เล่มที่ 3 บทที่ 5
เล้งซุนกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัดก่อนจะเดินเข้ามาหาหยางอี้ มองสำรวจชายหนุ่มอีกครั้งแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เป็นเกียรติมากที่ได้ประลองฝีมือกับนักสู้เช่นเจ้า”
เล้งซุนกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ ก่อนจะหันหน้าไปกล่าวกับผู้อาวุโสหัวล้านที่ดูแลการประลอง
“ผู้อาวุโส ข้าขอใช้สิทธิ์ทดสอบของอันดับที่หนึ่งในตอนนี้เพื่อเข้าทดสอบ ส่วนตำแหน่งอันดับหนึ่งก็ให้เจ้าหนูนี่ไปแล้วกัน”
ผู้อาวุโสพยักหน้าตกลงรับคำ เล้งซุนนั้นหันมามองหยางอี้อีกครั้งก่อนจะหมุนตัวจากไป ทว่าเสียงแหลมใสกลับดังขึ้นมาก่อน
“นี่ท่าน ใช้กำลังรังแกกันถึงเพียงนี้ไม่ละอายบ้างหรือไง”
อี้เสวียชิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่เล้งซุนใช้กำลังเต็มที่ทำให้หยางอี้บาดเจ็บ เล้งซุนเองก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาเองก็ละอายอยู่บ้างทั้งที่กล่าวไว้ว่าจะจำกัดพลังอยู่ในระดับที่ 2 เท่ากับหยางอี้แต่การปะทะครั้งสุดท้ายกลับถูกบรรยากาศในการต่อสู้ดึงเข้าไปจนลืมตัวเผลอใช้พลังจนถึงขีดสุด โชคดีที่ใช้เพียงกายาทมิฬขั้นที่ 2 หากใช้ไปถึงขั้นที่ 3 ตอนนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าหยางอี้จะเป็นเช่นไร แต่หากคิดกลับกันนี่ขนาดใช้ออกด้วยกำลังเช่นนี้แม้หยางอี้จะบาดเจ็บแต่เขาเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หากเขาจำกัดพลังไว้แล้วละก็ตอนนี้ฝ่ายที่นอนกระอักเลือดอยู่บนพื้นคงจะเปลี่ยนเป็นเขามิใช่เจ้าหนูนั่น
เล้งซุนกล่าวออกมาโดยมิหันกลับมา หากมีใครอยู่ด้านหน้าคงจะเห็นว่าใบหน้าซีดเหลืองนั่นเรื่มจะมีสีแดงจางๆออกมา
“เฮอะ แม่สาวน้อยเช่นเจ้าจะเข้าใจอะไร แค่กๆ ใช่แล้วมันคือการต่อสู้ของลูกผู้ชาย ข้าไม่อาจยั้งมือไว้ได้ มันคือการไม่ให้เกียรติเจ้าหนูนั่น!”
กล่าวจบเขาก็เดินจากไป ให้เกียรติกับผีสิ อี้เสวี่ยชิงได้แต่ทำหน้ามุ่ย ใครฟังดูก็รู้ว่าแถออกมาชัดๆ นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าลืมตัวจนเผลอใช้พลังออกมาเต็มที่เรอะ!
หยางอี้เพียงยิ้มออกมามิได้กล่าวอะไร ก่อนที่อี้เสวี่ยชิงจะนำยาลมปราณออกมาให้กินเม็ดหนึ่งเพื่อฟื้นฟูแล้วจึงประคองชายหนุ่มกลับเรือนไปเพื่อพักฟื้น เมื่อหมดเรื่องก็ต้องรอถึงช่วงเย็นจึงจะสามารถเปลี่ยนเรือนตามที่ชิงอันดับมาได้ แน่นอนว่าเรือนแต่ละหลังจะมีหินลมปราณอยู่จำนวนไม่เท่ากัน ยิ่งอันดับสูงก็ยิ่งมีจำนวนมาก ความหนาแน่นของลมปราณภายในเรือนนั้นเทียบไม่ได้กับด้านนอกเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับตอนที่เล้งซุนเปิดประตูออกมาแล้วมีพลังปราณหนาแน่นทะลักออกมานั่นคือพลังปราณที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากหินลมปราณที่ทางสำนักใช้เพื่อฟูมฟักเหล่าศิษย์
เมื่อหมดเรื่องต่างคนต่างแยกย้าย หยางอี้นั่งฟื้นฟูลมปราณภายในเรือนไม้อย่างช้าๆ ตอนนี้ไม่สะดวกนักที่จะเข้าไปภายในมิติ ผ่านไป 2 ชั่วยามกำลังของชายหนุ่มจึงกลับมาครบสมบูรณ์เช่นดังเดิม
“เฮ้ เจ้าหนูรีบเข้ามาเร็ว”
ภายในห้วงความคิดของหยางอี้ เสียงแหลมเล็กของเสี่ยวเฮยดังขึ้น จึงทำให้หยางอี้ออกจากสมาธิ แม้จะแปลกใจแต่ชายหนุ่มก็รีบเข้าไปในทันที
มองไปที่เตาหลอมโบราณ หยางอี้พบว่าเสี่ยวเฮยกำลังจ้องมองมันด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เจ้าหนู ครั้งนี้เจ้าได้ของดีเข้าแล้ว ฮ่าๆ ข้าเองยังคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะคือสิ่งนั้น”
“สิ่งนั้น?”
“ฮี่ๆ นี่มันไม่ใช่เตาหลอมโอสถหรอก แม้จะสามารถกลั่นโอสถได้เช่นกันทว่าความจริงมันคือหม้อจิตวิญญาณ ในอดีตมีเอลฟ์ผู้หนึ่งที่หลงใหลในศาสตร์มืด เขาใช้วิธีการทดลองต่างๆนานาเพื่อให้บรรลุในศาสตร์แห่งวิญญาณ ภายหลังการกระทำของเขาไม่เป็นที่ยอมรับของเผ่าเอลฟ์เขาจึงถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีต และถูกเนรเทศออกจากเผ่า ทว่าภายหลังด้วยความมุ่งมั่นเขาจึงค้นพบหนทางและได้สร้างหม้อจิตวิญญาณใบนี้ขึ้นมา ในตำนานกล่าวไว้ว่าหม้อใบนี้ได้หลอมรวมเอาวิญญาณของเผ่าเอลฟ์หลายหมื่นดวงเพื่อกลั่นตัวมันเองจนออกมาอยู่ในสภาพนี้ และผู้ที่สร้างหม้อใบนี้ขึ้นมาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหม้อใบนี้สามารถกลั่นดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตให้ออกมาอยู่ในรูปแบบผลึกพลังงานได้ ในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่นๆเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ดวงวิญญาณจะหวนคืนสู่สังสารวัฏ นอกเสียจากจะเป็นพวกดวงวิญญาณร้ายหรือดวงวิญญาณที่ยังคงมีพันธะอยู่ แต่หากดวงวิญญาณเหล่านั้นถูกกลั่นด้วยหม้อจิตวิญญาณใบนี้... ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะแตกสลายไปตลอดกาลและถูกหลอมรวมให้กลายเป็นผลึกแหล่งพลังงาน”
หยางอี้ที่ฟังไปแล้วคิดตามก็คาดการณ์ได้ทันทีว่าหม้อใบนี้เป็นสิ่งชั่วร้ายแน่นอน ถึงแม้หยางอี้อาจเรียกตัวเองได้ว่าโหดเหี้ยมแต่ความโหดเหี้ยมนั้นแตกต่างกับคำว่าชั่วร้าย ชายหนุ่มแน่นอนว่าไม่คิดจะใช้หม้อใบนี้
เสี่ยวเฮยอยู่กับหยางอี้มาหลายปีแน่นอนว่าย่อมรู้นิสัยใจคอชายหนุ่ม เพียงเห็นท่าทีของหยางอี้เขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวต่อ
“แน่นอนว่าหม้อใบนี้นั้นเคยเป็นสิ่งชั่วร้าย ทว่าในอดีตนั้นหลังจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์เกือบจะสูญสิ้น ชายผู้นั้นกลับเสียใจอย่างมากเมื่อพบว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เผ่าพันธุ์ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญดวงวิญญาณเหล่านั้นของเพื่อนพ้องญาติมิตรยังต้องดับสูญ ดังนั้นเขาจึงใช้ความรู้ทั้งหมดในการดัดแปลงแก้ไขและใช้ดวงวิญญาณของตัวเองสังเวยเพื่อผนึกหม้อจิตวิญญาณใบนี้เอาไว้”
เสี่ยวเฮยหยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ความสามารถของหม้อใบนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดหลังจากที่มันถูกดัดแปลงครั้งสุดท้าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจแน่นอนคือมันสามารถกลั่นดวงจิตสัตว์อสูรได้”
หยางอี้ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แน่นอนว่าดวงจิตสัตว์อสูรคือหนึ่งในสองสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการเพื่อหลอมดาบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่คำพูดต่อมาของเสี่ยวเฮยนั้นกลับทำให้ใบหน้าเขาหมองหม่นขึ้นมาทันที
“แต่ว่าน่าเสียดายที่เจ้านั่นผนึกมันไว้ด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เก้าชนิด และมันมิใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาเปลวเพลิงพวกนี้”
“เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์?”
