ตอนที่แล้วบทที่ 34 ความแตกต่างระหว่างชีวิตจริงกับความฝัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 36 ทางรอดยามวิกฤติ

บทที่ 35 ชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด


บทที่ 35 ชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด

 

ในเมืองหลวงมักมีมุมมองความงามหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนี้พวกผู้หญิงชมชอบรองเท้าสตรีเช่นนั้น พอถึงวันพรุ่งนี้พวกนางอาจรู้สึกว่ารองเท้าสีแดงปักลวดลายดอกฝูหรงถึงจะงดงามที่สุด หรือแม้แต่การจงใจก้าวยาวๆ เวลาเดินถนนเพื่ออวดโฉมรองเท้าของตน พวกนางจะเผยให้เห็นรองเท้าใต้ชายกระโปรงอย่างเอียงอาย ราวกับหญิงนางโลมร้องรำบนถนนหม่าสิง

 

แน่นนอนว่ามุมมองที่พวกนางมีต่อผู้ชายก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีชายหนุ่มรูปงามราวพานอัน[1]เดินอยู่บนถนน ก็จะมีผู้หญิงมากมายโยนผลไม้ใส่ร่างของเขา ประหนึ่งฝูงลิงที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราด ความชมชอบอันร้อนแรงเกินพอดีของพวกนางยังเคยทำให้ชายงามที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์อีกคนอย่างเว่ยเจี้ย[2]ต้องจบชีวิตมาแล้ว ว่ากันว่าชายงามผู้บอบบางราวบุปผา ผิวขาวอ่อนนุ่มราวแป้งผัดหน้าผู้นี้ โดนพวกผู้หญิงคลุ้มคลั่งบนท้องถนนทำให้ตกใจตายทั้งเป็น

 

หญิงชาวต้าซ่งค่อนข้างคิดอ่านลึกซึ้งกว่านั้น พวกนางนิยมผู้ชายที่มีสติปัญญาความสามารถ ตัวอย่างเช่นบัณฑิตยอดกวีอย่างหลิวหย่ง[3]ที่ฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดปรานเลยสักนิด

 

เถี่ยซินหยวนเคยพบหลิวหย่งมาก่อน คนผู้นี้ก็แค่ชายไว้เครายาวเหมือนแพะภูเขาที่มีรูปร่างผอมแห้งเท่านั้น เขาเชื่อว่า การเข้าออกหอนางโลมเป็นว่าเล่นนานแรมเดือนแรมปี ทำลายสุขภาพที่เคยแข็งแรงของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว

 

บัณฑิตยอดกวีช่างน้อยเสียเหลือเกิน พวกบัณฑิตที่ไปเที่ยวหอนางโลมส่วนใหญ่ล้วนเอ่ยร่ายถ้อยคำเช่น ‘หยางหลิวเรียงรายริมฝั่ง สายลมหนาวเหน็บดวงจันทร์แหว่งเว้า’ (ผลงานของหลิวหย่ง) ไม่ได้เลย ฉะนั้นถึงได้มีผู้คนท่าทางแปลกประหลาดหลากหลายประเภทปรากฏตัวในหอนางโลม หวังว่าจะสามารถทำให้หญิงงามเมืองเหล่านั้นส่งยิ้มให้สักครั้ง

 

วันนี้หอหุยชุนมีชายหนุ่มท่าทางไม่เหมือนใครมาเยือนอีกเช่นเคย เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำเหลือประมาณ กล้ามแขนสองข้างแน่นเปรี๊ยะราวไม้ใหญ่รากลึก เมื่อรวมเข้ากับแผ่นอกกว้างและแข็งแกร่ง นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วดูสง่างามดั่งเจดีย์เหล็กก็ไม่ปาน

 

ในดินแดนต้าซ่งยากนักจะพานพบชายชาตรีรูปร่างแข็งแรงบึกบึนเช่นนี้

 

มีผู้หญิงมากมายนับไม่ถ้วนแอบมองเขาแวบหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่

 

เมื่อพวกนางเดินผ่านข้างกายเขาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยโบกไปมาเบาๆ

 

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้นี้นั่งดื่มสุราอยู่ในห้องโถงใหญ่เพียงลำพังมาครู่หนึ่งแล้ว เขายังเป็นแขกที่ใจกว้างมากด้วย ไม่ว่าหญิงนางโลมรายไหนเข้าไปดื่มสุราเป็นเพื่อนชามหนึ่ง เขาก็จะโยนถุงเงินมาให้ แม้ว่าท่าทางตอนพวกนางรับถุงเงินจะย่ำแย่เต็มที ทำให้โดนผู้อื่นหัวเราะขบขัน แต่...หญิงนางโลมที่นั่งดื่มสุรากับเขาก็ยังมีมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

