ตอนที่แล้วเล่มที่ 3 บทที่ 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 3 บทที่ 7

เล่มที่ 3 บทที่ 6


  

ครึ้ม!!

คำรามเพียงหนึ่งครั้ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นปั่นป่วน เมฆดำทมิฬเริ่มก่อตัวขึ้นเหนือยอดเขา ปกคลุมจนพื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นมืดมิด สายฟ้าสีเหลืองแหวกว่ายไหลผ่านราวกับอสรพิษที่บ้าคลั่ง ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นกลายเป็นหวาดกลัว

ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่นที่เห็นภาพนี้ กระทั่งสองราชันย์ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของพวกมันล้วนสั่นเทา คอที่เคยชูตั้งอย่างสง่าผ่าเผยเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองตอนนี้ล้วนหมอบราบไปกับพื้นอย่างไม่อาจขัดขืนได้ ส่วนคณะของเจ้าสำนักที่ตีนเขานั้นอาการยิ่งหนักหนาสาหัส เพียงการปรากฎตัวของเสี่ยวเฮยก็ทำให้พวกเขาทรุดเข่าลงกับพื้นกระอักเลือดออกมาคำโตไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก

ภายในบริเวณป่าสวรรค์แห่งนี้มีเพียงสองคนที่ยังยืนอยู่ได้อย่างสบาย หนึ่งคือหยางอี้ที่อ้าปากค้างมองไปยังอสรพิษย์สีดำตัวใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือยอดเขาอย่างตกตะลึง ในใจพลันปั่นป่วน ภาพที่เห็นนี้ไม่ใช่ภาพของรอยสักที่ถูกสลักอยู่บนแขนของเขามาตลอดหรอกหรือ?

มนุษย์อีกคนที่ยังคงลอยอยู่บนฟากฟ้ามองดูเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบรรพชนของสำนักวิหารสวรรค์ เพียงแต่ตัวเขาในตอนนี้แม้จะไม่ถูกกดราบลงกับพื้นแต่ก็มีอาการไม่ต่างจากคณะของเจ้าสำนักมากนัก แถมดูแล้วอาจจะหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะภาพที่เขาเห็นนี้ได้ฝังรากลึกแห่งความหวาดกลัวต่อตัวตนอันยิ่งใหญ่ไว้ในหัวใจเขาอย่างมิอาจลืมเลือน

ผ่านการพรรณนาไปเนิ่นนานแต่หลังจากเสียงคำรามดังออกไปนั้นเพิ่งผ่านไปได้เพียง 10 ลมหายใจ เสียงคำรามของเสี่ยวเฮยนั้นมิได้แฝงแรงกดดันออกมาด้วยทว่าก็ดังก้องไปทั่วทั้งโลก

และเสียงคำรามครั้งแรกของเสี่ยวเฮยนี้เองที่ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ต้องจารึกเหตุการณ์ในวันนี้เป็นสิ่งสำคัญของโลก

โฮก! โฮก! โฮก! กี้! โฮก! ฟ่อ!

สิบลมหายใจหลังจากเสียงคำรามสั่นฟ้าสะเทือนดินของเสี่ยวเฮย กลับปรากฎเสียงคำรามที่ดังก้องโลกเช่นเดียวกันตอบรับกลับมาอีก 6 เสียง แม้เสียงพวกนั้นจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เพียงแค่เป็นเสียงคำรามเท่านั้น แต่มันกลับทำให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือน!

เสียงที่ส่งถึงกันเหล่านี้ระยะทางไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ล้วนมิได้เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะเสียงของพวกมันดังก้องไปทั่วทั้งมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใดล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้คนทั้งโลกต้องหวาดกลัว และเหล่ามหาอำนาจของโลกนี้ ทั้ง เมือง นิกาย จักรวรรดิ ทวีป ต่างเต็มไปด้วยความอลหม่าน สับสน มึนงง และวุ่นวาย ไม่มีใครทราบถึงเจตนาของตัวตนเจ้าของเสียงเหล่านั้น ในโลกแห่งนี้คงมีเพียง 2 มนุษย์และ 2 สัตว์อสูรที่รับรู้ว่านี่เป็นเพียงการทักทายของตัวตนที่อยู่เหนือโลกใบนี้

“ฮ่าๆ เจ้าแก่พวกนั้นยังอยู่ดีเหมือนกันนี่นา เจ้าหนูดูเหมือนในอนาคตเจ้าต้องพาข้าไปทักทายสหายเก่าบ้างแล้ว”

เสียงอันคุ้นเคยดังออกมาจากปากอันมหึมาของอสรพิษหกปีกที่ลอยอยู่เหนือฟากฟ้า หยางอี้นั้นจดจำได้ทันทีเมื่อได้ยิน เพราะมันคือเสียงลึกลับโบราณที่อยู่ภายในมิติพิเศษ

“ท่านคือเสี่ยวเฮย?”

“ฮี่ๆ แน่นอนข้าคือเสี่ยวเฮย ทีนี้เจ้าจะให้ความเคารพข้าบ้างแล้วกะมัง”

หยางอี้เงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมา ดูเหมือนชายหนุ่มเองก็ดูถูกงูน้อยตัวนั้นไปหน่อย

“เอาล่ะ เวลามีไม่มาก ตอนนี้คงได้เวลาสั่งสอนพวกเจ้าทั้งสองบ้างแล้ว”

เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก แน่นอนว่าหากเป็นตอนนี้ราชันย์ทั้งสองย่อมยอมมอบดวงจิตออกมาอย่างเต็มใจแน่นอน เพียงแต่หากเป็นก่อนหน้านั้นยังไงก็ไม่ยินยอมเป็นแน่แท้ ทำให้เสี่ยวเฮยต้องตัดใจเผยร่างที่แท้จริงออกมา แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ย่อมมีผลกระทบ พลังปราณที่เก็บสะสมมาหลายปีรวมกับแก่นแท้ของเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะดูดซับออกมาแทบจะหมดเกลี้ยง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ยินยอมที่จะให้เรื่องจบแค่นี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ขอระบายอารมณ์เสียหน่อยที่เจ้างูกะป๊อสองตัวนี้บีบบังคับให้เขาต้องทำถึงขนาดนี้

ส่วนสองราชันย์นั้นหรือ ตอนนี้พวกมันต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวตนเบื้องหน้านั้นเรียกได้ว่าคือผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตของเผ่าพันธุ์อสรพิษ แม้พวกมันจะหยิ่งผยองเต็มไปด้วยความภาคภูมิแล้วอย่างไร? เป็นสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไร? หรือต่อให้เป็นสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิก็ตามที ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นไร้ค่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวเฮย ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่นี้พวกมันเป็นได้เพียงมดตัวเล็กๆเท่านั้น

“ท ท่านบรรพบุรุษโปรดอภัยให้พวกข้าด้วยที่โง่เขลาล่วงเกินท่านไป”

“ขอท่านบรรพบุรุษโปรดอภัยด้วย”

“ข้าทั้งสองเต็มใจ ไม่สิ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้มอบดวงจิตให้กับท่านบรรพบุรุษ!”

สองราชันย์กล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ในใจของพวกมันเต็มไปด้วยความเสียใจกับการกระทำก่อนหน้านั้น สำหรับเผ่าพันธุ์อื่นอาจจะได้รับแรงกดดันอันหนักหน่วงแต่ก็มิได้มากมายนักเพราะเสี่ยวเฮยมิได้ปลดปล่อยมันออกไป แต่กับเผ่าพันธุ์อสรพิษนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนี่คือความจริงที่พวกมันต้องยอมรับ แม้ว่าเสี่ยวเฮยจะมิได้ทำอะไรเลยก็ตามแต่พวกมันทั้งหมดมิสามารถฝ่าฝืนกฎยกหัวขึ้นจ้องมองได้ อสรพิษทุกตัวต้องศิโรราบต่อหน้าเขาเท่านั้น!

“เฮอะ เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่อย่างไรเมื่อข้าออกมาแล้วก็ต้องยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย”

ปัง! ตูม! ตูม! ปัง!........

ผ่านไปหนึ่งก้านธูปการทุบตีของเสี่ยวเฮยก็จบลง ภาพนี้ทำให้หยางอี้และชายชราได้แต่ถอนหายใจ ราชันย์ทั้งสองที่พวกเขาหวาดกลัวมาตลอดนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวเฮยทำได้เพียงขบกรามนิ่งเฉยรับการทุบตีอย่างมิอาจขัดขืน จนบัดนี้ร่างกายอันสง่างามของพวกมันจึงได้กลายเป็นบอบช้ำอย่างน่าเกลียด

“เอาล่ะ รีบๆ มอบดวงจิตออกมาให้เจ้าหนูนั่นได้แล้ว”

เสี่ยวเฮยกล่าวออกมา ทำให้ราชันย์ทั้งสองจ้องมองไปยังหยางอี้ แม้พวกมันจะยอมสยบให้กับเสี่ยวเฮย แต่การยอมสยบให้กับเด็กมนุษย์ตัวจ้อยเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ ทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยความกังขาในตัวหยางอี้

“อะไร? หรือพวกเจ้าจะขัดขืน ฮึ่ม รีบทำตามที่ข้าบอกและยอมรับเขาจากใจจริง เมื่อเวลาผ่านไปพวกเจ้าจะได้รู้เองว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และพวกเจ้าจะเข้าใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง!”

เสี่ยวเฮยนั้นชื่นชมและมั่นใจในตัวหยางอี้เป็นอย่างมาก ด้วยการที่อยู่ใกล้ชิดและเฝ้ามองชายหนุ่มมาตลอดทำให้เขารู้ว่าสักวันหนึ่งเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดของโลก! และมีโอกาสมากกว่า 5 ส่วนที่เขาจะสามารถย่างก้าวเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น สถานที่ที่ตัวเขาเคยจากมาเมื่ออดีตอันไกลโพ้น!

ราชันย์ทั้งสองแม้จะกังขาแต่ก็มิอาจปฏิเสธคำของเสี่ยวเฮยได้ ด้วยการยินยอมร่างกายของพวกมันค่อยๆ เรืองแสงสีแดงและสีฟ้าจนปกคลุมทั่วทั้งตัวและกลายเป็นงูแสงในที่สุด ขนาดอันใหญ่โตของพวกมันค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นลูกกลมๆสีฟ้าและสีแดงที่มีลวดลายสีทองเช่นเดียวกับบนตัวของพวกมันก่อนหน้านี้

ดวงจิตของสองราชันย์ค่อยๆลอยอย่างช้าๆ มาอยู่เบื้องหน้าของหยางอี้ พร้อมกับเสี่ยวเฮยที่บัดนี้กลับมาเป็นร่างงูน้อยนอนเหี่ยวพาดอยู่บนบ่าของหยางอี้แล้ว

ภาพที่เห็นนี้ทำให้บรรพชนต้องอ้าปากค้างกลายเป็นโง่งม นี่คือการยินยอมอย่างสมัครใจต่อผู้เป็นนาย แถมดวงจิตทั้งสองนั้นยังเป็นของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ! นี่จะไม่ทำให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร แม้จะเห็นภาพทั้งหมดแต่เขาล้วนไม่ได้ยินคำพูดของพวกหยางอี้เพราะถูกปิดกั้นโดยราชันย์ทั้งสอง

บรรพชนกลายเป็นโง่งมในทันทีเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า แม้เขาจะรู้ว่าดวงจิตทั้งสองนั้นเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากพอจะทำให้เกิดสงครามไปทั่วจักรวรรดิ แต่ในสายตาเขาล้วนมิได้มีความโลภแต่อย่างไร นั่นเพราะคำเตือนของเสี่ยวเฮยได้ฟังลึกลงไปในจิตใจของเขาแล้ว บรรพชนถอนหายใจก่อนจะส่งข้อความให้พวกเจ้าสำนักถอยกลับไปเพราะเรื่องวุ่นวายได้จบลงไปแล้วก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปและกลับเข้าด่านฝึกตนอีกครั้ง

โดยมิรู้เลยว่าคำกล่าวของเขาก่อนจะจากไปนั้นได้สายไปแล้ว เพราะทันทีที่กลิ่นอายและแรงกดดันของสองราชันย์และเสี่ยวเฮยได้หายไปนั้น คณะของเจ้าสำนักที่ไม่รู้เรื่องราวและวิตกกังวลว่าสองราชันย์จะโจมตีสำนักนั้น เมื่อเห็นโอกาสที่แรงกดดันทั้งหมดหายไปจึงตัดสินใจพุ่งทะยานขึ้นมายังยอดเขาอย่างพร้อมเพรียง

และภาพการยินยอมจนกระทั่งกลายเป็นดวงจิตของสองราชันย์ที่ลอยมาอยู่หน้าหยางอี้นั้นล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งหมด และสิ่งนี้เองที่ทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสกว่าครึ่งกลับกลายเป็นเต็มไปด้วยความโลภ...

“ไอ้หนู มีคนมารีบเก็บดวงจิตเร็ว!”

