บทที่ 34 ความแตกต่างระหว่างชีวิตจริงกับความฝัน
บทที่ 34 ความแตกต่างระหว่างชีวิตจริงกับความฝัน
หวังโหรวฮวาจ้องมองเงินทองของล้ำค่าตรงหน้าราวกับคนโง่งม ส่วนเถี่ยซินหยวนหลังจากหยิบทองก้อนหนึ่งขึ้นมาดูแล้ว ก็หงุดหงิดจนนึกอยากด่ามารดาใครสักคนเสียจริงๆ
พระราชทานทองคำก็เพียงพอแล้ว บนก้อนทองยังประทับตราเจ้าจิ้งจอกไปเพื่ออะไร?
ตราประทับเช่นนี้เป็นภาพร่างจากหน่วยงานของทางการ หรือกล่าวได้ว่าบ้านตระกูลเถี่ยจะใช้จ่ายทองแต่ละก้อน ก็ต้องพาเจ้าจิ้งจอกไปพบทางการพร้อมอธิบายให้ชัดเจน หลังจากถามความเห็นของมันแล้วถึงจะนำทองไปแลกเป็นเงินก้อนหรือเหรียญทองแดงได้
ส่วนอัญมณีพวกนั้นสามารถนำมาห้อยคอเจ้าจิ้งจอกเล่นๆ ได้ แต่ถ้าหากคนในบ้านนำไปใช้เท่ากับขัดพระบัญชา
สมาชิกที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในบ้านหลังนี้ก็คือเจ้าจิ้งจอก
สัตว์หน้าขนอย่างจิ้งจอกตัวนี้ยังได้ชื่อเป็นถึงแม่ทัพเจิ้นอู่ ทำให้บ้านตระกูลเถี่ยกลายเป็นสามัญชนชั้นหนึ่งในเมืองหลวงไปอย่างรวดเร็ว หากทำตามพระดำริของฮ่องเต้ทุกประการแล้ว ตระกูลเถี่ยสมควรจัดหาบ่าวไพร่มาปรนนิบัติมันด้วยถึงจะถูกต้อง
เคราะห์ดีที่เปาเจิ่งเอ่ยทัดทานในท้องพระโรง เขาเห็นว่าถ้าหากฮ่องเต้ให้ค่าเดรัจฉานดูแคลนมนุษย์ ภายหน้าคงมีผู้ทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
หวังเจี้ยนเพิ่งออกจากบ้านตระกูลเถี่ยไปไม่นาน เถี่ยซินหยวนก็คว้าตัวเจ้าจิ้งจอกเอาไว้ แล้วถอดเครื่องประดับทั้งหลายออกจากตัวมันจนหมด สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งบนหัวสวมหมวกประดับมุก ลำตัวสวมเสื้อไข่มุกดูคล้ายเป็นตัวอะไรไปแล้ว
ฮ่องเต้ยังพระราชทานขาวัวมาหนึ่งขา เถี่ยซินหยวนไม่ได้เก็บไว้ให้เจ้าจิ้งจอก หวังโหรวฮวาตั้งใจนำเนื้อวัวไปต้มพะโล้อย่างดี ก่อนนำไปขายในร้านทังปิ่งพี่ชีจนได้ราคางามนัก
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กินเนื้อวัวไปพลางพยักหน้ารัวถี่ เขาพอใจมากที่เถี่ยซินหยวนสามารถนำภาพร่างหน้าไม้ไปแลกของจำพวกเนื้อวัวมาได้
เพื่อของสิ่งนี้แล้ว บิดามารดาของเขาต้องจบชีวิตอย่างเป็นปริศนาระหว่างเดินทางมาเมืองหลวง เพื่อของสิ่งนี้แล้ว ขาข้างหนึ่งของเขาเกือบโดนหนิวเอ้อร์ทำร้ายจนพิการ
แต่ในวันนี้ของแห่งหายนะนั่น สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเนื้อวัว เขาจะไม่เคี้ยวกินอย่างลืมตายได้หรือ?