 

ฮวาเหนียงไม่เข้าใจว่าค่ำคืนนี้ตัวเองไปคว้าโชคดีมากจากไหน นางถึงได้ถูกแขกใจกว้างผู้นี้เรียกตัวไว้ให้ดื่มสุราเป็นเพื่อน เม่ยจูเอ๋อร์ที่งดงามที่สุดในหอนี้แค่เพียงดื่มสุรากับเขาชามหนึ่งเท่านั้น

 

หลังจากดื่มสุราติดต่อกันไปสามชาม ฮวาเหนียงก็มึนศีรษะไปหมดแล้ว นางอยากจะหยิบถุงเงินทั้งสามใบกลับห้องตัวเองนัก แต่เมื่อลองลุกเดินสองครั้งขากลับอ่อนแรงจนเดินไม่ไหว

 

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หัวเราะเสียงดัง เขายื่นมือไปคว้าเอวของฮวาเหนียงแล้วอุ้มขึ้นมา เท้าซ้ายเตะถุงเงินสามครั้งติดกัน พวกมันก็ร่วงลงบนไหลของเขาครบทั้งสามถุงใหญ่

 

เมื่อเห็นว่าฮวาเหนียงถูกชายฉกรรจ์อุ้มขึ้นไปชั้นบน ทันใดนั้นในหอหุยชุนก็มีเสียงแขกท่องราตรีคำรามคล้ายสุนัขป่าเห่าหอนดังขึ้น

 

แม่เล้าเดินโบกสะบัดผ้าเช็ดหน้านำทาง นางกล่าวเยินยอความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ พลางกล่าวถึงกฎเกณฑ์ในหอหุยชุนของนาง หลังจากเงินถุงหนึ่งถูกโยนมากระแทกหน้าอกอย่างแรงแล้ว แม่เล้าที่ถูกถุงเงินกระแทกจนตกใจแทบตายก็รีบกอดสมบัติถุงนั้นไว้แน่น ก่อนจะบ่นพึมพำไม่หยุดว่าชายร่างใหญ่ทำร้ายเงินหาเลี้ยงชีพของนาง

 

เมื่อเสียงกรีดร้องของฮวาเหนียงลอยออกมาจากห้องนั้น คนทั่วทั้งหอนางโลมหุยชุนพากันหูตั้งรับฟังอย่างจริงจัง ไม่ว่าชายหรือหญิงบนสีหน้าต่างปรากฏความหื่นกระหาย

 

เสียงกรีดร้องของฮวาเหนียงค่อยๆ แผ่วเบาลง จนสุดท้ายก็เงียบหายไป ทุกคนถึงดูมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครทันสังเกตเลยว่า กว่าเสียงร้องของนางจะเงียบช่างกินเวลายาวนานนัก

 

หลังจากเสียงฆ้องบอกเวลาดังสามครั้ง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถึงเดินออกมาจากห้องของฮวาเหนียง ฝีเท้าของเขายังมั่นคงแข็งแรงเปี่ยมด้วยพละกำลังล้นเหลือ แม่เล้าที่กำลังอ้าปากหาวส่งแขกอดยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชมไม่ได้

 

“ฮวาเหนียงเหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ก่อนถึงยามอู่ไม่ต้องเรียกนาง ข้าเหมาตัวนางไว้แล้ว”

 

“ท่านเป็นชายที่รู้จักรักถนอมบุปผาโดยแท้...”

 

ชายฉกรรจ์ไม่สนใจทรวงอกของแม่เล้าที่เบียดแนบแขนของตน เขาเปิดประตูใหญ่หอหุยชุนแล้วเดินจากไป...

 

..................

 

เถี่ยซินหยวนเกิดฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับ นั่งอ่านหนังสือใต้แสงตะเกียงก็อ่านไม่เข้าหัวเลยแม้แต่ตัวเดียว

 

มารดาเอ่ยปากเร่งให้เขาเข้านอนมาสามรอบแล้ว เขาก็ยังนั่งนิ่งเหม่อมองแสงตะเกียงตรงหน้า จิตใจล่องลอยไปไกล..

 

มีเสียงปะทุดังขึ้นจากไส้ตะเกียงเล็กน้อย หลังจากมีประกายไฟสว่างวาบวูบหนึ่งก็มอดดับไปอย่างช้าๆ

 

“ต้องมีตรงไหนผิดพลาดไปแน่!”