เสียงเหี่ยวเฉาของเสี่ยวเฮยดังออกมาเบาๆก่อนที่จะเลื้อยลอดเข้าไปอยู่ในแขนเสื้อของหยางอี้ ส่วนชายหนุ่มเองก็ไม่รอช้าเก็บดวงจิตทั้งสองเข้าสู่มิติพิเศษทันที

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ

“หยางอี้? เจ้าหนูมาทำอะไรที่นี่”

เสียงแก่ชราดังออกมาทำให้หยางอี้หันไปมอง เมื่อเห็นชายชราหลายคนก็รีบทำความเคารพทันที ก่อนจะมองไปที่ผู้อาวุโสคนหนึ่ง

“คารวะผู้อาวุโสเหล่ยโหลว ศิษย์เพียงต้องการเข้ามาเสี่ยงโชคในป่าสวรรค์เท่านั้นและบังเอิญพลัดหลงมาที่นี่”

หยางอี้ตอบออกไปอย่างช้าๆ คำตอบนี้ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนขมวดคิ้วทันที เก็บสมุนไพร? หลงป่า? บัดซบ! คิดว่าพวกข้าโง่หรือไง

ดูเหมือนผู้อาวุโสเหล่ยโหลวจะมีลางสังหรณ์บางอย่างจึงรีบเคลื่อนตัวเข้ามายืนข้างกายหยางอี้ทันที ก่อนจะกระซิบออกมาเบาๆ

“เจ้าหนู ทุกคนเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หมดแล้ว เจ้าต้องตอบออกไปอย่างระมัดระวังมิเช่นนั้นจะเป็นช่องว่างให้คนพวกนี้เล่นงานเอาได้”

หยางอี้ได้ฟังก็เข้าใจในทันที ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆคราหนึ่งก่อนมองไปยังกลุ่มผู้อาวุโสด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ความเคารพที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที

“เด็กน้อย เจ้าเป็นเพียงศิษย์สายนอกเหตุใดจึงเข้ามาถึงเขตในได้”

เป็นเจ้าสำนักที่กล่าวถามออกมา ตัวเขานั้นแม้จะเห็นเหตุการณ์นั้น ทว่าก็ยังคงสองจิตสองใจ ตัวเขาอุทิศตนเพื่อสำนักแห่งนี้มาโดยตลอด แม้จะต้องการดวงจิตของสองราชันย์เช่นกันทว่าหากเป็นหยางอี้ที่เป็นศิษย์ของสำนักและยังดูเป็นอัจฉริยะที่มากพรสวรรค์ด้วยแล้ว การจะให้เด็กหนุ่มครอบครองต่อไปก็ไม่ได้เสียหายอะไรเช่นกัน

หยางอี้มองไปยังชายในชุดเขียวที่เอ่ยถามออกมาทันที เหล่ยโหลวที่อยู่ด้านข้างจึงกระซิบบอกว่านี่คือเจ้าสำนักแห่งนี้

“เรียนท่านเจ้าสำนัก ข้านั้นเข้ามาเก็บสมุนไพรเพื่อนำไปขายและศึกษา ทว่าจู่ๆ สัตว์อสูรก็แตกตื่นและวิ่งหนีหายออกไปหมด ข้าจึงเกิดความสงสัยและหลงคิดว่านี่เป็นโชคลาภจึงเสี่ยงที่จะเดินลึกขึ้นมาบนยอดเขา จากนั้นก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”

หยางอี้หยุดเล็กน้อยและจ้องมองไปยังปฎิกิริยาของพวกชายชราเบื้องหน้า

“อยู่ๆก็กลายเป็นว่ามีพลังบางอย่างมาปิดกั้นเส้นทางของข้าไว้ และจากนั้นข้าก็ขยับตัวไม่ได้อีกเลยทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ ต่อมาก็มีงูยักษย์สองตัวโผล่มาและสู้กันจนในที่สุดมันก็กลายเป็นแสงเล็กๆลอยเข้าไปในตัวข้า”

****ขอเปลี่ยนชื่อตัวละครนะครับ สารภาพว่าจำไม่ได้แล้วย้อนกลับไปหาไม่เจอว่าอยู่ตอนไหน T T เดี๋ยวจะกลับไปแก้ทีหลังเพื่อความไม่ล่าช้าของปัจจุบันจึงเปลี่ยนไปเลยแล้วกันนะครับเจ้าสำนักคือข่งโหลวหลิน - หนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุด ข่งยี่จาง เป็นพ่อของข่งเย่หลงและน้องชายของเจ้าสำนัก( ตำแหน่งผู้นำเขาตระกูลข่งปัจจุบัน ) *****

“ลอยเข้าไปในตัวเจ้า! เหลวไหล!”

ชายชราหน้าเหลี่ยมตวาดออกมาเสียงดัง เขาคือหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุด ข่งยี่จาง เป็นบิดาของข่งเย่หลง ข่งยี่จางเป็นคนจิตใจคับแคบ แน่นอนว่าเรื่องที่ข่งเย่หลงพ่ายแพ้ให้กับหยางอี้เขาย่อมรู้อยู่แล้ว ตัวตนของหยางอี้เดิมทีเขาคิดจะกำจัดอยู่แล้ว เพราะหากชายหนุ่มแสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมาตำแหน่งในอนาคตของข่งเย่หลงจะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน

ทว่าด้วยมีเหล่ยโหลวคอยหนุนหลังทำให้เขาไม่สามารถลงมืออย่างเปิดเผยได้ แต่เดิมนั้นเขาเองก็เต็มไปด้วยความโลภอยู่แล้วเมื่อเห็นดวงจิตคู่นั้น ทว่าเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคือหยางอี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องแย่งชิงมาให้จงได้ หรือหากไม่สามารถนำมาให้บุตรชายของเขาได้จริง ดวงจิตคู่นี้ก็ต้องเป็นของสำนัก จะให้อยู่ในมือของหยางอี้ไม่ได้เด็ดขาด

“ฮึ่ม! อาวุโสข่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทุกคนก็เห็นกันอยู่เต็มสองตาว่ามันลอยเข้าไปในตัวเจ้าหนูนี่”

เป็นความจริงที่หยางอี้ตั้งใจให้ดูเหมือนดวงจิตของสองราชันย์ลอยเข้าไปในตัวเขาเอง ทว่าแท้จริงเป็นการเปิดมิติเพื่อเก็บเข้าไป

“หากพวกท่านไม่เชื่อสามารถนำถุงมิติของข้าไปตรวจสอบได้ อย่างไรในนี้ก็ใช้แหวนไม่ได้อยู่แล้ว”

หยางอี้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา หลังจากได้รับคำเตือนตัวเขาก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เพราะมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความโลภ กระทั่งตัวเขาเองก็เช่นกัน ทว่าเขาจะไม่ใช้วิธีการที่น่ารังเกียจแน่นอน

หยางอี้นำถุงมิติระดับสูงที่มีความจุ 100 ชิ้นออกมา แน่นอนว่าภายในนั้นย่อมว่างเปล่าเพราะทุกอย่างชายหนุ่มเก็บยัดเข้ามิติพิเศษทั้งหมด คาดว่าหากเขาเก็บหญ้าบัวราตรีไว้ในถุงแล้วละก็หมาเฒ่าพวกนี้ต้องหาทางยึดไปอีกอย่างแน่นอน หลังจากตรวจดูแล้วพวกผู้อาวุโสต่างมีอาการที่แตกต่างกัน แต่ข่งยี่จางนั้นยังไม่ยอมแพ้

“ฮึ่ม อย่างไรดวงจิตทั้งสองนั้นถือเป็นของสำนักแห่งนี้ เพียงศิษย์สายนอกตัวเล็กๆเช่นเจ้าจะนำไปครอบครองได้อย่างไร จงมอบมันออกมาแล้วข้าจะตอบแทนด้วยแต้ม 20,000 แต้มเป็นอย่างไร”

ข่งยี่จางยังคงกล่าวออกมา แม้จะดูเหมือนเป็นการเจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนแต่นี่คือการข่มเหงกันชัดๆ 20,000 แต้ม ? ป้าเจ้าเถอะ ข้าขายเพียงหญ้าบัวราตรีต้นเดียวก็ได้มากกว่านั้นแล้ว หยางอี้ขมวดคิ้วเริ่มหมดความอดทนก่อนจะกล่าวออกมา

“ต้องขออภัยด้วยผู้อาวุโส ข้าไม่สามารถบังคับให้มันออกมาได้จริงๆ แล้วอีกอย่าง.... ตามกฎของสำนักแล้วของทุกสิ่งที่ได้จากการเสี่ยงโชคในป่าสวรรค์ย่อมตกเป็นของลูกศิษย์ผู้นั้นที่ได้รับโชคมิใช่หรือ?”

คำกล่าวของหยางอี้ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนต้องสะอึกไป โดยเฉพาะข่งยี่จาง แน่นอนว่าสิ่งที่หยางอี้กล่าวออกมานั้นถูกต้อง! ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น เหล่ยโหลวนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ เขาปล่อยเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ให้หยางอี้จัดการ และเขาจะคอยเพียงสนับสนุนหากมีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนเจ้าสำนักเองก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังคงนิ่งเฉย เขาเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเจ้าเด็กนี่จะจัดการอย่างไร เขามีค่ามากพอจะฝากความหวังของสำนักและครอบครองดวงจิตทั้งสองนั่นหรือไม่

“สารเลวอย่าได้มายอกย้อน เจ้ากระทั่งยังมิได้เป็นศิษย์สายในของสำนักเลยเสียด้วยซ้ำ แล้วแน่นอนว่าสิ่งอื่นๆเจ้าสามารถนำไปได้ ทว่าไม่ใช่ดวงจิตของสองราชันย์! เพราะมันคือสมบัติของสำนัก! สำนักต้องใช้จ่ายออกไปมากแค่ไหนเพราะพวกมัน เช่นนั้นเจ้ายังบอกว่าสำนักไม่มีศิษย์ครอบครองอีกหรือไม่!”

คำกล่าวของข่งยี่จางดึงความได้เปรียบกลับมาในทันที แม้แต่เหล่ยโหลวยังต้องกังวล แน่นอนว่าหากข่งยี่จางต้องการดวงจิตเองนั้นย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอนแต่หากอ้างถึงความสูญเสียของสำนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพราะสองราชันย์นี่แล้วนับว่าหยางอี้ไม่ควรค่าแก่การครอบครองอย่างแท้จริง

หยางอี้ที่เริ่มโดนกดดันเองก็เริ่มจะหมดความอดทนเช่นกัน ความจริงเป็นเสี่ยวเฮยมิใช่รึที่จัดการสองราชันย์ ไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าด้วยความโกรธเกรี้ยวของสองราชันย์เจ้าหมาแก่นี่คงจะหายไปจากโลกนี้แล้ว ใช่แล้ว รวมถึงสำนักแห่งนี้ด้วย!

เจ้าสำนักข่งโหลวหลินเองยังคงเงียบไม่พูดอะไร ทำไมเขาจะไม่รู้ความคิดของข่งยี่จางน้องชายของเขาผู้นี้ แน่นอนว่าหากสำนักเป็นผู้ครอบครองไว้เอง ด้วยฐานะของย่งยี่จางรวมกับข่งเย่หลงที่เป็นผู้สืบทอด เขาต้องหาวิธีให้ข่งเย่หลงได้ครอบครองจนได้ ทว่าข่งโหลวหลินนั้นมิได้สนใจแม้แต่น้อย สำหรับเขาขอเพียงสำนักวิหารสวรรค์เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์แล้ว จะเป็นใครก็ช่าง!

“สารเลวน้อยรีบส่งมันออกมาได้แล้วมิเช่นนั้น ข้าจะตัดสินว่าเจ้ามีความผิดฐานขโมยสมบัติของสำนัก!”

ผู้อาวุโสกำหมัดแน่นทันที แน่นอนว่าตัวเขาเป็นผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักสามารถจัดการเรื่องของสำนักได้ ทว่าข่งยี่จางคือผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ควบคุมศาลพิพากษ์ของสำนัก หากเรื่องไปถึงขั้นเปิดศาลแล้วละก็เกรงว่าหยางอี้จะรอดยากเพราะคนส่วนใหญ่ล้วนสนับสนุนตระกูลข่ง

หยางอี้เองเมื่อโดนกดดันมากๆเข้าก็เริ่มหมดความอดทนแล้ว เสี่ยวเฮยที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นหัวเสียอย่างมาก ได้แต่บ่นอู้อี้ว่าหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้จะเป่าพวกสวะนี่ให้หายไปให้หมด ส่วนเจ้านั่นก็ไร้ประโยชน์เสียจริง เขาอุตส่าห์ยอมให้เห็นได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆแล้วดันกลับไปหน้าตาเฉยซะงั้น กลายเป็นว่าไม้กันหมาที่เสี่ยวเฮยสร้างไว้คุ้มกันหยางอี้กลับไม่มีแล้วในตอนนี้

“ข้านั้นเข้าสำนักแห่งนี้เพราะได้ยินว่าเป็นสำนักที่ผดุงคุณธรรม และมีความเป็นธรรมที่น่าเคารพยกย่อง มิคาดดิดว่าแท้จริงแล้วจะดำมืดเช่นนี้”

ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวหน้าซีดทันที ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักยังคงนิ่งเฉยเพราะเมื่อขึ้นเป็นเจ้าสำนักแล้วจะต้องตัดขาดกับตระกูลเพื่อไม่ให้เกิดการลำเอียงขึ้น ทว่าเจ้าสำนักรุ่นรักและทุ่มเทให้กับสำนักเป็นอย่างมาก เมื่อคำกล่าวของหยางอี้ที่พาดพิงถึงสำนักนั้นรุนแรงเกินไป ส่วนด้านข่งยี่จางเมื่อได้ยินคำของหยางอี้เขากลับไม่โกรธแต่ยิ้มร่าออกมาด้วยความยินดี

“เจ้าหนู ทำไมพูดออกไปเช่นนั้น”

ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวรีบหันกลับมาพูดกับหยางอี้ ชายหนุ่มเองก็รู้ว่าพลั้งปากไปจึงได้แต่ทำหน้ายิ้มออกไปเจื่อนๆ เจ้าสำนักข่งโหลวหลินที่ได้ยินคำของหยางอี้ก็หนวดกระตุกทันที หันมาจ้องมองหยางอี้ตาเขม็ง ทว่าเขากลับพยายามสงบใจไว้ ข่งโหลวหลินไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่ากรรมวิธีที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นการยอมรับโดยตรงของสองราชันย์มิได้มีการบังคับแต่อย่างใด มันคือการยอมสยบต่อผู้เป็นนายอย่างแท้จริง

ดังนั้นแน่นอนว่าเรื่องที่หยางอี้เล่าออกมาต้องเป็นเรื่องโกหก และที่สำคัญแม้คนอื่นจะไม่รู้แต่เขานั้นรู้อยู่แก่ใจดีว่าบรรพชนนั้นเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอด อีกทั้งยังส่งข้อความบอกให้พวกเขากลับไป นี่หมายความว่าอย่างไร? แน่นอนแล้วว่าบรรพชนย่อมเห็นการส่งมอบดวงจิตรของสองราชันย์อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าท่านบรรพชนยอมรับในตัวหยางอี้และสนับสนุนให้เขาได้เป็นผู้ครอบครองดวงจิตของสองราชันย์

ด้วยเหตุนี้ข่งโหลวหลินจึงยังไม่กล่าวอะไรแต่ปล่อยให้ข่งยี่จางเป็นคนจัดการเพื่อดูว่าเจ้าหนูนี่จะแก้ปัญหาอย่างไร หากสุดท้ายเหตุการณ์กลายเป็นรุนแรงเกินไปเขาจะเป็นผู้ออกหน้าเอง ถึงแม้ว่าข่งเย่หลงจะเป็นสายเลือดของตระกูลข่งและนับเป็นหลานชายและความหวังของตระกูลเขา ทว่าข่งโหลวหลินยังคงสมควรที่จะเป็นเจ้าสำนักอย่างแท้จริง เพราะสำหรับเขาแล้วสายเลือดมิใช่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าสำนักวิหารสวรรค์ที่ตระกูลข่งรับหน้าที่ดูแลมาตั้งแต่อดีตคือสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด!

และแน่นอนว่าในสายตาของข่งโหลวหลินตอนนี้หยางอี้นั้นเหนือกว่าข่งเย่หลงในทุกด้าน!

ข่งยี่จางแปลกใจเล็กน้อยที่ข่งโหลวหลินไม่กล่าวอะไรออกมา ส่วนเหล่ยโหลวเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่มีหรือที่ข่งยี่จางจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ ในรุ่นของเขานั้นเขาไม่มีความสามารถพอจะคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักเอาไว้ได้ และในรุ่นนี้เขาจะยอมให้ผู้อื่นมาแย่งตำแหน่งนี้ไปจากบุตรชายของเขาได้อย่างไร

“สามหาว! เป็นเพียงศิษย์อันต่ำต้อยกลับกล้าบังอาจมาว่าร้ายป้ายสีให้สำนักต้องเสื่อมเสีย! จัดการมัน!”