“หากซื้อคฤหาสน์ร้างแห่งนี้ได้ก็คงดี”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่กินจนอิ่มท้องนั่งแคะฟัน พลางเอ่ยถามเถี่ยซินหยวนที่กินอิ่มจนจุกลุกไปไหนไม่ได้เช่นกัน เขาคิดว่าตอนนี้ตัวเองร่ำรวยมากทีเดียว
“ฝันไปเถอะ! เงินพวกนั้นแม้แต่สวนดอกไม้ของที่นี่ก็ซื้อไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์ร้างหลังใหญ่โตขนาดนี้ทางการไม่มีวันขายแน่”
“จะว่าไปตั้งแต่เมื่อวาน จิ้งจอกบ้านเจ้าก็นับว่าเป็นขุนนางคนหนึ่งแล้วสิ?”
“ใช่แล้ว เป็นถึงแม่ทัพเจิ้นอู่ ตามลำดับขั้นของขุนพลอยู่ในขั้นที่สิบเอ็ด แม้จะเป็นยศทหาร แต่ตำแหน่งของมันเทียบแล้วพอๆ กับบิดาของหยางไฮว๋อวี้”
“ฟังดูแล้วเหมือนเป็นขุนนางใหญ่โตมาก”
“เจ้ารู้เอาไว้แค่ว่า ต่อไปนี้มันสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบในเมืองหลวงก็พอแล้ว”
สุ่ยจูเอ๋อร์กอดเจ้าจิ้งจอกที่กำลังแทะกระดูกเอาไว้ในอ้อมแขน เอาปากเปื้อนคราบน้ำมันถูไถกับขนของจิ้งจอกไม่หยุด โดยไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นสาบที่โชยออกมาเลยสักนิด
เถี่ยซินหยวนมองเด็กๆ ที่กินอิ่มหนำสำราญด้วยความพอใจ เขายิ้มบางๆ แล้วกล่าวกับเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ว่า “ตอนนี้พวกเรามีเงินมากพอจะซื้อบ้านได้แล้ว อย่างน้อยซื้อบ้านลานสามขั้น[1]ได้ไม่มีปัญหา”
“จะอยู่ในตัวเมืองไม่ได้” เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เถี่ยซินหยวนพยักหน้าแล้วตอบว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ความสามารถของเจ้าแต่ละอย่างเป็นอันตรายกับชีวิตผู้คนทั้งนั้น หากอยู่ในเมืองหลวงต้องโดนตรวจสอบแน่”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เดิมทีเส้นทางสายนี้ก็ไม่ปล่อยให้คนดีเหลือรอดไปอยู่แล้ว วันหน้าข้าจะกลายเป็นคนเลวไปเสียเลย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เถี่ยซินหยวนไม่ได้ตอบรับคำของเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ แต่พลิกกายเล็กน้อย หันมามองอีกฝ่ายแล้วถามว่า “เจ้ามีแผนจะเรียนหนังสือหรือไม่?”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าไม่มีหัวทางนั้นหรอก แต่ในกลุ่มพี่น้องมีอยู่สามสี่คนที่ไปเรียนหนังสือกับเจ้าได้ ไม่ขอเกียรติยศความมั่งมี ขอเพียงรู้หนังสือสักหน่อยก็พอแล้ว”
เถี่ยซินหยวนลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าไปนะ ท่านแม่ใกล้จะกลับมาแล้ว”
เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า “ไปเถอะ ข้าเชื่อว่าถ้านางได้ยินว่าเจ้าตั้งใจจะไปเรียนตีเหล็ก ต้องตกใจมากแน่”