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องพวกนั้น ตอนนี้หลังจากที่ข้าตรวจสอบแล้ว หากเพียงแค่ใช้หลอมโอสถเจ้าสามารถทำได้ตามสบาย การที่มันมีอาการสั่นนั้นเพียงแค่ผลข้างเคียงจากการถูกผนึกเท่านั้น ต่อให้เจ้าอัดพลังจนหมดร่างมันก็ยังไม่มีแม้รอยขีดข่วนแน่นอน”
หยางอี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เดิมทีชายหนุ่มคิดว่าหม้อใบนี้จะไม่สามารถใช้งานได้เสียแล้ว 3,000 แต้มที่เสียไปก็ยังนับว่าคุ้มค่า
“เอาล่ะเจ้าหนู ข้าเหนื่อยมากในช่วงที่ผ่านมา ข้าจะพักสักเล็กน้อย 10 วันหลังจากนี้หากเจ้าสามารถควบคุมเปลวไฟตามที่ข้าให้ฝึกได้ถึง 7 ใน10 ส่วน ข้าจะพาเจ้าไปหาดวงจิตอสูรตามที่สัญญาไว้ แต่หากไม่....”
เจ้างูน้อยหรี่ตาหันมามองหยางอี้วางท่าราวกับเป็นปรมาจารย์ ด้วยภาพนี้ทำให้หยางอี้ต้องพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างหนักแน่น
“แน่นอน ข้าจะทำมันให้สำเร็จ เจ้าวางใจได้เลย”
เสี่ยวเฮยตากระตุกคราหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วหายลับไปยังส่วนลึกของมิติ ยิ่งอยู่นานหยางอี้ยิ่งหมดความเคารพที่มีต่อเขาเช่นเมื่อก่อน ทว่าจะโทษใครก็ไม่ได้ตัวเขาเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าเมื่อออกมาจากห้วงมิติแล้วจะตัวหดกลายเป็นเพิ่งฟักออกจากไข่แบบนี้
หยางอี้จัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มฝึกทันที ก่อนจะออกไปครั้งก่อนเขาทำได้เพียง 4 ใน 10 ส่วน 1,000 แผ่นสำเร็จเพียง 400 แผ่น ดังนั้นการจะเพิ่มอัตราความสำเร็จอีก 3 ส่วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องชมกู่เทียนชางในใจอีกครั้ง อาจารย์ของเขานับว่าเป็นสุดยอดในด้านนี้โดยแท้ ทักษะซ่อนจันทร์ดับดารานั้นถือว่าครอบคลุมแทบจะทุกด้านของผู้ที่ต้องการเป็นปรมาจารย์โอสถจริงๆ ด้วยประโยชน์มากมายเช่นนี้ทำให้หยางอี้อดซาบซึ้งไม่ได้ที่กู่เทียนชางถ่ายทอดให้เขาตั้งแต่ครั้งแรกที่จากกัน
หยางอี้เลิกคิดเรื่องนี้เพื่อจะเริ่มฝึกฝน แต่ชั่วขณะเหมือนสิ่งที่ลืมไปกลับแว่บเข้ามา ดวงตาชายหนุ่มเผยแววอาฆาตเล็กน้อย ก่อนจะหายไป
ที่ผ่านมามีเพียงแมลงตัวจ้อยที่เข้ามารบกวนจึงทำให้หยางอี้หลงลืมไปบ้าง แต่ว่าหากปล่อยตัวแม่ไว้แมลงตัวน้อยเหล่านี้ก็จะเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“ครั้งหน้าคงได้เวลาจบเรื่องน่ารำคาญพวกนี้แล้ว เฉินซิ!”
วันเวลาผ่านไป หยางอี้ทุกวันยังคงฝึกการเผากระดาษอย่างขยันขันแข็ง ทุกวันต้องอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อจนพลังปราณภายในร่างแห้งเหือดถึงหยุดพักตบเม็ดยาที่กู่เทียนชางทิ้งให้ไว้เพื่อบ่มเพาะพลังปราณต่อเนื่อง
วิธีการฝึกแบบนี้ทำให้พลังปราณของชายหนุ่มเข้มข้นและก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อเมื่อฝึกหนักจนฉีกขาดและพักผ่อนจึงเกิดเป็นมัดกล้ามที่แข็งแรง บ่อพลังปราณภายในร่างเมื่อเหือดแห้งและถูกเติมเต็มอย่างฉับพลันด้วยโอสถวิเศษจึงทำให้มันถูกกระตุ้นจนขอบเขตถูกขยายออก
หยางอี้ยิ่งฝึกมากก็ยิ่งคุ้นเคย ความชำนาญล้วนมาจากการฝึกหนัก ผ่านมา 10 วันภายในมิติหยางอี้เผากระดาษไปนับแสนแผ่น แต้มที่มีเหลือไว้ก็ร่อยหรอจนแทบไม่เหลือแล้ว หากเสี่ยวเฮยไม่กล่าวเตือนว่าการหาดวงจิตสัตว์อสูรต้องเข้าไปยังส่วนในของป่าสวรรค์แล้วล่ะก็ ชายหนุ่มคงใช้แต้มแลกกระดาษมาหมดแล้ว
690 แผ่น
หยางอี้นับตัวเลขของความสำเร็จไว้ในใจ ผ่านมา 10 วันความสำเร็จคงที่อยู่ 6 ใน 10 ส่วน แต่เกณฑ์ที่เสี่ยวเฮยตั้งไว้คือ 7 ใน 10 ส่วน กระดาษ 1,000 แผ่นสุดท้าย ถูกเผาไปแล้ว 990 แผ่น และสำเร็จ 690 แผ่น อีก 300 แผ่นล้วนเสียหายไม่สมบูรณ์ 10 แผ่นสุดท้ายนี้หยางอี้ต้องไม่พลาดแม้แต่แผ่นเดียว
หลายวันที่ผ่านมานี้เสี่ยวเฮยเองก็ออกมาดูหยางอี้ฝึกอยู่เรื่อยๆ แม้จะยื่นคำขาดไปเช่นนั้นแต่นั่นก็เพราะอยากให้หยางอี้มีเป้าหมายที่สูงเข้าไว้และไม่หลงระเริงกับความสำเร็จที่เล็กน้อยเช่นนี้
แต่ความเป็นจริงในใจเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน วิธีการฝึกที่ให้หยางอี้ทำนั้นมีความยากอยู่ในระดับที่สูงมาก แม้หยางอี้จะได้เปรียบเพราะมีความชำนาญในการควบคุมลมปราณจากทักษะซ่อนจันทร์ก็ตาม แต่นับจากเริ่มจนถึงบัดนี้ผ่านไปไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำแต่ความสำเร็จของชายหนุ่มมาจนเกือบถึง 7 ใน 10 ส่วนแล้ว ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์โอสถมาเองยังคงต้องใช้เวลานับปีถึงจะมีความสำเร็จในระดับ 5 ใน 10 ส่วน แล้วจะไม่ให้เสี่ยวเฮยตกตะลึงได้อย่างไร แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตจากยุคบรรพกาลทว่าความสามารถและพรสวรรค์ของเจ้าหนูนี่น่ากลัวเกินไป
ทั้งความมุ่งมั่น ความเข้าใจ ความเพียร พรสวรรค์ และความสามารถของชายหนุ่มเรียกได้ว่าฟ้าประทานมาให้อยู่เหนือผู้อื่นโดยแท้
691
695
699
“แฮ่กๆ แผ่นสุดท้าย”
หยางอี้หอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อมองไปยังกระดาษแผ่นสุดท้ายในถังน้ำ ความสำเร็จเช่นนี้เสี่ยวเฮยยังคงอดทึ่งไม่ได้ แต่เดิมถึงหยางอี้จะทำไม่ได้เขาก็จะพาไปหาดวงจิตอสูรอยู่แล้ว ที่พูดออกไปเช่นนั้นก็เพื่อกดดันหยางอี้ให้มุ่งมั่นในการฝึก ทว่าผลที่ออกมากลับน่าตกใจจนเกินไป
หยางอี้ค่อยๆปรับลมหายใจให้คงที่ก่อนจะตั้งสมาธิแล้วใช้ลมปราณประคองกระดาษเปียกให้ลอยขึ้นมาตรงหน้า
สูดหายใจลึกทีหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยสมาธิจ้องมองไปยังกระดาษตรงหน้าก่อนจะเริ่มจุดไฟขึ้นที่มืออีกข้างหนึ่งแล้วผลักดันเข้าล้อมรอบกระดาษนั้น
ควันสีขาวจากการเผาไหม้ค่อยๆกระจายออกมาก่อนจะกลายเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่ด้านบน
ฟู่ๆๆ
หยางอี้ควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟให้ล้อมรอบกระดาษอย่างช้าๆโดยไม่ให้โดนตัวกระดาษ ความร้อนค่อยๆแผ่กระจายเข้าสู่กระดาษจากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง กระดาษเปียกน้ำที่มีสีคล้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวหลังจากแห้งแล้วช้าๆ จากด้านข้างสู่ใจกลาง กระบวนการทุกอย่างเต็มไปด้วยความพิถีพิถัน เมื่อกระดาษเริ่มมีส่วนที่แห้งหยางอี้ต้องควบคุมอุณหภูมิให้สอดคล้องด้วยเช่นกันมิฉะนั้นกระดาษแห้งจะลุกไหม้ทันที
กระบวนการมากมายใช้ออกด้วยการทุ่มสมาธิเต็มที่แต่ความจริงเวลายังผ่านไปไม่ถึง 5 ลมหายใจด้วยซ้ำ และในที่สุดเป้าหมายของชายหนุ่มก็บรรลุผล
“8 ลมหายใจ”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างพอใจก่อนจะฟุบชันเข่าลงไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ยอดเยี่ยม ไม่คิดว่าเจ้าจะทำได้จริงๆ เอาล่ะ พักสักหน่อยแล้วค่อยไปที่ป่าสวรรค์กัน”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยทั้งสองจึงตกลงว่าอีก 2 ชั่วยามจึงจะออกไปด้านนอกเพื่อเข้าสู่ป่าสวรรค์
