี้เกินจะเยียวยาได้แล้ว ในเมื่อเขาสามารถใช้โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นได้ แต่เป็นโล่พิทักษ์ระลอกคลื่นที่ทรุดโทรมแบบนั้น มันก็ถือว่ายังใช้โจมตีไม่ได้อยู่ดี ในเวลานี้ยังจะมาพูดจาโง่เขลาแบบนี้อีก หรือว่าการพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายก่อนหน้านี้ยังทำให้เขาได้รับบทเรียนไม่พอ?
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
ปฏิกิริยาของเซี่ยงอู่ที่แสดงออกถึงความเหลือเชื่อ หลังจากที่เขาได้ฟังคำพูดของสือเสี่ยวไป๋ ก็ได้ครุ่นคิดไปครู่หนึ่งด้วยความสงสัยที่ค้างคาอยู่ จึงกล่าวว่า “นายลองดูซิว่าสามารถทำให้โล่พิทักษ์จิตวิญญาณนี้รวมตัวกันเป็นลูกสีขาวขนาดเท่าลูกบอลได้หรือเปล่า”
ผู้คนได้ฟังเช่นนั้นต่างก็รู้สึกว่าความต้องการของเซี่ยงอู่นั้นน่าตลกเป็นบ้า อยากให้โล่พิทักษ์เปลี่ยนรูปงั้นเหรอ อย่างน้อยจะต้องมีพลังควบคุมพลังจิตถึงขั้น ‘ชำนาญจนเกิดการพลิกแพลง’ได้ถึงจะสามารถทำได้!
ต่อมาฉากหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงอ้าปากค้างจนทำอะไรไม่ถูกก็ปรากฏขึ้น เห็นเพียงสือเสี่ยวไป๋รับคำก่อนที่โล่พิทักษ์วิญญาณด้านหน้าของเขานั้นจะปั่นหมุนขึ้นมา ขอบเขตแห่งการหมุนวน เป็นพลังสีขาวที่คล้ายกับอ่างน้ำวนค่อยๆ ไหลมารวมกันตรงกลางอย่างช้าๆ หลังจากที่สงบลงก็กลายเป็นลูกบอลสีขาวรูปไข่ลูกหนึ่ง
“ชิบหาย! พลังจิตเปลี่ยนรูปงั้นเหรอ?”
“พลังควบคุมพลังจิตของเจ้าก้อนดินนี้บรรลุถึงขั้น‘ชำนาญจนเกิดการพลิกแพลง’แล้วเหรอ?”
“มะ-ไม่เพียงเป็นการ‘ชำนาญจนเกิดการพลิกแพลง’ แต่ว่านายดูความเร็วในการเปลี่ยนรูปนั้นซิ ฉันว่าเกือบจะทะลวงถึงขั้น ‘บรรลุปรุโปร่ง’แล้วล่ะ!”
“พวกนายลองมองดูลูกบอลสีขาวนั้นให้ละเอียดซิ พลังจิตที่บีบไว้ด้วยกัน ตั้งนานแล้วก็ยังไม่ตีแยกออกจากกัน สิ่งนี้ต้องใช้พลังควบคุมที่มั่นคงขนาดไหนถึงจะทำได้ล่ะ?”
“...”
บรรดาเด็กใหม่ ณ ที่นั่งต่างอึ้งตะลึงงันกันไปหมด ปากเพียงอุทานว่าไม่น่าเชื่อๆ
“เอ๋? ทำไมพวกมนุษย์โง่เขลาพวกนี้ถึงได้อุทานเสียงน้อยใหญ่แบบนี้ด้วยนะ หรือว่าข้าทำเรื่องที่น่าสุดยอดอะไรอย่างนั้นหรือ? หรือว่าจริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น?”
ในขณะนั้นสือเสี่ยวไป่รู้สึกว่าเขาประเมินค่าตัวเองต่ำไปหน่อย เมื่อครู่ที่เขาฟังคำพูดของเซี่ยงอู่ ในทีแรกก็รู้สึกงุนงงไม่รู้ควรจะทำอย่างไร แต่จู่ๆ ก็เกิดความคิดเปลี่ยนโล่พิทักษ์วิญญาณให้เป็นลูกบอลลูกหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวสมองอย่างไม่รู้ตัว แล้วสุดท้ายโล่พิทักษ์นั้นก็รวมตัวกลายเป็นลูกบอลจริงๆ!
โล่พิทักษ์วิญญาณเปลี่ยนรูปเป็นลูกบอลสีขาว สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้มันง่ายขนาดนี้เลย!
“มันก็แค่เปลี่ยนรูปเป็นลูกบอลลูกหนึ่งก็เท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ข้าจะลองทำให้เป็นแบบอื่นดู!”
นาทีนี้ ความเชื่อมั่นในตัวของสือเสี่ยวไป๋ก็คืนกลับมา เขาเพ่งมองบนลูกบอลสีขาวนั้นอย่างจริงจัง ทันใดนั้นความคิดในสมองของเขาพลันถูกกระตุ้นขึ้นอย่างรุนแรง ในช่วงวินาทีนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้านายของลูกบอลสีขาวลูกนั้น!
และแล้วฉากที่ทำให้ผู้คนต้องช็อก ขนาดซีซือเองก็ยังอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
เห็นเพียงลูกบอลพลังจิตลูกนั้นหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นกระบองสีขาวแท่งหนึ่ง!
หลังจากที่กระบองหยุดนิ่งครู่หนึ่งก็เปลี่ยนรูปเป็นปืนยาว!
หลังจากที่ปืนยาวหยุดนิ่งครู่หนึ่งก็เปลี่ยนรูปเป็นดาบวงพระจันทร์!
หลังจากที่ดาบวงพระจันทร์หยุดนิ่งครู่หนึ่งก็เปลี่ยนรูปเป็นขวาน!
หลังจากที่ขวานหยุดนิ่งครู่หนึ่งก็เปลี่ยนรูปเป็นไม้ค้อน!
หลังจากที่ไม้ค้อนหยุดนิ่งครู่หนึ่งก็เปลี่ยนรูปเป็นเคียว!
หลังจากที่เคียวหยุดนิ่งครู่หนึ่งก็เปลี่ยนรูปเป็น...!
...
พลังจิตสีขาวกลุ่มนั้นทำการเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งต่างๆ หลายรูปแบบ
ระดับความไวไม่เร็วแต่เป็นระเบียบ อีกทั้งรูปลักษณ์ของมีดปืนที่สร้างขึ้นมาก็ดูสมจริงมาก ราวกับประติมากรรมที่ใช้ดินเหนียวปั่นขึ้นอย่างประณีต
ทุกคนต่างนิ่งเงียบลงไปโดยไม่รู้ตัว ต่างจดจ้องพลังจิตสีขาวที่เปลี่ยนรูปไม่หยุดอันนั้น ทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองจะต้องกำลังฝันไปแน่ๆ
ผ่านมาไม่รู้นานเท่าไร สือเสี่ยวไป๋จึงได้เก็บมือลง พลางถอนหายใจอย่างหนัก
“เห้อ ปราสาทมันยากเกินไป ข้าทำออกมาไม่ได้”
น้ำเสียงของสือเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย
ในช่วงนาทีนั้น ทุกคนต่างนิ่งเป็นหินไปแล้ว
......
“แปะ! แปะ! แปะ!”
เสียงปรบมือเบาๆ ชื่นชมได้ดังขึ้นทำลายความเงียบเป็นป่าช้านี้ เสียงปรบมือนั่นมาจากซีซือ
“ของเล่นสุดโปรดของฉันเอ๋ย นายช่างทำให้คนแปลกประหลาดใจได้จริงๆ เพิ่งจะ ‘ล้มเหลว’ไปเพียงสี่ครั้งเท่านั้น นายก็สามารถสร้างความ ‘สำเร็จหลังพังทลาย’ได้จริงแล้ว จากการเรียนรู้เบื้องต้นทะลวงถึงขั้นชำนาญจนพลิกแพลงได้ ‘ความหยั่งรู้’ของนายช่างสุดยอดเหนือมนุษย์จนทำให้ฉันหาคำบรรยายมาชื่นชมนายไม่ได้จริงๆ นายช่างน่าสนุกเหลือเกิน!”
น้ำเสียงปิติยินดีของซีซือกล่าวออกมาอย่างจริงใจทั้งหมด
แต่แรกก็คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้แล้ว ทว่าบรรดาเด็กใหม่ที่คิดจะปฏิเสธความจริงนี้เมื่อได้รับข้อสรุปที่ยืนยันจากซีซือแล้ว ต่างก็ส่งเสียงดังอลหม่านขึ้นมา!
“โดนทำลายไปสี่ครั้งก็สำเร็จการทะลวงแดนครั้งที่หนึ่งได้ แม่งเอ้ยฉันไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม?”
“มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชน สำเร็จหลังพังทลาย เดิมทีฉันคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องในตำนาน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีคนที่สามารถเรียนรู้จาก ‘ความล้มเหลว’ ครั้งที่สี่ก็สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘สำเร็จ’ได้ ความหยั่งรู้นี้ มันโรคจิตเกินไปแล้ว!”
“นี่...ต่อให้เป็นสือเสี่ยวไป๋ในตำนานผู้นั้น ก็คงไม่ผ่านได้เช่นนี้หรอกมั้ง?”
“อืม ถู่ต้าเฮย อาจจะอัจฉริยะเหนือกว่าอัจฉริยะสือเสี่ยวไป๋อีก!”
“เอ๋? ถู่ต้าเฮย? สือเสี่ยวไป๋? ทำไมฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ทะแม่งๆ อยู่นะ?”
“มันแปลกๆ!”
“...”
ผู้คนต่างไม่สามารถนำความสุดยอดเหนือมนุษย์เรื่องความ‘สำเร็จหลังพังทลาย’ด้วยโอกาสสี่ครั้งตรงหน้าเรื่องนี้เชื่อมโยงเข้ากับเจ้าก้อนดินที่ปากเต็มไปด้วยคำพูดโง่เขลาคนนั้น พวกเขาทำได้เพียงอุทาน ชื่นชม ตกใจไม่หยุด โดยใช้คำพูดมาระบายอาการช็อกตะลึงในใจ
สือเสี่ยวไป๋นอนแช่อยู่ท่ามกลางคำชื่นชมและความอัศจรรย์ใจ น่าแปลกตรงที่เขาไม่ปรากฏอาการภาคภูมิใจในตัวเอง เขาเพียงปรับโล่พิทักษ์วิญญาณตรงหน้าอยู่เงียบๆ สือเสี่ยวไป๋เข้าใจถ่องแท้แล้วว่าที่แท้ตัวเองก็สามารถควบคุมพลังจิตสีขาวเหล่านี้ได้ตามใจปรารถนา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องสามารถสร้างโล่พิทักษ์วิญญาณที่เปลี่ยนรูปได้สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน!
สือเสี่ยวไป๋ไม่มีความสิ้นหวัง จากการควบคุมได้ตามความคิด โล่พิทักษ์วิญญาณตรงหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนรูปจากที่ชำรุดทรุดโทรมและเปราะบางอย่างมาก แม้ว่ารูปร่างจะเล็กลงมาวงหนึ่ง แต่ระดับความหนาเห็นได้ชัดว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่า พื้นผิวของโล่ก็ไม่ขรุขระอีกต่อไป คลื่นเป็นระลอกๆ ได้แผ่กระจายออกไปจากศูนย์กลาง นี่เป็นโล่พิทักษ์ระลอกคลื่นที่เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว!
“มาเถอะ! บดมันให้แหลก! ทำให้ฉันเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าอะไรคือพลังที่แท้จริง!”
สือเสี่ยวไป๋กางโล่พิทักษ์ขึ้นตรงหน้า เผชิญหน้ากับเซี่ยงอู่ ก่อนจะตะโกนคำรามเสียงดัง!
น้ำเสียงของเขา ทำให้ผู้คนที่กำลังอลม่านตกตะลึงอยู่ค่อยๆ เงียบสงบลงไป
เซี่ยงอู่ได้ยินคำนั้น ในใจเกิดรอยยิ้ม แล้วก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาให้กลายเป็นดาบ ตัดฉับลงไปข้างหน้า!
ดาบมือก็คือดาบ ตัดออกมาเป็นคมดาบแสงสีขาวสายหนึ่ง คมดาบนั้นวาบออกมาโจมตีตรงเข้าสู่โล่พิทักษ์ระลอกคลื่นตรงหน้าของสือเสี่ยวไป๋!
คมดาบหายวับไปในทันตา หลอมรวมเข้ากลางเกลียวคลื่นเป็นระลอกๆ นั้น ราวกับก้อนหินที่ล่วงเข้าสู่กลางทะเลสาบ เสียงดัง “ตุ๊บ” แล้วก็หายสาบสูญไป
แต่เพียงชั่ววินาทีต่อมา โล่พิทักษ์ก็แยกออกเป็นสองส่วน มันไม่ใช่การแตกออก และก็ไม่ใช่การแหลกสลาย แต่มันถูกตัดครึ่งออกเป็นสองส่วนอย่างอัตโนมัติ คล้ายกับกระดาษบางๆ ที่ถูกฉีกขาดด้วยใบมีดเล็กๆ ชั่วพริบตาก็ตัดออกเป็นรอยตัดอย่างราบรื่น
สือเสี่ยวไป๋มองดูโล่พิทักษ์ระลอกคลื่นที่ถูกตัดครึ่งเป็นสองส่วนแตกสลายไปอย่างตกตะลึง เขารับรู้ถึงความแตกต่างของพลังระหว่างคนทั้งสอง ใบหน้าของเขาค่อยๆ ผุดรอยยิ้มขึ้นมา แสงแห่งความเร้าร้อนประกายวาบออกมาจากดวงตาคู่นั้นของเขา!
“นี่ก็คือพลังที่ฉันปรารถนาสินะ!”