เถี่ยซินหยวนเพียงยิ้มจางๆ เมื่อตะโกนเรียกเจ้าจิ้งจอก มันก็ลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน เมื่อครู่นี้สุ่ยจูเอ๋อร์กับเด็กเล็กๆ หลายคนช่วยกันเกาเนื้อเกาตัวให้ จนมันรู้สึกสบายยิ่งนัก
การเดินย่ำเท้ากลางแสงอาทิตย์ตกดินกลับบ้าน เป็นเรื่องที่เถี่ยซินหยวนต้องทำทุกวัน เขาไม่รู้ว่าชีวิตเช่นนี้จะดำเนินไปอีกนานแค่ไหน ไม่ว่าจะเหลือเวลาอีกนานสักเท่าไร เขาก็ตั้งใจว่าจะเดินต่อไปข้างหน้า
ฉะนั้นถนนย่านการค้าในเมืองหลวงจึงมีเด็กชายคนหนึ่ง เอาสองมือไพล่หลัง เดินผิวปากอย่างรื่นรมย์ พร้อมจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะติดตามอยู่ข้างกาย เดินเตร็ดเตร่เรียกความสนใจผู้คนไปทั่ว
อาจเป็นเพราะว่าจิตใจกำลังเบิกบานจนเกินไป ทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่ามีชายรูปร่างกำยำสองคนตามหลังเขามาติดๆ ทุกวันนี้เจ้าจิ้งจอกทิ้งสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเองไปแล้ว มันไม่คิดว่าเจ้าตัวประหลาดเดินสองขาในเมืองหลวงพวกนั้นจะทำอะไรมันได้
ชายรูปร่างกำยำสองคนใช้สายตามองส่งเถี่ยซินหยวนเดินเข้าบ้านถึงหันกายจากไป พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าเด็กน้อยที่ออกมาจากรังขอทานจะอาศัยอยู่ใต้กำแพงเขตพระราชฐาน
นี่เป็นเพียงเรื่องเหนือความคาดหมาย อย่างน้อยถังจินสุ่ยก็คิดเช่นนี้
หลังจากสังหารหนิวเอ้อร์ ถังจินสุ่ยก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนอยู่ในความคาดหมายของตัวเองเลยสักเรื่อง ฉะนั้นเมื่ออันธพาลสองคนเล่าเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาก็จมอยู่ในความเงียบงัน
เวลานี้ประกาศจับคนร้ายหลบหนีที่อำเภอไคเฟิงออกมายังแปะอยู่ที่หน้าประตูเมือง เหตุการณ์ก็ผ่านไปนานสองเดือนแล้ว ทางการก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดจะติดตามจับกุมเขา เงินรางวัลนำจับก็เพิ่มจากห้าพวงเป็นสิบพวงแล้ว
เงินพวกนี้นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ไม่เบา สำหรับเหล่าอันธพาลที่ความเป็นอยู่ยากลำบาก เงินก้อนนี้มีค่ามากนัก สมาชิกกลุ่มถูฟูพวกนั้นรู้สึกคันไม้คันมือ เพราะอยากจับเขาไปแลกเงินรางวัลมานานแล้ว
“พี่ใหญ่ ตกลงท่านหาอะไรอยู่กันแน่? สุ่มหาสะเปะสะปะแบบนี้ เมื่อไรจะไปหาเจอเล่า? วันนี้พอโผล่ไปที่ถนน ดูเหมือนจะมีคนจำพวกเราได้แล้ว”
ถังจินสุ่ยเอาหมัดทุบศีรษะตัวเองด้วยความเจ็บใจแล้วตอบว่า “เป็นภาพวาดแผ่นหนึ่ง ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นภาพแบบไหน ข้ารู้แต่ว่าถ้าพวกเราหาไม่เจอ พวกเรากับคนทั้งบ้านจะต้องตายกันเกลี้ยงไม่เหลือสักคน”
อันธพาลคนนั้นเกาศีรษะแกรกๆ ก่อนถามอย่างแปลกใจว่า “ใครจะมาฆ่าพวกเรา?”