เมื่อฟื้นฟูกำลังแล้วหยางอี้และเสี่ยวเฮยจึงออกจากมิติเพื่อมุ่งหน้าสู่เขาเดิมพัน ในมิติผ่านไปแล้ว 10 วันด้านนอกเพิ่งจะผ่านไปได้ 2 วันเท่านั้น หยางอี้ตอนนี้ย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนไม้หมายเลข 1 แล้ว เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตเสี่ยวเฮยจึงกลับไปขดตัวพันแขนของหยางอี้เช่นเดิมกับตอนที่ยังเป็นรอยสัก
ชายหนุ่มเดินออกจากเรือน ระหว่างทางยังคงสอบถามศิษย์ใหม่เล็กน้อยถึงข่าวคราวด้านนอก นอกจากข่าวที่เล้งซุนสามารถผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์สายในได้แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ส่วนเรื่องของหยางอี้นั้นก็รู้กันเพียงในหมู่ศิษย์ของเขาทดสอบเท่านั้น ด้วยเวลาที่จำกัดจึงทำให้มีไม่มากนักที่ศิษย์สายนอกจะออกไปเที่ยวเตร่นอกเขา ทั้ง 100 อันดับแรกที่มีสิทธิ์ออกไปนั้น ล้วนแล้วแต่ให้ความสนใจกับการฝึกฝนเสียมากกว่า อันที่จริงหลายเดือนมานี้มีเพียงหยางอี้คนเดียวที่ออกนอกเขา เรื่องฝึกฝนก็เป็นส่วนหนึ่งทว่าความจริงที่น่าสงสารคือคนอื่นๆต่างมีแต้มกันเรียกได้ว่าอนาถเลยด้วยซ้ำ นอกจากศิษย์ใหม่ที่ได้รับเป็นรางวัลมา ศิษย์เก่านั้นยากจนจนเหลือแต่กระดูก
เดินทางด้วยกระบี่เหินฟ้าไม่นานหยางอี้ก็มาถึงหน้าตำหนักแลกถุงและป้ายผ่านค่ายกล ชายหนุ่มยังคงมองหาศิษย์คนเดิมเพื่อดำเนินการ
ศิษย์พี่คนนี้เมื่อเห็นหยางอี้อีกครั้งก็ยังอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้กับความใจร้อนของชายหนุ่ม และเมื่อดำเนินการเขาก็ยิ่งตื่นตระหนกและกล่าวเตือนอีกครั้งทว่าหยางอี้ยังคงไม่ใส่ใจและให้ค่าสินบนเล็กน้อยเพื่อเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เมื่อเห็นความใจกว้างของหยางอี้ เขาจึงได้แต่คิดว่าครั้งที่แล้วหยางอี้คงจะประสบโชคมาไม่น้อยและมีแต่เขาที่คิดไปเองว่าชายหนุ่มใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง
หยางอี้ใช้แต้มทั้งหมดกับการเช่าป้ายทอง 3 วันและถุงระดับสูงอีก 1 ใบ เดิมทีชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องเช่าถุงด้วยซ้ำเพราะมีเพียงแหวนมิติที่ถูกผนึกไว้ทว่าตัวเขาเองมีมิติพิเศษอยู่แล้ว ด้วยขนาดของมิติต่อให้เก็บสมุนไพรทั้งสวนก็ยังยัดเข้าไปได้อย่างสบาย
ระหว่างเดินไปยังประตูค่ายกลหยางอี้คิดถึงถ้ำหลังน้ำตกและสมุนไพรอีกมากมายที่เคยพบเจอทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ตัวเขาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีเด่นอะไรอยู่แล้ว เห็นทีคราวนี้คงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย
โดยมิได้สังเกตผู้คนที่มองมายังหยางอี้ต่างตกตะลึงเพราะบรรยากาศและรอยยิ้มชั่วร้ายนั้นราวกับว่าชายหนุ่มเป็นมหาโจรร้ายที่กำลังวางแผนจะยกเค้าบ้านเศรษฐี
หยางอี้เข้าสู่ป่าสวรรค์ทันทีไม่รีรอและมุ่งตรงไปยังถ้ำหลังน้ำตกทันที หญ้าบัวราตรีจำนวนมากกำลังรอเขาอยู่ เพียงคิดถึงการประมูลที่นำออกมาเพียง 2 ดอกก็ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อคิดถึงความมั่งคั่ง
***
ด้านนอกป่าสวรรค์เหมือนดังเดจาวู เมื่อครั้งหยางอี้เข้ามาป่าสวรรค์ครั้งที่แล้ว ศิษย์สองคนที่แอบติดตามหยางอี้มาครั้งนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น......
“ศิษย์น้อง เจ้ารีบไปรายงานนายน้อยว่าตอนนี้เจ้าหยางอี้มันเข้าป่าสวรรค์แล้ว”
วูปปป
เงาดำสายหนึ่งเคลื่อนที่ตัดผ่านป่าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางป่ารกหยางอี้ไม่เสียเวลาแม้แต่น้อยในเขตนอก เพื่อให้มีเวลามากที่สุดในการตามหาดวงจิตอสูร เมื่อผ่านค่ายกลเข้ามาชายหนุ่มมุ่งหน้าเข้าสู่เขตกลางเพื่อตรงไปยังเส้นทางที่จดจำไว้เมื่อเข้ามาครั้งที่แล้วทันที
ด้วยความรวดเร็วผ่านไปไม่นานหยางอี้ก็มาถึงน้ำตกใหญ่ที่เป็นแหล่งกำเนิดของหญ้าบัวราตรี ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องรอเวลาค่ำคืนเพื่อหามัน ชายหนุ่มตรงเข้าสู่ถ้ำหลังน้ำตกทันที
ด้วยความช่ำชองผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามขุมทรัพย์หญ้าบัวราตรีกว่าร้อยต้นก็ถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่มิติพิเศษจนหมด ชายหนุ่มยิ้มอย่างเบิกบานใจก่อนจะมุ่งหน้าออกจากถ้ำและเข้าสู่เขตในทันที
ตลอดระยะทางหยางอี้แปลกใจไม่น้อยที่ไม่พบสัตว์อสูรเลยสักตัว ระยะทางจากเขตกลางสู่เขตในนั้นไกลพอสมควร เนื่องจากเขตในเป็นบริเวณเขาแฝดทำให้สามารถมองเห็นได้เด่นชัด
หยางอี้ผ่านค่ายกลเข้ามาด้วยป้ายทองตามกฎของเขาเดิมพัน ภายในนั้นมีบรรยากาศแตกต่างกับภายนอกอย่างชัดเจน ทั้งความเข้มข้นของลมปราณธรรมชาติและแรงกดดันมีมากจนเขตกลางเทียบไม่ติด
หยางอี้ลดความเร็วลงอย่างมากเปลี่ยนมาเป็นเดินสำรวจทีละน้อย เสี่ยวเฮยออกมาอยู่บนไหล่หยางอี้ แล้วคอยแนะนำเส้นทางให้กับชายหนุ่ม เดิมทีหยางอี้ยังคงต้องการค้นหาสมุนไพรอยู่แต่การมาครั้งนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการหาดวงจิตระดับสูง ดังนั้นเรื่องอื่นต้องวางเอาไว้ก่อน หยางอี้เองก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าเสี่ยวเฮยจะใช้วิธีใดในการหาดวงจิตอสูร แม้จะไม่เต็มสิบส่วนแต่หยางอี้ยังมั่นใจถึง 8 ส่วนว่าจะเอาตัวรอดภายในเขตในนี้ได้ จากที่ได้รับข้อมูลมาภายในเขตสัตว์อสูรที่มีระดับสูงสุดคือระดับสวรรค์ขั้นที่ 8 และหยางอี้ในตอนนี้สามารถรับมือกับสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นที่ 3 ได้อย่างสูสี หากเจอที่ระดับสูงกว่านั้นคงได้แต่ต้องพึ่งความเร็วในการหนี
ครั้งนี้ไม่เหมือนการปะทะกับราชาวานรเผือก หยางอี้จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ราชาวานรเผือกนั้นอยู่ในระดับ 5 ขนาดร่วมมือกัน 5 คนกับพวกเจินเซียงยังแทบเอาตัวไม่รอด ดังนั้นเมื่อต้องปะทะคนเดียวหยางอี้อดไม่ได้ที่จะต้องเสียวสันหลัง เพราะเป้าหมายนั้นคือดวงจิตสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นสูง! ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบเจอพวกมันได้ ตอนนี้ได้แต่หวังว่าวิธีการของเสี่ยวเฮยจะไม่ยุ่งยากถึงกับต้องปะทะกับพวกมัน
“ได้เรื่องแล้วเจ้าหนู ข้าสัมผัสได้ถึงเจ้าเด็กน้อยพวกนั้น ดูเหมือนจะเป็นเชื้อสายที่พลัดหลงมาอยู่ในจักรวรรดิแห่งนี้”
เสี่ยวเฮยกล่าวขึ้นมา ทำให้หยางอี้อดไม่ได้ที่จะสงสัย แต่ก็มิได้ถามอะไรออกมาเพียงมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่เสี่ยวเฮยบอกเท่านั้น ยิ่งมายิ่งลึก โดยไม่รู้ตัวเดินทางตามเส้นทางที่เสี่ยวเฮยบอก ตอนนี้หยางอี้พลันหน้าเปลี่ยนสี หน้าผากหลั่งเหงื่อออกมาไม่หยุด เพราะเบื้องหน้าของเขาเป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่บนยอดเขาแฝด
แรงกดดันมหาศาลแผ่พุ่งออกมาจากใจกลางแอ่งกระทะไม่หยุดหย่อน เหมือนเป็นการประกาศอาณาเขตของผู้ปกครองอย่างชัดเจน หยางอี้สัมผัสได้ถึงอาณาเขตนั้นจึงหยุดเท้าลงแล้วลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากก้าวเข้าไปอีก 5 ก้าวจะเป็นการบุกรุกอาณาเขตนี้อย่างชัดเจน หยางอี้เคยสัมผัสมาแล้วเมื่อครั้งถูกราชาวานรไล่ล่า ความเร็วของสัตว์อสูรระดับสูงไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นได้
“เสี่ยวเฮย อย่าบอกนะว่าไอ้ตัวที่เจ้าให้ข้ามาหาน่ะคือ...”
