เล่มที่ 3 บทที่ 3
“เฉินซิ เป็นมัน เฉินซิ ข้าและศิษย์น้องทั้ง 4 เพียงทำตามคำสั่งของมันเท่านั้น เป็นพวกข้าเองที่โลภในสิ่งล่อใจพวกนั้น ตอนนี้ข้าสำนึกแล้ว ศิษย์น้องหยางโปรดอภัยด้วย”
ด้วยความหวาดกลัวศิษย์ผู้นี้ตอบคำถามของหยางอี้มาหมดเปลือกโดยไม่ปิดบัง ตอนนี้มันมั่นใจว่าต่อให้เฉินซิมาเองก็มิใช่คู่มือเด็กหนุ่มตรงหน้า หยางอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็ถามออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนเจ้าคนที่มาหาเรื่องเขาเมื่อตอนเข้าสำนักมาใหม่ๆก็มีแซ่เฉินเช่นกัน
“ดูเหมือนก่อนหน้านี้จะมีคนแซ่เฉินมาหาเรื่องข้า แต่ข้าจำชื่อของมันไม่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าใช่เป็นฝีมือเฉินซิหรือเปล่า”
โดยไม่รีรอกลัวว่าจะเป็นการขัดใจหยางอี้ศิษย์ผู้นี้จึงรีบตอบออกมา
“อ่า มันมีนามว่าเฉินกวง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฉินซิ ดูเหมือนว่าหลายวันก่อนมันจะมาฟ้องเฉินซิเรื่องที่ถูกศิษย์น้องทุบตีกลับมา”
“คำถามสุดท้าย เฉินซิแข็งแกร่งแค่ไหน”
“บอกตามตรง เฉินซินั้นนับว่าเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของศิษย์สายใน อายุ 25 ปี อยู่ในระดับปราณปฐพีขั้นที่ 3 รั้งอันดับ 45 ของผังฟ้า”
หยางอี้พยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเคลื่อนไหวเป็นสายเงาวูบวาบไปโผล่ตรงหน้าศิษย์ผู้นี้ มันเหลือกตาด้วยความตกตะลึง ครั้นจะถอยหนีก็มิทันเสียแล้ว เพราะผ่ามือของหยางอี้บัดนี้ประทับเข้ากับท้องน้อยของมันอย่างจัง มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดก่อนลงไปนอนดิ้นทุรนทุลายบนพื้น
อ้ากกก
“จ จ เจ้า ไหนรับปากว่าจะปล่อยข้าไป”
ศิษย์ผู้นี้กล่าวคำออกมาด้วยความยากลำบาก แววตาของมันจ้องมองไปยังหยางอี้ด้วยความเกลียดชัง มันไม่คิดว่าหยางอี้จะเป็นคนตระบัดสัตย์เช่นนี้ หากรู้เช่นนี้มันจะไม่ยอมปริปากพูดอะไรแน่นอน
“เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ข้าเพียงบอกว่าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่มิได้พูดสักคำว่าจะปล่อยเจ้าไป”
หยางอี้พูดออกมาอย่างเรียบเฉยขณะลงมือรื้อค้นบนร่างของทั้ง 4 คนก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าในขณะเดียวกันก็ลงมือสังหารศิษย์อีก 3 คนที่นอนหมดสติเช่นกัน เมื่อจัดการรูดทรัพย์มาจนหมดแล้ว หยางอี้จึงลากศพทั้ง 4 ตรงมาหาศิษย์คนสุดท้ายที่นอนอยู่บนพื้นและลงมือปลดทรัพย์บนตัวพวกมันเช่นกัน
สำหรับศัตรูแล้วหยางอี้จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเสมอ กับคนที่คิดจะสังหารตนนั้นไม่มีความจำเป็นต้องสงสารหรือเห็นใจ เขานำร่างของทั้ง 4 คนไปมัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ก่อนจะใช้ดาบของศิษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ฟันไปยังศพทั้ง 4 จนโลหิตไหลกระฉูด ภายในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรเช่นนี้การกำจัดศพไม่ใช่เรื่องยาก
หยางอี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะส่ายหัวอย่างเสียดาย เพราะป้ายที่รับแลกมานั้นไม่สามารถเปิดได้นอกจากเจ้าของป้าย และเมื่อครบกำหนดเวลามันจะเคลื่อนย้ายกลับไปยังตำหนักเอง
“เอาล่ะ ข้าทำตามสัญญาแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี”
หยางอี้พูดออกมาก่อนจะถ่ายลมปราณเข้าสู่ป้ายเงินเพื่อออกจากป่าสวรรค์ท่ามกลางสายตาและเสียงสาปแช่งของศิษย์ผู้นั้น
วูปปป
เพียงชั่วครู่ร่างของหยางอี้ก็มาปรากฎขึ้นที่หน้าประตูค่ายกลทางเข้าป่าสวรรค์ ท่ามกลางผู้คนมากมายหยางอี้มิได้สนใจเดินตรงดิ่งเข้าสู่ตำหนักทันทีก่อนจะมองหาศิษย์พี่คนเดิมแล้วเดินเข้าไปหา
ด้านศิษย์บริการของตำหนักที่รู้จักกับหยางอี้ เมื่อเห็นหยางอี้เดินเข้ามาก็ได้แต่ส่ายหัวในใจพลันคิดว่าครั้งนี้หยางอี้คงได้แต่ใช้จ่ายไปอย่างสิ้นเปลืองแล้ว เห็นท่าทีของศิษย์ผู้นี้หยางอี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มเพียงยิ้มตอบกลับไปก่อนจะทำการส่งป้ายคืนพร้อมกับถุงมิติ
ทันทีที่ออกจากป่าสวรรค์นั้นผนึกที่แหวนมิติก็คลายออกแล้ว ก่อนจะเข้ามายังตำหนักหยางอี้ได้อาศัยช่วงที่คนไม่มีย้ายของจากถุงกลับมาเก็บไว้ในแหวนมิติของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายเขาจึงไม่ต้องการให้ใครเห็นหญ้าบัวราตรี
“อย่าได้คิดมากไปเลยศิษย์น้องหยาง นี่เป็นเพียงครั้งแรก แม้จะเสียแต้มไปไม่น้อยแต่หากคราวหน้าเจ้าอาจจะมีโชคมากกว่านี้”
หยางอี้เมื่อได้ยินคำปลอบใจก็เพียงยิ้มรับอีกครั้งก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วขอตัวกลับเขาทดสอบทันที กระบี่เหินฟ้าพุ่งทะยานวูบวาบผ่านช่องแคบที่ผาแฝดทางเข้าเขาทดสอบก่อนพุ่งลงยังหน้าเรือนไม้ของหยางอี้
หยางอี้นำสมุนไพรทั้งหมดออกมาวางภายในเรือนไม้เพื่อเริ่มตรวจสอบตามตำราอีกครั้งว่ายังคงขาดสิ่งใดบ้างที่จะใช้ในการปรุงยา ระหว่างการตรวจสอบนั้นเสียงลึกลับยังคงกล่าวออกมาอย่างเสียดาย หญ้าบัวราตรีนั้นหากอายุสัก 300 ปี จะกลายเป็นแหล่งพลังปราณที่เพียงพอในการใช้ปลดผนึก
หยางอี้ลงมือคัดแยกสมุนไพรที่ได้รับมาจากเขตหนึ่งออกเป็นกอง
“โสมอัคคี 7 หญ้าแสงตะวัน 7 กล้วยไม้แดง 5 ยอดหลิวเย็น 7 ใบบัววารี 7 หม่อนน้ำค้าง 5”
ดูเหมือนการฝึกปรุงยาครั้งแรกนั้นจะทำได้เพียง 7 ชุด มี วัตถุดิบอีก 2 ชนิดที่ต้องเพิ่มจำนวน และอีก 2 ชนิดที่ยังขาดอยู่ โชคดีที่โอสถระดับ 1 ส่วนมากยังไม่มีวัตถุดิบจากสัตว์อสูรในการปรุงทำให้ช่วยประหยัดไปมากสำหรับการฝึก ตอนนี้ยาเพลิงพิโรธนั้นยังขาด ผงหินอัคคี และยาหัวใจสมุทรยังขาดน้ำค้างจากยอดหญ้าวารี
เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย หยางอี้ก็มุ่งหน้าไปยังตลาดแลกเปลี่ยนทันที เหตุผลที่ต้องรีบนั้นมิใช่เพื่อซื้อวัตถุดิบที่ยังขาดอยู่ แต่เป็นการหาภาชนะในการเก็บรักษาหญ้าบัวราตรี หญ้าบัวราตรีที่หยางอี้มีอยู่นั้นล้วนแต่เป็นสมุนไพรชั้นเลิศ ด้วยอายุของมันนั้นหากนำออกมาขายมิรู้ว่าจะได้ราคาสูงถึงเพียงไหน