ถังจินสุ่ยเหลือบมองนอกหน้าต่างอย่างอกสั่นขวัญแขวน ก่อนตอบเสียงแผ่วเบาว่า “นี่น้องชาย เชื่อพี่ชายคนนี้สักครั้ง ข้าก็ไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงหรอก ที่เมืองชางโจวมีญาติผู้พี่ของข้าอยู่คนหนึ่ง พวกเรายังมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ขอเพียงอดทนผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไป พวกเราก็จะมีชีวิตรอด ถ้าหากผ่านมันไปไม่ได้ ทุกคนอยากจะเอาตัวรอดไปคงยากแล้ว”
“แล้วภาพนั่นอยู่ที่ไหน? พวกเราไปชิงมาก็สิ้นเรื่อง หลังจากเอามาได้แล้วก็รีบออกจากเมืองหลวง พี่ใหญ่ พวกเราไม่ควรจะอยู่ที่เมืองหลวงนาน ไม่ช้าก็เร็วจะทางการหรือพวกลูกน้องกลุ่มถูฟูต้องหาพวกเราเจอแน่”
เหล่าอันธพาลกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง เลือกเชื่อมั่นในตัวถังจินสุ่ย พออยู่ในเมืองหลวงมานานวันเข้า อย่างน้อยก็รู้ข้อห้ามบางอย่าง
“น่าจะอยู่ในมือเด็กขอทานพวกนั้น”
เมื่อทุกคนได้ยินว่าตัวเองต้องจัดการแค่เด็กขอทานกลุ่มหนึ่ง จิตใจก็ผ่อนคลายลงมาก มีอันธพาลคนหนึ่งกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อรู้แล้วว่าภาพนั่นอยู่ที่ไหน พวกเราลงมือกันคืนนี้เลย เด็กขอทานไม่กี่คนฆ่าให้ตายก็จบแล้ว หลังจากพวกเราจัดการเรื่องนี้สำเร็จ ก็รีบติดปีกหนีไปให้ไกล”
ได้ยินลูกน้องกล่าวเช่นนี้ ถังจินสุ่ยก็หลับตาลงอย่างเจ็บปวด หลังจากลืมตาขึ้นโดยฉับพลัน ก็คว้ามีดตัดฟืนของตัวเองฟันลงไปที่เสาต้นหนึ่ง
หลังจากมีเสียง ‘ฉับ’ ดังขึ้น เสาครึ่งต้นก็โดนมีดผ่าฟืนฟันหักลงมา มีเหรียญทองแดงกองใหญ่ไหลออกมาจากช่องว่างในเสาต้นนี้เสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
ถังจินสุ่ยชี้ที่เหรียญทองแดงบนพื้น แล้วกล่าวกับอันธพาลที่บัดนี้ดวงตาเป็นประกายวาววับว่า “พี่น้องทั้งหลายพูดถูก สะสางเรื่องนี้จบพวกเราต้องติดปีกหนีไปให้ไกล เงินพวกนี้เป็นค่าเดินทางของพวกเรา ข้านำสมบัติส่วนตัวออกมาหมดแล้ว”
อันธพาลทั้งหลายหันมาสบตากันแล้วพยักหน้า
“แต่ว่าคราวนี้พวกเราต้องจัดการให้เรียบร้อย เด็กขอทานพวกนั้นอย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว แล้วก็เจ้าเด็กที่เลี้ยงจิ้งจอกเอาไว้ด้วย ต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะนับว่าจบเรื่องได้”
“แต่บ้านเจ้าเด็กนั่นอยู่ใต้กำแพงเขตพระราชฐาน แค่เข้าใกล้เกินไป ก็จะโดนองครักษ์บนกำแพงยิงตาย พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ข้อห้ามนี้หรอกนะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็รอ!” ถังจินสุ่ยกล่าวอย่างมุ่งมั่น
เมื่อเห็นว่าลูกน้องอันธพาลทยอยเดินจากไปแล้ว ถังจินสุ่ยก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วหอบหายใจเสียยกใหญ่ ราวกับปลาดุกที่โดนปล่อยลงริมฝั่งแม่น้ำ
เขารู้สึกชิงชังการตัดสินใจเมื่อสองเดือนก่อนเหลือเกิน หากเขารู้อยู่ก่อนว่าหนิวเอ้อร์เข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากมากขนาดนี้ ต่อให้กลุ่มซวนหนีไม่ต้องการ ก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในวังวนนี้ได้
พอคิดถึงสภาพของหนิวเอ้อร์ที่โดนทวนยาวแทงทะลุอกวันนั้นแล้ว บริเวณหน้าอกเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาด้วย