“ใช่แล้ว ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในป่าแห่งนี้แล้ว”
“บัดซบ เจ้าจะพาข้ามาตายหรือไงกัน”
หยางอี้สบถออกมาอย่างหัวเสีย เจ้าตัวนี้คือตัวที่เขาคอยหลีกเลี่ยงและไม่อยากเจอมากที่สุดไม่ใช่หรือ
“เฮ้ไอ้หนู เจ้าคิดว่าข้าผู้นี้เป็นใครกัน อีกอย่างจะหาทั้งทีมันก็ต้องหาของที่ยอดเยี่ยมที่สุดสิฟะ”
งูน้อยแผดเสียงเล็กแหลมออกมาทำให้หยางอี้ได้แต่ขมุบขมิบปาก เสี่ยวเฮยจึงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“เจ้าคิดว่าในป่าแห่งนี้มีสัตว์อสูรระดับสูงกี่ตัวกัน? แล้วตลอดทางที่เข้ามานี่เจ้าพบเจอสักตัวงั้นหรือ?”
หยางอี้เองก็ประหลาดใจอยู่นานแล้ว ตลอดระยะทางที่เข้ามา แม้จะได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรอยู่ไกลๆ แต่ในระยะ 5 กิโลเมตรรอบตัวกลับไม่มีแม้แต่สัมผัสของสัตว์อสูรเลยด้วยซ้ำ
“หรือว่าเจ้าทำอะไรงั้นหรือ”
“ทำอะไร? ทำไมข้าต้องทำอะไรด้วย เพียงแค่ตัวตนของข้าก็มากพอแล้วที่จะขับไล่หนอนแมลงพวกนั้น”
เสี่ยวเฮยชูคอขึ้นกล่าวออกมาอย่างภูมิใจ หยางอี้เห็นเช่นนี้ก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่อย่างไรสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นที่ 8 ก็ไม่ใช่อะไรที่จะวางใจได้ แม้จะสามารถขับไล่ตัวอื่นๆไปได้ แต่พวกระดับสูงนั้นล้วนมีสติปัญญาสูง แถมยังอยู่ในฐานะราชันของป่าแห่งนี้ มันต้องเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองแน่นอน และเมื่อเหลียวมองมายังงูน้อยน่ารักสีดำบนไหล่ หยางอี้ก็อดไม่ได้ที่จะคิดหนักอีกครั้ง
“ไปได้แล้ว อย่ามัวชักช้า”
เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาโดยไม่สนใจท่าทีของหยางอี้
เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ หยางอี้ก็หลุดพ้นป่ารกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เบื้องหน้าเป็นแอ่งกระทะกว้างที่เต็มไปด้วยโขดหินเล็กใหญ่ วางเรียงสลับกันเต็มไปหมด ตรงกึ่งกลางมองดูแล้วเป็นรูกลวงโบ๋ลงไปมีควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาตลอดเวลา ภาพนี้ทำให้หยางอี้รู้ได้ทันทีว่าแท้จริงแล้วภูเขาลูกนี้คือภูเขาไฟ ไม่ใช่เขาธรรมดา
ไอน้ำสีขาวไม่ได้ผุดขึ้นมาจากปล่องของมันเท่านั้น บริเวณโขดหินและพื้นยังคงมีรูเล็กๆที่ไอน้ำหลุดลอดขึ้นมาทั่วแอ่งกระทะ แต่สิ่งที่ทำให้หยางอี้ตาโตและตกตะลึงไม่ใช่ภาพของภูมิประเทศเหล่านี้ แต่เป็นต้นไม้เลื้อยเล็กๆที่เหมือนกับอสรพิษสีแดงขึ้นอยู่ทั่วแอ่งกระทะเต็มไปหมด
“อ่า นี่มันคือสมุนไพรชนิดใดกัน”
หยางอี้ไม่รู้จักต้นไม้พวกนี้แต่มั่นใจได้อย่างแน่นอนว่ามันต้องมีระดับสูง เพราะในสมุนไพรระดับหนึ่งนั้นหยางอี้ศึกษามาหมดแล้ว อีกทั้งระดับสองเองก็ศึกษามาบางส่วน ดังนั้นต้นไม้สีแดงเบื้องหน้าจะต้องมีระดับที่สูงกว่าเพราะหยางอี้ไม่เคยเห็นมันในตำราของกู่เทียนชาง
“ฮึ่ม! เจ้าอย่าเพิ่งมาโลภมากตอนนี้ หากกำราบเจ้าตัวที่อยู่ข้างล่างนี่ได้ สมุนไพรทั้งหมดนี่แน่นอนว่าจะเป็นของเจ้า”
เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภของหยางอี้
หยางอี้เลิกสนใจสมุนไพรพวกนี้ชั่วขณะ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในแอ่งกระทะ แน่นอนว่าตั้งแต่เข้ามาชายหนุ่มก็โคจรทักษะซ่อนจันทร์ไว้ก่อนแล้ว แม้จะไม่สามารถตบตาพวกระดับสูงได้แต่หากไม่อยู่ใกล้จนเกินไปก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงทันทีเมื่อหยางอี้ก้าวเท้าเข้ามาภายในลานหินด้านบนปล่องภูเขาไฟ เสี่ยวเฮยคอยบอกทางหยางอี้ให้ก้าวเดินไปช้าๆ เขาเองก็แปลกใจไม่น้อยว่าทำไมเจ้าตัวที่อยู่ข้างล่างนี่ไม่ยอมโผล่ขึ้นมา ความจริงมันน่าจะสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาได้แล้ว
“หยุดก่อนเจ้าหนู! รีบถอยก่อนเร็วเข้า!”
เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาเสียงดังก่อนที่หยางอี้จะหยุดลงแล้วรีบกระโดดถอยออกจากบริเวณปล่องภูเขาไฟ จากนั้นพื้นที่ทั่วทั้งภูเขาพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงร้องของสัตว์อสูรภายในป่ากู่ร้องกันอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อออกห่างจากเขาเขตในให้มากที่สุด
ทันทีที่ภูเขาไฟเกิดการสั่นไหว ภายนอกค่ายกลที่ล้อมรอบป่าสวรรค์เหล่าศิษย์ต่างได้รับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาทันที ความตื่นตระหนกเริ่มปกคลุมก่อนจะมีประกาศให้ทุกคนออกจากบริเวณเขาเดิมพันทันที ก่อนที่ชายชราชุดคลุมเงินคนหนึ่งจะรีบออกมาจากตำหนักแฝดที่ตั้งอยู่หน้าป่าสวรรค์
“รีบไปแจ้งผู้อาวุโสสูงสุดและเจ้าสำนักทันที ราชันย์แดงมีการเคลื่อนไหวแล้ว”
หลังจากสั่งการเสร็จเขาก็รีบพุ่งทะยานเข้าสู่ป่าสวรรค์ทันที พร้อมๆกับที่ลึกลงไปในทะเลสาบขนาดใหญ่อันมืดมิดบนยอดเขาแฝดอีกลูกได้มีดวงตากลมรีดวงใหญ่สีฟ้ามรกตได้เปิดขึ้น
ภายในเขตแอ่งกระทะด้านบนปล่องภูเขาไฟ ไอน้ำจำนวนมากพวยพุ่งออกจากรูตามพื้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินจะแยกออก หยางอี้กลายเป็นใบหน้าขาวซีดทันที หัวใจเต้นสั่นระรัว นี่ไม่ใช่ความตื่นเต้นแต่เป็นความวิตกกังวล แรงกดดันที่ส่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย
เพียงสัมผัสกับมันก็ทำให้ผิวหนังชายหนุ่มร้อนผ่าวราวกับจะไหม้เกรียม หยางอี้จ้องมองไปยังปล่องภูเขาไฟที่เริ่มปริแตกเล็กน้อย พื้นหินที่ชายขอบเริ่มร่วงลงสู่ด้านล่างทีละน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“ส เสี่ยวเฮย เจ้าแน่ใจว่าเอาอยู่ใช่ไหม”
“เอ่อ........ คิดว่างั้นนะ”
เสียงเล็กแหลมของเสี่ยวเฮยที่พูดออกมานั้นไม่ได้ทำให้หยางอี้ใจชื้นขึ้นเลยแม้แต่น้อย ต้องเรียกว่าทำให้กำลังใจตกวูบลงเสียมากกว่า
“นั่นมันตัวอะไรกัน”
หยางอี้กล่าวออกมาเสียงสั่นๆ เมื่อมองไปยังร่างใหญ่ยักษ์สีแดงสดที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ ลำตัวยาวเหยียดสีแดงมีลายคาดทองค่อยๆโผล่ขึ้นมา จนส่วนหัวของมันเริ่มปรากฏพ้นขอบปล่องภูเขาไฟขึ้นมา ดวงตากลมโตสีทองที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจจ้องมองมายังหยางอี้อย่างเพ่งพินิจ
หยางอี้มองไปยังหัวที่เหมือนอสรพิษสีแดงอันน่าเกรงขามเบื้องหน้าโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง ดวงตาสีทองดวงใหญ่ตัดกับผิวหนังสีแดงเพลิงอย่างน่าเกรงขาม ด้านบนหัวของมันยังมีเขานูนขึ้นมาเล็กๆ ทำให้ชายหนุ่มไม่มั่นใจนักว่ามันคืออสรพิษหรือมังกรกันแน่
“เป็นลูกหลานของเจ้านั่นนี่เอง ถึงว่าทำไมมันไม่เกรงกลัวข้า”
หยางอี้มองไปยังเสี่ยวเฮยด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อฟังจากเสียงของเสี่ยวเฮยแล้วชายหนุ่มจึงมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง เพราะเสียงเล็กแหลมนั้นกลับมาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจอันหยิ่งผยองเช่นเดิมแล้ว
“มันคือตัวอะไรกันแน่ หรือว่าจะเป็นมังกรสัตว์จากยุคโบราณ”
“มังกร? เพ่ย ก็แค่งูน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรให้ใส่ใจ”
หยางอี้ได้ฟังแล้วอยากจะตะคอกกลับไปเสียให้ได้ เจ้ายังกล้าพูดว่าแค่งูน้อยตัวหนึ่ง? เพ่ย! ทำไมไม่มองดูขนาดตัวเจ้ากับมันบ้างว่าแตกต่างกันเพียงใด สายตาของเจ้ามีปัญหาเรอะ!
“อสรพิษเพลิงโลกันต์ หนึ่งในสายเลือดบริสุทธิ์จากยุคโบราณ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะยังหลงเหลืออยู่ ดูท่าแล้วมันคงบำเพ็ญตะบะมาหลายพันปีในที่แห่งนี้ถึงได้เริ่มเข้าสู่การวิวัฒนาการ ดูจากเขาที่งอกออกมาแล้ว มันคงเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ฮี่ๆ เจ้าหนูครั้งนี้นับว่าเจอของดีเข้าแล้ว”
หยางอี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ตัวชายหนุ่มเองยังไม่รู้แน่ชัด แต่ที่แน่นอนคือสัตว์อสูรเบื้องหน้าเขาตัวนี้ไม่ใช่ระดับสวรรค์ขั้นที่ 8 ตามที่ได้รับข้อมูลมาแล้ว จากแรงกดดันและพลังปราณที่แผ่พุ่งออกมาจนผิวหนังของเขาแทบจะไหม้เกรียมนี้มันคือระดับจักรพรรดิ!
“มนุษย์ตัวจ้อยเอ๋ย บังอาจนักที่บุกรุกถิ่นบำเพ็ญเพียรของข้า ในอดีตอันยาวนานด้วยสัญญาที่ผู้ก่อตั้งสำนักแห่งนี้ตกลงกับข้าไว้ถือว่าสิ้นสุดในวันนี้ ข้าเองก็อดทนมานานแล้วที่ต้องอยู่ท่ามกลางหนอนแมลงเช่นพวกเจ้า”
หยางอี้กลายเป็นงงงวยในหัวพลันขาวโล่ง สัญญาบ้าบออะไรกัน ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง อสรพิษเพลิงโลกันต์นั้นจ้องมองหยางอี้อีกครั้งอยู่นาน โดยที่ชายหนุ่มเองก็ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ในใจของมันนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย หากเป็นมนุษย์คนอื่นที่กล้ามารบกวนมัน เช่นนั้นคงโดนเผาไปนานแล้ว ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับมีกลิ่นอายอันโบราณของเผ่าพันธุ์อสรพิษอยู่
“เจ้าแมลงน้อย จงบอกข้าทำไมตัวเจ้าจึงมีกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์อสรพิษ”
หยางอี้อยากจะถามออกไปเหมือนกันว่ามันตาบอดหรือเปล่า ถึงไม่เห็นเสี่ยวเฮย แต่เมื่อหันกลับมามองที่ไหล่ของตัวเองเขาจึงรู้ว่าเสี่ยวเฮยนั้นหายไปแล้ว
‘เจ้าหนูถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน คราวนี้ถือว่าเจ้าดวงดียิ่งนักเพราะมีอีกตัวกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ หากข้าเปิดเผยตัวตนออกไปเดี๋ยวจะเสียเรื่อง’
เสียงของเสี่ยวเฮยดังขึ้นในโสตประสาทของหยางอี้ โดยมิรู้ตัวหยางอี้เองก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวเฮยกลับเข้าไปในมิติพิเศษตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วบอกให้ถ่วงเวลานี่นะ ถ่วงยังไง? สมองชายหนุ่มกลายเป็นขาวโพลน หากตอบออกไปมิถูกใจมัน เขาไม่ต้องกลายเป็นตอตะโกหรอกเรอะ
“อ่า ท่านอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่รู้จริงๆว่าท่านได้บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ ข้าเพียงเข้ามาเก็บสมุนไพรในป่าและหลงเข้ามาเท่านั้น”
หยางอี้ตอบออกไปกล้าๆกลัวๆ ด้วยตัวตนระดับนี้ต่อให้ใช้ตราประทับราชันย์ก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ เพราะหลังจากที่ใช้ครั้งล่าสุดก็เพิ่งผ่านมาเพียง 3 เดือนเท่านั้นพลังของตราประทับยังสะสมได้ไม่เต็มที่ หากตราประทับอยู่ในสภาพสมบูรณ์ตอนนี้ชายหนุ่มคงเข้าไปทุบตีเจ้างูนี่แล้ว ด้วยข้อจำกัดที่ครึ่งปีใช้ได้เพียงครึ่งชั่วยามทำให้ชายหนุ่มอดเสียดายความสามารถชั้นยอดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
“เฮอะ! ที่แท้ก็เป็นเจ้าโจรน้อยที่บังอาจหาญกล้าเข้ามาขโมยสมุนไพรของข้า ฮึ่ม! อย่ามัวโยกโย้ รีบตอบคำถามของข้ามา”
หยางอี้เองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะตอบออกไปอย่างไรดี ทว่าในเวลานั้นเอง พื้นดินก็สั่นสะเทือนอีกครั้งก่อนที่จะมีร่างกายมโหฬารแบบเดียวกับอสรพิษเพลิงโลกันต์เลื้อยผ่านเข้ามาบนยอดปล่องภูเขาไฟแห่งนี้ หยางอี้มองไปยังมันพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่อีกครั้ง มันทั้งสองแทบจะเรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเลยเพียงแต่ตัวที่มาใหม่นั้นมีร่างกายเป็นสีฟ้าเข้มคาดทอง ที่สำคัญมันยังอยู่ในระดับจักรพรรดิเช่นเดียวกับตัวสีแดงอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้นท่านพี่ ทำไมท่านถึงออกจากการบำเพ็ญเพียร”
“ฮึ่ม! น้องพี่ ตอนนี้สัญญานั่นได้จบลงแล้ว ได้เวลาขับไล่พวกมนุษย์โสโครกออกไปแล้ว แต่เจ้าหนุ่มที่บุกรุกเข้ามานี่กลับมีกลิ่นอายแปลกๆติดมาด้วย”
อสรพิษทั้งสองหันกลับมาจ้องมองหยางอี้อีกครั้งเพื่อเค้นให้ชายหนุ่มตอบคำถามมา ทว่าเวลานี้เองเมื่อตัวละครมาครบ มิติเบื้องหน้าหยางอี้พลันแยกออกก่อนจะมีงูน้อยตัวสีดำปรากฎออกมาพร้อมกับเสียงเล็กแหลมที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
“ฮ่าๆ เจ้างูน้อยทั้งสองเอ๋ย ยังไม่รีบทำความเคารพข้าผู้นี้อีก”
หยางอี้แทบจะเข่าทรุดลงกับพื้นในทันทีเมื่อได้ยินประโยคแรกที่เสี่ยวเฮยกล่าวออกมา ใครจะไปคิดว่าเจ้างูนี่จะพูดจาใหญ่โตออกไปเช่นนั้น แม้หยางอี้จะรู้ว่าเสี่ยวเฮยนั้นมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เพราะเขาคือเสียงลึกลับที่อยู่ภายในมิติพิเศษมาก่อนหน้านี้ แต่แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้เขาเป็นเพียงงูน้อยที่เพิ่งฟักออกจากไข่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิทั้งสองเบื้องหน้านี้
ไกลออกไปหลังจากได้รับรายงานชายวัยกลางคนใบหน้าคมคายในชุดสีเขียวหยกเต็มไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึมทันที ก่อนจะรีบตรงไปยังตำหนักหลังน้อยของยอดเขาที่เขาอาศัยอยู่ และสั่งการกับผู้อาวุโสที่อยู่ด้านในทันที
“แจ้งข่าวด้วย เรียกรวมตัวผู้อาวุโสหลักทั้งสามและผู้อาวุโสชั้นคลุมทองที่เหลืออยู่ให้ไปรวมตัวกันที่ป่าสวรรค์ทันที”
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก”
หลังจากกล่าวจบทั้งสองก็กลายเป็นแสงรุ่งพุ่งหายไปยังท้องฟ้าก่อนจะแยกกันไปตามจุดหมาย
“ฮี่ม! ประมาทไปจริงๆ หลังจากผ่านมาหลายพันปีตั้งแต่ก่อตั้งสำนักไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ทำให้ข้ามิได้ระมัดระวัง ที่ยอดเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่ราชันย์แดงถึงได้เคลื่อนไหว”
ยิ่งคิดยิ่งกังวล เขาจึงเร่งความเร็วเพื่อรีบไปป่าสวรรค์ทันที หลังจากนั้นไม่นานทั่วทั้งสำนักวิหารสวรรค์เหล่าลูกศิษย์ต่างตื่นตระหนกตกใจกันทันทีเมื่อเห็นเส้นสายสีทองกว่าสิบเส้นพุ่งผ่านไปบนท้องฟ้า การรวมตัวของผู้อาวุโสระดับคลุมทองแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี เพราะว่ามันต้องเกิดเรื่องร้ายแรงบางอย่างขึ้นแน่นอน
วูป
ด้านหน้าค่ายกลเขตใน ชายชราในชุดคลุมเงินคนหนึ่งกำลังยืนมองไปยังเบื้องหน้าโดยจดจ้องไปที่ยอดภูเขาไฟอย่างกังวล ก่อนที่ชายวัยกลางคนในชุดเขียวจะปรากฎตัวขึ้นที่ด้านข้าง
“เกิดอะไรขึ้นผู้อาวุโสเซี่ย”
“คารวะท่านเจ้าสำนัก ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน ก่อนหน้านี้อยู่ดีๆกลิ่นอายของราชันย์แดงได้ปะทุขึ้น แต่สถานการณ์ตอนนี้..”
เจ้าสำนักขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเร่งถามขึ้นมาอีก
“ท่านอย่ามัวอ้ำอึ้ง”
“เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของราชันย์น้ำเงินเคลื่อนไหวมายังยอดปล่องภูเขาไฟแล้ว”
เจ้าสำนักแทบจะเข่าทรุดในทันที เพียงหนึ่งราชันย์เคลื่อนไหว สถานการณ์ก็ตึงเครียดมากพอแล้ว ต้องรู้ว่าสามผู้อาวุโสสูงสุดนั้นอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นที่ 1 ส่วนตัวเขาเองอยู่ในขั้นที่ 2 แต่ราชันย์อสูรทั้งสองนั้นตามบันทึกเมื่อหลายพันปีก่อนมันทั้งสองอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นที่ 1 แล้ว ผ่านมาหลายพันปีด้วยการบำเพ็ญตบะคาดว่าระดับของมันต้องไม่ต่ำกว่าจักรพรรดิขั้นที่ 2 แน่นอน
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือต้องเรียกให้ท่านบรรพชนออกมา’
ด้วยความร้อนรุ่มใจไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความคิดที่ว่าจะมีศิษย์ของสำนักเข้าไปในอาณาเขตของราชันย์ทั้งสองนั้นไม่มีใครนึกถึงแม้แต่น้อย เพราะบริเวณยอดเขาทั้งสองอย่าว่าแต่ศิษย์ของสำนักเลย ต่อให้ผู้อาวุโสระดับคลุมทองยังยากที่จะฝ่าแรงกดดันเข้าไปได้
ผ่านไปอีกไม่กี่ลมหายใจ เงาร่างในชุดคลุมสีทองอีก 10 และชุดคลุมสีขาวอีก 3 ก็มาปรากฏด้านข้างของเจ้าสำนัก หนึ่งในชายชราชุดสีขาวคือผู้อาวุโสเหล่ยโหลวที่เป็นคนมอบป้ายประจำตัวให้กับหยางอี้ ด้วยความประหลาดใจผู้อาวุโสหลายคนอดถามออกมาไม่ได้
“ท่านเจ้าสำนักเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมราชันย์แดงถึงเคลื่อนไหว?”
“ฮึ่ม! เหตุผลนั้นข้าเองก็มิรู้ แต่ที่แน่ๆไม่ได้มีเพียงราชันย์แดงที่เคลื่อนไหว”
“ท่านอย่าบอกนะว่า...”
“ถูกแล้ว ตอนนี้ราชันย์ทั้งสองได้เคลื่อนไหวและรวมตัวอยู่ด้านบนยอดเขา”
คำตอบของเจ้าสำนักทำให้ผู้อาวุโสหน้ามืดทันที นี่เป็นวิกฤติของสำนักวิหารสวรรค์แล้ว คาดได้ว่าหนึ่งราชันย์จะมีระดับเท่ากับท่านบรรพชน หากเป็น หนึ่งต่อหนึ่งรวมกับผู้อาวุโสอีกหลายคนอาจจะพอสะกดข่มได้บ้าง แต่หากเป็นสองราชันย์นั้นเรื่องกลายเป็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย
คนสิบห้าคนที่เป็นระดับแนวหน้าของสำนักยังคงยืนรวมกลุ่มกันด้านหน้า ด้วยไม่รู้เหตุแน่ชัดทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ารุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของราชันย์ทั้งสอง
ลังเลอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเจ้าสำนักจึงส่งเสียงลมปราณขึ้นไปยังยอดเขา
“ท่านราชันย์ทั้งสอง ข้าคือเจ้าสำนักคนปัจจุบัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่พวกท่านถึงได้เคลื่อนไหวเช่นนี้”
ชั่วขณะเดียวกับที่เสียงของเจ้าสำนักดังขึ้นมาคือเวลาที่ด้านบนปล่องภูเขาไฟปรากฎรอยแยกของมิติที่เสี่ยวเฮยออกมาเช่นกัน
“ฮ่า ๆ เจ้างูน้อยทั้งสองเอ๋ย ยังไม่รีบทำความเคารพข้าผู้นี้อีก”
ราชันย์ทั้งสองที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองเมื่อโดนดูถูกเช่นนี้จึงบังเกิดโทสะ ปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมาทั่วบริเวณพร้อมกับคำรามลั่น
“บังอาจ! เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เล็กจ้อยกลับโอหังกล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า!”
เสี่ยวเฮยเพียงคลี่ปากน้อยๆยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส(งูยิ้มฮ่าๆ) ส่วนหยางอี้ที่อยู่ด้านหลังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะแสดงท่าทีเช่นเสี่ยวเฮย ด้วยแรงกดดันระดับนี้เพียงพยุงตัวไม่ให้ล้มก็เต็มกลืนแล้ว
ทว่าที่ด้านบนไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่ที่ตีนเขานั้น หลังจากได้ยินเสียงคำรามของราชันย์แดงใบหน้าผู้อาวุโสคลุมทองทั้งสิบคนกลายเป็นซีดเผือดราวกับไก่ต้ม สามผู้อาวุโสหลักเองก็ใบหน้าดำมืดเช่นกันต่อหน้าคนอื่นแม้จะสูงส่งสักเพียงไหน แต่ต่อหน้าราชันย์ทั้งสองนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะดูถูก
เจ้าสำนักพลันอยากจะเป็นลมขึ้นมาทันที สำนักแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่จะมาจบลงในรุ่นของเขางั้นหรือ แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพบุรุษกัน ตอนนี้ได้แต่หวังพึ่งท่านบรรพชนแล้ว
“ผู้อาวุโสเซี่ยจงเร่งไปเชิญท่านบรรพชนมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะพยายามรั้งเวลาไว้ให้นานที่สุด พร้อมกับประกาศอพยพศิษย์ออกจากบริเวณเขาเดิมพันด้วย”
กลิ่นอายของราชันย์ทั้งสองเพียงจำกัดอยู่ในอาณาเขตเท่านั้น มิได้กระจายออกไปทั่วสำนัก เรื่องนี้นับว่าเป็นโชคดีของสำนักมิเช่นนั้นคงจะเกิดความโกลาหลจนยากจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
ด้านบนยอดเขา ราชันย์ทั้งสองจ้องมองไปยังเสี่ยวเฮยอย่างจริงจัง แม้จะบังเกิดโทสะจนล้นปริ่มที่โดนดูถูก ทว่าด้วยกลิ่นอายของงูน้อยสีดำตัวนี้แปลกประหลาดเกินไป มันคือกลิ่นอายโบราณที่พวกมันเหมือนจะรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก
แน่นอนว่าเสี่ยวเฮยนั้นถูกผนึกไว้มานานแสนนาน ราชันย์ทั้งสองนั้นเป็นเพียงอสรพิษรุ่นหลังที่เกิดขึ้นมาได้ไม่กี่หมื่นปี ที่มันยังคงไม่รับรู้ถึงตัวตนของเสี่ยวเฮยและไม่รู้สึกเกรงกลัวนั้นเป็นเพราะมันคืออภิสิทธิ์ของสายเลือดบริสุทธิ์ที่สืบเชื้อสายโดยตรงจากยุคบรรพกาล
เผ่าพันธุ์อสรพิษนั้นเป็นสัตว์ที่มักมากในกาม ทำให้มีการผสมพันธุ์ข้ามเชื้อสายกันเป็นจำนวนมาก และมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคบรรพกาล
“เป็นเพียงเชื้อสายของลูกหลานยังบังอาจมายโสต่อหน้าบรรพบุรุษ”
เสี่ยวเฮยสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เจ้าสองตัวนี้นับว่าเป็นปัญหาอยู่นิดหน่อย เดิมทีเป้าหมายที่ต้องการคือสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นสูง หากเป็นเพียงเชื้อสายต่ำต้อยที่บำเพ็ญตบะมาจนมีระดับสูงเช่นนั้นก็มิใช่ปัญหา เพียงแค่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ก็มากพอแล้วที่จะสยบพวกมัน
แต่กับเจ้าสองตัวเบื้องหน้านี้ ทั้งสืบสายเลือดบริสุทธิ์มาจากยุคโบราณก็เพียงพอที่จะทำให้พวกมันไม่เกรงกลัวกลิ่นอายของเสี่ยวเฮยแล้ว อีกทั้งยังมีศักดิ์สูงถึงจักรพรรดิขั้นที่ 3 นี่ยิ่งทำให้พวกมันเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้อาจจะไม่จบง่ายๆดังคำพูดเสียแล้ว
สองราชันย์คำราม ฟ่อ หมายจะสกดข่มงูน้อยเบื้องหน้า ที่พวกมันยังไม่ลงมือนั้นเป็นเพราะกลิ่นอายเช่นนี้จะมาจากสัตว์อสูรสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นี่ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวแต่เป็นเพราะทายาทที่สืบเชื้อสายเช่นนี้ในปัจจุบันนั้นเหลือน้อยเป็นอย่างมาก และยิ่งเป็นสายพันธุ์อสรพิษด้วยแล้วสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ ดังนั้นพวกมันจึงมองเสี่ยวเฮยเป็นเหมือนลูกหลานที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ แต่เจ้างูน้อยตัวนี้นั้นปากเสียเกินไป
ทว่าในช่วงเวลาที่ราชันย์ทั้งสองระเบิดโทสะเตรียมจะโจมตีหยางอี้และเสี่ยวเฮยนั้น ดวงตาสีแดงฉานที่ตัดกับผิวหนังสีดำของเสี่ยวเฮยได้จ้องมองไปยังพวกมัน เมื่อสายตาของราชันย์ทั้งสองสบเข้ากับดวงตาสีแดงโลหิต ร่างกายพวกมันพลันชะงักก่อนจะแข็งค้าง เพราะสายตาคู่นั้นราวกับจะกลืนกินพวกมันไปทั้งตัว
ด้วยสัญชาตญาณสองราชันย์ผงะถอยหลังก่อนจะระเบิดพลังของตนออกมาอย่างพร้อมเพรียง เปลี่ยนแอ่งกระทะด้านบนนี้ให้ฟากหนึ่งกลายเป็นทะเลเพลิงที่มีลาวาไหลย้อมไปทั้วพื้น ส่วนอีกฟากกลับกลายเป็นธารน้ำแข็งกระจายเกาะกุมไปทั่วบริเวณฝั่งขวาโดยทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันกระทำไปเพราะสันชาตญาณโดยมิรู้ตัว ภายในสมองของพวกมันเพียงร้องบอกว่าสายตาเบื้องหน้าที่จดจ้องมานั้นน่ากลัวจนเกินไป และราชันย์ผู้สูงศักดิ์เช่นพวกมันนั้นมิอาจนับเป็นอะไรได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาคู่นั้น
เสี่ยวเฮยเห็นท่าทีของทั้งสองก็แสยะยิ้มแยกเขี้ยวออกมาอย่างพอใจก่อนที่เสียงเล็กแหลมของเขาจะดังออกมาอีกครั้งโดยมิได้รู้เลยว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเขานั้นตอนนี้ทั้งร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นสั่นไปด้วยความตระหนกตกใจ เลือดบนใบหน้านั้นแทบจะไม่ไหลเวียนจนกลายเป็นซีดเผือด อาการอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งนัก
“เจ้าทั้งสองอย่าทำให้ข้าต้องยุ่งยาก จงยอมสยบและมอบดวงจิตของพวกเจ้าออกมาแต่โดยดี”
เสียงเล็กแหลมของเสี่ยวเฮยดังออกมาอย่างเชื่องช้ากระตุ้นให้ราชันย์ทั้งสองได้สติ ความบ้าคลั่งของพลังปะทุขึ้นอีกครั้ง เพียงคำพูดที่ดูหมิ่นของเสี่ยวเฮยนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองโกรธเกรี้ยว แต่การมอบดวงจิตให้นั้นคืออะไร? หากพ่ายแพ้และวิญญาณถูกกลั่นออกมาเป็นดวงจิตอสูรแม้จะน่าเจ็บใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าต่อให้ราชันย์ทั้งสองจะมีศักดิ์ศรีเพียงใดก็มิอาจทำอะไรได้ แต่การที่บอกให้พวกมันยอมสยบแล้วมอบดวงจิตออกมานั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
วิธีได้รับดวงจิตของอสูรนั้นมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือการเอาชนะมันด้วยความแข็งแกร่งสังหารมันจนสูญสิ้น จากนั้นจึงกลั่นวิญญาณของมันออกมาเพื่อเป็นดวงจิตอสูร นี่คือวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายของโลกใบนี้ ดวงจิตที่ได้นั้นจะเต็มไปด้วยพลังวิญญาณและความบ้าคลั่งรวมถึงความสามารถพิเศษบางอย่างของสัตว์อสูรตัวนั้น ทว่าวิญญาณที่ได้จากการบังคับกลั่นมานั้นก็เป็นเพียงแค่วิญญาณของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งก่อนตาย
ส่วนวิธีที่สองนั้น เป็นวิธีการที่ยากกว่าวิธีแรกนับร้อยเท่า หากมิใช่สัตว์อสูรที่ผูกพันธ์กับมนุษย์คนนั้นแล้ว การจะได้รับดวงจิตอสูรในวิธีนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันคือการยอมศิโรราบแล้วมอบทั้งกายและวิญญาณออกมาอย่างเต็มใจ ยอมสยบเป็นข้ารับใช้อย่างซื่อสัตย์ ด้วยนิสัยดุร้ายและหยิ่งผยองจนอาจจะเรียกได้ว่าเกลียดชังมนุษย์ของพวกสัตว์อสูรแล้ว วิธีการนี้นับเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้น
และยิ่งเป้าหมายของหยางอี้และเสี่ยวเฮยเป็นถึงสองราชันย์ผู้สืบทอดสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แถมยังอยู่ในระดับจักรพรรดิที่สามารถพลิกคว่ำปฐพีได้อย่างง่ายดายด้วยแล้ว คำกล่าวของเสี่ยวเฮยอาจจะดูเกินจริงไปหน่อย
แต่ถึงแม้มันจะเป็นวิธีที่ดูแล้วเป็นไปได้ยากแต่หากผลประโยชน์กลับยิ่งใหญ่มากนัก ด้วยการมอบให้ทุกสิ่งอย่างที่มีอยู่ต่อผู้เป็นนาย ดวงจิตสัตว์อสูรดวงนั้นจะคงอยู่ซึ่งสมบูรณ์พร้อม ทั้งกลิ่นอาย ตัวตน สติปัญญา และมีความคิดเป็นของตัวเอง แม้กายหยาบจะไม่สามารถปรากฏออกมาได้อีกแต่เพียงวิญญาณที่อยู่ในรูปแบบของพลังปราณก็เพียงพอแล้วที่จะสะกดข่มผู้คน
ไม่ว่าจะใช้ดวงจิตดวงนั้นในการทำอะไรก็ตาม ย่อมจินตนาการออกได้ว่ามันต้องแข็งแกร่งและเป็นของที่วิเศษเป็นอย่างมาก
ฟู่ววววว
เสียงขู่ของราชันย์อสรพิษทั้งสองดังขึ้นอีกครั้ง เสียงขู่คำรามครั้งนี้ดังสะเทือนไปทั่วทั้งสำนักวิหารสวรรค์ มิได้จำกัดอยู่เพียงในอาณาเขตเช่นเดิมอีกแล้ว เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสด้านนอกต่างมีใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสนมึนงง ส่วนพวกเจ้าสำนักที่อยู่ตีนเขายิ่งตื่นตระหนกและกังวลเข้าไปใหญ่ โดยมิรู้เลยว่าราชันย์ทั้งสองมิได้สนใจการคงอยู่ของพวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งคำกล่าวมากมายของเจ้าสำนักที่พยายามยื้อเวลาและถามหาสาเหตุนั้นตัวพวกมันเองก็มิได้สนใจเลยเช่นกัน ทั้งสองต่างถูกถ้อยคำของเสี่ยวเฮยดึงเข้าสู่อารมณ์อันโกรธเกรี้ยว จะมีก็เพียงแต่พวกเจ้าสำนักที่รออยู่ด้านล่างเท่านั้นที่คิดกันไปเองว่าถ้อยคำเหล่านั้นยั่วยุให้ราชันย์แดงน้ำเงินโกรธเกรี้ยว
“แม้เจ้าจะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์สืบเชื้อสายอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับพวกข้า แต่ในเมื่อเจ้ากล้ามาดูหมิ่นเกียรติของราชันย์เช่นนี้ วันนี้บรรพบุรุษจะมาโทษข้าไม่ได้ที่เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกัน!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของราชันย์แดงดังก้องออกมาก่อนมันจะอ้าปากพ่นลมหายใจที่ร้อนแรงเป็นเปลวเพลิงที่เผาผลาญได้ทุกสรรพสิ่งออกมาพุ่งตรงเข้าหาเสี่ยวเฮยและหยางอี้
เห็นภาพนี้หยางอี้กลายเป็นจิตตกวูบ ในหัวนั้นขาวโพลนไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ต้องทำเช่นไร หากโดนเข้าไปรับรองว่าเขาไม่เหลือซากแน่นอน คิดจะหนีหรือก็ทำไม่ได้เพราะเพียงแค่ยืนให้ได้ภายใต้แรงกดดันนี้ก็เต็มกลืนแล้ว ความหวังสุดท้ายของเขาก็คือเจ้างูน้อยสีดำเบื้องหน้าที่พูดจาใหญ่โตมาตลอดนี้เท่านั้น
“เฮ้อ เจ้าหนูจบเรื่องนี้อย่างน้อยเจ้าต้องนำแหล่งพลังระดับเดียวกับเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์มาตอบแทนข้าอย่างน้อยสองชิ้น เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาอย่างเนือยๆ หยางอี้เองก็สับสนกับคำพูดนี้เช่นกัน แต่หากเสี่ยวเฮยจัดการสถานการณ์เบื้องหน้านี้ลงได้ อย่าว่าแต่สองเลย สิบชิ้นเขาก็จะหามาให้ ใครจะมายอมตกตายในที่แบบนี้กัน!
“เจ้าพวกลูกหลานอกตัญญู เห็นทีวันนี้ข้าต้องสั่งสอนพวกเจ้าเสียหน่อย”
เสี่ยวเฮยพูดขณะที่บอลเพลิงโลกันต์ลูกใหญ่กำลังลอยเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเฮยสูดลมเข้าเต็มปอดจนลำตัวบริเวณแผงคอโปร่งพองขึ้นมา
ฮึ่บ!
บอลเพลิงสีดำทมิฬก้อนเล็กๆลอยออกจากปากเจ้างูน้อยค่อยๆเคลื่อนที่เข้าหาบอลเพลิงโลกันต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นพันเท่าอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นทำให้หยางอี้กลายเป็นโง่งม ภายในใจกู่ร้องออกมาไม่หยุดหย่อน
‘ไอ้งูบ้าทำอะไรของเจ้ากัน ตายแน่ ครั้งนี้ตายแน่ๆ’
เช่นเดียวกับราชันย์ทั้งสองที่จ้องมองมาราวกับว่าพวกมันเป็นคนที่ตายไปแล้ว ด้วยบอลเพลิงของเสี่ยวเฮยนั้นมีขนาดเล็กจนเกินไปรวมกับเสี่ยวเฮยปล่อยออกมาเมื่อบอลเพลิงโลกันต์เข้ามาใกล้แล้ว ทำให้ราชันย์ทั้งสองมองไม่เห็นเพลิงดำเล็กๆลูกนี้
ทว่าวินาทีที่ทุกคนต่างมีความคิดไปในทางเดียวกัน ปากเล็กๆของเจ้างูน้อยพลันคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับไม่เป็นไปอย่างที่หยางอี้และราชันย์ทั้งสองคิด บอลเพลิงโลกันต์นั้นหยุดเคลื่อนที่ในทันทีที่ปะทะกับบอลเพิงสีดำลูกเล็กๆ ก่อนที่บอลเพลิงสีแดงฉานจะถูกกลืนกินกลายเป็นสีดำทมิฬอย่างรวดเร็วแล้วหายไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ทั้งหยางอี้และราชันย์ทั้งสองกลายเป็นตกตะลึง ก่อนที่พวกมันจะรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“ม ไม่จริง หรือว่าเจ้าสืบเชื้อสายมาจากท่านบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิด”
“ท่านพี่ เพลิงสีดำที่สามารถกลืนกินเพลิงโลกันต์ของท่านได้อย่างสมบูรณ์ หรือว่าจะเป็น..”
“ใช่แล้ว มันคือเพลิงที่กลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง เพลิงแห่งหายนะ!”
เสียงของเสี่ยวเฮยดังขึ้นอีกครั้งขัดจังหวะการสนทนาอันตื่นตระหนกของราชันย์ทั้งสอง
“เอาล่ะข้ารู้ว่าแค่นี้คงไม่เพียงพอให้พวกเจ้ายอมแต่โดยดี ดูเหมือนวันนี้บรรพบุรุษเช่นข้าจะต้องลงไม้ลงมือกับลูกหลานสักเล็กน้อย”
เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาพร้อมกับค่อยๆกระพือปีกเล็กๆที่ด้านหลังบินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสี่ยวเฮยหันกลับมาก่อนจะพ่นเพลิงสีดำออกมาคลุมบริเวณที่หยางอี้ยืนอยู่ ทำให้ชายหนุ่มทรุดเข่าลงหายใจหอบ แฮ่กๆ ทันทีเมื่อแรงกดดันของสองราชันย์ที่เขาฝืนทนมาตลอดหายไป
เสี่ยวเฮยเบนสายตาของเขาไปยังทิศทางหนึ่งช้าๆ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่แยแสอีกครั้ง
“เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย จะเป็นการดีหากเจ้าไม่มามากกว่านั้นและจงจำไว้อย่าได้ปากพล่อยในสิ่งที่เห็น มิเช่นนั้นมันจะนำหายนะมาสู่ตัวเจ้าและสำนักแห่งนี้!”
ห่างออกไปบนท้องฟ้าปรากฎชายชราในชุดสีขาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองไปยังยอดเขาอย่างจริงจัง เสียงของเสี่ยวเฮยแม้จะไม่ดังแต่เขาก็ได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู ใบหน้าของเขาเดิมทียังเต็มไปด้วยความกังวล เพียงแค่ราชันย์ทั้งสองเขาก็ไม่อาจต้านทานได้แน่นอนอยู่แล้ว ระหว่างที่สังเกตการณ์อยู่นั้น เมื่อได้เห็นหยางอี้และเพลิงสีดำของเจ้างูน้อยเขาเองก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงและสายตาของเสี่ยวเฮยทำให้เขารู้และเข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องนี้กำลังจะจบลงในไม่ช้าแล้ว เพราะเสี่ยวเฮยไม้ได้เพียงพูดออกมาอย่างเดียว แต่มันแฝงมาด้วยแรงกดดันที่ทำให้เขาได้เห็นภาพหลอนของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่
“น่าอับอายยิ่งนัก ข้าที่เป็นถึงบรรพชนของสำนักแห่งนี้กลับไม่สามารถทำอะไรต่อหน้าตัวตนพวกนี้ได้เลย”
เสี่ยวเฮยหันกลับมาจ้องมองไปยังราชันย์ทั้งสองเบื้องหน้าก่อนที่เพลิงสีดำจะลุกไหม้ไปทั่วลำตัวของเขาและถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงสีดำนี้ในที่สุด อย่างช้าๆ บอลเพลิงลูกเล็กขนาดเท่าตัวของเจ้างูน้อยนั้นเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ใหญ่ขึ้นๆ บอลเพลิงดำทมิฬลูกมหึมาค่อยๆลอยขึ้นด้านบนอย่างช้าๆ
ภาพนี้ทำให้หยางอี้และชายชราที่มองเห็นนั้นต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่และจ้องมองไปยังบอลเพลิงอย่างเหม่อลอย ส่วนราชันย์ทั้งสองนั้นบัดนี้ยังคงชูคอแข็งค้างจ้องมองไปยังบอลเพลิงทมิฬอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกัน
ส่วนด้านล่างตีนเขานั้นพวกกลุ่มของเจ้าสำนักและผู้อาวุโสต่างไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านบน หนึ่งคือพวกเขาไม่มีความกล้าพอจะก้าวเข้าไปในอาณาเขตหากยังไม่เกิดการปะทะแตกหักกับราชันย์ทั้งสองอย่างจริงจัง ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือเมื่อตอนที่ราชันย์ทั้งสองระเบิดพลังออกมาเพราะการจ้องมองของเสี่ยวเฮย ด้วยอากาศสองฟากที่ร้อนจัดและเย็นจัด ทำให้กลุ่มควันไอน้ำฟุ้งกระจายบดบังไปทั่วทั้งภูเขา
เจ้าสำนักนั้นได้รับคำสั่งจากบรรพชนให้รักษาต่ำแหน่งเดิมเฝ้ารออยู่ที่ตีนเขาห้ามทำอะไรทั้งสิ้น
บอลเพลิงขนาดมหึมาที่ลอยอยู่เหนือยอดเขาในที่สุดก็ระเบิดออกกลายเป็นอสรพิษตัวสีดำทมิฬขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าราชันย์แดงน้ำเงินนับสิบเท่านอนขดอยู่กลางอากาศ ลาดลายสีทองเป็นขลิบเรื้อตามลำตัวดูแล้วช่างสง่างดงามที่ด้านหลังยังคงมีปีกสีดำขนาดใหญ่ 3 คู่อยู่ด้วยกัน
เปลือกตาของอสรพิษยักษ์ค่อยๆขยับอย่างช้าๆ จนเปิดอ้าเผยให้เห็นดวงตาสีแดงโลหิตขนาดใหญ่ ลำตัวที่ขดอยู่เริ่มยืดออก ปีกทั้งหกสยายออกอย่างน่าเกรงขาม พร้อมกับปากขนาดใหญ่ที่อ้าออกคำรามออกมาจนเสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งชั้นฟ้าและปฐพี!
โฮกกกก!!