 

เถี่ยซินหยวนนั่งพึมพำอยู่คนเดียว จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองเคยลืมสิ่งใดไป เมื่อหูได้ยินเสียงฆ้องตีบอกโมงยามดังขึ้นสี่ครั้ง เขาก็หาวออกมาวอดหนึ่ง และตัดสินใจเข้านอนในที่สุด

 

ชายฉกรรจ์ผู้นี้แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ฝีเท้ากลับแผ่วเบาและว่องไวยิ่งนัก เขาเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดข้างทางราวกับวิญญาณล่องลอย ชายตีฆ้องบอกยามรู้สึกเหมือนมองเห็นเงาร่างลวงตาของใครคนหนึ่ง เมื่อเพ่งมองอีกครั้งก็พบว่าไม่มีอะไรอยู่เลย

 

เขาส่ายหน้าด้วยความงุนงง แล้วเดินตีบอกโมงยามต่อไปทางถนนใกล้กำแพงเขตพระราชฐานอีกฝั่งอย่างช้าๆ

 

“อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ...”

 

ชายฉกรรจ์ยืนอยู่ในเงามืด หันมองบ้านตระกูลเถี่ยอีกฝั่งถนนที่เพิ่งดับตะเกียงด้วยสายตาเย็นชา เขาเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว เงยหน้ามองเห็นแสงจันทร์สว่างไสว และเห็นองครักษ์บนกำแพงเดินตรวจตราอย่างต่อเนื่อง ก็ขยับกายเข้ามาอยู่ในเงามืด ไม่นานก็หายลับไป

 

หลังจากการเรียนในยามเช้าที่แสนน่าเบื่อกับอาจารย์กัวสิ้นสุดลงแล้ว เถี่ยซินหยวนที่ไม่ได้นอนให้เต็มอิ่มมาคืนหนึ่ง ก็เดินออกมาจากบ้านของท่านอาจารย์

 

วันนี้สุ่ยจูเอ๋อร์ไม่ได้มารอเขาอยู่ด้านนอกเหมือนเคย ทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงพาเจ้าจิ้งจอกไปคฤหาสน์ร้างแห่งนั้น

 

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แม่เล้าของหอหุยชุนกำลังสาปส่งฮวาเหนียงจอมขี้เกียจ เมื่อวานนางรับแขกไปคนเดียวเท่านั้น จนป่านนี้แล้วกลับยังนอนอู้ไม่ลุกขึ้นมาอีก

 

ทันทีที่นางถีบประตูห้องฮวาเหนียงเปิดออก ก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ...

 

มือปราบนามจ้าวเฟิ่งยืนขมวดคิ้วมองสภาพศพหญิงสาวที่แขวนคอกับขื่อห้อง ไม่เอ่ยวาจาใดออกมาครู่ใหญ่

 

เขาเป็นมือปราบมานานหลายปี กลับไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดโดนทรมานจนอยู่ในสภาพนี้มาก่อน เรือนร่างเปลือยเปล่ามีร่องรอยบาดแผลเล็กๆ จากคมมีดเต็มไปหมด แขนขาอ่อนปวกเปียกบิดเบี้ยวผิดรูป เห็นได้ชัดว่าโดนใครบิดหักมาแน่ ส่วนเนื้อหนังก็พลิกเปิดขึ้นมา คาดว่าคงลงมือในขณะที่นางยังมีชีวิตอยู่

 

นี่เป็นวิธีการสอบสวนโดยใช้การทรมานอย่างชัดเจน จ้าวเฟิ่งที่มาจากตระกูลมือปราบยังพอมองออก แต่ว่าหญิงนางโลมธรรมดาๆ คนหนึ่ง จะกุมความลับอะไรที่มีคนให้ความสำคัญขนาดนี้ได้?