ถังจินสุ่ยเดินออกมาจากห้องนั้น เขาผลักประตูกลตรงกำแพงด้านหนึ่งแล้วเดินเข้าไป หลังจากเดินพ้นแนวเส้นทางลับที่ทอดตัวยาว เขาก็มาถึงเรือนหลังเล็กๆ อีกหลังหนึ่ง
ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงตระหง่านดั่งขุนเขานั่งอยู่ในห้องอย่างองอาจผึ่งผาย บนก้อนอิฐสีดำข้างกายมีทวนเหล็กใหญ่ยักษ์ด้ามหนึ่งปักอยู่
ถังจินสุ่ยพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เหลือบมองหญิงสาวที่โดนแหวกถลกชุดจนกลายเป็นลูกแพะสีขาวอวบ ยิ่งไม่อยากเห็นภาพมือใหญ่หยาบกร้านคู่นั้นลูบไล้ไปมาบนเรือนร่างของนาง
“หาของที่ข้าต้องการเจอแล้วรึ?” ชายฉกรรจ์ผู้นี้เหลือบมองถังจินสุ่ยจากหางตาโดยสองมือยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด
ถังจินสุ่ยรีบประสานมือคารวะแล้วตอบว่า “ข้าน้อยย่อมทำตามคำสั่งท่านอย่างเต็มกำลัง ตอนนี้หาที่อยู่เด็กขอทานกลุ่มนั้นพบแล้ว แค่เพียงรอให้พวกมันอยู่กันพร้อมหน้าก็จะลงมือ แล้วส่งตัวให้ท่านโดยไม่ขาดสักคน”
เมื่อชายฉกรรจ์ตรงหน้าถังจินสุ่ยกางมือออก หญิงสาวร่างเปลือยเปล่าก็หล่นลงบนเบาะนิ่มๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ช้าไปแล้ว ภาพร่างนั่นไปอยู่ในมือฮ่องเต้แซ่จ้าวของต้าซ่งเรียบร้อยแล้ว”
ถังจินสุ่ยตกตะลึงพรึงเพริด เอ่ยปากอย่างลนลานว่า “ไม่มีทางรวดเร็วขนาดนี้แน่ พวกเราไม่เห็นว่าเจ้าเด็กขอทานกลุ่มนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับคนของทางการสักนิด”
ชายฉกรรจ์สูงใหญ่หัวเราะแล้วตอบว่า “บัดนี้ข่าวที่ว่าจิ้งจอกขาวมอบนิมิตมงคลกระจายไปทั่วเมืองหลวง ภาพร่างหน้าไม้วิเศษที่ข้าต้องการถูกเปิดเผยแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ เพราะท่านมาหาข้าช้าเกินไปต่างหาก”
ชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้นว่า “เพราะเจ้าหนีเร็วเกินไป ข้าเสียเวลาถึงสองเดือนกว่าจะหาตัวเจ้าพบ มิฉะนั้นเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ได้หรือ”
ถังจินสุ่ยถอยหลังไปอย่างหวาดหวั่น จนกระทั่งแผ่นหลังแนบกับกำแพงหมดทางถอยหนีแล้ว ถึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีมีดติดตัวอยู่เล่มหนึ่ง เขาคำรามเสียงดังแล้วชักมีดพุ่งเข้าหาชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้า
ชายฉกรรจ์นั้นหัวร่อเสียงดัง แล้วคว้าสันมีดเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ออกแรงบิดเพียงเล้กน้อย ก็แย่งมีดในมือตัดฟืนของถังจินสุ่ยมาได้
เขาโยนมีดในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า “อันธพาลอย่างเจ้ากล้าส่งมีดให้นักรบชำนาญศึกอย่างข้ารึ?”
ถังจินสุ่ยวิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้า ส่วนชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เดินตามหลังไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเขายกมือขึ้นโซ่เหล็กเส้นหนึ่งก็ดึงทวนยาวที่ปักตรึงกำแพงออกมา มองไปเห็นถังจินสุ่ยวิ่งหนีเข้าไปในเส้นทางลับ จึงคว้าโซ่ในมือขึ้นออกแรงสะบัดเล็กน้อย ทวนด้ามยาวก็พุ่งทะยานเข้าไปในนั้นราวอสรพิษร้าย
----------------------------
[1] บ้านลานสามขั้น(三进院子)หมายถึง ลักษณะบ้านซื่อเหอย่วน(四合院)ตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ เป็นเรือนพักอาศัยที่ประกอบด้วยพื้นที่การใช้สอยแตกต่างกันเป็น 3 ส่วน คล้ายสี่เหลี่ยมสามวงซ้อนกัน