ต้องรู้ว่าหญ้าบัวราตรีแม้จะเป็นสมุนไพรระดับ 2 ทว่ามันกลับเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงโอสถระดับ 3 ดังนั้นราคาของมันจึงมิใช่น้อย สำหรับต้นที่มีอายุ 5 ปี ที่หยางอี้เก็บมาต้นแรกก็มีราคาถึง 200 แต้มแล้ว แหล่งที่มาของสมุนไพรในสำนักวิหารสวรรค์นั้นเกินกว่า 8 ส่วนมาจากป่าสวรรค์ทั้งสิ้น สำหรับยอดเขาโอสถนั้นมีสวนสมุนไพรเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วใช้ในการศึกษาของศิษย์ มีจำนวนน้อยมากที่ปล่อยออกมายังตลาด และหากมาจากป่าสวรรค์ที่ทุกวันมีศิษย์นับร้อยเข้าไปเพื่อเสี่ยงโชค การเจอสมุนไพรที่อายุมากกว่า 5 ปีนั้นถือว่าคนผู้นั้นมีโชคเป็นอย่างมากแล้ว หากไม่เข้าไปยังเขตใน การจะพบสมุนไพรอายุมากว่า 20 ปี นั้นเป็นเรื่องสุดแสนจะยากเย็น
หยางอี้ตรงไปยังร้านสมุนไพรภายในตลาดแลกเปลี่ยนทันที ก่อนจะสอบถามแล้วจัดแจงซื้อกล่องสำหรับเก็บสมุนไพรมาจำนวน 12 ใบ ด้วยความรีบร้อนทำให้เขาได้แต่กัดฟันยอมโดนกรีดเนื้อ ด้วยกล่องสมุนไพรระดับกลางนี้หยางอี้ไม่ต้องการเสียเวลาจึงจำต้องซื้อมาในราคาใบละ 100 แต้ม สำหรับสมุนไพรประเภทนี้ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่คุณภาพก็จะยิ่งลดลงเรื่อยๆเช่นกัน
เมื่อได้มาแล้วชายหนุ่มเลือกตรงไปยังตรอกแคบแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คนก่อนจะนำหญ้าบัวราตรีออกมาเก็บใส่กล่องอย่างระมัดระวัง
เมื่อเสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปยังหอสูงใจกลางตลาดทันที การมาเขาแลกเปลี่ยนครั้งนี้นอกจากหาซื้อวัตถุดิบที่ขาดอยู่และกล่องเก็บสมุนไพรแล้วหยางอี้ยังตั้งใจนำหญ้าบัวราตรีบางส่วนออกมาประมูลด้วยเพื่อหาทุนจำนวนหนึ่ง เพราะสิ่งที่ยังขาดอยู่ตอนนี้สำหรับการปรุงโอสถก็คือเตาหลอมโอสถ และเขาเองก็มั่นใจว่าเตาหลอมโอสถต้องมีราคาสูงลิบแน่นอนจึงต้องนำหญ้าบัวราตรีออกมาขาย
ไม่นานร่างของหยางอี้ก็มายืนอยู่ทางเข้าหอประมูลเทียมฟ้า ด้านหน้าทางเข้ายังคงมีศิษย์สายในยืนเฝ้าอยู่สองคน หยางอี้ได้แต่ลอบชมเชย ความแข็งแกร่งของหอประมูลนี้นับว่าอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียว เพียงแค่ศิษย์ที่เฝ้าทางเข้าก็อยู่ในระดับปฐพีแล้ว
หยางอี้แสดงป้ายประจำตัวก่อนจะเดินเข้าไปภายในหอประมูลทันที เมื่อเข้ามาแล้วภายในยังคงเป็นลักษณะคล้ายเคาน์เตอร์ของพวกโรงเตี้ยม โดยมีทางเดินสองข้างเพื่อเข้าไปด้านในแล้วตรงกลางเป็นโต๊ะขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่
หยางอี้เดินเข้าไปหาศิษย์สตรีใบหน้างดงามคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หลังโต๊ะ ไม่ทันให้หยางอี้ต้องกล่าวอะไร น้ำเสียงเรียบเฉยของนางก็ดังออกมาก่อน
“50 แต้มสำหรับเข้าร่วมการประมูลชั้นหนึ่ง 100 แต้มสำหรับชั้นสอง และ 200 แต้มสำหรับชั้นที่ 3”
หยางอี้ชะงักไปเล็กน้อย หอประมูลนี่จะรีดไถกันเกินไปแล้ว 200 แต้มสำหรับชั้น 3 นี่เพียงแค่ค่าบัตรผ่านนะ หลังจากที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของทั้ง 5 คนมานั้น ขนาดศิษย์ผู้ที่อยู่ในระดับปฐพียังมีอยู่เพียง 1000 แต้ม สำหรับอีก 4 คนนั้นไม่ต้องพูดถึง รวมกันได้ 500 แต้มก็หรูแล้ว
หยางอี้ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มก่อนจะหยิบกล่องสมุนไพรที่เก็บหญ้าบัวราตรีอายุ 25 ปีออกมาวางบนโต๊ะด้านหน้าศิษย์หญิงผู้นี้
“ศิษย์พี่หญิง ข้านั้นยังคงต้องการนำของเข้าร่วมประมูลด้วย อยากให้ท่านช่วยตรวจสอบให้หน่อย”
ศิษย์หญิงผู้รับหน้าที่ดูแลบริเวณทางเข้าหอประมูล เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะปรายตามองไปยังกล่องไม้ดำที่หยางอี้นำออกมา ในใจนางคิดว่าอย่างมากก็คงเป็นสมุนไพรระดับ 2 ไม่เกินนี้ ด้วยชุดที่หยางอี้สวมใส่นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น ทว่ากล่องดำนี้เองก็มีราคาสูงมิน้อย นางจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง
แกร่ก
มือเรียวยาวค่อยๆเอื้อมมาเปิดกล่องดำอย่างช้าๆ เพียงฝากล่องแง้มออกมาเล็กน้อย กลิ่นหอมฉุยของสมุนไพรพลันทะลักกระจายออกมาทันที พร้อมกับแสงสีฟ้าที่เล็ดลอดออกมาจากกล่องสีดำ
“หญ้าบัวราตรี”
ริมฝีปากอันชุ่มชื่นขยับเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา นางเองก็รับหน้าที่อยู่หอประมูลแห่งนี้มาหลายปี ได้เห็นสมุนไพรมาก็ไม่น้อย เพียงแค่กลิ่นหอมและแสงสีฟ้าก็ทำให้นางรับรู้ได้ทันทีว่ามันคือหญ้าบัวราตรี
แกร่กก
กล่องดำถูกง้างเปิดขึ้นอีกครั้งจนเผยให้เห็นสิ่งของที่อยู่ด้านใน ทว่ามืออันเรียวงามนั้นกลับเริ่มสั่นไหวพร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นถี่
สิบ สิบห้า ยี่สิบห้าเป็นหญ้าบัวราตรีอายุยี่สิบห้าปี
แกร่กก
กล่องถูกปิดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็วก่อนที่นางจะเงยหน้ามองไปยังหยางอี้ที่ยืนส่งยิ้มให้กับนางอยู่ด้วยอารมณ์ นางคิดไม่ออกเลยจริงๆว่าศิษย์สายนอกผู้นี้ไปได้หญ้าบัวราตรีอายุ 25 ปีต้นนี้มาได้อย่างไร
“ตามข้ามา”
น้ำเสียงใสแจ๋วของนางดังออกมาก่อนจะหมุนตัวหยิบกล่องดำเดินนำไปยังทางเข้า หยางอี้เห็นเช่นนั้นก็โล่งใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าหญ้าบัวราตรีอายุ 25 ปี นั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ดูแลหอประมูล
เดินตามทางเดินมาได้ไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงทางแยก หยางอี้เดินตามศิษย์พี่หญิงผู้นี้ขึ้นไปยังชั้นสาม ก่อนจะเข้าภายในห้องรับรองห้องหนึ่ง นางวางกล่องไม้ดำไว้บนโต๊ะข้างหน้าหยางอี้ก่อนจะบอกให้เขานั่งรออยู่ที่นี่ก่อน แล้วจึงออกจากห้องไป
ผ่านไปไม่นาน ศิษย์หญิงผู้นี้ก็เดินกลับมาพร้อมกับชายชราผู้หนึ่งที่ใบหน้าเหลี่ยมเป็นสัน สวมชุดสีเขียว
“เถาหยา นี่คือศิษย์ที่นำหญ้าบัวราตรีมาเพื่อเข้าร่วมประมูล”
ชายชราเถาหยาพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวแนะนำตัวออกมา
“ข้าคือผู้ดูแลหอประมูลแห่งนี้ มีนามว่าเถาหยา ส่วนนี่คือแม่นางหยิงเฟย”
“คารวะผู้อาวุโสเถาหยา ศิษย์พี่หญิงหยิงเฟย ศิษย์มีนามว่าหยางอี้”
“อ๊ะ เจ้าคือหยางอี้?”