ข่งยี่จางคำรามออกมาพร้อมกับสั่งให้ผู้อาวุโสชุดคลุมทอง 3 คนเข้าไปจับตัวหยางอี้เอาไว้ ในสิบผู้อาวุโสชุดคลุมทองนั้นมีถึง 7 คนที่มีสัมพันธ์อันดีกับข่งยี่จาง หนึ่งด้วยตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดแล้วทำให้มีแต่คนเข้าหา อีกอย่างตำแหน่งประมุขน้อยของสำนักในตอนนี้ยังตกเป็นของบุตรชายของเขา ข่งเย่หลงอีกด้วย และความจริงก็เป็นตามที่เหล่ยโหลวคาดการณ์ไว้ ด้วยต่ำแหน่งของข่งยี่จางทำให้ใน 30 ผู้อาวุโสคลุมเงิน 15 ผู้อาวุโสคุลมทอง มีถึง 35 คนที่สนับสนุนเขา!

ครึ่ม!!

ทันทีที่ผู้อาวุโสคลุมทอง 3 คนขยับตัว เหล่ยโหลวก็ระเบิดพลังปราณออกมาทันทีเพื่อกดดันมิให้พวกเขาเข้ามาใกล้ เจ้าสำนักยังคงนิ่งเฉย ส่วนข่งยี่จางนั้นสีหน้าดำมืด เขาไม่คิดว่าเหล่ยโหลวจะกล้าขัดขวางเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าสำนัก ทว่าข่งยี่จางเมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักมิได้กล่าวอะไรจึงลำพองคิดว่าเจ้าสำนักนั้นเห็นด้วยกับเขา

“เหล่ยโหลวเจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุด ทั้งยังรั้งตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎแต่กลับขัดขวางการสั่งการของศาลพิพากษ์งั้นรึ”

“ฮึ่ม ข่งยี่จาง ถึงข้าจะขัดขวางเจ้าจริงแต่เรื่องเพียงแค่นี้เจ้ากลับสั่งให้ผู้อาวุโสระดับคลุมทอง 3 คนมาจัดการศิษย์สายนอกเพียงคนเดียวเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึไง”

ข่งยี่จางมีใบหน้าทะมึนครึ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“ดี ดี หากเป็นเช่นนั้น ด้วยอำนาจของศาลพิพากษ์ข้าขอเปิดการลงมติในครั้งนี้ ด้วยผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่ที่นี่ ให้ทำการเปิดศาลพิพากษ์คดีความผิดของเจ้าเด็กนี่ในครั้งนี้ หากท่านใดเห็นด้วยขอให้ยกมือ”

พรึ่บๆ!

ผู้อาวุโส 7 คนรวมถึงข่งยี่จางยกมือขึ้นในทันที แน่นอนอยู่แล้วว่าล้วนเป็นผู้ที่สนับสนุนตระกูลข่ง ส่วนที่เหลือนอกจากเหล่ยโหลวล้วนไม่ออกความเห็น

ข่งยี่จางยิ้มกว้างออกมาเมื่อผลเป็นเอกฉันท์ แน่นอนว่าก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคาดไว้ คลุมทอง 3 คนนั้นไม่ออกความเห็น ส่วนเจ้าสำนักยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผู้อาวุโสสูงสุดอีกคนหนึ่งเป็นคนของตระกูลเตียว ตระกูลเตียวนั้นเป็นตระกูลที่คงอยู่ในสำนักมานานมีประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับตระกูลข่ง ตระกูลเตียวนั้นเป็นกลางมาตลอดน้อยครั้งที่จะออกความเห็นออกมา ว่ากันว่าในอดีตท่านผู้ก่อตั้ง จงใจเลือกสามตระกูลนี้ขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกัน และคนของตระกูลเตียวทุกรุ่นจะเป็นกลางอยู่เสมอ

“ฮี่ๆ เช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ ในวันพรุ่งนี้จะทำการเปิดศาลพิพากษ์คดีนี้ ด้วยอำนาจของศาลข้าขอจำกัดบริเวณเจ้าเด็กนี่ให้อยู่ได้แต่ภายในเขาทดสอบจนกว่าจะสิ้นสุดการตัดสินคดี เจ้าคงไม่มีอะไรจะคัดค้านกระมังผู้อาวุโสคุมกฎ”

เหล่ยโหลวได้แต่กำหมัดแน่น หากเป็นเช่นนี้ก็ลำบากแล้ว แต่ตอนนี้เขายังคงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ทว่าช่วงเวลานั้นหยางอี้ก็พูดกับเขาขึ้นมาเบาๆ

“ผู้อาสุโสท่านอย่าได้กังวลไป ข้ามีวิธีเอาตัวรอด แต่ก่อนหน้านั้นท่านจะช่วยให้ข้าอยู่ที่นี่อีกสัก 1 ชั่วยามได้หรือไม่”

เหล่ยโหลวไม่รู้ว่าหยางอี้ต้องการอะไรแต่ก็พยักหน้าเข้าใจและกล่าวออกมา

“เช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าจะรับหน้าที่ดูแลหยางอี้เอง เมื่อถึงเวลาข้าจะเป็นคนนำเขาไปยังยอดเขาพิพากษ์เอง”

“เฮอะ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรโง่ๆแล้วกัน”

พูดจบข่งยี่จางและผู้อาวุโสคนอื่นๆก็จากไปเหลือเพียงหยางอี้ เหล่ยโหลวและเจ้าสำนัก

“ท่านเจ้าสำนัก เจ้าหนูนี่ขอเวลาอยู่ที่นี่อีก 1 ชั่วยาม ขอให้ท่านอนุญาตด้วย ข้าจะเป็นคนดูแลเขาเอง”

ข่งโหลวหลินแปลกใจเล็กน้อยทว่าก็มิได้ว่าอะไร เพราะในใจเขาวางหยางอี้เอาไว้สูงอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการดูวิธีแก้ปัญหาของเขาเท่านั้น ดังนั้นถ้าเขาต้องการเก็บเกี่ยวอีกสักเล็กน้อยก็ปล่อยเขาไป เขาเองก็คาดเดาได้ว่าภายในที่บำเพ็ญเพียรของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ ต้องมีหนึ่งหรือสองอย่างที่เป็นทรัพยากรตกค้างเหลืออยู่แน่นอน

เมื่อคนอื่นๆจากไปหมด หยางอี้จึงขอตัวลงไปในปล่องภูเขาไฟ แน่นอนว่าเหล่ยโหลวลังเลเล็กน้อย แม้จะไม่มีราชันย์แดงอยู่แล้วทว่าภายในภูเขาไฟเองก็อันตรายไม่น้อย

“เช่นนั้นเจ้าก็ระวังด้วย ข้าจะรออยู่ที่นี่ ข่งยี่จางเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่แน่ว่าเขาอาจวางแผนอะไรไว้อีก”

หยางอี้พยักหน้ารับคำก่อนจะลงไปภายในปล่องภูเขาไฟ แน่นอนว่านี่เป็นคำแนะนำของเสี่ยวเฮย สำหรับหยางอี้นั้นเมื่อตอนที่ราชันย์ทั้งสองระเบิดพลังออกมานั้น ความหวังในการเก็บเกี่ยวก็สูญสิ้นแล้ว เพราะพลังของราชันย์ทั้งสองได้บดขยี้จนสมุนไพรที่ชายหนุ่มเล็งไว้เละเทะไม่มีชิ้นดี

“ไอ้หนู พรุ่งนี้เจ้าจะทำอย่างไร ข้าเองหากไม่ได้รับแหล่งพลังงานที่เพียงพอก็ไม่สามารถปรากฏร่างเดิมได้อีกแล้ว ส่วนเจ้างูน้อยสองตัวนั้นก็ยังทำอะไรไม่ได้หากไม่ผ่านพิธีปลุกจิตเสียก่อน เพ่ย! พูดแล้วมันน่าโมโห ข้าอุตส่าห์วางแผนป้องกันไว้แล้วแต่ใครจะรู้ไอ้บรรพชนงี่เง่านั่นดันกลับเข้าการบำเพ็ญซะอย่างนั้น”

“บรรพชน? ท่านพูดถึงเรื่องอะไร”

“ก่อนหน้านี้ระหว่างการกำราบงูน้อยพวกนั้น ได้มีชายชราคนหนึ่งมาสังเกตการณ์ เพื่อเอาไว้ใช้เป็นไม้กันหมาให้กับเจ้าข้าจึงปล่อยให้เขาเห็นเหตุการณ์และข่มขู่ไปเล็กน้อย ทว่าใครจะคิดว่าพอจบเรื่องเขาจะหายไปทันที”

หยางอี้ไม่ประหลาดใจที่ไม่สามารถสัมผัสได้ หากเป็นบรรพชนของสำนักจริงควรอยู่ในระดับจักรพรรดิ นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

“ช่างเถอะ หากเข้าตาจนจริงๆข้าจะใช้ตราประทับเพื่อหนีออกไป ข้ามั่นใจว่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้อาวุโสเหล่ยโหลว ว่าแต่อะไรคือสิ่งที่ท่านบอกให้ข้าลงมาเอากันแน่”

“ฮี่ๆ เจ้าหนู เจ้ารู้ไหมอะไรที่มีค่ามากกว่าโสมเพลิงโลกันต์สมุนไพรระดับ 4 ที่เจ้าพบด้านบน”

หยางอี้กลายเป็นตกตะลึงหร้อมกับความเสียดายที่พรั่งพรู นั่นมันสมุนไพรระดับ 4 เลยนะ! ก่อนหน้านี้เสี่ยวเฮยมิได้กล่าวถึงมันทำให้หยางอี้คิดว่าเสี่ยวเฮยไม่รู้จัก ก่อนจะโวยวายออกมา

“โสมเพลิงโลกันต์? ท่านรู้จักมันด้วย? แล้วทำไมท่านไม่รีบบอกข้าว่ามันเป็นระดับ 4”

“เพ่ย! เจ้าเด็กนี่ ก็แค่สมุนไพรระดับ 4 ข้างล่างนี่ยังมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่ามันอยู่ เจ้าจะไปใส่ใจทำไมของพรรณ์นั้น”

หยางอี้ทำใจยอมรับ ก่อนที่ตาจะเป็นประกายเมื่อนึกถึงสิ่งที่มีค่ากว่าสมุนไพรระดับ 4

“มันคืออะไร”

“คราบและเกล็ดของราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ!”

ภายในภูเขาไฟที่เคยเป็นที่อยู่ของราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ หยางอี้เดินไปตามทางลาดอย่างระมัดระวัง อุณหภูมิด้านในค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆตามความลึก

ทางลาดนี้ดูเหมือนจะเป็นทางที่ราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ใช้เลื้อยผ่านขึ้นไปยังปล่องด้านบน ตามรายทางปรากฏหินแร่ภูเขาไฟมากมาย ทว่าชายหนุ่มมิได้เก็บมา แต่ใจล้วนร่ำร้องออกมาอย่างเสียดายเป็นเพราะเสี่ยวเฮยไม่อยากเสียเวลาจึงบอกให้ชายหนุ่มลงไปด้านล่าง

เมื่อลงลึกมาเรื่อยๆในที่สุดหยางอี้ก็ไม่อาจทนไหวต้องนำดวงจิตของราชันย์แดงออกมาถือไว้ โชคดีที่มีเสี่ยวเฮยคอยบอกมิเช่นนั้นหยางอี้ก็ไม่มีทางรู้แน่นอน ดวงจิตที่มองดูเหมือนก้อนหินสีแดงขลิบทองนั้นขณะที่อยู่ด้านบนกลับไม่ปรากฎพลังงานอะไรออกมาแต่เมื่อสัมผัสกับความร้อนกลับปรากฎไอพลังสีแดงจางๆหนึ่งชั้นคลุมรอบตัวของหยางอี้เอาไว้ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับยืนอยู่ด้านบนปล่องภูเขา

หยางอี้มุ่งหน้าลงมายังด้านล่างอย่างระมัดระวังแต่ก็มิได้ชักช้า ด้านล่างที่เห็นเป็นบ่อลาวาขนาดใหญ่ที่ปะทุขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา เพียงมองดูก็รู้หากตกลงไป ได้ไปเยือนนรกแน่นอน ด้านข้างบ่อลาวายังคงมีทางเดินเล็กพอให้ชายหนุ่มลัดเลาะไปได้ ไกลออกไปเป็นถ้ำขนาดใหญ่คาดว่าจะเป็นที่พำนักของราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ ตลอดทางหยางอี้พบเศษซากของคราบที่ราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ลอกทิ้งไว้อยู่หลายอันทว่าน่าเสียดายที่มันอยู่เกือบจะกลางบ่อลาวา แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่สามารถลงไปเก็บได้

หลังจากลัดเลาะมาอย่างยากลำบากในที่สุดก็มาถึง หยางอี้มองเข้าไปในถ้ำที่ส่องสว่างด้วยผนังสีแดงอย่างประหลาดใจ เสี่ยวเฮยบอกว่ามันคือคริสตัลอัคคี ดูเหมือนจะโชคดีไม่น้อยที่ในสถานที่แห่งนี้มีมันอยู่เป็นจำนวนมาก เดิมทีหยางอี้เมื่อได้ยินว่ามันมีค่าก็ต้องการโกยออกไปให้หมดทว่าเสี่ยวเฮยกลับขัดไว้เสียก่อน คริสตัลอัคคีมีค่ามากก็จริงแต่นั่นหมายถึงอันที่มีความบริสุทธิ์สูง พวกที่ส่องแสงออกมาหมองๆนั้นถึงเอาออกไปก็ไม่มีประโยชน์ หยางอี้จึงต้องผ่านไปอย่างน่าเสียดายโดยที่ไม่รู้เลยว่ามาตราฐานของเสี่ยวเฮยนั้นสูงเกินไป เรียกได้ว่าสูงลิบจนภายหลังต้องทำให้ชายหนุ่มน้ำตาตกในเลยทีเดียว

หยางอี้เดินเข้ามาจนสุดทางเดินในถ้ำ แม้จะบอกว่าเป็นทางเดิน แต่ที่จริงแล้วมันมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่พอจะให้งูยักษ์ตัวหนึ่งเข้าออกได้อย่างสบาย ด้านในสุดของถ้ำเป็นเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีบ่อน้ำพุลาวาอยู่ในสุด ส่วนบริเวณด้านข้างนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หยางอี้ต้องตาลุกวาว

ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับรอยยิ้มอันตื่นเต้นของชายหนุ่มแสดงออกมาอย่างปิดไม่มี เพราะภายในห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงเพลิงที่หลุดมาพร้อมกับคราบของราชันย์แดง อีกทั้งยังมีคริสตัลที่ส่องแสงสีแดงเข้มออกมาซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์อยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีโสมเพลิงโลกันต์อยู่ด้วย

พูดถึงโสมเพลิงโลกันต์แล้ว สมุนไพรชนิดนี้นับเป็นสมุนไพรหายากอันดับต้นๆของนักปรุงยาเลยก็ว่าได้ ด้วยคำเรียกขานตามชื่อ โสมเพลิงโลกันต์ มันคือสมุนไพรที่เกิดขึ้นจากการดูดซับเพลิงโลกันต์ และเพลิงชนิดนี้มีเพียงไม่กี่ที่ในโลกที่มันคงอยู่ตามธรรมชาติ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะในสถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของราชันย์แดงที่สืบเชื้อสายของผู้ครอบครองเพลิงโลกันต์มาจากยุคอดีตจึงทำให้ปรากกฏโสมเพลิงโลกันต์พวกนี้ขึ้นมา

“ฮ่าๆ นับว่าที่นี่เป็นคลังขุมทรัพย์ชั้นเยี่ยมจริงๆ”

“แน่นอนเจ้าหนูครั้งนี้นับว่าเจ้าดวงดีจริงๆ ฮ่าๆ”

“ใช่แล้ว ฮี่ๆ ท่านดูสิ ทั้งโสม ทังเกล็ด ทั้ง... โอ้ย!”