 

เขาสั่งให้มือปราบที่เหลือปลดเชือกนำศพหญิงงามลงมา ใช้ผ้าฝ้ายสีขาวห่อเอาไว้แล้วส่งไปที่ห้องพักศพของที่ว่าการอำเภอ อู่จั้วจะชันสูตรศพอย่างละเอียดอีกขั้นหนึ่ง ส่วนการจับกุมชายฉกรรจ์ร่างสูงนั่น จ้าวเฟิ่งเห็นว่าควรจะเรียกคนไปเพิ่มหน่อยถึงจะเหมาะสม

 

คดีเช่นนี้ไม่ทางปกปิดได้แน่ การรายงานไปที่หน่วยตรวจสอบการลงทัณฑ์เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จ้าวเฟิงนึกภาพออกเลยว่าท่านนายอำเภอจะโมโหเดือดดาลสักแค่ไหน

 

เพราะสามชาติไม่บำเพ็ญเพียรสร้างกุศลถึงได้มาเป็นนายอำเภอที่เมืองหลวง แม้ว่าตำแหน่งนายอำเภอที่นี่จะมีลำดับขั้นสูงกว่าข้าหลวงประจำเมืองแห่งอื่น แต่ว่าในเมืองหลวงที่มีผู้สูงศักดิ์เดินกันเกลื่อนกลาด เชื้อพระวงศ์มากมายดุจเส้นขน ท่านนายอำเภอของเขาต้องทำหน้าที่อย่างขมขื่นหาใดเปรียบ

 

ก่อนหน้านี้มีคดีที่ผู้ตรวจการเมืองหลวงประสบเหตุอันธพาลเข่นฆ่ากันกลางถนน แล้วตามด้วยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญถึงเพียงนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวง จ้าวเฟิ่งอดปาดเหงื่อแทนเบื้องบนของตนไม่ได้

 

เถี่ยซินหยวนก็เดินในสภาพเหงื่อไหลโทรมกาย แม้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อานุภาพของอากาศร้อนอบอ้าวช่างน่ากลัวจริงๆ อีกทั้งเขายังเรียนหนังสือมาตลอดเช้าจนปากคอแห้งผากนานแล้ว เวลานี้จึงคิดเพียงว่าจะรีบเข้าไปในคฤหาสน์ร้างนั่นโดยเร็ว แล้วกรอกน้ำเย็นๆ เข้าปากให้เต็มท้อง

 

เจ้าจิ้งจอกผลุบหายเข้าไปในสวนรกร้าง กระโดดโลดเต้นอยู่ในพงหญ้า จนกระทั่งมันสนุกพอและเดินกลับออกมา ก็มีต้นชางเอ่อร์[4]ติดตามขนเต็มไปหมด

 

เถี่ยซินหยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะนั่งยองๆ ช่วยเจ้าจิ้งจอกทำความสะอาดดึงผลชางเอ่อร์ออกไป ปกติหน้าที่นี้เป็นของพวกสุ่ยจูเอ๋อร์

 

การดึงผลชางเอ่อร์เป็นเรื่องยุ่งยากไม่ใช่น้อย เถี่ยซินหยวนใช้เวลานานครึ่งก้านธูปถึงจะทำให้เจ้าจิ้งจอกกลับมาเนื้อตัวสะอาดเหมือนเดิมได้

 

เมื่อเนื้อตัวเจ้าจิ้งจอกสะอาดเอี่ยมแล้ว เถี่ยซินหยวนก็เตรียมพามันกลับบ้าน

 

แต่แล้วก็มีชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังเถี่ยซินหยวน พร้อมเอ่ยถามว่า “มาแล้ว จะรีบกลับไปไหน? เจ้าไม่อยากเจอสหายสักหน่อยหรือ?”

 

เถี่ยซินหยวนสะดุ้งตกใจจนลงไปนั่งกับพื้น ยังไม่ทันเอ่ยปาก น้ำตาก็ไหลพรากออกมาแล้ว

 

ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาหิ้วคอเสื้อด้านหลังของเขา จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เข้าไปในตัวคฤหาสน์ร้าง ส่วนเจ้าจิ้งจอกโชคดีมุดเข้าพงหญ้าไปก่อน

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่โดนมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา พอเห็นเถี่ยซินหยวนโดนจับตัวมาด้วย สีหน้าที่ซีดเซียวก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความสิ้นหวังในทันใด

 

“หน้าไม้วิเศษของต้าเซี่ยสุดท้ายถูกพวกเจ้าส่งให้ฮ่องเต้เลอะเลือนของต้าซ่ง ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าสมควรต้องรับโทษ ตอนนี้ข้าขอถามแค่ประโยคเดียว พวกเจ้ามีภาพคัดลอกเอาไว้หรือไม่!”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากพูด เถี่ยซินหยวนก็ชิงตอบตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งว่า “ภาพเก่าๆ พวกนั้นมีรอยขาดเยอะแยะ ถ้าหากท่านต้องการ ตอนนี้ข้าวาดให้ใหม่ก็ได้”

 

เรื่องนี้ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่รู้สึกประหลาดใจมากทีเดียว เขายิ้มแล้วถามว่า “จริงรึ?”

