บทที่ 35 สั่งสอน
บทที่ 35 สั่งสอน
“อืม ไปกันเถอะ”
ชุดกาวน์สีขาวที่พลิ้วไหวเลิกขึ้นมุมหนึ่ง ซ่งฉู่อี๋เดินนำออกไปก่อน ส่วนแพทย์ฝึกหัดเข็นอุปกรณ์พลางเดินก้าวเล็กๆ ตามหลังเขาไป
ฉางฉิงโล่งอก แต่ใครจะรู้เล่าว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา เธอก็ได้รับข้อความจากซ่งฉู่อี๋ : มาที่ห้องทำงานผม ชั้นห้า ถ้าไม่มาก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง
เป็นคำขู่ที่แจ่มแจ้งชัดเจน
ฉางฉิงพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง : คุณป้าเสิ่นอยู่ในห้องคนเดียว ฉันไม่วางใจค่ะ
ซ่งฉู่อี๋ : คุณอยากให้ผมไปจับตัวคุณมาใช่มั้ย
พอนึกถึงใบหน้าที่เย็นยะเยือกของเขา ฉางฉิงก็ใจสั่นเทิ้ม ได้แต่จำใจเดินขึ้นไปหาเขา
ด้านหน้าห้องทำงานเขาเขียนชื่อไว้ชัดเจน ฉางฉิงจึงหาห้องเจอได้ง่ายมาก แล้วเธอก็ผลักประตูเข้าไป
ซ่งฉู่อี๋กำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่เงียบๆ พอเธอเข้ามา เขาก็ชำเลืองมองทางหางตาทีหนึ่ง “ปิดประตูด้วย”
ที่จริงฉางฉิงไม่อยากทำตามที่เขาสั่งอย่างว่าง่าย แต่มือเธอมันไม่เชื่อฟัง พอรู้ตัวอีกที เธอก็ปิดประตูลงจริงๆ เธอล่ะเกลียดตัวเองที่ไม่เอาไหน แต่ปากก็ยังคงอธิบายเสียงเบาว่า “เมื่อวานฉันก็บอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ฉันกับฟู่อวี้รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พี่สาวฉันกับเขาก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เขาเห็นว่าฉันเป็นน้องสาวคนหนึ่ง”
“แค่น้องสาวถึงกับลงทุนผลิตละครเพื่อคุณเลยงั้นเหรอ” ซ่งฉู่อี๋ยิ้มเยาะ ใบหน้าฉายแววชั่วร้าย “น้องสาวอะไรกัน น้องสาวบุญธรรมเหรอไง”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการเหน็บแนมดูถูก ฉางฉิงเองก็โมโหเหมือนกัน “ยังไงฉันก็ไม่ได้โกหกคุณก็แล้วกัน”
“สิ่งที่ผู้หญิงอย่างพวกคุณถนัดที่สุดก็คือการโกหกหลอกลวง” ซ่งฉู่อี๋ลุกขึ้นยืน เงาร่างของเขาแผ่ปกคลุมเธอ “แต่น่าเสียดายนะ คุณใช้สมองคิดแทบตายแต่ก็เป็นได้แค่นางรอง”
“คุณ...มันจะเกินไปแล้วนะ”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่เคยทำตัวแปลกแบบนี้มาก่อน ฉางฉิงโกรธจนตัวสั่น แล้วพูดโพล่งออกมาว่า “ฉันกับคุณก็แค่แต่งงานกันปลอมๆ ถึงฉันจะคิดยังไง มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“แต่งงานกันปลอมๆ?” ซ่งฉู่อี๋จากโกรธจัดเปลี่ยนเป็นยิ้ม มือคว้ากุมบ่าของเธอทันที “ในทะเบียนสมรสเขียนระบุเอาไว้ชัดเจน ทุกอย่างล้วนมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเรียบร้อย คุณคิดว่าการที่เราไม่ได้ทำหน้าที่การเป็นสามีภรรยากัน มันหมายถึงการแต่งงานกันปลอมๆ ใช่หรือเปล่า”
ฉางฉิงถูกเขากุมบ่าแน่นจนรู้สึกเจ็บ เธอทั้งน้อยใจทั้งโกรธเคืองจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว “ก่อนที่จะลงชื่อในทะเบียนสมรส เราก็คุยกันชัดเจนแล้ว จะว่าไปแล้วเราต่างก็แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งคู่”
“ท่าทางคงเป็นเพราะคุณได้เจอกับฟู่อวี้ ตอนนี้คุณก็เลยร้อนใจอยากจะเคลียร์ความสัมพันธ์กับผมให้มันชัดเจนสินะ” ซ่งฉู่อี๋พูดเจือเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ เสียงหัวเราะนั้นเหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่อึมครึม แฝงกลิ่นอายที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันไม่ได้...” พอเห็นเขามีท่าทางแบบนี้ ฉางฉิงก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงแม้เขาจะดูค่อนข้างเย็นชามาตลอด แต่เขาก็ดีกับเธอพอสมควรทีเดียว
“คุณจำได้มั้ยว่าเมื่อคืนผมบอกกับคุณว่ายังไง ผมบอกให้คุณอยู่ห่างๆ จากฟู่อวี้ แต่เห็นได้ชัดว่าคุณไม่สนใจฟังคำพูดของผมเลย” คราวนี้มืออีกข้างหนึ่งของซ่งฉู่อี๋ก็กุมบ่าอีกข้างหนึ่งของฉางฉิงด้วย
ฉางฉิงนึกถึงการสั่งสอนที่เมื่อคืนเขาพูดขึ้นมาได้ เธอรู้สึกลนลานไปหมด น้ำเสียงเธอเจือสะอื้นเล็กน้อย “คุณจะทำอะไรน่ะ”
“สั่งสอน ผมพูดได้ก็ทำได้” ทันใดนั้นใบหน้าเย็นยะเยือกของซ่งฉู่อี๋ก็ขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาเธอ
ริมฝีปากเธอประกบกับสิ่งที่อ่อนนุ่มและร้อนฉ่า
ฉางฉิงเบิกตาโตทันที
นี่เรื่องจริงใช่มั้ย เขากำลังบังคับจูบเธอ
จูบแรกของเธอ...
ฉางฉิงเคยจินตนาการถึงจูบแรกของเธออยู่หลายต่อหลายครั้ง เธอกับฟู่อวี้ ภายใต้แสงจันทร์และท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ บริเวณริมทะเลสาบที่เงียบสงบ หรือไม่ก็ในโรงภาพยนตร์ที่มืดสลัว...
แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นซ่งฉู่อี๋ หนำซ้ำยังอยู่ในห้องทำงานที่หนาวเย็นแบบนี้
เธอออกแรงดิ้นรนขัดขืนพลางผลักเขาออกไป
ทว่าเธอช่างผอมบางเหลือเกิน จะเป็นคู่ต่อสู้กับชายหนุ่มที่สูงกว่าเธอเป็นฟุตได้ที่ไหน ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังถูกเขาดึงเข้ามาในอ้อมอกอีกด้วย
เธอหลบ ริมฝีปากเขาก็ไล่ตาม จนสุดท้ายเขาเห็นเธอกระดุกกระดิกไปมาเหลือเกิน เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งจับคางเธอไว้ แล้วกลิ่นอายของชายหนุ่มก็เข้ายึดครองทั่วทุกอณู
เธอได้ลิ้มรสกลิ่นมินต์ที่ไม่ใช่ของตัวเธอเอง
ด้วยความกลัว ฉางฉิงจึงขัดขืนหนักกว่าเดิม แต่ชายหนุ่มกดตัวเธอไว้แรงมาก
ระหว่างที่ผลักกันไปมา ฉางฉิงก็ถูกเขาดันขึ้นไปบนตู้ แล้วหางตาเธอก็มีน้ำตาซึมออกมา
.............................................