ระหว่างที่หยางอี้พูดออกมาพร้อมกับตื่นเต้นราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ หางน้อยๆของเสี่ยวเฮยก็ฟาดลงมายังหัวของชายหนุ่ม ทำให้เขาร้องออกมาก่อนจะหันไปมองงูน้อยบนไหล่อย่างงงๆ

“เพ่ย! ทำไมเจ้าถึงไฝ่ต่ำเช่นนี้ ข้าไม่ได้หมายถึงขยะพวกนั้น มองไปที่น้ำพุลาวานั่นสิ”

หยางอี้ได้แต่ก่นด่าในใจ ขยะบ้านท่านสิ นี่เป็นขุมสมบัติชัดๆ อีกอย่างเป็นท่านเองมิใช่เรอะที่บอกว่าเกล็ดของราชันย์แดงกับคริสตัลพวกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าน่ะ แม้จะคิดเช่นนั้นแต่หยางอี้ก็หันไปจ้องมองน้ำพุลาวาตามที่เสี่ยวเฮยบอก ก่อนจะสังเกตเห็นแสงแว่บๆ ที่สะท้อนจากแสงของพวกคริสตัลส่องออกมาเป็นระยะ แต่หากไม่สังเกตดีๆไม่มีทางจะเห็นมันได้เลย

“มันคืออะไร?”

“หากข้าเดาไม่ผิด มันคือสิ่งที่ทำให้เจ้างูน้อยเลือกสถานที่แห่งนี้ในการบำเพ็ญเพียร ผลึกเพลิงพิสุทธิ์”

“ผลึกเพลิงพิสุทธิ์? อะไรคือเพลิงพิสุทธิ์”

“มันคือเพลิงที่มีความบริสุทธิ์สูง และยังเป็นหนึ่งในเก้าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ผนึกหม้อจิตวิญญาณของเจ้าด้วยเช่นกัน”

หยางอี้กลายเป็นตกตะลึงโดยสมบูรณ์ ในใจได้แต่โห่ร้องขอบคุณสวรรค์และเหล่าเทพเซียน ที่ประทานโชคลาภให้เขาเช่นนี้ ชายหนุ่มจำได้ว่าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 ที่เสี่ยวเฮยบอกนั้นหายากเป็นอย่างมาก มีเพียงความแข็งแกร่งอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะพบเจอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือโชคและดวงล้วนๆ

ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ใครจะไปคิดว่าวันนี้หยางอี้นอกจะได้รับดวงจิตของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิถึงสองดวง ยังได้รับทรัพยากรล้ำค่าอีกมากมายรวมถึงสิ่งที่หายากยิ่งกว่าดวงจิตสัตว์อสูรระดับจักรพรรดินับร้อยเท่าอย่างเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงพิสุทธิ์มาง่ายๆเช่นนี้

“ดีใจตอนนี้ยังเร็วไปเจ้าหนู!”

เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาหลังจากเห็นหน้าตาของหยางอี้ที่ตอนนี้อ้าปากกว้างจนน้ำลายไหลออกมาด้วยความโลภแล้ว

“ทำไม? ยังมีอะไรอีกหรือ?”

“นอกจากจะโลภ ไฝ่ต่ำ แล้วยังโง่อีกนะเจ้าน่ะ เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าผลึกนั้นมันอยู่ในน้ำพุลาวา”

หยางอี้กลายเป็นอึกอักขึ้นมาหลังจากคิดได้ ผลึกนั่นอยู่ในน้ำพุลาวาจริงๆ ขนาดมองยังไม่เห็นตัวผลึกเลยด้วยซ้ำที่เห็นก็เป็นเพียงประกายแสงวาววับที่ส่องออกมา สิ่งนี้ทำให้อาการลิงโลดก่อนหน้าของชายหนุ่มกลายเป็นหดหู่ลงในทันที อย่าว่าแต่หยิบออกมาเลย การจะไปให้ถึงน้ำพุลาวาก็ยากลำบากแล้ว เพราะพื้นด้านล่างนั้นเต็มไปด้วยลาวาที่ไหลนองออกจากน้ำพุลงสู่บ่อลาวา

เสี่ยวเฮยมองไปรอบๆก่อนจะทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมา

“อืมม มีอยู่ทั้งหมด 10 เกล็ด ถือว่าเพียงพออย่างเฉียดฉิว ยังไม่ถึงกับไร้หนทางซะทีเดียว”

เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาก่อนจะหยุดไปเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ

“เจ้าจำการประลองของเจ้ากับเจ้าเด็กในเมืองบ้านเกิดเจ้าได้หรือไม่?”

“ท่านหมายถึงห่าวเฉิน?”

“เจ้านั่นล่ะมั้ง ข้าไม่ได้จำชื่อมันไว้ แต่ตอนนั้นดูเหมือนเจ้าจะฝืนใช้วิชาฝ่ามือข้ามขั้นสินะ”

“ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าฝึกสำเร็จขั้นหลอมปฐพีแต่ฝืนใช้ขั้นหลอมนภา.... ท่านหมายความว่า...”

หยางอี้พลันเข้าใจความหมายของเสี่ยวเฮยทันที แน่นอนว่าตามตำราของหัตถ์หลอมตะวันนั้นกล่าวเอาไว้ว่าหากฝึกสำเร็จถึงขั้นสุดยอดขั้นที่ 7 หรือขั้นหลอมตะวันนั้น ผู้ฝึกจะสามารถจับได้กระทั่งลาวา และตอนนี้ตัวเขาเองก็ฝึกมาถึงขั้นหลอมจันทราซึ่งเป็นขั้นที่ 6 แล้ว หากฝืนใช้หัตถ์หลอมตะวันข้ามขั้นก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสล้วงมือฝ่าลาวาเข้าไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ความเสี่ยงเองก็มีไม่น้อยแถมยังสามารถทำได้เพียงครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นชีพจรตั้งแต่ข้อศอกลงไปถึงปลายนิ้วจะได้รับความเสียหายอย่างหนักและต้องรักษาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน

“โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ แต่ข้าจะไม่บังคับเจ้า จงตัดสินใจเอาเอง ถึงแม้จะพลาดโอกาสนี้แต่ภายหน้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้พบมันอีก”

เสี่ยวเฮยเองก็ไม่ได้ต้องการจะบังคับชายหนุ่ม เขาเพียงเสนอความคิดออกมาเช่นนั้น เพราะหากทำตามวิธีการนั้นความเสี่ยงทุกอย่างจะตกอยู่ที่หยางอี้แต่เพียงผู้เดียว

สำหรับหยางอี้แล้ว ในใจพลันสับสนขึ้นมา แน่นอนว่าวิธีที่เสี่ยวเฮยบอกนั้นมีความเสี่ยงสูง ทว่านี่ก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากและเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวของเขา คนโง่แค่ไหนก็ต้องรู้ หลังจากนี้ทางสำนักต้องส่งคนมาสำรวจภายในนี้แน่นอน ที่พำนักของราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ ทางสำนักไม่ยอมปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดลอยไปแน่นอน หยางอี้เองก็ไม่รู้ว่านี่คือโอกาสที่เจ้าสำนักได้มอบให้เขาเพื่อเก็บเกี่ยวบางอย่างออกไปก่อนที่จะส่งคนมาสำรวจ และในทางกลับกันข่งโหลวหลินก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าหยางอี้มีมิติพิเศษอยู่ เขาคิดว่าจะอย่างไรชายหนุ่มก็มีเพียงถุงเก็บของขนาด 100 ชิ้น จะอย่างไรแหวนมิติก็ถูกผนึกอยู่ และข่งโหลวหลินมั่นใจว่าภายในภูเขาไฟนี้มีทรัพยากรอยู่นับไม่ถ้วนต่อให้หยางอี้เลือกไปเพียง 100 ชิ้นก็ไม่นับเป็นอะไรได้ โดยไม่รู้เลยว่าบัดนี้หลังจากตัดสินใจแล้วหยางอี้ได้ทำการเก็บทุกอย่างภายในห้องโถงแห่งนี้เข้าสู่มิติพิเศษจนหมดสิ้นไม่เหลือไว้แม้แต่ชิ้นเดียว

หน้าลานน้ำพุหยางอี้เลือก 2 เกล็ดที่มีสภาพดีที่สุดเก็บไว้ก่อนจะนำ 8 เกล็ดที่เหลือออกมาแล้วขว้างออกไปทิ้งช่วงเป็นระยะจนเกล็ดสุดท้ายไปหยุดอยู่ที่หน้าตาน้ำพุลาวา เกล็ดของราชันย์แดงนั้นมีขนาดใหญ่พอให้คนหนึ่งคนนอนบนนั้นได้สบายและแน่นอนว่ามันต้องต้านทานความร้อนได้เป็นอย่างดี หยางอี้สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะจ้องมองไปยังตาน้ำพุลาวาเบื้องหน้าแล้วกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“ข้าพร้อมแล้ว!”

แกร่กก

เสียงฝ่าเท้าของหยางอี้กระทบเข้ากับเกล็ดของราชันย์แดง ชายหนุ่มค่อยๆก้าวไปอย่างระมัดระวัง เมื่อลงมายืนบนเกล็ดแล้วรอบด้านนั้นคือพื้นที่เต็มไปด้วยลาวา หากหยางอี้ไม่ระมัดระวังให้ดีการตกลงไปไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

สองขาคอยหยั่งที่มั่นอย่างระมัดระวัง แม้จะเป็นเกล็ดของราชันย์แดง แต่หยางอี้เองก็ไม่รู้เลยว่าเกล็ดพวกนี้หลุดออกมานานแค่ไหนแล้ว ประสิทธิภาพของมันคือสิ่งที่น่ากังวลที่สุด หากใช้ในการป้องกันธาตุไฟแน่นอนว่าเกล็ดพวกนี้ย่อมต้านทานได้อย่างสมบูรณ์แต่หากนี่คือลาวา สิ่งที่หลอมละลายและกลืนกินทุกอย่างที่ตกลงไปได้ ตอนนี้หากมีสักหนึ่งเกล็ดที่เกิดพังทลายลงแล้วละก็ชีวิตของชายหนุ่มคงไม่มั่นคงอีกต่อไป

หยางอี้เดินมาได้ครึ่งทางก็หยุดลง มือข้างหนึ่งยกขึ้นปาดเหงื่อ อีกข้างหนึ่งถือดวงจิตของราชันย์แดงไว้อย่างแน่นหนา ด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์ขั้นที่สามหยางอี้สามารถเหยียบย่างอากาศเหนือลาวาเข้ามาได้ แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี เพราะความร้อนภายในนั้นสูงเกินไป หากไม่ได้เกล็ดที่ต้านทานความร้อนช่วยแล้วเป็นเรื่องยากที่จะสามารถเข้ามายืนตรงนี้ได้

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งในที่สุดหยางอี้ก็มาถึงเกล็ดที่ 8 ซึ่งหยุดลงอยู่หน้าน้ำพุลาวาพอดี ความร้อนบริเวณนี้สูงมากกว่ารอบนอกอย่างเห็นได้ชัด มองไปยังเสื้อผ้าของชายหนุ่ม ถึงแม้จะมีทั้งพลังปราณคุ้มกันทั้งการต้านทานความร้อนของดวงจิต ก็ยังไม่สามารถต้านทานความร้อนอันรุนแรงของพื้นที่นี้ได้ ควันสีดำเริ่มลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นไหม้ ทำให้ชายหนุ่มเริ่มวิตกกังวล

“เจ้าหนูทำสมาธิให้ดี เวลามีไม่มากนัก”

หยางอี้พยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะหลับตารวบรวมสมาธิ สามลมหายใจผ่านไป แววตาปรากฏเพียงความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ความกังวลก่อนหน้านี้หายไปอย่างหมดสิ้น มือซ้ายหยางอี้กำดวงจิตสีแดงจนแน่นขณะมือขวาโคจรพลังปราณตามวิถีหัตถ์หลอมตะวันขั้นที่ 6 อย่างช้าๆ

บอลแสงขาวนวลราวกับดวงจันทราค่อยๆ ปรากฎขึ้นรอบฝ่ามือของชายหนุ่ม ด้วยการใช้ออกที่มือขวาข้างเดียวทำให้หยางอี้ตั้งสมาธิได้เต็มที่ เมื่อใช้ออกด้วยหัตถ์คว้าจันทร์อย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มจึงเริ่มทำการฝืนข้ามขั้นอย่างที่เคยทำในอดีต ทว่าครั้งนี้กลับมิได้ง่ายเช่นนั้น ด้วยสภาพจิตใจของหยางอี้ในครานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและมุ่งมั่นจะเอาชนะศัตรูอย่างแรงกล้า ด้วยสิ่งนี้ทำให้จิตสำนึกทำงานโดยอัตโนมัติ ทว่าในครั้งนี้เป็นการฝืนใช้ออกด้วยความตั้งใจของชายหนุ่มเองจึงไม่ง่ายนักที่จะทำได้

ภายในร่างกายของหยางอี้ พลังปราณหมุนวนอย่างบ้าคลั่งก่อนจะไหลไปตามชีพจรเข้าสู่มืออย่างรวดเร็ว ครั้งหนึ่งไม่ได้ก็ทำครั้งที่สอง ครั้งสองไม่ได้ก็ทำอีกครั้งต่อไปเรื่อยๆ มือขวาของหยางอี้เริ่มเกิดการกระตุกขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่ามาจากความเจ็บปวด หัตถ์หลอมตะวันนั้นเป็นวิชาที่เรียบง่าย ทว่ากลับมีจุดสำคัญอยู่ที่ร่างกายและชีพจร ด้วยเคล็ดการโคจรพลังปราณภายในร่างให้หมุนวนจนเกิดเป็นความร้อนส่งผ่านออกมาภายนอก หากร่างกายและชีพจรไม่แข็งแกร่งพอ จะไม่อาจใช้ออกมาได้

ทว่าทั้งขั้นที่ 6 และ 7 นั้น ระดับความยากจะเพิ่มมากขึ้นเพราะมิใช่เพียงต้องชักนำพลังปราณภายในแต่ต้องชักนำพลังปราณธรรมชาติภายนอกด้วย จนเกิดมาเป็นดวงจันทร์ดวงน้อยที่ครอบฝ่ามือของหยางอี้อยู่ในตอนนี้

หยางอี้ส่งผ่านพลังปราณไปยังฝ่ามืออย่างไม่หยุดหย่อน ความเร็วในการหมุนวนยิ่งมายิ่งบ้าคลั่ง จนผ่านไปไม่นานด้วยความไม่ย่อท้อ ชายหนุ่มกัดฟันและทุ่มทุกอย่างฝืนกฎธรรมชาติออกไปในครั้งสุดท้าย

พรึ่บ!