หยิงเฟยอุทานออกมาพร้อมกับเอามือปิดปากแล้วมองไปยังหยางอี้ด้วยสายตาแปลกประหลาดก่อนนางจะหัวเราะคิกคักออกมา ส่วนหยางอี้นั้นเพียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เถาหยามิได้สนใจทั้งสองมากนัก ที่เขามานั้นจุดหมายมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือหญ้าบัวราตรีอายุ 25 ปี สมุนไพรระดับสองที่อายุมากกว่า 20 ปีนั้นมิใช่จะมีมาบ่อยๆ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในรายการที่ปรมาจารย์โอสถต้องการเป็นอย่างมากอีกด้วย
แกร่กก
เถาหยาเปิดกล่องออกก่อนจะมองไปยังต้นหญ้าเรืองแสงสีฟ้าที่มีใบถึง 25 ใบ ไม่ขาดไม่เกินด้วยประกายแววตาตื่นเต้นจนปิดไม่มิด
“อ่า เป็นหญ้าบัวราตรีอายุ 25 ปี อย่างแท้จริง”
สิ่งนี้จะทำกำไรให้หอประมูลได้มหาศาล ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเขาหันมามองยังหยางอี้ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ ศิษย์น้อยเอ๋ย นับว่าโชคของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก อีก 1 ชั่วยามการประมูลจะเริ่มขึ้น เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่”
“ขอรับผู้อาวุโส ข้านั้นมีบางสิ่งที่ต้องการอยู่ เพียงแต่...”
หยางอี้กล่าวออกมาเช่นนี้ทำให้เถาหยาหัวเราะก่อนจะพูดออกมาอย่างยินดี
“ฮ่าๆ เอาเช่นนี้เป็นไร จากการคำนวณของข้าหญ้าบัวราตรีต้นนี้น่าจะประมูลได้อยู่ราคา 7,000-10,000 แต้ม หากเจ้าต้องการทางหอประมูลจะรับไว้ด้วยราคา 7,000 แต้มเป็นอย่างไร”
เถาหยามองไปยังหยางอี้ด้วยแววตาของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ หยางอี้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลงทันที กับหญ้าบัวราตรีต้นเดียวนั้นหยางอี้มิได้ใส่ใจมากนัก เถาหยายิ่งมองยิ่งยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีหัวเราะร่าจนออกหน้าออกตา
“ผู้อาวุโสเถา ศิษย์ยังมีเรื่องจะรบกวนอีกเล็กน้อย”
“ฮ่าๆ ว่ามาๆ อย่าได้เกรงใจ”
“ในการประมูลครั้งนี้มีเตาหลอมยาเข้าร่วมประมูลด้วยหรือไม่”
เถาหยาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา
“อืม เตาหลอมยานั้นมีจำนวนน้อยมากที่จะหลุดมาเข้าร่วมการประมูล ส่วนมากแล้วจะเป็นเขาโอสถรับไปทั้งหมด”
“นี่เฒ่าหยา ข้าจำได้ว่ามีเตาหลอมโบราณเตาหนึ่งถูกเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วยนะ ดูเหมือนจะเป็นของสะสมของปรมาจารย์โอสถท่านหนึ่ง”
หยิงเฟยกล่าวแทรกออกมาทำให้เถาหยานึกขึ้นได้
“อ่า ใช่แล้ว มันมีเตาหลอมโบราณนั้นอยู่จริงๆ ว่าแต่เจ้าต้องการเตาหลอมไปทำไม?”
หยางอี้ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนตอบออกไปตามตรง
“ศิษย์ต้องการฝึกฝนปรุงยา”
ทั้งเถาหยาและหยิงเฟยชะงักไปชั่วขณะที่ได้ยินคำของหยางอี้ ฝึกฝนปรุงยา? ต้องรู้ว่าในโลกนี้ผู้ที่ต้องการเป็นนักปรุงยามีมากเท่าใดกัน ไม่ต้องกล่าวถึงปรมาจารย์โอสถ เพียงแค่ศิษย์โอสถยังไม่มาก แล้วเจ้าเด็กนี่ตอนนี้ยังเป็นเพียงศิษย์สายนอกกลับกล่าวว่าจะฝึกปรุงยา
“เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร เตาหลอมใบนั้นข้าจะขายให้เจ้าในราคา 3,000 แต้ม แม้จะเป็นเตาโบราณระดับต่ำแต่หากเพียงใช้ฝึกฝนหลอมยายังนับว่าเหลือเฟือ”
หยางอี้นั้นเพียงต้องการเตาหลอมเพื่อฝึกฝนจริงๆ สำหรับระดับนั้นชายหนุ่มมิได้กังวลแม้แต่น้อย เพียงแค่ใช้งานได้ก็เป็นพอ แต่ราคา 3,000 แต้มนั้นแพงเกินไป เทียบได้กับศาสตราวุธปฐพีระดับต่ำชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
เห็นหยางอี้ขมวดคิ้วเถาหยาจึงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“สำหรับราคา 3,000 นั้นนับว่าแพงก็จริง แต่ด้วยมันเป็นของสะสมของปรมาจารย์โอสถ อีกทั้งยังนานๆครั้งจะมีเตาหลอมหลุดเข้ามาประมูล หากเจ้าพลาดครั้งนี้ข้าเองก็มิรู้ว่าจะมีเตาหลอมเข้ามาอีกเมื่อไหร่”
เถาหยาอย่างไรเสียก็เป็นพ่อค้า แม้เขาจะถูกใจหยางอี้แต่ผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ ส่วนหยางอี้นั้นทำได้เพียงกัดฟันตกลงแลกเปลี่ยนกับหยาเถา แม้จะเสียดายแต่ชายหนุ่มเองก็ยังมีหญ้าบัวราตรีอีกหลายต้นอยู่ในมือ ดังนั้นนับว่ามิใช่เรื่องใหญ่อะไร
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังออกมาจากหน้าห้องก่อนที่หยิงเฟยจะกล่าวอนุญาตให้เข้ามา
“เรียนท่านผู้ดูแลและคุณหนู ตอนนี้มีศิษย์หลักผู้หนึ่งต้องการนำสิ่งนี้เข้าประมูลเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้กล่าวออกมาก่อนจะเดินนำกล่องหยกสีขาวนวลมาส่งให้ หยางอี้เองก็ตะลึงไม่น้อยพลางคิดในใจว่า หยิงเฟยผู้นี้ฐานะไม่ธรรมดาแน่นอน เมื่อครั้งเข้ามายังได้ยินนางกล่าวเรียกเพียงชื่อของเถาหยาอีกด้วย
หยิงเฟยเปิดกล่องหยกขาวออกมาก่อนจะกลายเป็นตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์ ส่วนเถาหยาและหยางอี้เองก็เช่นกัน ภายในกล่องหยกขาวเป็นลูกกลมๆคล้ายเมล็ดพันธุ์ไม้ขนาดเท่ากำปั้นของทารก
“โอ้ เมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์ วันนี้มันวันอะไรกันนี่ ดูเหมือนศิษย์หลักผู้นั้นจะได้รับโชคจากเขตในมาไม่น้อย”
เถาหยาที่ได้สติจึงกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนที่จะพยักหน้าให้กับหยิงเฟยปิดกล่องหยกขาวลงและสั่งหญิงรับใช้ให้ทำสัญญากับศิษย์หลักผู้นั้น ทว่าในตอนนั้นเสียงลึกลับเองก็ดังขึ้นภายในหัวของหยางอี้เช่นกัน
“เจ้าหนู สิ่งนั้นคือแหล่งพลังปราณระดับสวรรค์ มันสามารถใช้ปลดผนึกได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโดยทันทีหยางอี้ไร้ความลังเลหยิบกล่องไม้ดำกล่องหนึ่งที่บรรจุหญ้าบัวราตรีไว้ภายในออกมาวางบนโต๊ะเสียงดัง ปัง! ก่อนจะกล่าวเรียกความสนใจของเถาหยาอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส ดูเหมือนเรายังมีธุรกิจต้องเจรจากันอีกเล็กน้อย”
“หืมม”
เถาหยาและหยิงเฟยหันมามองยังหยางอี้ด้วยความประหลาดใจ ก่อนมองไปยังกล่องไม้ดำที่คุ้นเคยเช่นเดียวกับกล่องก่อนหน้านี้ เถาหยายิ้มขึ้นมาหร้อมกับเดินไปยังโต๊ะที่วางกล่องไม้ไว้ด้านบน
“ฮ่าๆ หรือว่ายังจะมีหญ้าบัวราตรีเช่นเดียวกับต้นก่อนหน้านี้”
เถาหยาเอื้อมมือไปยังกล่องหมายจะเปิดออกเพื่อดูชมสิ่งที่อยู่ด้านใน ทว่ากลับเป็นหยางอี้ที่คว้ากล่องนั้นกลับไปก่อนทำให้เถาหยาเงยหน้ามองดูหยางอี้อย่างงุนงง
“ผู้อาวุโสเถา ศิษย์ผู้น้อยคนนี้ต้องการทำข้อตกลงบางอย่างเสียก่อน”
หยางอี้นั้นรู้ว่าเถาหยานั้นเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ หากเผยไพ่ที่มีอยู่นั้นจะเป็นการยากแล้วที่จะต่อรองกับตาเฒ่านี่ เถาหยาเองขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหยิงเฟยที่หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน มีไม่บ่อยนักที่ตาเฒ่านี้จะโดนศิษย์ตัวน้อยเช่นนี้ลูบคม
“เอาล่ะ เจ้ามีอะไรก็ว่ามา”
“บอกตามตรง ข้านั้นต้องการประมูลเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์ แต่ด้วยของล้ำค่าชิ้นนั้นจำต้องมีราคาสูงแน่นอน และข้าเองนั้นก็ยังไม่มีทุนเพียงพอที่จะประมูลแข่งกับผู้อื่น ดังนั้น...”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับแง้มกล่องไม้ดำขึ้นมาเล็กน้อยเผยให้เห็นใบของหญ้าบัวราตรีที่อัดแน่นอยู่ภายใน กลิ่นหอมของสมุนไพรแพร่กระจายออกมา เถาหยาและเฟยหยิงกลายเป็นตกตะลึงอย่างมาก ก่อนจะได้สติเพราะเสียงปิดฝากล่องลงของหยางอี้
แกร่กก
‘บ้าน่า นี่ นี่ น่าเสียดายที่มันปิดกล่องลงเสียก่อน’
เถาหยาได้แต่ตื่นตระหนกอยู่ในใจ เพียงชั่วพริบตาที่หยางอี้เปิดกล่องและปิดลงนั้น เขาสามารถนับใบของหญ้าบัวราตรีได้กว่า 30 ใบแล้ว และดูเหมือนว่าจะยังไม่หมดแค่นั้นเสียด้วย
“จ จ เจ้าหนู อย่ารีรอ รีบเปิดกล่องเสียเถิด”
แม้จะพยายามสงบนิ่งแต่ในที่สุดเถาหยาก็อดทนไม่ไหว ต้องรู้ว่าสมุนไพรระดับสองที่เป็นส่วนผสมในการหลอมโอสถระดับ 3 แล้ว หากมีอายุเยอะเช่นนี้ยังสามารถใช้ทดแทนในการหลอมโอสถระดับสูงเช่นกัน
ในโลกนี้ยังมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณเหมือนกันหรือใช้ทดแทนกันได้ ที่ต่างกันคือความหนาแน่นและความบริสุทธิ์ของพลังปราณ หญ้าบัวราตรีนั้นมีสรรพคุณเช่นเดียวกับ บัวราตรี ที่เป็นหนึ่งในสมุนไพรหายากอยู่ในระดับ 5 ใช้ในการหลอมโอสถทิพย์ระดับสูง เรื่องนี้หยางอี้เองก็ยังศึกษาไปไม่ถึงเช่นกัน มิเช่นนั้นชายหนุ่มคงจะกดดันเถาหยาได้มากกว่านี้ ทว่าเถาหยานั้นกลับคิดว่าหยางอี้ต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่นอน
“แน่นอนว่าข้าจะเปิดมัน แต่ว่าก่อนหน้านั้นข้าอยากตกลงบางอย่างกับผู้อาวุโสเสียก่อน”
“ว่ามาเลยเจ้าหนู”
“ข้านั้นต้องการทำสัญญากู้แต้มจากทางหอประมูล 50,000 แต้ม แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่ท่านจะได้รับครั้งนี้นั้นข้าจะมอบหญ้าต้นนี้ให้กับท่านฟรีๆ พร้อมกับชดใช้แต้มทั้ง 50,000 แต้ม ภายใน 3 เดือน”
เถาหยาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน แม้จะมีความโลภแค่ไหนแต่เขาเองก็เป็นถึงผู้ดูแลหอประมูลเทียมฟ้า เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนัก ด้วยประสบการณ์มากมายเขาย่อมมองออกว่าในการเจรจาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ สำหรับการกู้ยืม 50,000 แต้มนั้นมิใช่ปัญหาอะไร หากหยางอี้กล่าวว่าจะขายหญ้าต้นนี้ให้พร้อมกับยืมแต้มบางส่วนเขาคงจะตอบตกลงไปแล้ว ระหว่างที่เขาครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ของหยางอี้อย่างจริงจัง ชายหนุ่มก็พลันเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“อืมมม หากข้าจำไม่ผิดหญ้าต้นนี้คงมีอายุมากกว่า 50 ปี กระมัง”
“อะไรนะ! เจ้าพูดว่ามากกว่า 50 ปี!”
เมื่อถูกหยางอี้กระตุ้นอีกครั้ง ความโลภก็เข้าบดบังดวงตาของเถาหยาทันที โดยไม่คิดถึงจุดประสงค์แอบแฝงของหยางอี้ อายุมากกว่า 50 ปี! แม้จะยังไม่อาจเทียบได้กับบัวราตรี สมุนไพรระดับ 5 แต่ด้วยหญ้าบัวราตรีเป็นประเภทที่ดูดซับพลังหยินจากแสงจันทร์ ทำให้มันสามารถใช้แทนสมุนไพรหลายๆชนิดในประเภทที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ได้ และอายุ 50 ปีขึ้นไปนั้นเทียบได้กับสมุนไพรระดับ 4 แล้ว
“ตกลงตามที่เจ้าต้องการ รีบเปิดมันออกได้แล้ว”
เถาหยากล่าวออกมาทันที สมุนไพรระดับ 4 นั้นไม่ใช่ง่ายที่จะได้มาครอบครอง ราคาของมันนั้นไม่ต่ำกว่าเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์มากนัก ระหว่างแหล่งพลังปราณที่ใช้ในการดูดซับของผู้ฝึกตนกับวัตถุดิบในการหลอมโอสถนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สำหรับแหล่งพลังงานนั้นก็ทำได้เพียงให้ผู้ดูดซับเพิ่มระดับหรือฝึกฝนได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นจะดูดซับได้กี่ส่วนอีกด้วย แต่วัตถุดิบปรุงยาระดับสูงนั้นมันทำประโยชน์ได้มากกว่านั้นเยอะ หากมีให้เลือกระหว่างแหล่งพลังปราณระดับสูงกับเม็ดยาที่สามารถรักษาชีวิตได้หนึ่งครั้ง ไม่ต้องสงสัยว่าผู้คนจะเลือกสิ่งใด แม้จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแต่หากตายไปแล้วจะเหลือสิ่งใด?
สำหรับสมุนไพรและวัตถุดิบในการหลอมโอสถกับวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมศาสตรานั้น ในการจำกัดระดับมิใช่ขึ้นอยู่กับสรรพคุณเพียงอย่างเดียว แต่มันยังรวมไปถึงความยากในการเก็บเกี่ยวอีกด้วย
“เช่นนั้นก็ดี ขอบคุณผู้อาวุโสที่กรุณา หญ้าบัวราตรีต้นนี้เป็นของท่านแล้ว”
หยางอี้เอ่ยขึ้นพร้อมกับเปิดกล่องออกแล้วยื่นมันไปให้กับเถาหยา ส่วนทางด้านเถาหยานั้นกลายเป็นมือไม้สั่นไปแล้ว สิ่งนี้เทียบได้กับสมุนไพรระดับ 4 จริงอยู่ว่าในการประมูลราคามันจะต่ำกว่า แต่นั่นเป็นเพราะมันไม่มีประโยชน์กับผู้ฝึกตนทั่วไป แต่หากนำไปประมูลในหมู่ปรมาจารย์โอสถ เถาหยาไม่อาจคิดเลยว่าราคาจะขึ้นสูงถึงเพียงไหน
“อาเฟย เจ้ารีบไปดำเนินการออกจดหมายเชื้อเชิญไปยังยอดเขาโอสถในทันที บอกว่าวันนี้จะมีสมุนไพรประเภทหยินระดับ 4 เข้าร่วมประมูล”
หยิงเฟยนั้นเพียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะรีบออกไปดำเนินการ ส่วนหยางอี้ก็มึนงงเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ที่เขานั้นย่างขาเข้ามาในโลกแห่งการปรุงยาเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น จึงไม่รู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของหญ้าต้นนี้ แต่หลังจากนี้นั้นเปลี่ยนไปแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววเรืองโรจน์ เพียงต้นหญ้าบัวราตรี 50 ปีต้นเดียวยังสามารถทำให้ออกจดหมายเรียกปรมาจารย์โอสถทั้งยอดเขามาได้ แล้วมันยังคงมีเหลืออีก 2 ต้น หยางอี้นั้นคิดไม่ออกเลยว่าเถาหยาจะหัวใจวายตายหรือไม่หากรู้ว่าเขายังมีต้นหญ้าบัวราตรีอายุ 100 ปี อยู่อีก 1 ต้น
เถาหยานำกล่องหยกขาวออกมาจากแหวนมิติก่อนจะเปลี่ยนนำหญ้าบัวราตรีออกจากกล่องไม้ดำแล้วจึงส่งคืนให้กับหยางอี้พร้อมกับถ่ายโอนแต้มให้กับเขา 50,000 แต้ม
“ฮี่ๆ เจ้าศิษย์น้อย ไม่จำเป็นต้องทำสัญญาอะไร เห็นแก่น้ำใจของเจ้า นั่นคือแต้มส่วนตัวของข้า เอาไว้เจ้ามีเมื่อไหร่ค่อยนำมาคืนแล้วกัน”
หยางอี้ยิ้มขึ้นก่อนจะกล่าวขอบคุณออกมา ชายหนุ่มต้องการเชื่อมความสัมพันธ์กับเถาหยาให้อยู่ในระดับที่ดี หยางอี้มิได้ต้องการให้เถาหยาเป็นเบื้องหลังปกป้องอะไร เพียงแต่ในอนาคตเขามั่นใจว่าจะต้องมีอีกหลายสิ่งที่จะนำมายังหอประมูลเทียมฟ้า ดังนั้นจะช่วยได้มากหากมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ดูแลเช่นเถาหยา อีกอย่างหอประมูลแห่งนี้ยังคงขายข่าวด้วยเช่นกันสิ่งสำคัญคือหยางอี้ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาคือผู้นำสี่งของพวกนี้เข้าประมูล เพราะนั่นจะนำปัญหามาให้ไม่รู้จักจบสิ้น
“ขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ ศิษย์ยังมีอีกเรื่องต้องรบกวน ขอให้ท่านช่วยปิดเรื่องตัวตนของข้าไว้เป็นความลับด้วย”
เถาหยาย่อมเข้าใจดีถึงความกังวลของหยางอี้
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้แน่นอน เอาล่ะ ไปยังโรงประมูลกันเถอะ”
เถาหยากล่าวรับปากหยางอี้ก่อนจะเดินนำชายหนุ่มไปยังโรงประมูลชั้นที่สาม ที่เป็นแหล่งรวมของระดับสูงที่เข้าร่วมการประมูล โดยก่อนจะขึ้นไปก็ไม่ลืมสั่งให้หญิงรับใช้นำเตาหลอมโบราณออกจากการประมูลด้วยเช่นกัน
เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามการประมูลก็จะเริ่มขึ้น ระหว่างทางเดินหยางอี้ยังคงเห็นศิษย์ที่แต่งตัวด้วยชุดของสำนักหลากสีตามสังกัดของตนเองเดินเข้าไปยังหอประมูลอยู่ตลอดทาง
ไม่นานเถาหยาก็นำหยางอี้มายังโรงประมูล ภายในหอประมูลเทียมฟ้านั้นแบ่งแยกออกเป็นเพียงชั้นที่ หนึ่ง สอง และสามเท่านั้น ทุกคนจะถูกจัดให้นั่งที่เก้าอี้รอบเวทีประมูลไม่มีห้องสำหรับแขกชั้นสูงเพื่อแบ่งแยกแต่อย่างใด
ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว เสียงฮือฮาก็ดังกระหึ่มไปทั้งโรงประมูล เมื่อมีชายชรา 5 คนในชุดขาวปรากฏตัวภายในโรงประมูลก่อนจะเดินไปยังที่นั่งด้านหน้า
ศิษย์บางคนตกตะลึงจนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“อ่า วันนี้มีสมบัติอะไรเข้าประมูลกันแน่ กระทั่งปรมาจารย์โอสถทั้ง 5 ยังเข้าร่วมการประมูลด้วยตนเอง”
เวลาผ่านไปผู้คนเริ่มทยอยกันเข้าสู่โรงประมูลจนในที่สุดที่นั่งก็เต็มแน่นจนไม่มีที่เหลือ หยางอี้มองไปโดยรอบสังเกตเห็นศิษย์มากมายที่สวมชุดแตกต่างกันตามสัญลักษณ์ของสังกัดที่ตนเองอยู่ ในกลุ่มคนพวกนี้มีหลายคนที่เป็นศิษย์หลักเข้าร่วมการประมูลด้วย หยางอี้เดาว่าอาจจะเป็นเพราะเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์ที่ดึงดูดผู้คนเข้ามามากมายเช่นนี้
เวลา 1 ชั่วยามผ่านไป ที่ใจกลางเวทีก็มีหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งเดินออกมา หยางอี้เดาว่าคงเป็นหนึ่งในบริกรของหอประมูลเทียมฟ้า เพราะนางไม่ได้แต่งกายด้วยชุดของสำนัก
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โรงประมูลเทียมฟ้าเจ้าค่ะ วันนี้ข้าน้อยเสี่ยวเป่ยจะเป็นผู้รับหน้าที่ในการประมูลครั้งนี้”
นางยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะเริ่มกล่าวนำอีกครั้ง
“ก่อนอื่นต้องบอกว่าวันนี้ชั้นที่ 3 ของเรามีของเข้าร่วมประมูลทั้งหมด 10 ชิ้น เสี่ยวเป่ยคิดว่าของแต่ละชิ้นนั้นจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังแน่นอน”
หลังจากกล่าวจบ เสี่ยวเป่ยก็พยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนที่ศิษย์ของโรงประมูลจะนำกล่องหยกกว้าง 5 นิ้ว ยาว 50 นิ้ว ออกมาวางบนโต๊ะ
นางเปิดกล่องในทันทีก่อนจะหยิบดาบสีเงินเล่มหนึ่งออกมา ด้ามจับของมันเป็นสีแดงฉานมองแล้วให้ความรู้สึกร้อนแรงจับใจ
“นี่คือ ดาบเพลิงอัคคี เป็นศาตราวุธระดับปฐพีขั้นสูง ตัวดาบนั้นถูกหลอมขึ้นจากหินลาวา ช่วยส่งเสริมให้กับผู้ฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟ ราคาประมูลเริ่มที่ 1,000 แต้ม”
เมื่อเสี่ยวเป่ยกล่าวจบ เสียงฮือฮาพลันดังขึ้นทันที เหล่าศิษย์ต่างวิจารณ์กันไม่หยุดหย่อน ศาสตราวุธระดับปฐพีขั้นสูงนั้นไม่นับว่าดึงดูดมากนัก แต่กับศาสตราวุธที่ส่งเสริมธาตุนั้นไม่ใช่ เพราะการส่งเสริมธาตุนั้นจะทำให้ผู้ใช้ที่มีธาตุเข้ากันกับศาสตราวุธแสดงพลังได้มากกว่าเดิม 2 หรือ 3 เท่า!
1,500
1,600
1,800
2,000
การประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด นี่เป็นเพียงสิ่งของชิ้นแรกเท่านั้น หยางอี้นั่งชมการประมูลแอบลอบชื่นชมในใจ หอประมูลเทียมฟ้านั้นแม้จะเป็นหอประมูลที่จัดตั้งขึ้นของสำนักแต่ก็นับว่ามีศักยภาพในการหาของอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียว
การประมูลยังดำเนินต่อไปจนไปจบลงที่ 5,500 แต้ม ผู้ชนะเป็นศิษย์หลักคนหนึ่งของสำนัก เพียงไอพลังปราณที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็ทำให้ผู้อื่นรับรู้ได้ถึงความร้อนแรงแล้ว การได้อาวุธชิ้นนี้ไปจะทำให้เขากลับเป็นพยัคฆ์ติดปีกแน่นอน ด้วยราคา 5,500 แต้ม อาจจะดูแพงกว่าราคาทั่วไปของศาสตราวุธระดับปฐพี แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรการใช้จ่ายของเขาครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่าอย่างแท้จริง
หลังจากการประมูลชิ้นแรกจบลง การประมูลต่อไปก็เริ่มขึ้นทันที สิ่งของระดับสูงยังคงถูกนำออกมาอย่างต่อเนื่อง หยางอี้ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แม้ว่าคนอื่นๆจะประมูลแย่งชิงกันอย่างดุเดือด สำหรับพวกปรมาจารย์โอสถและศิษย์หลักอีกหลายคนก็มิได้ใส่ใจมากนักเช่นกัน หยางอี้เดาว่า การมาของพวกเขาเช่นนี้ ย่อมมีเป้าหมายในใจแล้วเหมือนกับตัวเขาเองอย่างแน่นอน
หินภูเขาไฟ….
เขามังกร.....
หัวใจเต่าดำ...
การประมูลดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้ายที่ทุกคนเฝ้ารอ หยางอี้เองก็เช่นกัน ตัวเขาเองก็อยากรู้ว่าหญ้าบัวราตรี 25 ปี และ 50 ปีนั้นจะจบลงที่เท่าไหร่
“ของประมูลชิ้นที่ 8 เป็นสมุนไพรหายากจากป่าสวรรค์ และถือเป็นสมบัติของนักปรุงยา”
เสี่ยวเป่ยพูดออกมาก่อนจะเว้นจังหวะเล็กน้อยจึงเปิดกล่องหยกด้านหน้าออก กลิ่นหอมของสิ่งที่อยู่ด้านในเริ่มโชยออกมาภายในโรงประมูล พร้อมกับแสงสีฟ้าจางๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากกล่อง เหล่าศิษย์จากเขาโอสถต่างจ้องมองกันอย่างตื่นเต้น ส่วนปรมาจารย์ทั้ง 5 ที่นั่งหลับตาอยู่นั้นก็เริ่มลืมตาขึ้นมาทันที
หยางอี้นั้น แม้จะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับหญ้าบัวราตรีทั้งสองต้นที่เข้าร่วมการประมูล ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นไปด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียชายหนุ่มยังคงมีหญ้าพวกนี้อยู่อีกไม่น้อย การประมูลรอบนี้จึงทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก
“นี่คือหญ้าบัวราตรี อายุ 25 ปี เทียบได้กับสมุนไพรระดับ 3 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5,000 แต้ม!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าศิษย์ของสำนักทุกคนต่างรู้ดีถึงการมีอยู่ของป่าสวรรค์ และรู้อีกด้วยว่ามีผู้คนมากขนาดไหนที่เข้าไปเสี่ยงโชคภายในนั้น การจะหาสมุนไพรที่อายุมากกว่า 20 ปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนหยางอี้นั้นก็ตะลึงไม่น้อย ในใจได้แต่ลอบสาปแช่งเถาหยา ตาเฒ่านั้นรับซื้อไปในราคา 7,000 แต้ม แต่เริ่มประมูลที่ 5,000 แต้มนี่นะ นี่มันโขกสับกันเกินไป แต่แล้วจะทำอะไรได้ในตอนนี้ หยางอี้ได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมคิดว่าการซื้อขายครั้งหน้าจะต้องกดราคาตาเฒ่าหน้าเหลี่ยมนี่ให้มากกว่านี้เสียหน่อย
ทันทีที่เสี่ยวเป่ยกล่าวจบเช่นกัน ปรมาจารย์คนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาในทันที
6,000
ปรมาจารย์อีกคนแค่นเสียงออกมาก่อนจะสู้ราคาต่อ
7,000
8,000
9,000
ปรมาจารย์คนอื่นๆเองก็ไม่น้อยหน้าสู้ราคากันอย่างดุเดือด เมื่อ 5 ปรมาจารย์โอสถลงมือ ยังจะมีผู้ใดกล้าสอดแทรกอีก? ตอนนี้ทั้งโรงประมูลต่างเงียบกริบได้ยินเพียงเสียงของชายชราทั้ง 5 ประมูลแข่งกัน จนสุดท้ายราคามาจบลงที่ 15,000 แต้ม เหล่าลูกศิษได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก 15,000 แต้ม สำหรับศิษย์หลักยังต้องใช้เวลานับปีกว่าจะรวบรวมได้
“ฮี่ๆ ยินดีด้วยน้อง 5 หญ้าต้นนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
ปรมาจารย์อีก 4 คนที่เหลือกล่าวคำพูดพลางยิ้มกริ่มมายังชายชราร่างเล็กที่ชนะการประมูล ชายชราที่ถูกเรียกว่าน้อง 5 นี้ทำเพียงแค่นเสียง หึ เย็นชาออกมา ก่อนจะไม่ใส่ใจคนอื่นๆอีก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านี่เป็นเพียงการปั่นราคาเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือ หญ้าบัวราตรีอายุ 50 ปี! ดังนั้นสำหรับหญ้าต้นนี้เป็นเพียงการตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
ปรมาจารย์ทั้ง 5 นั้นเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าเขาโอสถ แน่นอนว่าทั้ง 5 คนต่างต้องแข่งขันกันเพื่อสืบทอดตำแหน่ง และตัวยาระดับที่พวกเขาต้องการจะปรุงขึ้นนั้นด้วยความบังเอิญดันมีสมุนไพรพลังหยินเป็นวัตถุดิบเหมือนกัน แต่สำหรับชายชราที่พวกเขาเรียกว่าน้อง 5 ผู้นี้ กลับแอบหัวเราะในใจ แม้จะเสียแต้มไปไม่น้อยทว่าอย่างไรเขาก็ได้สมุนไพรพลังหยินมาแล้วแน่นอน ดังนั้นการต่อสู้ในรอบต่อไปจะชนะหรือแพ้ต่างไม่มีความหมายมากนัก เพราะหากเขาแพ้อย่างไรก็จะเหลือคู่แข่งในการประชันโอสถเพียง 1 เดียว แต่อีก 3 คนที่เหลือเล่า พวกเขาไม่แม้แต่จะมีวัตถุดิบในการปรุงยาครบถ้วนเสียด้วยซ้ำ!
ด้านหยางอี้นั้นได้แต่นั่งกัดฟันเสียใจให้กับความโง่เขลาของตัวเอง ตัวชายหนุ่มรู้ดีว่าสมุนไพรนี้จะต้องมีราคาสูง แต่ใครจะคิดเล่าว่าจะสูงขนาดนี้ แล้ว ต้นที่อายุ 50 ปี จะขึ้นไปสูงถึงขนาดไหนกัน แม้จะยังมีหญ้าบัวราตรีอยู่อีกทว่าในใจเขาก็ยังคงเสียดายอยู่ดี
“สำหรับการประมูลชิ้นที่ 9 ยังคงเป็นหญ้าบัวราตรีเช่นเดิม แต่ว่า...”
เสี่ยวเป่ยยังคงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใสลากยาวเช่นเดิมพร้อมกับเปิดกล่องหยกสีขาวออกช้าๆ กลิ่นอายและแสงจางสีฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ทว่าทุกอย่างกลับดูเข้มข้นกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก
“หญ้าบัวราตรี อายุ 50 ปี ราคาประมูลเริ่มที่ 10,000 แต้ม”
ทันทีที่กล่าวจบเสียงของปรมาจารย์ทั้ง 5 คนต่างดังขึ้นทันที พวกเขาต่างรู้ดีว่าจะพลาดของชิ้นนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด
15,000
20,000
25,000
30,000
การประมูลดุเดือดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก แม้แต่เหล่าศิษย์ที่นั่งชมยังเลือดลมเดือดพล่าน สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์โอสถจากยอดเขาโอสถที่ร่ำรวยเป็นหนึ่งใน 5 ของสำนักวิหารสวรรค์ การประมูลยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ 60,000 แต้ม โดยที่ผู้ให้ราคานี้คือศิษย์พี่ใหญ่ ปรมาจารย์อีก 4 คนที่เหลือได้แต่กัดฟันขบกรามแน่น ราคาของหญ้าต้นนี้ตามจริงอยู่ที่ 30,000-40,000 แต้มเท่านั้น ที่พวกเขาสู้กันจนเกินราคามาจนเกือบสองเท่าเช่นนี้ เป็นเพราะเวลาในการประชันโอสถนั้นใกล้เข้ามาแล้ว หากพลาดโอกาศนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาศอีกเมื่อไหร่
และทันใดนั้นระหว่างที่เขายิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ ก็ได้มีเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาจากมุมห้อง
“70,000 แต้ม”
“70,000 แต้ม!”
น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากทิศทางหนึ่งของมุมห้อง ปรมาจารย์โอสถที่สู้ราคาก่อนหน้านี้พลันตะโกนขึ้นมาทันที ต้องรู้ว่าด้วยตำแหน่งปรมาจารย์โอสถนั้นเป็นที่เคารพของผู้คน แม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดยังต้องไว้หน้า
“บังอาจ........”
ปรมาจารย์โอสถแต่ละคนต่างอยากได้หญ้าบัวราตรีชิ้นนี้เป็นอย่างมาก สำหรับพวกเขานี่คือวัตถุดิบที่จะช่วยลดความยุ่งยากในการเตรียมตัวเพื่องานประชันโอสถลงไปไม่น้อย ทว่าทันทีที่หางตาเขามองเห็นใบหน้าแก่ชราของผู้เกทับราคาเขา ใบหน้ากลับกลายเป็นซีดเผือด ตื่นตระหนก ก่อนที่เสียงลากยาวด้วยความฉุนเฉียวของเขาจะค่อยๆเบาลงจนหายไปในที่สุด
“ท่านอาจารย์”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมาปรมาจารย์โอสถอีก 4 คนพลันลุกขึ้นทันทีก่อนจะมองไปยังชายชราที่มุมห้อง
“ไม่กี่วันนี้ข้าได้คิดค้นตัวยาใหม่ขึ้นมา และสมุนไพรพลังหยินคือสิ่งจำเป็นอย่างมาก”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
จากนั้นปรมาจารย์ที่เหลือคำนับครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งลงตามเดิม ในทั้ง 5 คนนี้ 4 คนต่างถอนหายใจด้วยความเสียดายที่พลาดโอกาสนี้ แต่เมื่ออาจารย์ของพวกเขามาเองแล้วจะทำอย่างไรได้ ทว่ายังมีหนึ่งคนที่ตอนนี้กลายเป็นเบิกบานถึงที่สุด
“น้อง 5 เจ้าจะยิ้มไปถึงเมื่อไหร่กัน”
ทั้ง 4 คนได้แต่เก็บความโกรธเอาไว้ในใจ เป็นพวกเขาเองที่ปั่นราคาจนน้อง 5 ผู้นี้ต้องเสียแต้มเพิ่มไปอีกหลายพันในการประมูลก่อนหน้านี้ แต่แล้วอย่างไรตอนนี้กลับมีเพียงน้อง 5 ผู้นี้ที่ได้ครอบครองสมุนไพรพลังหยิน แม้จะด้อยค่ากว่าอายุ 50 ถึงครึ่งแต่ก็ยังคงเป็นสมุนไพรพลังหยินอยู่ดี
และในชั่วขณะนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็เริ่มดังขึ้นเมื่อตัวตนของชายชราถูกเปิดเผย บรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต่างเงียบกริบไม่กล้ากระทั่งขยับตัว เพราะชายชราผู้นี้คือท่านเจ้าเขาโอสถตำแหน่งผู้อาวุโสคลุมเงิน เป็นชายที่บ้าคลั่งและหมกมุ่นอยู่กับการปรุงยา กับเรื่องอื่นเขาแทบไม่สนใจสักนิด อีกทั้งด้านอารมณ์เองก็เป็นรองผู้อาวุโสคุมกฎมิเท่าไหร่
“ต่อไปคือสินค้าชิ้นสุดท้ายของวันนี้เจ้าค่ะ เป็นแหล่งพลังงานระดับสูง ข้าน้อยเชื่อว่าหลายท่านในที่นี้เข้าร่วมการประมูลเพื่อต้องการมัน เมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์ ทรัพยากรที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณระดับสวรรค์ ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 แต้ม”
เสียงฮือฮาบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ของชิ้นนี้คือสิ่งที่เหล่าศิษย์ต้องการอย่างแท้จริงเพราะมันจะช่วยให้มีความก้าวหน้าทางการบ่มเพาะอย่างมาก และอีกอย่างที่ทำให้การประมูลรอบสุดท้ายนั้นคึกคักก็คือ เหล่าผู้อาวุโสจะไม่เข้ามาสู้การประมูลแน่นอน เพราะผู้อาวุโสที่เข้ามาในชั้นที่สามต่างเป็นระดับสวรรค์ไปหมดแล้ว ทรัพยากรชิ้นนี้จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขา
11,000
12,000
13,000
การประมูลเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ หยางอี้เองก็ยังมิลงมือประมูลในทันที ชายหนุ่มต้องการดูจังหวะที่ราคาอยู่นิ่งในจุดสูงสุดก่อนจะลงมือชิงมาในครั้งเดียว! สำหรับคนอื่น 60,000 แต้มนั้นอาจจะสำคัญ แต่หยางอี้นั้นแม้จะเป็นคนขี้เหนียวแต่หากเป็นเรื่องที่จำเป็นแล้ว 60,000 ไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาเขาหากเทียบกับการปลดผนึกมุก
“20,000 แต้ม ข้า เหลียงเปา แห่งยอดเขาโรงหลอม ขอพี่น้องโปรดไว้หน้าด้วย”
“อ่า นั่นศิษย์พี่เหลียงเปา ศิษย์หลักผู้มีรายชื่ออยู่ในผังเซียน”
“ฮ่าๆ น้องเปา ข้าเองก็ต้องการมันเช่นกันเจ้าจะไว้หน้าพี่ชายผู้นี้ได้หรือไม่ 25,000 แต้ม”
“นั่นศิษย์พี่ซานเว่ย ลูกศิษย์คนโปรดของท่านเจ้าเขากระบี่ แถมอันดับในผังเซียนยังคงสูงกว่า”
เหลียงเปาได้แต่นั่งลงอย่างขัดใจก่อนแค่นเสียง หึ ออกมา อีกฝ่ายสูงส่งกว่าเขาจริงๆ ราคายังคงอยู่ที่ 25,000 แต้ม ซานเว่ยยิ้มอย่างยินดี แต่ทว่าไม่นานนัก แม่นางเสี่ยวยังไม่ทันนับ 2 เสียงของชายชราก็ดังขึ้น
“26,000 แต้ม”
ซานเว่ยชะงักค้างใบหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะหันไปมองต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เขาจึงหยุดลงและกล่าวออกมาอย่างสุภาพ ทว่าไม่ใช่กับชายชรา แต่เป็นหญิงสาวสะคราญโฉมที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ฮี่ๆ เป็นน้องเตียวนี่เอง เช่นนั้นให้ศิษย์พี่ผู้นี้ให้เป็นของขวัญเจ้าเป็นอย่างไร 27,000 แต้ม”
“นั่นเทพธิดาเตียว ช่างงดงามสมคำร่ำลือ”
“ไม่จำเป็น 28,000 แต้ม”
เตียวเซียวกล่าวออกมาอย่างเย็นชาก่อนจะเพิ่มการประมูล นางเป็นหลานสาวของหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุด แถมเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ของเขาตระกูลเตียว ความหยิ่งทรนงในตัวเองก็มีไม่น้อย เห็นความเย็นชาไม่ไว้หน้าจากนางซานเว่ยก็ไม่สนใจอีก ทำให้การประมูลเริ่มแข่งขันกันอีกครั้ง
29,000
30,000
ระหว่างนั้นการประมูลยังคงสูงขึ้น เหล่าศิษย์หลักและอัจฉริยะต่างประมูลแข่งกันอย่างไม่ยอมลง จนสุดท้าย การประมูลกลับมาคงที่อยู่ที่ราคา 37,000 แต้ม นับว่าใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว เหล่าผู้เยาว์นั้นมิได้ร่ำรวยอย่างปรมาจารย์โอสถ การมีแต้ม 40,000 แต้มนับว่าสูงมากแล้ว เว้นแต่พวกลูกหลานจาก 3 ตระกูล ที่มีเขาตระกูลสนับสนุนอยู่ นั่นก็คือตระกูลข่งตระกูลเตียว และตระกูลเหล่ย ซึ่งเป็นตระกูลของสามผู้อาวุโสสูงสุดที่ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งตระกูลขึ้นบนเขาที่ตนเองปกครอง
หยางอี้มองไปยังข่งเย่หลงมาสักพักแล้ว ไม่คาดคิดว่าวันนี้เขาจะเข้าร่วมประมูลด้วย หลังจากการประลองครั้งนั้นจบลงหยางอี้เองก็ไม่รู้ว่าข่งเย่หลงนั้นยังคงเคียดแค้นเขาอยู่หรือไม่ และตอนนี้ใกล้ได้เวลาที่ชายหนุ่มจะลงมือแล้ว หยางอี้คำนวนไว้ว่าเมื่อราคาขึ้นไปถึง 40,000 เมื่อใดจะลงมือทันที ด้วยชายหนุ่มยังมิอยากสร้างศัตรูแล้วเป็นจุดเด่นขึ้นมามากนัก จึงตัดสินใจห้ำหั่นกับผู้ที่ให้ราคาสูงสุดเพียงคนเดียวจะดีเสียกว่า
“โฮะๆ เด็กๆ พวกนี้ช่างร่ำรวยกันเสียจริง”
“นั่นน่ะสิ สมัยข้ายังมิเป็นปรมาจารย์โอสถ 40,000 แต้มนี่ใช้เวลาเก็บถึง 3 ปีเต็มๆ”
เหล่าปรมาจารย์ดูการแข่งขันของเด็กอย่างสนุกสนาน พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก แต่ทุกคนก็ต่างคิดว่าการประมูลครั้งนี้จะจบลงด้วยชัยชนะของข่งเย่หลงแน่นอน แม้เตียวเซียวจะมีตระกูลหนุนหลังเช่นกันแต่ว่าก็ยังด้อยกว่าข่งเย่หลงอยู่ส่วนหนึ่ง
“40,000 แต้ม”
สุดท้ายเป็นข่งเย่หลงกล่าวออกมา เตียวเซียวเองก็ได้แต่มองค้อนกัดฟันแน่นก่อนจะยอมแพ้อย่างไม่พอใจ
“อ่า สุดท้ายเป็นนายน้อยข่งเป็นผู้ชนะ”
เมื่อเห็นว่าเตียวเซียวยอมแพ้แล้วหลายคนต่างกล่าวประจบประแจงยินดีกับข่งเย่หลง ทว่าในจังหวะนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“50,000 แต้ม”
หยางอี้ข่มราคาอย่างไม่เกรงกลัวด้วยความมั่นใจ การเพิ่มราคาเช่นนี้จะเป็นชัยชนะอย่างแน่นอน แต้มมากมายไม่นับเป็นอะไรได้สำหรับหยางอี้ การปลดผนึกตอนนี้สำคัญที่สุด เพราะเสียงนั้นบอกว่าหากปลดผนึกได้การจะหาดวงจิตและแร่บริสุทธิ์จะเป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
เสียงผู้คนระเบิดขึ้นอีกครั้ง ใคร เสียงของใคร ผู้ใดกันที่เพิ่มราคาได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาการเพิ่มราคานั่นยังไม่เกิน 1000 แต้ม แต่เจ้าคนผู้นี้กลับเพิ่มถึง 10000 แต้ม มากกว่าเดิม 10 เท่า
สายตาทุกคนต่างจับจ้องไปยังที่เดียวกันโดยพร้อมเพียง ชายหนุ่มชุดขาวผู้เอ่ยราคายังคงนั่งอยู่มิได้สนใจรอบข้าง แต่ทว่าใบหน้าของผู้คนกลับกลายเป็นบิดเบี้ยว เพราะอะไรนะหรือ?
ศิษย์สายนอก?
บัดซบชุดมันเป็นชุดของศิษย์สายนอก
ศิษย์สายนอกปู่เจ้าสิจะร่ำรวยถึงขนาดมี 50,000 แต้ม
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะด่าทอก็ดังขึ้นทันที
“ฮ่าๆ บัดซบ ใครปล่อยให้เจ้าสารเลวนี่เข้ามาได้”
“50,000 แต้ม? ฮ่าๆ ข้าพนันว่า 500 แต้มเจ้ายังไม่มีเสียด้วยซ้ำ”
เสียงเยาะเย้ยถากถางยังคงดังขึ้น แต่หยางอี้ไม่ได้ให้ความสนใจนัก แม่นางเสี่ยวเองก็พูดขึ้นเช่นกัน
“อ่า คุณชาย โรงประมูลเทียมฟ้ามิใช่สถานเล่นๆ เมื่อกล่าวออกมาแล้วท่านต้องรักษาคำพูดของท่าน”
หยางอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม่นางผู้นี้กลับสงสัยในตัวเขา? หยางอี้กล่าวยืนยันอย่างเย็นชาก่อนจะหันไปทางข่งเย่หลง
“ศิษย์พี่ข่ง ข้ามิได้ต้องการจะหักหน้าท่าน แท้จริงแล้วของชิ้นนี้จำเป็นต่อข้าในตอนนี้มากจริงๆ หากในอนาคตข้ามีโอกาสได้พบสมบัติเช่นนี้ คงได้แต่ตอบแทนท่านแล้ว”
หยางอี้เลือกที่จะประนีประนอมก่อน หากข่งเย่หลงยังคงไม่ปล่อยวางเช่นนั้นก็คงต้องเป็นศัตรูกันอย่างแน่นอน ลดศัตรูลงหนึ่งย่อมดีกว่าเพิ่มขึ้นหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ปัญหาก็มีมากพอแล้วชายหนุ่มจึงเลือกที่จะกล่าวอย่างสุภาพในเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อหยั่งเชิงข่งเย่หลง ส่วนข่งเย่หลงนั้นเขาเองก็ต้องการของชิ้นนี้แต่ก็มิถึงกับขาดมิได้ ตอนนี้เขากำลังจะทะลวงเข้าสู่ระดับกลางสิ่งนี้จะช่วยให้โอกาสสำเร็จมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ทดแทนกันได้ ข่งเย่หลงมิใช่คนโง่ การที่พ่ายแพ้ให้กับหยางอี้นั้น ทำให้เขาเข้าใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อนาคตจะรุ่งโรจน์ ไม่ควรเป็นศัตรูด้วย อีกอย่างยังเป็นหยางอี้ที่สุภาพมาก่อน ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะปล่อยวางความขุ่นเคืองครั้งก่อน ข่งเย่หลงชอบรังแกคนก็จริง แต่นั่นหมายถึงผู้ที่อ่อนแอกว่ามิใช่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเช่นหยางอี้!
“เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปเถิด”
ข่งเย่หลงกล่าวขึ้นพร้อมกับนั่งลง ทว่าบรรยากาศในโรงประมูลตอนนั้นกลับกลายเป็นเงียบกริบทันที ผู้ที่เยาะเย้ยหยางอี้กลายเป็นอ้าปากค้าง