ในนาทีนี้ ในที่สุดสือเสี่ยวไป๋ก็สัมผัสถึงความรู้สึกที่แท้จริงของแรงปรารถนา และก็เข้าใจแล้วว่าตัวเขาต้องทุ่มเทไปเท่าไรเพื่อแลกกับการได้มาของมัน
“ความอ่อนแอของเทคนิคการต่อสู้ วิชาป้องกันและวิชากาย มาตรฐานการวิเคราะห์ไม่เพียงแค่มีพลังควบคุมพลังจิตและทักษะความชำนาญเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วความสามารถใช้พลังจิตได้เท่าไรต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริง”
เซี่ยงอู่อุทานว่า “ถู่ต้าเฮย พลังควบคุมพลังจิตของนายนั้นเหนือขั้นกว่าฉันไปแล้ว ทักษะความชำนาญของโล่พิทักษ์ระลอกคลื่นก็ไปไกลกว่าฉันเสียอีก แต่ว่านายในตอนนี้เพิ่งจะฝึกพลังจิตถึงขั้นปฐมจิตชั้นหนึ่ง แต่ฉันนั้นอยู่ในขั้นปฐมจิตชั้นสามแล้ว ระดับความแข็งกล้าของพลังจิตของเราทั้งสองมันอยู่คนละชั้นกัน และนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ฉันสามารถใช้พลังจิตตัดโล่พิทักษ์ของนายให้ขาดเป็นสองท่อนได้นั่นเอง”
“ถู่ต้าเฮย หากว่าขั้นพลังจิตของพวกเราเหมือนกัน นายถึงจะเป็นผู้ชนะ”
เซี่ยงอู่โค้งต่ำแสดงความเคารพก่อนจะหันกายเดินกลับไปยังที่นั่ง ที่ตรงนั้นก็คือมุมที่เขาใช้พักกาย เป็นที่ที่ไม่มีใครมารบกวน ถึงแม้อาจจะโดดเดี่ยวไปบ้าง แต่ก็อิสระอย่างมาก
สือเสี่ยวไป๋มองดูเงาแผ่นหลังของเซี่ยงอู่ สองมือกำหมัดแน่น แล้วหันกายไปมองซีซือ ก่อนจะกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “คนต่อไป!”
ในเวลานี้ สือเสี่ยวไป๋ปรารถนาจะครอบครองพลังอย่างที่สุด เลือดในตัวของเขาพลุ่งพล่านสูบฉีด หัวใจเต้นรัวแรง ขนาดลมหายใจที่ถอนออกมายังมีไอร้อนติดออกมาด้วย
“ไม่ ไม่ ไม่ เกมจบลงแล้ว!”
ซีซือยิ้มอย่างร้ายกาจ “ของเล่นสุดโปรดของฉัน เงื่อนไขของเกมฉากนี้ก็คือ ‘สำเร็จหลังพังทลาย’ นายทำมันสำเร็จแล้ว ดังนั้น เกมฉากนี้จึงสิ้นสุดลงแล้ว นายชนะในตอนจบได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”
ซีซือประกาศตอนจบของเกมนี้ออกมาอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน แต่ท่ามกลางเรื่องที่สมเหตุสมผล
“ถู่ต้าเฮย เจ้าสุดยอด!”
ไม่รู้ว่าใครมันตะโกนแบบนี้ออกมา เสียงปรบมือพลันดังขึ้นราวกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักตกลงมาในห้องเรียนแห่งนี้
เสียงปรบมือ คำโห่ร้องยินดี เสียงหวีดวิ้ว เสียงเรียก...ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องเรียน
“ตอนจบแบบนี้ก็ไม่เลวนะ!”
แม้ว่าสือเสี่ยวไป๋ไม่สามารถทำให้เด็กใหม่มาเป็น‘คู่ฝึก’ได้ต่อไปอีก เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นทุกคนต่างโห่ร้องยินดีกับ‘ชัยชนะ’ของเขาเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกว่าตอนจบแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
ในช่วงเวลาที่สือเสี่ยวไป๋ได้รับตอนจบเช่นนี้ ทันใดนั้นเอง เสียงของทุกคนก็หายวับไป การเคลื่อนไหวของทุกคนหยุดนิ่งลง เรื่องทั้งหมดถูกแช่แข็งในชั่วพริบตา
และต่อมา น้ำเสียงอันโอหังพลันดังก้องขึ้นในสมองของเขา
“จงเลือกเถิด หนุ่มน้อย!”
ตัวอักษรสีดำที่หายไปนานค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเขาอย่างช้าๆ
[ตัวเลือกที่หนึ่ง: ขอกางเกงในจากซีซือ จะต้องปฏิบัติภายในหนึ่งนาที]
[ตัวเลือกที่สอง: ขอจูบแรกจากซีซือ จะต้องปฏิบัติภายในหนึ่งนาที]