ดวงจันทร์สีนวลที่ห่อหุ้มฝ่ามืออยู่พลันเปลี่ยนออกเป็นสีแดงฉานราวกับดวงตะวันที่เฉิดฉายอยู่บนฟากฟ้า หยางอี้มองไปยังฝ่ามือที่ล้อมรอบไปด้วยพลังปราณสีแดงเข้มจนมองเห็นเป็นดั่งดวงตะวันที่แท้จริงอย่างตกตะลึงระคนดีใจ ทว่าในชั่วพริบตานั้นเสียงเล็กแหลมก็ดังขึ้นอย่างร้อนรน

“เฮ้ ไอ้หนูเร็วเข้า เจ้าจะมัวเหม่อไปถึงไหน”

หยางอี้พลันได้สติขึ้นมาทันทีก่อนจะจ้องมองไปยังน้ำพุลาวาเบื้องหน้า กัดฟันแน่นเกร็งฝ่ามือก่อนจะล้วงเข้าไปในน้ำพุลาวา

กึ่ก

ไม่รอช้าฝ่ามือของชายหนุ่มทันทีที่เข้าสู่น้ำพุลาวาก็มีความรู้สึกร้อนแทรกซึมเข้ามาภายในแล้ว เมื่อสัมผัสถึงวัตถุบางอย่างก็รีบคว้าจับไว้ทันทีก่อนจะออกแรงดึงออกมา

เสี่ยวเฮยย่นคิ้วขณะมองไปยังใบหน้าเคร่งขรึมของหยางอี้

“เป็นอะไรเจ้าหนู ทำไมไม่รีบหยิบมันออกมา”

“มันดึงไม่ออกน่ะสิ”

หยางอี้ตอบกลับมาพร้อมกับออกแรงดึงสุดชีวิต ทว่าผลึกด้านในกลับแน่นหนาจนเกินคาด หยางอี้ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอนเมื่อมาถึงขั้นนี้ แม้ว่าตอนนี้ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงข้อศอกจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากผลข้างเคียงของการฝืนใช้พลังวิชาข้ามขั้น เส้นชีพจรภายในของเขานั้นเริ่มเสียหายจนแทบจะฉีกขาดแล้ว

“ไอ้หนู 10 ลมหายใจแล้ว ไม่ได้ก็ช่างรีบเอามืออกมาก่อนเร็วเข้า!”

“ไม่! อีกนิดเดียวจะได้แล้ว”

แม้เสี่ยวเฮยจะบอกให้เอามืออกมาอีกหลายครั้งทว่าหยางอี้กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย แม้จะเริ่มมีกลิ่นไหม้ลอยออกมาจากแขนชายหนุ่มก็ยังคงกัดฟันออกแรงสุดชีวิตเพื่อดึงผลึกออกมา

จนในที่สุดความพยายามก็เป็นผล มือขวาที่ดำไหม้จากการถูกเผาไหม้ก็หลุดออกมาจากน้ำพุลาวา แม้ว่าแขนขวาจะบาดเจ็บจนไร้เรี่ยวแรงแต่ชายหนุ่มยังคงฝืนกำผลึกอย่างแน่นหนาไม่ยอมปล่อย ด้วยการออกแรงดึงอย่างเต็มที่เมื่อผลึกหลุดออกมาจากใจกลางน้ำพุจึงทำให้ชายหนุ่มเสียหลักเอนตัวลงไปยังพื้นลาวา โชคดีที่เสี่ยวเฮยใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่เหลือฟาดเข้ากลางลำตัวทำให้หยางอี้กระเด็นออกไปจนพ้นเขตลาวาแล้วกลิ้งไปตามพื้นของห้องโถง

เสี่ยวเฮยกระโดดดึ๋งๆตามเกล็ดออกมาอย่างทันทีเช่นกัน ตอนนี้แรงจะบินมันเองก็ไม่มีแล้วเช่นกัน

แฮ่กๆ

หยางอี้นอนหอบหายใจก่อนจะหันไปมองยังแขนขวาที่ดำไหม้เกรียมจากการถูกเผาที่ค่อยๆคลายมืออกเองโดยที่ตัวหยางอี้เองก็ไม่มีความรู้สึกในส่วนนั้นแล้วเช่นกัน

กึก กึก กึก

ก้อนผลึกใสทรงหกเหลี่ยมค่อยๆกลิ้งออกมาช้าๆ หยางอี้มองเข้าไปภายในผลึกหกเหลี่ยมขนาดเท่ากำปั้นใหญ่ๆของคนด้วยความตื่นเต้น ภายในผลึกนั้นปรากฎเป็นเปลวไฟสีขาวบริสุทธิ์ลุกไหม้อยู่ภายใน เพียงมองดูก็ทำให้เขารู้สึกว่าเปลวเพลิงสีขาวนี้เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และราวกับว่ามันจะลุกไหม้อยู่เช่นนั้นไม่มีวันดับสูญ

“เจ้านี่จะบ้าบิ่นเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นหนึ่งในเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เถอะ หากเจ้าตายไปมันจะคุ้มกันอย่างนั้นหรือ”

เสียวเฮยมองดูหยางอี้ด้วยความเหนื่อยใจ เด็กนี่ดื้อรั้นและบ้าบิ่นเกินไปแต่นิสัยเช่นนี้ตัวเขาเองก็มิได้รังเกียจแถมชอบเสียด้วยซ้ำ เพราะอัจฉริยะทุกคนล้วนมีนิสัยเช่นนี้

หยางอี้พยุงตัวขึ้นมาก่อนจะเอายาที่กู่เทียนชางเคยให้ไว้พร้อมกับยาสมานชีพจรและกระดูกออกมาอย่างละเม็ดก่อนจะตบใส่ปาก โชคดีที่ผลจากการฝืนใช้หัตถ์หลอมตะวันทำให้แขนของเขาเสียหายจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว มิเช่นนั้นการที่แขนถูกย่างสดแบบนี้คงทำให้เขาทรมานไม่น้อย

หยางอี้นั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังปราณครู่หนึ่งก่อนจะเก็บผลึกและเสี่ยวเฮยเข้าสู่มิติพิเศษและมุ่งหน้ากลับสู่ปล่องภูเขาไปด้านบน แม้แขนขวาจะได้รับความเสียหายอย่างหนักทว่าส่วนอื่นนั้นยังคงสมบูรณ์ดี ทำให้การเดินกลับขึ้นไปไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อขึ้นมาแล้วเหล่ยโหลวที่เห็นสภาพของหยางอี้กลับเป็นตกตะลึงก่อนจะรีบพาชายหนุ่มไปรักษาในทันที แม้จะไม่ได้ถามถึงสาเหตุแต่เขาเองก็คาดเดาได้ว่าหยางอี้ต้องได้รับบางอย่างจากด้านล่างเพื่อแลกกับอาการบาดเจ็บเช่นนี้มาแน่นอน

วันรุ่งขึ้นยามเช้าตรู่ หยางอี้เดินออกมาจากที่พัก สภาพชายหนุ่มนอกจากแขนขวาที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลขึ้นมาจนถึงศอกแล้วร่างกายส่วนอื่นล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บ หลังออกจากป่าสวรรค์ชายหนุ่มต้องทนทุกข์จากอาการเจ็บปวดไม่น้อย เมื่ออาการชาหายไปบาดแผลภายนอกและภายในของแขนขวาหนักเสียจนเกือบจะใช้งานไม่ได้อีกครั้ง โชคดีที่ได้ยาจากเขาโอสถรวมกับยาระดับสูงที่กู่เทียนชางมอบให้ไว้ จึงช่วยบรรเทาอาการขึ้นมาได้ แต่กว่าจะหายเป็นปกติคงต้องใช้เวลาเกือบเดือน

ภายหน้าเรือนไม้อันดับหนึ่ง ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวและคนของเขาพิพากษ์ได้มายืนรออยู่แล้ว เหล่าศิษย์สายนอกคนอื่นๆล้วนตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของผู้อาวุโสระดับสูงเช่นนี้ ทว่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อวานนี้เป็นความลับที่รู้กันเฉพาะผู้อาวุโสระดับสูงของสำนัก สำหรับศิษย์ภายนอกที่เห็นเหตุการณ์ตอนเช้านี้ก็ได้แต่คาดเดานินทากันไปต่างๆนานา

การมาของคนจากเขาพิพากษ์นั้นช่วยไม่ได้ที่จะทำให้คนอื่นๆคิดว่าหยางอี้กระทำความผิดร้ายแรง โดยปกติแล้วหากไม่มีความผิดร้ายแรงหรือเรื่องใหญ่ระดับที่กระทบกระเทือนกับสำนักแล้ว น้อยครั้งที่เขาพิพากษ์จะเปิดการไต่สวน

เมื่อออกมาแล้วหยางอี้ก็ตามผู้อาวุโสมุ่งหน้าไปยังเขาพิพากษ์ทันที ระหว่างทางหยางอี้ไม่ลืมถามถึงสิ่งที่กังวลใจ แต่คำตอบของผู้อาวุโสเหล่ยโหลวนั้นก็ทำให้เขาเบาใจอยู่บ้าง สิ่งที่หยางอี้กังวลไม่ใช่การตัดสิน แต่เป็นเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิง หากนางทั้งสองรู้เรื่องนี้แล้วละก็ต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่นอน และหากเกิดเรื่องร้ายแรงจนหยางอี้ต้องหลบหนีออกจากสำนัก แน่นอนว่านางทั้งสองจะต้องไม่ยอมและอาละวาดเป็นแน่ ความปลอดภัยของทั้งสองที่ต้องใช้ชีวิตในสำนักต่อจากนั้นคือสิ่งที่หยางอี้เป็นห่วง

ความจริงเมื่อวานนี้หลังจากที่พาหยางอี้ไปรักษาแขนและกลับมาส่งที่เขาทดสอบแล้ว ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวแทบจะไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย ด้วยรู้อยู่แก่ใจถึงวิธีการของข่งยี่จางแล้ว เขาจึงพยายามอย่างมากในการร้องขอผู้อาวุโสคนอื่นๆเพื่อให้ช่วยลงคะแนนในการตัดสินฝั่งหยางอี้หากเกิดเหตุการณ์ต้องเปิดมติเพื่อตัดสิน

เพียงพริบตาหยางอี้ก็มาปรากฏตัวที่ยอดเขาพิพากษ์พร้อมกับผู้อาวุโสเหล่ยโหลว ยอดเขาพิพากษ์นั้นเป็นเพียงลานกว้างโล่งๆ ไม่มีสิ่งประดับประดา ใจกลางมีเพียงตำหนักหลังใหญ่หนึ่งตำหนักเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายของสถานที่แห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์

หยางอี้เดินตามผู้อาวุโสเข้าไปยังด้านในของตำหนัก ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ห้องโถงนี้คือสถานที่ใช้เพื่อตัดสินคดีความสำคัญของสำนัก หยางอี้ถูกพาไปยืนตรงกลางห้องโถงก่อนที่เหล่ยโหลวจะถอยออกมา รอบข้างชายหนุ่มเป็นพื้นยกสูงที่มีเก้าอี้วงเรียงกันรอบๆเป็นครึ่งวงกลมจนถึงหน้าประตูโถง

หยางอี้ค่อยๆกวาดตามองไปยังรอบข้าง นับได้ว่ามีผู้อาวุโสถึง 37 คนที่เข้าร่วมการพิพากษ์ครั้งนี้ ด้านหน้าสุดเป็นเก้าอี้ดูหรูหราหนึ่งตัวตั้งอยู่ซึ่งเป็นตำแหน่งของประธานในการตัดสินครั้งนี้ ข่งยี่จาง! เหนือข่งยี่จางขึ้นไปยังคงมีบัลลังก์ตั้งอยู่ และผู้ที่นั่งอยู่นั้นคือข่งโหลวหลิน เจ้าสำนักวิหารสวรรค์แห่งนี้

ข่งยี่จางมองลงไปยังหยางอี้อย่างประหลาดใจ ส่วนเจ้าสำนักเองก็เช่นกันเมื่อวานนี้แขนขวาของหยางอี้คงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทว่าผ่านไปเพียงหนึ่งคืนกลับมีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วทั้งแขน

ข่งยี่จางเลิกใส่ใจกับแขนของหยางอี้ เพราะสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือการชิงดวงจิตของสองราชันย์มาจากชายหนุ่ม เขากวาดสายตามองไปยังผู้อาวุโสคนอื่นๆก่อนจะกล่าวออกมาเสียงดัง

“เมื่อทุกท่านมากันครบแล้วต่อไปข้าจะขอเปิดการพิพากษ์คดี ณ บัดนี้”

ข่งยี่จางเว้นช่วงไปครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา

“เนื่องด้วยเหตุการณ์เมื่อวานนี้ มีคนรุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่หวงห้ามของป่าธาราสวรรค์และทำให้ราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์บังเกิดโทสะออกอาละวาด และคนผู้นั้นคือเจ้า หยางอี้ศิษย์สายนอกของสำนักที่เพิ่งเข้ามาเมื่อ 1 เดือนก่อน ข้าพูดถูกต้องหรือไม่!”