 

เถี่ยซินหยวนชี้ห่อผ้าที่ตนแบกไปเรียนหนังสือแล้วกล่าวว่า “ในนั้นมีพู่กันกับหมึก ข้าจะวาดให้ท่านเดี๋ยวนี้ แต่ยังมีขั้นตอนกับรายละเอียดบางอย่างที่ต้องให้เขาช่วย”

 

ชายฉกรรจ์ตวัดเท้าครั้งหนึ่งก็เตะห่อผ้ามาให้เถี่ยซินหยวน จากนั้นก็แก้เชือกที่มัดร่างของเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำกดดันว่า “ถ้าหากพวกเจ้าวาดออกมาได้จริง ข้าก็จะไม่เอาชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้าแล้ว”

 

เถี่ยซินหยวนรีบเงยหน้าตอบว่า “ข้าจะต้องวาดได้แน่ วาดได้แน่ๆ ขอร้องท่านอย่าฆ่าพวกเราเลยนะ”

 

ชายฉกรรจ์หัวเราะแล้วตอบว่า “ข้าต้องการภาพวาด ไม่เอาชีวิตคน แต่ถ้าหากเจ้าวาดมั่วซั่ว ข้าก็คงต้องหักคอเจ้าแล้ว”

 

ขณะที่กล่าววาจา ก็หักไม้ท่อนใหญ่ประมาณข้อมือเป็นสองส่วนอย่างสบายๆ

 

เถี่ยซินหยวนตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดลัว เขารีบแก้ห่อผ้าหยิบพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกออกมาทันที แล้วยกกาน้ำชาที่อยู่ข้างกายรินน้ำใส่แท่นฝนหมึกเล็กน้อย จากนั้นเปิดฝาออกดูเห็นว่าข้างในยังมีน้ำอยู่มาก ก็เช็ดคราบฝุ่นตรงปากกาน้ำชาพอสะอาด ก่อนจะแหงนหน้าดื่มน้ำสะอาดในนั้นอย่างเต็มที่

 

หลังจากดื่มน้ำเสร็จแล้ว เขายังเชิญชายฉกรรจ์ผู้นั้นดื่มอย่างสุภาพมีมารยา

 

ชายฉกรรจ์วางกาน้ำชาลงบนโต๊ะข้างกายตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงเพื่อรอเถี่ยซินหยวนวาดภาพร่างหน้าไม้

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์มองหน้าเถี่ยซินหยวน แล้วหันมองดูพี่น้องที่โดนมัดรวมกันเป็นกลุ่มเอาไว้ เขากัดฟันเอ่ยกับเถี่ยซินหยวนว่า “ไม่มีทางรอดแล้ว”

 

เถี่ยซินหยวนลดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยว่า “ลองดูก่อนสิ”

 

----------------------------

 

[1] พานอัน(潘安)หนึ่งในสี่สุดยอดชายงามในประวัติศาสตร์จีน เป็นที่กล่าวขานว่ามีรูปโฉมหล่อเหลางดงามเป็นที่สุด เขาเป็นนักปราชญ์และกวีที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก(西晋)เวลาออกไปข้างนอกจะมีผู้หญิงทุกวัยเข้ามารุมล้อม รวมไปถึงโยนผลไม้ใส่เขาด้วย นอกจากนี้ในภาษาจีนยังมีคำเปรียบเปรยที่ว่า รูปโฉมราวพานอัน(貌似潘安)หมายถึง เป็นผู้ชายที่มีหน้าตาหล่อเอามากๆ

[2] เว่ยเจี้ย(卫玠) หนึ่งในสี่สุดยอดชายงามในประวัติศาสตร์จีน เกิดในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตกเช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มที่มีผิวพรรณขาวผุดผ่องราวรูปสลักจากหยก เวลาออกไปไหนก็มีแต่คนเข้ารุมล้อม แต่พอโดนผู้คนรุมเบียดเสียดเพราะอยากใกล้ชิดนานวันเข้า เว่ยเจี้ยที่มีสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กก็ล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด

[3] หลิวหย่ง(柳永)นักประพันธ์บทกวีประเภทฉือ (词)ผู้โด่งดังในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ

[4] ชางเอ่อร์(苍耳)ชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง ส่วนผลถูกเรียกว่าชางเอ่อร์จื่อ(苍耳子)มีสรรพคุณ ขับลมเย็น แก้ปวด ทำให้จมูกโล่ง รักษาอาการคัน ลมพิษ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด