บทที่ 36 หมัดตระกูลเย่ของเย่เจียเฉวียน
บทที่ 36 หมัดตระกูลเย่ของเย่เจียเฉวียน
ไพ่โป๊กเกอร์ ‘สามโพแดง’ ใบนั้นทำให้ทุกคนตะลึงจนลืมหายใจ แต่ความสงสัยกลับเพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ทำไมซีซือถึงได้ยินดีใช้ไพ่โป๊กเกอร์นรกอันล้ำค่าทั้งสองใบไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพื่อ ‘รังแก’ ถู่ต้าเฮย?
จากความสามารถของซีซือแล้วเขาสามารถสร้างโล่พิทักษ์วิญญาณไว้ที่กายของถู่ต้าเฮยชั้นหนึ่งได้แน่นอน ปกป้อง
เขาไม่ให้ได้รับบาดเจ็บอันตรายใดๆ แต่ว่าทำไมซีซือถึงยินดีเสียไพ่โป๊กเกอร์นรก เพื่อให้ถู่ต้าเฮยได้รับความทรมาน? ถ้าใช้ ‘แปดโพแดง’ ใบแรกเพื่อให้เกมสามารถดำเนินต่อไปได้ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ‘สามโพแดง’ ใบที่สองดูเหมือนว่าจะเพื่อทารุณถู่ต้าเฮยเพียงอย่างเดียว
หรือว่าซีซือกับถู่ต้าเฮยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน สิ่งที่เรียกว่าเกมนี้ก็แค่เพื่อแก้แค้นและรังแกเท่านั้น?
ณ ที่นั่ง หลิงฉุนพลันคิดอะไรได้ขึ้นมา นัยต์ตาส่องประกายสีสันวาบราวกับนึกอะไรออก
“ไม่ใช่ การแก้แค้นและการรังแกไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ซีซือสนุกสนาน มีแค่เกมและของเล่นที่น่าสนใจเท่านั้นที่ทำให้ซีซือมีความสุข บางทีฉันอาจจะคิดผิดมาตั้งแต่แรก เป็นไปได้มากว่าซีซือไม่ได้อยากจะ ‘ทำลาย’ สือเสี่ยวไป๋ เขาเพียงแค่กำลัง ‘บ่ม’ ผลไม้สีเขียวให้สุกเร็วขึ้น ให้ของเล่นชิ้นโปรดเติบโตเร็วขึ้นอีกนิด แบบนั้นแล้วถึงจะได้ลิ้มรสเกมที่สนุกยิ่งขึ้น เขามองเห็น ‘ความสนุก’ ตัวใหญ่บนตัวของสือเสี่ยวไป๋ ดังนั้นเขาจึงจะขุด ‘ความสนุก’ นั้นออกมาด้วยตัวเอง!”
ดวงตาของหลิงฉุนเป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วคิ้วก็ขมวดน้อยๆ อย่างรวดเร็ว
“ถ้าหากจุดประสงค์ของซีซือคือใช้วิธี ‘รังแก’ เพื่อให้สือเสี่ยวไป๋เติบโตเร็วยิ่งขึ้น เช่นนั้นเขาคิดว่า สือเสี่ยวไป๋มีโอกาสที่จะ”สำเร็จหลังล้มเหลว“แต่ต่อให้สือเสี่ยวไป๋เป็นอัจฉริยะในการฝึกพลังวิญญาณ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะพัฒนาถึงขั้น ‘ฝึกจนเชี่ยวชาญ’ ภายใน ‘การพังทลาย’ เจ็ดสิบสองครั้ง แต่เขากลับยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ หรือว่าเขาเห็นความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จบนตัวของสือเสี่ยวไป๋?”
“หรือว่า เขาค้นพบความลับอะไรบนตัวสือเสี่ยวไป๋แล้ว? และความลับนั้นทำให้เป็นไปได้ว่าสือเสี่ยวไป๋จะสำเร็จหลังล้มเหลว?”
หลิงฉุนรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเอื้อมถึงความจริงเข้าไปทุกที แต่ขาดข้อมูลสำคัญไปอย่างหนึ่ง ข้อมูลนั้นซ่อนอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้ เพียงแค่มีข้อมูลนั้น เขาก็จะสามารถรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของการกระทำแปลกประหลาดทั้งหมดนี้ของซีซือ
“เจ้าทึ่มเย่ ใช้พลังทั้งหมดออกหมัดตระกูลเย่ อย่าลืมเว้นระยะห่างด้วย”
เมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว หลิงฉุนก็ได้หยุดเย่เจียเฉวียนที่กำลังเดินไปยังเวที และพูดประโยคนี้ออกมา
“ห๊า?”
แววตาเย่เจียเฉวียนฉายแววงุนงงวูบหนึ่ง หลังจากสบกับดวงตาอันแน่วแน่ของหลิงฉุนไม่กี่วิ ก็พยักหน้ารับว่า “ข้า จะเชื่อนาย”
......
ภายใต้การเยียวยาของ ‘สามโพแดง’ อาการบาดเจ็บตามร่างกายของสือเสี่ยวไป๋ก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขายืนขึ้นดวงตาฉายแววสับสนวูบหนึ่ง หลังจากโล่พิทักษ์ถูกทำลายติดต่อกันถึงสามครั้ง สือเสี่ยวไป๋ก็ค้นพบว่าโล่พิทักษ์ที่ตัวเองกางขึ้นมีบางอย่างผิดปกติ ทุกครั้งที่ใช้พลังวิญญาณเขาจะรู้สึกติดขัดอย่างประหลาด
ถ้าหากเปรียบท่อพลังวิญญาณเป็นท่อน้ำไหลสายหนึ่ง ความรู้สึกติดขัดนั้นก็เหมือนน้ำที่ไหลไปถึงปลายทางท่อแต่ดันมีเศษหินอุดรูไว้ จึงได้แต่เบียดออกมาตามช่องว่างอย่างไรอย่างนั้น
“นี่คือการควบคุมพลังวิญญาณที่อาจารย์โรคจิตนั่นพูดถึง?”
สือเสี่ยวไป๋กำหมัดแน่น ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่รู้ตัว “นี่คือความรู้สึกของพลังที่แท้จริงนี่เอง!”
เย่เจียเฉวียนที่กำลังเดินอยู่ด้านล่างเวทีได้เห็นใบหน้าสือเสี่ยวไป๋ที่ยิ้มแย้มอยู่บนเวทีก็อึ้งไป ผุดรอยยิ้มจริงใจอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน
ต้าเฮย เหมือนว่าจะไม่เสียใจสักนิดเลยนะ ดีจังเลย
ใจเย่เจียเฉวียนคิดเช่นนี้ เกาหัวเล็กน้อยกล่าวว่า “หลิงฉุนไม่ให้ข้าออมมือ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขาอยากจะทำอะไร แต่ข้ารู้ว่า หลิงฉุนเป็นผู้ที่ถูกต้องเสมอมา เพราะฉะนั้น ข้าจะทำอย่างที่เขาบอก”
“แต่ว่าข้าจะไม่ทำร้ายนาย เจ้ากางโล่พิทักษ์วิญญาณห่างจากตัวซักหน่อย ถึงแม้ว่าโล่พิทักษ์ยิ่งใกล้ตัวความแข็งแกร่งก็จะยิ่งมาก แต่ถ้าพูดถึงประสิทธิภาพการป้องกันไม่ใช่ว่าจะดีที่สุด สปิริตแอทแทคและสปิริตบอมบ์มีสมรรถนะการทะลุทะลวงที่แน่นอน ข้าคิดว่าระยะห่างจากโล่พิทักษ์ที่ดีที่สุดคือให้อยู่นอกแรงสะท้อน”
สือเสี่ยวไป๋ฟังอย่างงงงัน ถามไปโดยอัตโนมัติว่า “สปิริตแอทแทคกับสปิริตบอมบ์คืออะไร?”
“ห๊า?”
เย่เจียเฉวียนอึ้งไป เกาหัวอีกครั้ง พลางอธิบายอย่างอดทนว่า “การต่อสู้ด้วยพลังวิญญาณส่วนใหญ่แล้วมีพื้นฐานห้าอย่างประกอบรวมกัน ทักษะห้าอย่างนี้แบ่งเป็น สปิริตแอทแทค สปิริตบอมบ์ สปิริตเวฟ สปิริตรีป และ สปิริตเบรค”
สือเสี่ยวไป๋นึกถึงแสงสีขาวเล็กแหลมที่ได้ทะลวงโล่พิทักษ์เข้ามาของซ่งหนาน และ ดอกไม้ไฟสีขาวที่กระจายออกมาตอนที่ฮวาเผิงเข้าจู่โจมเข้าที่ไหล่เขา ก็เข้าใจความหมายของสปิริตเบรคและสปิริตบอมบ์ขึ้นมานิดหน่อย
ขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีคนบนที่นั่งกล่าวขึ้นว่า “พวกนายสองคนกำลังรำลึกความหลังกันอยู่หรือไง? รู้ไหมว่ามีคนอีกมากรอพวกนายอยู่?”
สือเสี่ยวไป๋หันไปมอง ที่แท้ก็เป็นวัยรุ่นย้อมผมคนนั้น เจ้าหนุ่มคนนี้ยังคอยตามติดตามเป็นวิญญาณไม่ห่างไปซะที
“มาเถอะ เจ้ากระทิงยักษ์ผู้สามารถสั่นสะท้านกำแพงเหล็ก ให้ราชาเช่นข้าได้เห็นหมัดของเจ้า!”
สือเสี่ยวไป๋ยื่นมือขวาออกมา กางโล่พิทักษ์ที่ด้านหน้าห่างจากตัวเองประมานหนึ่งเมตร โล่พิทักษ์นั้นยังคงอ่อนแอและโปร่งใส
“อื้อ!”
เย่เจียเฉวียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น งอตัวเล็กน้อย กุมหมัดทั้งสองที่หน้าอก ร่างกายมีรัศความดุดันขึ้นมาทันที ท่าทางซื่อๆ ได้หายไปแล้ว ในดวงตาหรี่เล็กโชติช่วงด้วยเปลวไฟอันเร่าร้อน
“ทักษะการโจมตีที่ข้าใช้คือวิชาหมัดลับเฉพาะของตระกูลเย่ เย่เจียเฉวียน!”
ตระกูลเย่มีหมัดเย่เจียเฉวียน ตระกูลเย่มีผู้สืบทอดนามว่า เย่เจียเฉวียน
“ย่าห์!”
เมื่อเสียง ย่าห์ ดังขึ้น เย่เจียเฉวียนก็ปล่อยหมัด!
หมัดนี้ ราวกับรวบรวมความรุ่งโรจน์ของทั้งตระกูลมาไว้ด้วยกัน!
รูม่านตาของสือเสี่ยวไป๋หดลงเล็กน้อย หมัดนี้ราวกับได้ผสมผสานหมัดด้านหลังห้องเหล็กในความทรงจำ จำนวนหลายสิบหมัดนั้นเข้าไว้ด้วยกัน แสงสีขาวที่ปลายหมัดนั้น เหมือนกับระลอกคลื่นกระเพื่อมซัดเข้ามา ความรู้สึกของพลังที่โหมซัดสาด ทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่ ในที่สุดความเร้นลับของหมัดเย่เจียเฉวียนเหมือนจะเผยยอดภูเขาน้ำแข็งออกมาในเวลานี้เอง
“ข้า เข้าใจแล้ว!”
ในที่สุดครั้งนี้สือเสี่ยวไป๋ก็เห็นรูปร่างที่แท้จริงของแสงสีขาวนั่นแล้ว พลังวิญญาณนั่นกำลังหมุนวน! ไม่สิ ไม่เพียงแต่หมุนธรรมดา พลังวิญญาณนั่นยังหมุนวนคล้ายเกลียวอย่างมีแบบแผน!
หมัดของเย่เจียเฉวียนหยุดห่างจากโล่พิทักษ์ราวๆ หนึ่งเมตร แต่เกลียวแสงสีขาวเรืองรองกลับทะลุออกมา ชนเข้ากับโล่พิทักษ์สีขาวทรุดโทรมเปราะบาง ทันใดนั้นโล่พิทักษ์ก็แตกละเอียด แรงลมระลอกหนึ่งได้พัดผ่านเสื้อผ้าหน้าผมของสือเสี่ยวไป๋ไปอย่างรุนแรง
หมัดนี้ของเย่เจียเฉวียนได้ใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่หมัดของเขาหยุดห่างจากโล่พิทักษ์หนึ่งเมตร สิ่งที่ตีเข้ากับโล่พิทักษ์มีเพียงอานุภาพของหมัดเย่เจียเฉวียน
โล่พิทักษ์แตกละเอียด แต่สือเสี่ยวไป๋ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ กลับมีท่าทีเหมือนบรรลุบางสิ่งอย่างประหลาด
หมัดเมื่อครู่นี้ได้ฉายภาพซ้ำๆ อยู่ในหัวของเขา เกลียวแสงสีขาวเรืองรอง และพลังวิญญาณลักษณะเหมือนระลอกคลื่น เหมือนว่าได้พูดอะไรบางอย่างอยู่ในหัวของเขา
“ฮู่ว!”
สือเสี่ยวไป๋สูดลมหายใจเข้า ยื่นมือขวาออกมา เขากางโล่พิทักษ์สีขาวทรุดโทรมเปราะบางข้างหน้าเขาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง โล่พิทักษ์ทรุดโทรมเปราะบางนั่นได้ปรากฏระลอกคลื่นเล็กๆ มากมาย ราวกับผิวน้ำที่เกิดรอยกระเพื่อมกระจายเป็นวงกลม
ฉับพลันคนที่นั่งอยู่ก็ได้ตะโกนอย่างตกใจ
“โล่พิทักษ์ระลอกคลื่น!?”
“เป็นไปได้ยังไงกัน นี่มันทักษะป้องกันพลังวิญญาณระดับ E ไม่ใช่หรอ? การควบคุมพลังวิญญาณเพิ่งจะถึงขั้น ‘ควบคุมเบื้องต้น’ ทำไมถึงสามารถใช้โล่พิทักษ์ระลอกคลื่น ได้ล่ะ?
“เจ้า เจ้าตะพาบน้ำนี่ทำได้ยังไง?”
“...”
โล่พิทักษ์สีขาวอันนั้นยังคงบางจนเกือบจะโปร่งใส ทรุดโทรมเปราะบางอยู่เหมือนเดิม แต่ระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่านั้นกลับทำให้เห็นว่านี่คือ ‘โล่พิทักษ์ระลอกคลื่น’ และจัดเป็นทักษะป้องกันพลังวิญญาณระดับ E ทว่าเทคนิคการโจมตี ทักษะป้องกันและวิชากายอยู่เหนือระดับ F แล้ว อย่างน้อยต้องใช้ทักษะควบคุมพลังวิญญาณในขั้น ‘ชำนาญจนเกิดการพลิกแพลง’ ถึงจะได้ แต่มองดูจากความหนาแน่นและความสมบูรณ์ของโล่พิทักษ์นั่นแล้ว เห็นได้ชัดว่าสือเสี่ยวไป๋เพิ่งจะเหยียบเข้าสู่ ‘การควบคุมเบื้องต้น’ เท่านั้น เรื่องนี้มันยังไงกันแน่?
ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ แม้แต่ซีซือก็ตกอยู่ในภาวะขบคิดเช่นกัน
สือเสี่ยวไป๋จ้องมองระลอกคลื่นที่กระเพื่อมบนโล่ไม่หยุดนั้น พลันดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ มุมปากแย้มรอยยิ้ม
“นี่ก็คือพลังสินะ!”
สือเสี่ยวไป๋คิดเช่นนี้ รู้สึกความกระหายอยากในใจก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หันหน้าไปพบว่าซีซือกำลังเหม่อลอย จึงรีบตะโกนเร่ง “รีบเรียกคนต่อไปเร็วเข้า ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”