ข่งยี่จางกล่าวออกมาพร้อมกับชี้ไปยังหยางอี้ ไม่น่าแปลกใจที่เรื่องนี้ไม่ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆตื่นตระหนก ด้วยเกินกว่าครึ่งในนี้เป็นคนที่สนับสนุนข่งยี่จางทำให้พวกเขารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานกันอยู่แล้ว ทว่าเรื่องดวงจิตของสองราชันย์นั้นยังมีเพียงผู้อาวุโสสิบกว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รับรู้

หยางอี้มองไปยังข่งยี่จางพร้อมกับขมวดคิ้ว บุกรุกเขตหวงห้ามบ้านเจ้าสิ! ข้าไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าภายในป่าสวรรค์มีเขตหวงห้าม อีกอย่างข้าก็เข้าไปอย่างถูกต้องตามกฎ เจ้ายังกล้าบอกว่าข้าบุกรุกอีกรึ หยางอี้ได้แต่ด่าทอในใจเพราะหากพูดออกไปเช่นนั้นจะเป็นเรื่องแน่นอน

“เรียนผู้อาวุโสทุกท่าน ศิษย์มีนามว่าหยางอี้ เรื่องเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เป็นข้าจริงที่เข้าไปยังเขตของราชันย์อสรพิษเพลิงโลกันต์ ทว่าข้านั้นมิได้บุกรุกเข้าไป ข้าได้จ่ายแต้มออกไปตามกฎทุกอย่าง ความตั้งใจของข้าคือการแสวงหาโชคในการเก็บสมุนไพรระดับสูงเท่านั้น และที่สำคัญ... ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าภายในป่าสวรรค์นั้นมีเขตหวงห้าม!”

คำพูดของหยางอี้ทำให้ข่งยี่จางขมวดคิ้ว เพราะนั่นคือความจริง แต่เขาไม่คิดว่าต่อหน้าผู้อาวุโสมากมายเช่นนี้เจ้าเด็กนี่ยังคงกล่าวหักล้างออกมาอย่างเยือกเย็น ทว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักถึงหยางอี้จะโต้แย้งออกมาได้ก็ตาม

“ฮึ่ม! เช่นนั้นหัวข้อต่อไป หลังจากที่ราชันย์แดงออกอาละวาดได้ไม่นาน ราชันย์อสรพิษเหมันต์หรือราชันย์น้ำเงินได้ปรากฏตัวออกมาแล้วทั้งสองได้เข้าต่อสู้กันถูกต้องหรือไม่”

“ถูกแล้ว เป็นไปตามที่ท่านกล่าว”

หยางอี้กล่าวรับออกมา เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนเริ่มพูดคุยกัน ก่อนจะมีบางคนสงสัยและกล่าวถามออกมา

“หยางอี้ ราชันย์ทั้งสองต่อสู้กันบนยอดเขา และเจ้าเองก็อยู่บนยอดเขาถูกต้องหรือไม่”

“ถูกต้อง ขอรับ”

“ไม่น่าเป็นไปได้ ราชันย์ทั้งสองนั้นอยู่ในระดับจักรพรรดิ การต่อสู้ย่อมต้องรุนแรงอย่างแน่นอน เหตุใดเจ้าจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย”

“เรียนผู้อาวุโส เดิมทีศิษย์นั้นต้องการจะหนีออกมาหลังจากราชันย์แดงปรากฏตัวทว่ากลับถูกพลังบางอย่างกั้นขวางไว้ และหลังจากนั้นก็เป็นพลังนี้ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ข้าได้รับลูกหลงจากการต่อสู้ของพวกมัน”

“เหลวไหล จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”

ผู้อาวุโสคนนี้กล่าวออกมาเสียงดังทว่าหยางอี้ยังคงยืนยันเช่นเดิมและกล่าวว่าหากไม่เชื่อสามารถถามข่งยี่จางและเจ้าสำนักดูก็ได้ผู้อาวุโสคนนั้นจึงเงียบไป เมื่อเหตุการณ์สงบลงข่งยี่จางจึงรีบเปิดประเด็นขึ้นมาทันที

“และต่อไปคือหัวข้อสำคัญในวันนี้..... หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้ ราชันย์ทั้งสองได้กลายเป็นดวงจิตอสูรและตอนนี้ดวงจิตทั้งสองนั้นถูกครอบครองโดยหยางอี้”

คำกล่าวของข่งยี่จางทำให้ภายในตำหนักพิพากษ์ร้อนเป็นไฟในทันที ผู้อาวุโสหลายคนที่เพิ่งรู้เรื่องกลายเป็นตกตะลึง ต่างพูดคุยกันถึงความไม่อยากเชื่อ ดวงจิตอสูรนั้นไม่เหมือนแกนธาตุ เป็นเรื่องยากที่จะได้รับมา เพียงแค่ดวงจิตระดับสวรรค์ก็เป็นเรื่องยากอย่างมากแล้ว แต่นี่คือดวงจิตระดับจักรพรรดิ!

ข่งยี่จางเมื่อเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสแต่ละคนจึงกล่าวออกมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม

“และด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้เปิดศาลพิพากษ์เพื่อตัดสินเรื่องนี้ ดวงจิตของสองราชันย์นั้นนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนัก ถึงแม้ว่าการที่ศิษย์บางคนได้รับสมบัติจากป่าสวรรค์นั้นจะเป็นไปตามกฎของสำนัก ทว่าดวงจิตระดับจักรพรรดินั้นไม่อาจนำมานับรวมด้วยได้ อีกอย่างหยางอี้เป็นเพียงศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้าสำนักมาไม่ถึงสองเดือน ข้าจึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะให้เขาครอบครองสมบัติล้ำค่าของสำนักเช่นนี้”

เมื่อข่งยี่จางกล่าวจบผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างซุบซิบพูดคุยกันในทันที เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าเกือบทั้งหมดเห็นด้วยกับคำพูดของข่งยี่จาง ในที่สุดผู้อาวุโสก็เหล่ยโหลวก็หมดความอดทนและกล่าวออกมา

“ฮึ่ม! ข่งยี่จาง เจ้าเอาอะไรมาวัดว่าเจ้าหนูหยางอี้ไม่มีคุณสมบัติในการครอบครองดวงจิตทั้งสองนี่!”

ข่งยี่จางหัวเราะร่าก่อนจะกล่าวออกมาอย่างสบายใจ

“เหล่ยโหลวข้าเข้าใจว่าเจ้าสนับสนุนเด็กคนนี้ แต่เรื่องคุณสมบัตินั่นเจ้าลองถามผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่ที่นี่ดูก็ได้ว่ามันเหมาะหรือไม่!”

ข่งยี่จางกล่าวออกไปเช่นนั้นทว่าเหล่ยโหลวกลับแสยะยิ้มและตอบกลับมาด้วยคำพูดเสียดแทงใจของข่งยี่จาง

“งั้นเรอะ! หากว่าเจ้าหนูนี่ไม่มีคุณสมบัติในการครอบดวงจิตทั้งสองนี่แล้ว ข้าอดคิดไม่ได้ว่าบุตรชายของเจ้าข่งเย่หลงที่พ่ายแพ้ให้กับเจ้าหนูนี่ทั้งที่ระดับพลังปราณสูงกว่ายิ่งไม่มีคุณสมบัติในการครอบครองเช่นกัน ใช่หรือไม่!”

คำกล่าวของผู้อาวุโสเหล่ยโหลวทำให้ข่งยี่จางหน้าดำมืดในทันที ก่อนจะเผลอคำรามออกมาอย่างเดือดดาล

“เจ้า เจ้า เจ้า”

ทว่าเขายังนึกขึ้นได้ว่าอยู่ในที่ประชุมพิพากษ์คดีจึงพยายามสงบใจลง แน่นอนว่าดวงจิตทั้งสองเขาไม่ได้ต้องการจะครอบครองเองแต่ต้องการนำไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับบุตรชาย หากเป็นไปตามแผน ข่งเย่หลงที่เป็นดั่งพยัคฆ์อยู่แล้วจะถูกเสริมปีกจนสูงล้ำด้วยการครอบครองดวงจิตรระดับจักรพรรดิ

“ฮึ่ม! นั่นไม่ใช่ปัญหาในครั้งนี้ การพิพากษ์วันนี้กล่าวถึงความเหมาะสมของหยางอี้ในการครอบครองดวงจิตสองราชันย์เท่านั้น”

ข่งยี่จางกล่าวออกมาอย่างหน้าด้าน แม้จะมีผู้อาวุโสหลายคนที่ตกตะลึงเมื่อรู้ว่าข่งเย่หลงพ่ายแพ้ให้กับหยางอี้แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

“ต่อไปข้าจะขอเปิดการลงมติเพื่อจบเรื่องนี้ หากผู้อาวุโสท่านใดเห็นด้วยให้หยางอี้ส่งมอบดวงจิตของสองราชันย์ให้กับสำนักโปรดยกมือขึ้น”

เป็นไปตามคาด เพียงกวาดตามองผ่านๆก็รู้ได้ว่ามีคนยกมือเกือบจะทั้งหมด ข่งยี่จางยิ้มออกมาทันที ทว่าก่อนจะได้พูดอะไรหยางอี้กลับกล่าวออกมาก่อน

“ข้าต้องขออภัยพวกท่านด้วย แม้ว่าพวกท่านจะลงความเห็นเช่นนี้ข้าก็ไม่สามารถมอบมันให้กับพวกท่านได้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยแจ้งท่านอาวุโสข่งไปแล้วว่าดวงจิตทั้งสองนั้นได้พุ่งเข้าไปในร่างกายข้าและข้าไม่สามารถบังคับให้มันออกมาได้”

คำพูดของหยางอี้ทำให้เสียงพูดคุยระเบิดขึ้นอีกครั้ง เรื่องเช่นนี้นั้นไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ อีกอย่างดวงจิตทั้งสองยังเป็นของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิที่มีสติปัญญาสูงการที่มันจะมีความคิดเป็นของตัวเองก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทว่าโอกาสเกิดเรื่องเช่นนี้ก็น้อยยิ่งนัก

ข่งยี่จางแสยะยิ้มกล่าวออกมาอย่างใจเย็น

“หยางอี้เจ้ารู้หรือไม่ ว่ามันยังคงมีวิธีการนำดวงจิตทั้งสองออกมาอยู่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่อาจควบคุมมันได้ก็ตาม...”

คำกล่าวของข่งยี่จางทำให้เจ้าสำนักถึงกับขมวดคิ้ว แน่นอนว่าผู้อาวุโสหลายคนรับรู้ถึงวิธีการเช่นนี้ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ถูกข่งยี่จางติดสินบนไว้ก่อนแล้ว จึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเหล่ยโหลวที่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็กลายเป็นเดือดดาลและระเบิดโทสะออกมาทันที พลังปราณระดับจักพรรดิขั้นที่ 1 พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขากดดันจนผู้อาวุโสโดยรอบต้องหน้าซีดเผือด

“บัดซบ จะมากไปแล้วข่งยี่จาง เจ้าจะไร้ยางอายไปถึงไหน”

เสียงดังก้องของเหล่ยโหลวนั้นเต็มไปด้วยโทสะอย่างแท้จริง อย่างไรชายชราผู้นี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องความใจร้อนและไม่สนหน้าผู้ใดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข่งยี่จางเห็นเหล่ยโหลวอาละวาดก็ยิ่งชอบใจ เข้าทางของเขาพอดี หากเป็นไปได้ให้เหล่ยโหลวลงมือจะเป็นการดีที่สุด หากเป็นเช่นนั้นแล้วแม้จะด้วยตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดก็ตาม เขาจะไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีกต่อไป

“ผู้อาวุโสเหล่ยโหลว เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดกลับใช้อารมณ์ในที่ประชุมเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่างคำกล่าวของข้าก็เป็นเพียงคำแนะนำ จะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมอยู่ดี”

“บัดซบ เจ้าหมาแก่ คิดว่าข้าไม่รู้หรือไงว่าพวกที่นั่งอยู่นี่มีแต่คนของเจ้าทั้งนั้น”

เหล่ยโหลวคำรามออกไปทว่าข่งยี่จางไม่ได้สนใจ กลับดำเนินการต่อในทันที ส่วนหยางอี้นั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิธีที่ว่านั้นคืออะไร เพราะเรื่องนี้เขากุขึ้นมาเพื่อบ่ายเบี่ยงการส่งมอบออกไปเท่านั้น แต่ดูจากอาการของเหล่ยโหลวชายหนุ่มก็พอจะทราบได้ว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างแน่นอน

“หยางอี้ วิธีการที่ข้าบอกคือการทำลายเส้นชีพจรทั้งหมดของเจ้าเพื่อบังคับให้ดวงจิตทั้งสองไร้ที่พึ่งพิงและมันจะออกมาเองในที่สุด ดังนั้นหากเจ้ายังไม่ยอมส่งมอบมันออกมาดีๆ ก็อย่าได้หาว่าข้าโหดร้ายกับเจ้า”

ข่งยี่จางกล่าวออกมาพร้อมกับแสยะยิ้ม ตัวเขาเองไม่ใช่คนโง่มีหรือจะไม่รู้ว่าหยางอี้โป้ปดออกมาเพื่อบ่ายเบี่ยง เขาจึงใช้วิธีนี้ในการข่มขู่ชายหนุ่ม จะมีผู้ใดกล้าแลกเส้นทางการฝึกตนทั้งหมดของตัวเองกับสมบัติล้ำค่า หรือหากหยางอี้ยังไม่ยอมอีกเขาก็จะทำเช่นนั้นจริงๆ

หยางอี้ขมวดคิ้วก่อนจะมองไปยังข่งยี่จางอย่างเย็นชา ในดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยจิตสังหารที่พวยพุ่งออกมาจนผู้อาวุโสรอบด้านต้องขนลุก ทว่าข่งยี่จางเป็นตัวตนระดับจักรพรรดิเขาย่อมไม่สะทกสะท้านอะไรอยู่แล้ว

“ข้าไม่คิดว่าสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจะใช้วิธีต่ำทรามขู่กรรโชกกับศิษย์ตัวเล็กๆเช่นนี้ ทว่าหากพวกท่านต้องการจะทำเช่นนั้นจริงข้าก็จะสู้จนถึงที่สุดเช่นกัน”

หยางอี้ตัดสินใจแล้ว ด้วยความไร้ยางอายเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจบลงด้วยดี หนทางสุดท้ายคือการหนีออกไปเท่านั้น ชายหนุ่มหันมามองผู้อาวุโสเหล่ยโหลวเล็กน้อยก่อนที่สายตาจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอ่อนน้อมและเสียใจ เหล่ยโหลวเพียงมองดูก็รู้ความในใจของชายหนุ่มจึงกล่าวออกไปอย่างอ่อนโยน

“อย่าได้ใส่ใจ ข้านั้นเอ็นดูเจ้าไม่ต่างกับเพ่ยเอ๋อและปิงเอ๋อ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเป็นอะไรอย่างแน่นอน ส่วนนางทั้งสองข้าจะดูแลเองเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

“ขอบคุณผู้อาวุโส บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีทางลืม”

ด้านข่งยี่จางนั้นพลันแสยะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำกล่าวของหยางอี้ ทว่านี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ ด้วยเรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าหยางอี้ขัดขืนการไต่สวนและต้องการขโมยสมบัติของสำนักไป! อีกอย่างตัวตนอันกระจ้อยร่อยเช่นนี้กลับกล้ากล่าวว่าจะสู้ให้ถึงที่สุด ช่างน่าขันเสียจริง

“บังอาจ! สารเลวกล้าขัดขืนคำตัดสินและยังจะขโมยสมบัติของสำนักมีโทษสมควรตาย! ผู้อาวุโสทั้งหมดจงปิดทางเข้าออกไว้และจับกุมมัน”

ข่งยี่จางประกาศออกมาทันที ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เคลื่อนไหวปิดทางของหยางอี้ไว้ สถานการณ์กลายเป็นตึงเครียดสำหรับผู้อาวุโสเหล่ยโหลว แต่สำหรับอีกฝั่งนั้นกลับยืนกันอย่างสบายๆ ข่งยี่จางและเหล่ยโหลวนั้นอยู่ในระดับเดียวกันและหากข่งยี่จางยังอยู่เหล่ยโหลวย่อมมิอาจทำอะไรได้มากอยู่แล้ว ส่วนหยางอี้ที่อยู่เพียงระดับปฐพีขั้นต้นจะนับเป็นอะไรได้ต่อหน้าผู้อาวุโสระดับสวรรค์นับสิบคนเช่นนี้

“ข่งยี่จาง เจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดไม่ละอายบ้างหรือไงที่ไร้ยางอายเช่นนี้”

“เฮอะ! ข้าทำอะไร? เป็นเจ้าเด็กสารเลวนั่นที่ก่อตัวเป็นกบฎต่อสำนักเอง”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าใช้วิธีการต่ำช้าในการบีบเขาต่างหาก!”

เหล่ยโหลวยังคงกล่าววาจาด้วยโทสะก่นด่าข่งยี่จางไม่หยุด ทว่าคำตอบของข่งยี่จางนั้นเป็นเพียงถ้อยคำยียวนที่กระตุ้นโทสะของเหล่ยโหลวให้มากขึ้น

“ดี! หากข้าต้องอยู่ร่วมสำนักกับพวกต่ำช้าเช่นนี้ วันนี้ข้าเหล่ยโหลวจะออกจากสำนักและต่อสู้เป็นตายกับเจ้า!”

คำกล่าวนี้ของผู้อาวุโสเหล่ยโหลวทำให้ผู้คนทั้งห้องต้องตกตะลึง ข่งยี่จางเองก็นึกไม่ถึงว่าเพื่อศิษย์สายนอกคนหนึ่งเหล่ยโหลวจะทำถึงเพียงนี้ หากต่อสู้เป็นตายกันจริงๆ ถึงเขาจะชนะทว่าก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน หากร้ายแรงการบ่มเพาะคงต้องถดถอยลงไปด้วย

เมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย หยางอี้ก็เตรียมตัวจะปลดตราประทับราชันย์ทันที ทว่าก่อนหน้านั้นข่งโหลวหลินที่นิ่งเฉยมานานในที่สุดก็เคลื่อนไหว ถึงแม้จะยังอยากทดสอบหยางอี้อีกสักเล็กน้อยแต่ว่าการกระทำของเหล่ยโหลวนั้นรุนแรงเกินคาดไปมาก หากไม่รีบยุติเสียตอนนี้จะไม่ทันการณ์

“พวกเจ้าหยุดทำเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะตัดสินเอง”

เมื่อเจ้าสำนักกล่าวออกมาทุกคนจึงหยุดมือลง หยางอี้เองก็เช่นกัน ดีที่เขาไม่ปลดตราประทับมาก่อนมิเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหนีออกไปทันที

“เอาล่ะ! ด้วยอำนาจและสิทธิ์ของเจ้าสำนัก ข้าขอรับหยางอี้เป็นศิษย์และเพื่อเป็นการรับประกันข้าจะให้หยางอี้สาบานว่าจะไม่ทรยศสำนักวิหารสวรรค์ด้วย เท่านี้ก็ถือว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอในการครอบครองแล้วกระมัง ผู้อาวุโสข่งยี่จาง!”

ข่งโหลวหลินกล่าวออกมาพร้อมกับปรายสายตาไปทางข่งยี่จาง ตัวเขานั้นก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าข่งยี่จางจะใช้วิธีที่โหดเหี้ยมและไร้ยางอายเช่นนี้

ข่งยี่จางกลายเป็นตะลึงงันกับคำพูดของพี่ชายเขาในทันที เดิมเห็นข่งโหลวหลินไม่เอ่ยปากทักท้วงอะไรมาโดยตลอดก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเห็นด้วยกับการกระทำของตน เขาจึงจัดการกดดันหยางอี้ได้อย่างเต็มที่ ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆ ข่งโหลวหลินกลับกล่าวออกมาเช่นนี้ทำให้สมองของข่งยี่จางกลายเป็นขาวโพลนในทันที

“ท่านเจ้าสำนัก นี่ท่านกล่าวอะไรออกมา”

เจ้าสำนักเหลือบมองไปยังข่งยี่จางอย่างเย็นชาก่อนจะกล่าวออกมา

“ทำไม? ข้าต้องการจะรับศิษย์ เจ้ามีปัญหา?”

“ท่านพี่ ตามกฎแล้วเจ้าสำนักสามารถรับศิษย์ได้คนเดียว อีกทั้งศิษย์ของเจ้าสำนักยังได้รับอภิสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไป ท่าน ท่าน หลงเอ๋อนั้นเป็นหลานชายแท้ๆของท่านอีกทั้งยังมีความสามารถท่านกลับไม่รับแต่ไปรับสารเลวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นมันได้อย่างไร!”

ข่งยี่จางกลายเป็นเสียสติในทันที ความอัดอั้นที่แบกรับมาตลอดตั้งแต่รุ่นตัวเองนั้นพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน ด้วยความทะเยอทะยานของเขานั้นเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับเมื่อตำแหน่งเจ้าสำนักตกเป็นของพี่ชาย เขาใช้เวลานานกว่าจะทำใจยอมรับได้และฝากความหวังไว้กับบุตรชาย ทว่าตอนนี้ข่งโหลวหลินกลับเห็นขี้ดีกว่าไส้ รับหยางอี้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดจะให้เขาทนไหวได้อย่างไร

“ยี่จาง ข้านั้นให้สัตย์สาบานกับบรรพชนของสำนักว่าจะนำพาสำนักไปสู่ความรุ่งโรจน์พร้อมกับตัดสินทุกอย่าง อย่างยุติธรรม ข้านั้นไม่เคยเห็นคนนอกดีกว่าคนในตระกูล สายเลือดที่ไหลเวียนในตัวข้าคือสายเลือดของตระกูลข่ง! แต่ข้านั้นจะไม่ยอมให้คำว่าสายเลือดนี้มาขัดขวางความรุ่งโรจน์ของสำนัก!”

ข่งโหลวหลินกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ นี่คือเกียรติและความภาคภูมิของเจ้าสำนักทุกรุ่นที่ปฎิบัติต่อกันมา

“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ถึงเหตุผลที่ไม่รับเย่หลงเป็นศิษย์ ก่อนหน้านี้ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และคอยจับตาดูมาตลอด อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้นิสัยบุตรชายตนเอง หากปล่อยให้คนที่หยิ่งผยองกดข่มผู้อื่นตามใจชอบเช่นนั้นสืบทอดตำแหน่ง แล้วข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพชน! หากจะโทษ เจ้าจงโทษตัวเองที่เลี้ยงเขามาจนเสียนิสัยเช่นนี้”

ข่งโหลวหลินกล่าวออกมาอย่างไม่ไว้หน้าน้องชาย เขาเข้าใจดีถึงความรู้สึกของข่งยี่จาง ทว่าสำหรับเขาสำนักต้องมาก่อนเสมอ

ข่งยี่จางได้แต่กัดฟันด้วยความเคียดแค้น ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่จะให้เขายอมรับได้อย่างไร แต่เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะทำอะไรได้ ข่งยี่จางได้แต่โทษตัวเองที่บุ่มบ่ามเกินไป มิเช่นนั้นแล้วเรื่องการรับหยางอี้เป็นศิษย์สืบทอดจะยังไม่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นยังมีโอกาศอีกมากในการจัดการชายหนุ่ม

บรรยากาศภายในห้องโถงกลายเป็นตึงเครียดอีกครั้ง เรื่องการรับหยางอี้เป็นศิษย์ของเจ้าสำนักนั้นกะทันหันเกินไป ผู้อาวุโสหลายคนต่างไม่เห็นด้วย ทว่าอำนาจนี้เป็นของเจ้าสำนักเพียงผู้เดียว การรับใครสักคนเป็นผู้สืบทอดของตนไม่สามารถให้คนอื่นมาวุ่นวายได้ แม้เรื่องอื่นๆภายในสำนักจะต้องผ่านการลงความเห็นของผู้อาวุโส ทว่าเรื่องนี้แม้จะมีคนทั้งสำนักไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวคลี่ยิ้มออกมาในทันที หากเรื่องราวเป็นเช่นนี้เขาก็เบาใจ ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกหากหยางอี้ได้เป็นศิษย์ของเจ้าสำนักแล้วการใช้ชีวิตภายในสำนักวิหารสวรรค์จะเป็นดั่งสวรรค์ของเจ้าเด็กนั่นจริงๆ ทรัพยากรและเขตหวงห้ามมากมายที่อยู่ภายในสำนักหยางอี้จะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงทั้งหมด

ในระหว่างที่เหล่ยโหลวยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นนั้นเขาได้หันไปยังหยางอี้เพื่อจะกล่าวยินดี ทว่าเขาจำต้องชะงักไปก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย

หยางอี้นั้นได้แต่ทอดถอนใจ แม้ข่งยี่จางจะอิจฉาเขา เจ้าสำนักจะเอ็นดูเขา ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวจะตื่นเต้นไปกับเขา แต่ในใจชายหนุ่มตอนนี้กลับเริ่มกังวลเป็นอย่างมาก ภายในสมองเร่งคิดหาวิธีหลบหนีอย่างเร็วที่สุด

กราบเจ้าสำนักเป็นศิษย์? เขานั้นมีกู่เทียนชางเป็นอาจารย์อยู่แล้ว หากกราบผู้อื่นเป็นอาจารย์อีกไม่เท่ากับผิดต่อกู่เทียนชางหรอกหรือ ส่วนการสาบานต่อสำนักนั้น เพ่ย! ที่ข้ามาสำนักวิหารสวรรค์ก็เพื่อต้องการทักษะ 9 วิถีพยัคฆ์เท่านั้น อีกอย่าง 3 เดือนข้างหน้าเขาก็ต้องออกจากสำนักติดตามกู่เทียนชางไปจักรวรรดินภาสวรรค์แล้ว จะมาสาบานได้อย่างไร

แม้การกล่าวตกลงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดทว่าหยางอี้แม้จะเป็นคนโฉดโหดเหี้ยมแต่กลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิของบุรุษ ชายหนุ่มจะไม่มีวันตระบัดสัตย์ต่อคำสาบานของตนเองอย่างเด็ดขาด อีกทั้งจะไม่ยอมทรยศผู้อื่นอย่างแน่นอน เมื่อไร้หนทางอื่นในที่สุดก็มีแต่กล่าวออกมาตามตรง หยางอี้ไม่รู้ว่าหากกล่าวออกไปแล้วเหล่ยโหลวจะยังยอมช่วยเขาอยู่อีกหรือไม่ หากร้ายแรงที่สุดคงทำได้เพียงยอมมอบดวงจิตออกมาและออกจากสำนักไปเท่านั้น

“ข้าทราบซึ้งเป็นอย่างมากที่ท่านเจ้าสำนักนั้นกรุณารับข้าเป็นศิษย์และเห็นความสำคัญในตัวข้า ทว่าข้านั้นได้กราบคนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ไปแล้ว และข้าไม่อาจทรยศท่านอาจารย์ได้”

คำกล่าวของหยางอี้ทำให้คนในห้องโถงกลายเป็นตกตะลึงในทันที สารเลวนี่กล้าปฏิเสธออกมาในเวลานี้ ผู้ใดที่เขากราบเป็นอาจารย์ คนผู้นั้นสามารถเทียบได้กับเจ้าสำนักวิหารสวรรค์หรืออย่างไร ในจักรวรรดิแห่งนี้มีคนมากมายเท่าไหร่ที่ต้องการเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักที่เป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่

แม้แต่เหล่ยโหลวเองยังขมวดคิ้วขึ้นมา ในสถานการณ์เช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมามากที่สุด ส่วนข่งยี่จางนั้นบัดนี้ยิ้มเหี้ยมออกมาแล้วในใจเขาเต็มไปด้วยความลิงโลด ทว่าข่งโหลวหลินกลับไม่เป็นเช่นนั้นในใจเขากลับชื่นชมหยางอี้มากยิ่งขึ้นไปอีก แม้ในสถานการณ์เช่นนี้หยางอี้ยังคงซื่อสัตย์ต่ออาจารย์และแน่วแน่ในปณิธานของตนเอง ทว่าคำพูดต่อมาของหยางอี้กลับทำให้เขาต้องมีสีหน้าบิดเบี้ยว

“ฮึ่ม! ในเมื่อท่านเจ้าสำนักจริงใจต่อข้า ข้าก็จะกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง เดิมทีข้านั้นมีกำหนดต้องติดตามอาจารย์ออกไปในสามเดือนข้างหน้า ข้าจึงไม่อาจให้คำสาบานว่าจะอยู่ในสำนักได้ แต่หากท่านยอมละเว้นเรื่องนี้ข้าขอสาบานว่าในภายภาคหน้าข้าจะไม่ทอดทิ้งสำนักวิหารสวรรค์แห่งนี้อย่างแน่นอน”

คำกล่าวของหยางอี้ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ข่งโหลวหลินเริ่มบังเกิดโทสะ ไม่ทอดทิ้งสำนักงั้นรึ เพื่อแลกกับการปล่อยเจ้าไปพร้อมกับสมบัติล้ำค่าของสำนัก ? นี่เจ้าสารเลวนี่คิดว่ามันเป็นใคร

“สารเลวน้อยข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้ ในเมื่อข้ายื่นความหวังดีให้แล้วเจ้าไม่รับ จากนี้ข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้ สุดท้ายเห็นแก่ความจริงใจที่กล้าพูดเช่นนี้ออกมา หากเจ้ายอมมอบดวงจิตทั้งสองคืนมาข้าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก”

หยางอี้ทอดถอนใจออกมา ช่วยไม่ได้หากเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ทำตามที่ชะตาลิขิต หยางอี้จึงนำดวงจิตทั้งสองออกมาทว่าในเวลานั้นข่งยี่จางกลับกล่าวออกมา

“ในเมื่อท่านเจ้าสำนักไม่ยื่นมือเข้ามาแล้ว ข้าในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดเห็นควรให้ทำลายการฝึกตนของเจ้าเด็กนี่ซะ! เห็นได้ชัดว่าเจ้าสารเลวนี่ตั้งใจมาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากสำนัก อีกทั้งหากปล่อยมันออกไปในอนาคตข้ามั่นใจว่ามันจะต้องกลับมาสร้างปัญหาอย่างแน่นอน”

คำกล่าวของข่งยี่จางตอนนี้มีผลกระทบต่อเจ้าสำนักอย่างมาก ใครจะไปคิดว่าในอนาคตหากหยางอี้เติบโตแล้วกลับมาแก้แค้นที่สำนักชิงผลประโยชน์ของเขามาจะทำอย่างไร ยิ่งเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นเป็นอัจฉริยะที่มีอนาคตรุ่งโรจน์อย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้จึงทำให้คนที่ให้ความสำคัญกับสำนักเป็นอันดับหนึ่งอย่างข่งโหลวหลินต้องขบคิดอีกครั้งหนึ่ง

“หากท่านใดเห็นด้วยกับความคิดของข้าโปรดยกมือขึ้น”

ครั้งนี้นอกจากเจ้าสำนักและเหล่ยโหลวทุกคนต่างยกมือขึ้นทั้งหมด ข่งยี่จางมองไปยังพี่ชายของเขาก่อนจะกระตุ้นอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านเจ้าสำนักโปรดไตร่ตรองให้ดีเพื่อประโยชน์ของสำนักด้วย”

เมื่อขบคิดดีแล้วข่งโหลวหลินจึงถอนหายใจและกล่าวออกมา

“ทำลายการฝึกตนของเขาและขับไล่ออกจากสำนัก”

เหล่ยโหลวนั้นกลายเป็นงงงวยเรื่องทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไวเกินไป และตอนนี้เขาก็ไม่อาจช่วยอะไรหยางอี้ได้อีกแล้ว ส่วนหยางอี้นั้นตอนนี้มีใบหน้าที่บิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นผู้อาวุโสคลุมทองคนหนึ่งพุ่งเข้ามา เขาจึงเตรียมใช้ออกด้วยตราประทับราชันย์ทันที ทว่าก่อนที่เขาจะใช้ตราประทับราชันย์นั้น กลับมีฝ่ามือขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากด้านหลังชายหนุ่มคว้าจับไปยังร่างชายชราในชุดคลุมทองแล้วบีบจนร่างของชายชราคนนั้นกลายเป็นละอองเลือดหายไปในพริบตาพร้อมกับเสียงที่ชายหนุ่มคุ้นเคยดังมาจากประตูห้องโถง

“ผู้ใดมันบังอาจคิดจะลงมือกับศิษย์ของข้า!”

บรรยากาศภายในห้องโถงกลายเป็นเงียบกริบอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เพราะความหนักอึ้งของสถานการณ์เช่นก่อนหน้านี้แต่เป็นความตกตะลึงที่บังเกิดขึ้นมาจากจิตใจ ต้องรู้ว่าผู้อาวุโสระดับชุดคลุมสีทองล้วนอยู่ในระดับสวรรค์ขั้นที่ 9 ทั้งสิ้น! และมีจำนวนไม่น้อยที่อีกเพียงครึ่งก้าวจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ

ใบหน้าของพี่น้องตระกูลข่งกลายเป็นเปลี่ยนสีทันทีโดยเฉพาะข่งโหลวหลิน การสังหารผู้อาวุโสระดับสวรรค์ขั้นที่ 9 ให้ตายภายในการลงมือเพียงครั้งเดียวตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้เช่นนี้ เสียง ฝีเท้าอันเชื่องช้าๆ ค่อยๆดังมาจากทางหน้าประตูห้องโถง ภายใต้เงาจากกำแพงอันดำมือ จากส่วนล่างถึงส่วนบน ร่างกายของชายชราร่างท้วมในชุดสีเขียวค่อยๆปรากฎขึ้นอย่างช้าๆ

มองไปยังชายชราแม้จะมีหมวกปกปิดบังใบหน้าทว่าหยางอี้นั้นจดจำได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือกู่เทียนชางอาจารย์เพียงคนเดียวที่เขากราบไหว้

“อาจารย์? ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?”

สิ้นเสียงของหยางอี้ ผู้อาวุโสทุกคนพลันตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง อาจารย์? ไฟโทสะพลันบังเกิดขึ้นในดวงตาของข่งโหลวหลิน เขาผู้เป็นเจ้าสำนักที่อุทิศตัวให้กับสำนักแห่งนี้กลับต้องมาเห็นหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาจะให้เขาทนเฉยได้อย่างไร

“บังอาจ! เจ้ากล้าดียังไงถึงสังหารคนของวิหารสวรรค์! ทุกคนล้อมมันไว้ เหล่ยโหลวไปตามท่านบรรพชนมา!”

ข่งโหลวหลินไม่กล้าประมาทชายชราผู้นี้แต่อย่างใด การสังหารระดับสวรรค์ขั้นสูงได้ในพริบตาเช่นนี้ ชายคนนี้ต้องมีระดับไม่ต่ำกว่าจักรพรรดิแน่นอน บางทีอาจจะเหนือกว่าท่านบรรพชนเสียด้วยซ้ำ ทว่าหากเขาและสามอาวุโสหลักรวมถึงบรรพชนร่วมมือกันแน่นอนว่าชายชราคนนี้และเด็กสารเลวนี่ย่อมไม่อาจรอดไปได้อย่างแน่นอน

ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวกลายเป็นสับสนในทันที เขาอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอย่างแท้จริง หากเป็นก่อนหน้านี้เขายินดีที่จะออกจากสำนักเพื่อปกป้องชายหนุ่ม ทว่าตอนนี้ชายที่หยางอี้เรียกว่าอาจารย์กลับลงมือสังหารผู้อาวุโสระดับสูงของสำนัก เหตุการณ์จึงกลับตาลปัตรไปอีกครั้ง หากตอนนี้เขายังให้ความช่วยเหลือหยางอี้อีกเขาเองก็จะกลายเป็นคนทรยศทันที

หยางอี้เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบายังเหล่ยโหลวที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ท่านอย่าได้คิดมากผู้อาวุโส ขอให้ท่านทำตามที่เจ้าสำนักบอกเถิด บางทีหากท่านบรรพชนอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกเรื่องราวคงไม่เป็นเช่นนี้”

แน่นอนว่าหากบรรพชนอยู่ที่นี่เรื่องจะต้องไม่เป็นเช่นนี้ หยางอี้ฟังเสี่ยวเฮยที่อยู่ภายในมิติก่นด่าออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพียงแต่พญาอสรพิษยักษ์ที่น่าเกรงขามเมื่อตอนนั้นบัดนี้กลายเป็นงูน้อยนอนเปื่อยไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นคาดว่าสำนักวิหารสวรรค์คงโดนถล่มจนราบ เสี่ยวเฮยได้แต่เจ็บแค้นและโกรธเคือง เป็นเพราะเขาต้องการให้หยางอี้ได้รับดวงจิตทั้งสองจึงลงทุนทำถึงขนาดนี้ แต่กลายเป็นหยางอี้เกือบต้องเสียดวงจิตไปหากอาจารย์ของชายหนุ่มไม่ปรากฎตัวขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นมิใช่ว่าพญาอสรพิษอันทรงเกียรติเช่นเขาต้องทำงานให้มนุษย์ฟรีๆหรอกรึ

กึก กึก กึก

ทีละก้าว ละก้าว กู่เทียนชางเดินเข้ามาหาหยางอี้โดยไม่แม้แต่จะสนใจเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเลยแม้แต่น้อย สายตาของชายชราภายใต้หมวกค่อยๆอ่อนลง ก่อนจะยิ้มออกมาจนตาหยี๋ กู่เทียนชางในยามนี้ราวกับเป็นเพียงชายชราบ้านนอกสามัญ รอบกายล้วนไร้แรงกดดันใดๆทั้งสิ้น กระทั่งกลิ่นอายของผู้ฝึกตนสักนิดก็ยังไม่ปรากฎให้สัมผัส ชายชราร่างอ้วนเดินเข้าไปก่อนที่ด้านหน้าหยางอี้แล้วยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ฮี่ๆ ไอ้หนูไม่เจอกันเสียนาน”

“เอ่อ อาจารย์ ครั้งล่าสุดที่ท่านมาหาข้าเพิ่งจะเดือนที่แล้วเองนะ”

หยางอี้กล่าวออกมาก่อนจะส่ายหัว ทว่าในเวลานั้นแขนข้างขวาของหยางอี้ที่ถูกลำตัวของเขาบังอยู่ทำให้กู่เทียนชางที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่เห็นตอนแรกก็โผล่พ้นลำตัวออกมา สายตาของชายชราพลันหรี่ลงก่อนจะขมวดคิ้ว

“แขนเจ้าเป็นอะไรเจ้าหนู ทำไมถึงต้องพันผ้าพันแผลด้วย”

ไม่ต้องรอให้หยางอี้ตอบกู่เทียนชางเพียงปรายตามองก็รู้แล้วว่าลมปราณภายในแขนขวานั้นไหลเวียนอย่างติดขัดขนาดไหน เส้นชีพจรบางเส้นถึงกับฉีกขาดเสียหายอย่างหนัก ด้วยความรวดเร็วมือทุ้มๆกรีดผ่านแขนขวาอย่างรวดเร็ว ลมปราณแปรสภาพเป็นใบมีดอันคมกริบตัดผ่าผ้าพันแผลให้หลุดออกจากแขนของหยางอี้โดยที่หยางอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

ใบหน้าของกู่เทียนชางกลายเป็นหน้าเกลียดขึ้นมาทันที ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ข่งโหลวหลินหมดความอดทนกับผู้บุกรุกคนนี้ สังหารหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูง บุกรุกเข้าสำนักโดยไม่ได้รับอนุญาต กระทั่งตอนนี้ยังคงเมินเฉยทำเป็นไม่เห็นหัวพวกเขา!

“เจ้าโจรชั่ว บุกรุกเข้าสำนักแล้วยังกล้าสังหารผู้อาวุโส วันนี้สำนักวิหารสวรรค์จะไม่ปล่อยให้สองศิษย์ชั่วอาจารย์โฉดได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”

“เจ้าหนูแผลนี้เจ้าได้มาอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้ใช้อัคคีถึงขนาดเผาแขนของเจ้าที่ฝึกฝ่ามือสายอัคคีได้ขนาดนี้”

กู่เทียนชางแม้จะเกิดโทสะบ้างแล้วทว่ายังคงถามหยางอี้ออกไปโดยไม่สนใจข่งโหลวหลินเช่นเดิม นี่ยิ่งทำให้ใบหน้าข่งโหลวหลินต้องดำมืดจนหน้าเกลียด ตลอดชีวิตการเป็นเจ้าสำนักเขาล้วนได้รับความเคารพจากผู้คนมากมาย ทว่าตอนนี้กลับโดนชายชราผู้นี้ดูถูกโดยสมบูรณ์ แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าลงมือ พวกเขาทำได้เพียงรอให้ท่านบรรพชนมาถึงเท่านั้น

“อาจารย์ ข้าล้วงมือเข้าไปในลาวาน่ะ”

คำตอบของหยางอี้ทำให้กู่เทียนชางงงงวย ทว่าสิ่งที่หยางอี้กระซิบตอบออกมาอย่างแผ่วเบาที่พอจะได้ยินเพียงแค่สองคนกลับทำให้ชายชรา กลายเป็นใบหน้าแข็งค้างก่อนที่ดวงตาของเขาจะสั่นไหวไปด้วยความตื่นเต้น หยางอี้นั้นคิดว่าอาการเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นเมื่อบอกออกไป ทว่าความจริงแล้วหยางอี้ไม่รู้เลยว่าในสายตาของกู่เทียนชางนั้นสิ่งที่จะทำให้เขาตื่นเต้นในโลกนี้มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น กระทั่งดวงจิตระดับจักรพรรดิชายชรายังเห็นเป็นเพียงของชั้นต่ำไม่ควรค่าแก่การใส่ใจเสียด้วยซ้ำ

เมื่อได้สติกลับมากู่เทียนชางพลันหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีทันที ก่อนจะหยิบยาสีเขียวใสออกมาเม็ดหนึ่งแล้วป่นจนละเอียดโรยลงบนแขนของหยางอี้ ชายชราหลับตาลงก่อนวางมือลงบนผิวหนังไหม้เกรียมของหยางอี้แล้วค่อยเลื่อนลงไปอย่างช้าๆ

ภาพนี้ทำให้ทุกคนมึนงง ผู้อาวุโสหลายคนถึงกับอ้าปากค้าง เนื้อไหม้เกรียมและเส้นชีพจรของหยางอี้ค่อยๆถูกรักษาจนผ่านไปเพียง 10 ลมหายใจ สภาพของแขนขวาที่ดูน่าเกลียดนั้นจึงกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม อย่าว่าแต่คนอื่น หยางอี้เองก็ตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน

“ฮี่ๆ เจ้าช่างเป็นศิษย์ฟ้าประทานของข้าจริงๆเจ้าหนู เอาล่ะวันนี้ข้าอารมณ์ดีนักจะไม่เอาความพวกเจ้า รีบใสหัวออกไปได้แล้วข้ามีธุระจะพูดคุยกับศิษย์ข้า”

คำพูดนี้คืออะไรกัน นี่มันสำนักวิหารสวรรค์ของพวกเขา เป็นสถานที่ที่พวกเขามีอำนาจที่สุด! ทว่าตอนนี้ชายชราคนหนึ่งบุกเข้ามาสังหารคนของพวกเขาไป แล้วมาตอนนี้กลับกล่าวว่าอารมณ์ดีไม่ต้องการเอาความกับพวกเขา แถมยังไล่พวกเขาออกจากที่นี่ บัดซบ!

ข่งโหลวหลินและข่งยี่จาง สองพี่น้องหมดความอดทนในที่สุด ข่งยี่จางแม้จะทะเยอทะยานแต่เขาเองก็รักสำนักที่บ่มเพาะเขามาไม่น้อยไปกว่าใคร การโดนหยามเกียรติเช่นนี้ไม่มีทางยอมเป็นเด็ดขาด

“จัดการมัน!”

ข่งโหลวหลินคำรามออกมาพร้อมกับปลดปล่อยพลังระดับจักรพรรดิขั้นที่ 2 พุ่งเข้าหากู่เทียนชางพร้อมกับข่งยี่จางรวมถึงผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้ ไกลออกไปยังยอดเขาบรรพชน ชายชราใบหน้าซีดเผือดทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเหล่ยโหลว จากนั้นก็รีบมุ่งหน้ามายังตำหนักพิพากษ์อย่างเร็วที่สุด ทว่าเมื่อมาถึงหน้าตำหนักพลังกดดันของผู้อาวุโสและเจ้าสำนักกลับปะทุระเบิดออกมาจากภายในตำหนักเสียก่อน ‘แย่แล้ว’

ภายในตำหนัก กู่เทียนชางพลันถอนหายใจยาวก่อนจะกวาดสายตามองไปยังพวกที่พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะกล่าวบอกคำออกมาซึ่งไม่รู้ว่าถามหยางอี้หรือถามตัวเขาเอง

“พวกเจ้านี่มันรกหูรกตาจริงๆ หากข้าทำลายสำนักแห่งนี้ไปคงไม่เป็นไรกะมัง?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด