เล่มที่ 3 บทที่ 2
“ไอ้หนู รอข้าที่นี่ก่อน”
ผู้อาวุโสที่เฝ้าชั้นที่หนึ่งของตำหนักศาสตรากล่าวกับหยางอี้ก่อนหมุนตัวจากไป ภายในเขาโรงหลอมแห่งนี้ยังคงมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่สลักชื่อลงในศาสตราที่ตนหลอม และยังกล่าวได้ว่ามีความสนิทสนมกับผู้อาวุโสเหล่ยโหลวไม่น้อย ‘ท่านเจ้าเขาหั่วโพ่ง’
ยอดเขาทั้ง 48 ลูกจะถูกดูแลโดยเจ้าเขาทั้ง 48 คน โดยแบ่งออกเป็น เขตนอก 30 ลูก เขาทั้ง 30 ถูกดูแลโดยเจ้าเขาคลุมเงินทั้ง 30 คน สำหรับเขตนอกนั้นคือเขตที่เหล่าศิษย์สามารถเดินทางไปมาได้โดยอิสระ ทั้ง 30 เขาในเขตนอกนี้มีไว้เพื่อช่วยในการฝึกฝนและจัดการศิษย์ของสำนักวิหารสวรรค์
สำหรับเขตในนั้นประกอบด้วยเขา 14 ลูก ถูกดูแลโดย เจ้าเขาคลุมทองทั้ง 14 คน ภายในเขตนั้นคือสถานที่ที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะเข้าไปได้ ประกอบไปด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก
และสุดท้าย เขตหวงห้าม ประกอบไปด้วย 4 ยอดเขาซึ่งเป็นที่พำนักของ 3 ผู้อาวุโสสูงสุด และเจ้าสำนักวิหารสวรรค์ โดยท่านเจ้าสำนักจะฝึกตนอยู่ที่เขาบรรพชนซึ่งเป็นที่อยู่ของบรรพชนรุ่นก่อนเช่นกัน
หยางอี้รอไม่นานมากนัก ผู้อาวุโสคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมกับนำทางให้หยางอี้เดินตามเข้าไปภายในเขตส่วนในของเขาโรงหลอม
“เจ้าหนู ดูเหมือนดาบของเจ้านั้นจะถูกสร้างขึ้นโดยท่านเจ้าเขาแห่งนี้”
ผู้อาวุโสพูดขึ้นมาระหว่างนำทางหยางอี้เข้าไปเขตใน
“ท่านเจ้าเขา”
“ใช่แล้ว ท่านเจ้าเขาคลุมเงิน ผู้ดูแลยอดเขาโรงหลอมแห่งนี้ หั่วโพ่ง”
หยางอี้เดินตามเข้ามาจนถึงเขตโรงหลอมด้านในสุด ผู้อาวุโสจึงจากไป ที่แห่งนี้เป็นเพียงเรือนขนาดกลาง ด้านหน้าถูกกองไปด้วยวัสดุมากมายจำพวกแร่หินต่างๆ หยางอี้ค่อยๆเดินเข้าเรือนไป ตลอดทางก็จะได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามายังเรือนแห่งนี้
ภายในเรือนประกอบไปด้วยโต๊ะมากมายที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบวางเรียงรายระเกะระกะ ด้านข้างเป็นเตาหลอมขนาดใหญ่ 5 เตา และในสุดเป็นแท่นตีที่ตอนนี้กำลังมีชายชราร่างเล็กสูงเพียง 150 เซนติเมตรยืนฟาดค้อนลงไปยังดาบเหล็กดำอยู่
“คารวะท่านเจ้าเขา หั่วโพ่ง”
หยางอี้กล่าวทักทายเรียกให้ชายชราร่างเล็กหันมามองเขาและหยุดการตีดาบเอาไว้ หั่วโพ่งเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่แต่กับศาสตร์การหลอมอาวุธโดยมิสนใจสิ่งอื่น ชายชราร่างเล็กใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าจนดำไปหลายส่วน ทว่าร่างกายเล็กๆนั้นกลับเต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวหนังเพียงมองดูก็รู้ว่าแข็งแกร่งราวหินผา
“เจ้าเองเรอะ เด็กที่ตาแก่เหล่ยพูดถึง”
หั่วโพ่งมองสำรวจหยางอี้เล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแล้วนำหยางอี้ไปยังห้องรับรอง
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา ข้าไม่มีเวลามากนัก”
ได้ยินเช่นนั้นหยางอี้ก็นำดาบพยัคฆ์เมฆาออกมาให้หั่วโพ่งดูทันที
“ท่านเจ้าเขาพอจะซ่อมมันได้หรือไม่”
“เป็นดาบเล่มนี้”
หั่วโพ่งมองดูดาบเล่มนี้ด้วยสายตาคิดถึงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวกับหยางอี้
“ข้าพูดตามตรง แก่นของดาบเล่มนี้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้วไม่สามารถซ่อมได้”
หยางอี้ได้ฟังก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงียบแล้วจ้องมองดาบด้วยอารมณ์
“แต่หากหลอมใหม่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“หลอมใหม่?”
หยางอี้ถามออกไปอย่างงุนงงก่อนที่หั่วโพ่งจะอธิบายออกมา
“เมื่อหลายปีก่อน ตาแก่เหล่ยต้องการให้ข้าตีดาบระดับสวรรค์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ข้าจึงได้ตีดาบเล่มนี้ขึ้นมา ดาบเล่มนี้หากจะให้พูดแล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ไม่สมบูรณ์ เดิมทีมันควรจะเป็นศาสตราวุธระดับสวรรค์ แต่ว่าในตอนที่ข้ากำลังจะหลอมนั้นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นทำให้ไม่สามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบ และมีวัตถุดิบสำคัญหนึ่งอย่างที่ขาดไป นั่นคือดวงจิตของพยัคฆ์สวรรค์”
“หลังจากนั้นข้าจึงตัดสินใจหลอมออกมาตามแปลนเดิม ซึ่งควรจะเป็นดาบระดับสวรรค์แต่พอขาดวัตถุดิบหลักไปมันจึงออกมาไม่สมบูรณ์ กำลังของมันลดลงเหลือเพียงสามส่วนจากที่ควรจะเป็น”
หยางอี้ยังคงตั้งใจฟังและคิดตาม
“ดังนั้นในตอนนี้หากจะหลอมดาบเล่มนี้ขึ้นมาใหม่ ที่จำเป็นมีสองอย่าง หนึ่งคือดวงจิตระดับสวรรค์ และสองคือ แร่ธาตุที่มีความบริสุทธิ์ระดับ 5 ขึ้นไป หากเจ้าหามาได้ข้าจะหลอมให้เจ้าโดยไม่คิดแต้มถือเป็นการชดเชยที่สร้างดาบเล่มนี้ออกมาไม่สมบูรณ์”
“ดวงจิตระดับสวรรค์? แร่ธาตุที่มีความบริสุทธิ์ระดับ 5? ผู้อาวุโสท่านช่วยอธิบายหน่อยได้หรือไม่”
หยางอี้กลายเป็นโง่งม ทั้งสองสิ่งนี้เขาไม่รู้จักจริงๆ เรื่องอาวุธที่มีจิตวิญญาณนั้นเขาเคยได้ยินมาบ้าง และทวนโลหิตทมิฬก็เป็นศาสตราวุธที่มีจิตวิญญาณเช่นกัน แต่ดวงจิตคือะไร หรือจะเป็นดวงจิตสัตว์อสูร? แต่ตำนานของทวนนั้นบอกไว้ว่าจิตวิญญาณของทวนเกิดขึ้นจากการอาบโลหิตของศัตรูมากมาย และด้วยความเข้าใจเดิมในร่างของสัตว์อสูรนั้นมีแก่นธาตุที่เป็นแหล่งพลังปราณเท่านั้นมิใช่หรือ?
“เพ่ย! ไอ้หนูข้าไม่ว่างขนาดจะมานั่งสอนเด็กอย่างเจ้าหรอกนะ ไสหัวไปได้แล้ว หากได้ของแล้วก็มาหาข้า หากไม่มีก็ไม่ต้องพูดถึงอีก”
หั่วโพ่งไล่ตะเพิดหยางอี้ออกจากเรือนก่อนกลับไปเริ่มตีดาบเหล็กดำต่อ หยางอี้นั้นทำอะไรไม่ได้ จึงเดินเข้าไปภายในตำหนักศาสตราอีกครั้ง เพื่อถามผู้อาวุโสเกี่ยวกับวัตถุดิบทั้งสองอย่างที่หั่วโพ่งต้องการ ก่อนจะเดินทางกลับเขาทดสอบ
ดวงจิตนั้นคือ จิตวิญญาณของสัตว์อสูร การจะได้มานั้นเป็นเรื่องยาก และยิ่งระดับสูงยิ่งทวีความยากมากยิ่งขึ้น ในร่างกายของสัตว์อสูรนั้นจะมีแก่นธาตุที่เป็นแหล่งพลังงานและจิตวิญญาณของสัตว์อสูรตัวนั้นอยู่ สำหรับแก่นธาตุนั้นเพียงสังหารมันและนำออกมาจากร่างก็เพียงพอ แต่กับดวงจิตนั้นจำเป็นต้องสยบสัตว์อสูรตัวนั้นลงให้ได้และทำการกลั่นมันออกมา และการกลั่นดวงจิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายผู้ที่จะทำได้ต้องมีความแข็งแกร่งที่มากพอและมีความรู้ในการกลั่นวัตถุดิบระดับสูง
การกลั่นดวงจิตคือการกลั่นจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตให้ออกมาอยู่ในรูปแบบของวัตถุ และสิ่งที่ทำให้มันมีความยากนั้นคือผู้กลั่นต้องกำราบจิตวิญญาณนั้นให้ได้ ซึ่งนับว่ามีโอกาสต่ำมากที่จะสำเร็จ ยิ่งสัตว์อสูรระดับสูงนั้นล้วนมีความฉลาดและเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง การจะกำราบมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากฝืนบังคับกลั่น พวกมันจะยอมสลายวิญญาณทันทีเพื่อไม่ให้ถูกมนุษย์ควบคุม
ส่วนแร่ธาตุบริสุทธิ์นั้นยังนับว่าหาได้ง่ายกว่าดวงจิตมากนัก แต่ปัญหาที่ทำให้หยางอี้ปวดหัวคือหั่วโพ่งต้องการระดับ 5 ขึ้นไป จากคำกล่าวของผู้อาวุโสที่เฝ้าตำหนัก แร่ธาตุบริสุทธิ์เป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมอาวุธ สามารถหาได้จากยอดเขาแลกเปลี่ยน สำหรับระดับ 1-3 นั้น สามารถซื้อได้จากร้านค้าแลกเปลี่ยนภายในยอดเขาแลกเปลี่ยน แต่ระดับ 4 ขึ้นไปต้องหาเอาจากโรงประมูลสวรรค์ และราคาของระดับ 4 นั้นก็ราวๆ 3000 - 4000 แต้ม ระดับ 5 นั้นต้องสู้เอากับผู้ที่ต้องการคนอื่นและยังมีไม่บ่อยนักที่จะมีแร่ธาตุบริสุทธิ์ระดับ 5 เข้ามาประมูล
“ดวงจิตระดับสวรรค์นั้น ก็เคยมีเข้ามาประมูลเป็นระยะเช่นกัน แต่ราคาของมันนั้นสูงจนน่ากลัว ส่วนธาตุบริสุทธิ์ระดับ 5 นั้น ก็มีราคาสูงเช่นกัน โชคดีที่ผู้อาวุโสหั่วโพ่งไม่คิดค่าหลอม มิเช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ข้าคงได้แต่ฝันกลางวันเท่านั้น”
หยางอี้คิดไม่ตกกับปัญหาพวกนี้ ไหนจะเรื่องที่ต้องหาแหล่งพลังงานเพื่อปลดผนึกตามที่เสียงลึกลับเคยบอกไว้อีก
“จริงสิ”
หยางอี้พลันนึกได้ทันทีว่าภายในตัวเขายังมีอีกสิ่งที่อาศัยอยู่ เสียงลึกลับนั่นดูเหมือนจะรู้เรื่องของโลกนี้มิใช่น้อยเสียด้วย
“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส ท่านตื่นอยู่หรือไม่”
หยางอี้ร้องตะโกนขึ้นในจิตใจก่อนจะมีเสียงลึกลับตอบกลับมา
“เพ่ย! ถึงข้าจะบอกว่าตื่นจากการหลับไหล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมาเรียกหาเอาตามใจเช่นนี้”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่ท่านรู้หรือไม่ข้าจะหาธาตุบริสุทธิ์ได้จากที่ไหน”
หยางอี้ถามออกไปอย่างคาดหวัง เรื่องดวงจิตนั้นตอนนี้ยังคงยากเกินความสามารถของเขา หยางอี้ย่อมรู้ดี แต่สำหรับแก่นธาตุนั้นยังคงมีหวัง หากโชคดีอาจจะไม่ต้องรอให้เสียเวลาแถมยังอาจจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเสียด้วยซ้ำ
“เฮอะ ไอ้หนู เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะ เรื่องนี้ข้าจะแนะนำเจ้าสักหน่อย จงเร่งตามหาแหล่งพลังปราณให้ได้ก่อน เมื่อปลดผนึกได้แล้วเรื่องอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
หยางอี้ได้ฟังเช่นนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย ของทั้งสองอย่างนั้นเกี่ยวอะไรกับการปลดผนึก
“ที่ท่านพูดคือเรื่องจริง?”
“เพ่ย ! แล้วข้าจะโกหกเจ้าเพื่ออะไร”
***
วันเวลาผ่านไป หลังจากเข้ามาภายในสำนักวิหารสวรรค์ ตอนนี้ผ่านไป 25 วันแล้ว หยางอี้ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาสมุนไพรต่างๆ ตอนนี้ความรู้ของเขาแทบจะเรียกได้ว่าเกินขอบเขตของผู้ฝึกหัดปรุงยาไปแล้ว ด้วยข้อมูลของกู่เทียนชางที่บันทึกไว้นั้นเรียกได้ว่าตำราที่เหล่าสิทธิ์ใช้ภายในสำนักนั้นเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
บับ!
หยางอี้ปิดตำราเล่มหนาลงหลังจากอ่านทบทวนรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ใจความในส่วนแรกนั้นหยางอี้ทำความเข้าใจได้ตั้งแต่ 5 วันที่แล้ว ส่วน 5 วันที่ผ่านมานี้ชายหนุ่มยังคงนั่งทบทวนเพื่อความมั่นใจโดยไม่ประมาท และในที่สุด ใจความของส่วนวัตถุดิบ 1 ใน 10 ส่วนแรกก็ถูกฝังลึกลงในความเข้าใจของชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย
แม้จะกล่าวว่าเพียง 1 ใน 10 ส่วนของภาคข้อมูลวัตถุดิบ แต่สำหรับตำราของกู่เทียนชาง 1 ใน 10 ส่วนนี้ครอบคลุมข้อมูลของการปรุงยาระดับหนึ่งไว้ทั้งหมด ทุกรายละเอียดที่เซียนโอสถค้นพบถูกบันทึกไว้จนหยางอี้สามารถเข้าใจวัตถุดิบระดับ 1 ได้ทั้งหมด
เหตุผลง่ายๆที่หยางอี้ต้องใช้เวลามากในการทำความเข้าใจคือคำว่า ‘นักปรุงยา’ นักปรุงยาคืออะไร นิยามง่ายๆคือผู้ที่นำวัตถุดิบมากมายที่มีบนโลกนี้มากลั่นจนเกิดเป็นเม็ดยาต่างๆ และการจะทำเช่นนั้นได้แน่นอนว่าต้องมีทรัพยากรในการฝึกฝนที่เพียงพอ นี่เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้โลกนี้ผลิตนักปรุงยาขึ้นมาได้น้อยมาก
หยางอี้มีแต้มอย่างจำกัด รวมถึงตัวเขาไม่เคยผ่านการฝึกปรุงยามาแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นก่อนจะลงมือหยางอี้จำต้องมีความมั่นใจว่าจะสำเร็จ
เมื่อเก็บตำราแล้วหยางอี้นำแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตอนนี้เป้าหมายต่อไปของเขาคือการหาวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้ในการฝึกปรุงยา เงื่อนไขเดียวในตอนนี้ที่จะต้องทำคือการหาแหล่งพลังปราณเพื่อใช้ในการปลดผนึกมุกมิติราชันย์ และนั่นจำต้องใช้จ่ายออกไปจำนวนมาก หยางอี้คิดหาวิธีไว้หลายวิธีในการเก็บแต้ม และการขายยาคือหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“ก่อนอื่นข้าคงต้องไปสำรวจราคาที่เขาแลกเปลี่ยนเสียก่อน”
หลังจากวางแผนเสร็จสรรพ หยางอี้ก็มุ่งหน้าไปยังเขาแลกเปลี่ยนทันที ยอดเขาแลกเปลี่ยนนั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดเขาที่แออัดมากที่สุด และที่สำคัญเขาแลกเปลี่ยนนั้นตั้งอยู่ใจกลางของเขตนอก ทำให้การสัญจรไปมานั้นสะดวกยิ่งขึ้น
ภายในยอดเขาแลกเปลี่ยน เมื่อมาถึงหยางอี้ตะลึงไม่น้อย สิ่งที่เห็นนี่มันไม่ใช่ตลาดที่เหล่าศิษย์ของสำนักมาทำการแลกเปลี่ยนกันแล้ว แต่นี่มันคือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ชัดๆ ด้านบนยอดเขาแห่งนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีผู้ใดสร้างไว้
ด้านบนยอดเขานั้นกลายเป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่ บริเวณรอบถูกสร้างเป็นตึกรามมากมายล้อมรอบแอ่งกระทะ ส่วนพื้นที่ด้านในนั้นเต็มไปด้วยร้านแผงลอย ร้านค้า ที่ถูกจัดสรรอย่างเป็นระเบียบ และใจกลางของแอ่งนี้คือตำหนักหลังใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามด้านหน้าสลักป้ายขนาดใหญ่ตัวอักษรสีทอง “หอประมูลเทียมฟ้า”
หยางอี้เดินสำรวจภายในตลาดด้วยความสนุกสนาน ตลาดแลกเปลี่ยนแห่งนี้นับว่าอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียว สิ่งของมากมายที่นำมาวางขายที่นี่แทบจะอยู่ในระดับที่หาไม่ได้จากโลกภายนอก บางชิ้นหากนำไปวางขายนอกสำนักอาจสร้างความตื่นเต้นจนผู้คนต้องกระสับกระส่ายกันแน่นอน
แม้จะมีสิ่งของน่าสนใจมากมายแต่หยางอี้จำต้องกัดฟันเลิกสนใจไปในทันที เพราะราคานั้นสูงลิบลิ่วเช่นกัน ใช้เวลากว่า 2 ชั่วยามหยางอี้ก็รู้ราคาคร่าวๆ ของวัตถุดิบระดับหนึ่งและโอสถระดับหนึ่ง สำหรับวัตถุดิบนั้นมีราคาไม่นับว่าแพงมากนัก แต่หากต้องชื้อมาใช้ในการฝึกแล้วนับว่าหนักหนาไม่น้อย แต่เรื่องนี้หยางอี้ไม่กังวลมากนักเพราะชายหนุ่มมีเป้าหมายในใจแล้วในการหาวัตถุดิบพวกนี้ นั่นคือ การเสี่ยงดวงที่ป่าสวรรค์ ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมของเขาแฝดที่ 20 และ 21 ยอดเขาสมุนไพรและยอดเขาสัตว์อสูร
สำหรับโอสถระดับ 1 นั้น มีราคาอยู่ที่ 100 - 1000 แต้ม ตามคุณภาพและประเภทการใช้งาน ภายในตลาดแลกเปลี่ยนนั้นมีขายถึงเพียง ระดับ 3 ราคาสูงสุดอยู่ที่ 3000 แต้ม และระดับสูงกว่านั้นต้องหาเอาจากหอประมูล สำหรับโอสถระดับ 3 นั้น เป็นของที่ศิษย์ชั้นนำของยอดเขาโอสถปรุงขึ้นมา นับว่ามีจำนวนน้อยมาก ส่วนระดับสูงขึ้นไปนั้นเป็นโอสถที่ผู้อาวุโสปรุงขึ้น ระดับสูงสุดที่สำนักวิหารสวรรค์สามารถผลิตได้นั่นคือโอสถระดับ 6 และมีเพียงคนเดียวที่สามารถปรุงได้คือท่านเจ้าเขาโอสถ
ระหว่างที่สำรวจราคาของวัตถุดิบนั้นหยางอี้ได้สอบถามเกี่ยวกับหอประมูลเทียมฟ้า ทำให้ได้ข้อมูลมาเล็กน้อย ที่หอประมูลนี้มีบริการหนึ่งที่เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ต้องการบางสิ่งที่เฉพาะเจาะจง นั่นคือการลงนามแจ้งความต้องการ โดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยและก่อนวันที่จะมีการประมูลของที่ต้องการไว้หนึ่งวันจะมีจดหมายแจ้งไปยังผู้ลงนาม
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับของที่ต้องการแล้ว หยางอี้ก็จัดการลงนามไว้ก่อนจะเดินทางออกจากเขาแลกเปลี่ยน และมุ่งหน้าไปยังเขาแฝด เวลาช่วงเช้าทั้งหมดหยางอี้ใช้ไปกับการสำรวจราคาโอสถและวัตถุดิบ ตอนนี้เหลือเวลาอีก 3 ชั่วยามฟ้าจะมืด
ป่าสวรรค์นั้นแตกต่างจากเขาอื่นๆ เพราะป่าสวรรค์นอกจากเป็นสถานที่เสี่ยงโชคแล้วยังนับว่าเป็นสถานที่ฝึกฝนแห่งหนึ่งของวิหารสวรรค์อีกด้วย บริเวณทั้งหมดของพื้นที่เขาแฝดนั้นถูกกางเขตแดนแบ่งแยกกับพื้นที่ภายนอกอย่างชัดเจน จากที่สำรวจหยางอี้คิดว่าคงจะเป็นแบบเดียวกับป่าเมฆา
และเป็นเช่นเคย มีศิษย์มากมายที่ต้องการมาแสวงโชคภายในป่าสวรรค์แห่งนี้ ด้านในนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากร วัตถุดิบ สัตว์อสูร และยังมีสถานทดสอบที่ทางสำนักได้สร้างไว้โดยมีสมบัติวิเศษเป็นรางวัลอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคของแต่ละคน สถานที่ทดสอบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบ เพราะมันถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีคนผ่านได้ครั้งหนึ่ง
ด้านหน้าป่าสวรรค์มีเพียง ตำหนัก 2 ตำหนักเท่านั้นที่ตั้งอยู่ หยางอี้ไม่รอช้าตรงเข้าไปยังตำหนักบริการทันที ภายในค่อนข้างแออัดเล็กน้อย แต่การบริการเป็นไปอย่างไม่มีติดขัด ด้วยจำนวนของศิษย์ที่ทำหน้าที่จัดการมีมากกว่า 30 คน
หยางอี้เลือกไปยังช่องว่างช่องหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“คารวะศิษย์พี่ ไม่เจอกันเสียนาน”
ศิษย์คนที่ทำหน้าที่รับบริการเงยหน้าขึ้นมามองหยางอี้แล้วชะงักไปเล็กน้อยจึงหัวเราะออกมา เขาคือหนึ่งในศิษย์ที่เคยคุยกับหยางอี้เมื่อครั้งอยู่ในหอทดสอบนั่นเอง
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องหยาง ไม่คิดว่าเจ้าจะมาที่นี่เร็วเช่นนี้”
“พอดีข้าต้องการเสี่ยงโชคสักเล็กน้อย หวังแต่ว่าข้านั้นจะมีโชคอยู่บ้าง”
หยางอี้กล่าวตอบไปก่อนที่ศิษย์พี่นั้นจะเริ่มอธิบายกฎระเบียบการเข้าป่าสวรรค์ให้ชายหนุ่มฟัง
ป่าสวรรค์นั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 เขต นอก กลาง ใน แต่ละเขตนั้นทั้งความยากและอัตราการเสี่ยงชีวิตต่างกันตามลำดับ ปีหนึ่งมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ตกตายภายในป่าสวรรค์ แน่นอนว่ายิ่งเข้าไปลึกสิ่งที่จะเจอนั้นก็ยิ่งล้ำค่ามากยิ่งขึ้นแต่อันตรายก็มีมากขึ้นเช่นกัน
และการจะเข้าไปในแต่ละเขตนั้นจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย หากลงเบียนไว้ในข้อจำกัดของเขตนอกก็จะไม่สามารถเข้าไปยังเขตกลางได้ ภายในป่าสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยค่ายกลมากมายที่ผู้อาวุโสได้สร้างไว้ คร่าวๆก็จะมีลักษะเหมือนตอนที่หยางอี้ทดสอบในป่าเมฆา ทุกคนจะได้รับแผ่นป้าย สามารถออกมาได้ตลอดเวลาเมื่อพบอันตราย และแผ่นป้ายนั้นก็จะใช้ในการผ่านค่ายกลเพื่อเข้ายังเขตต่อไปอีกด้วย
ป้ายถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ ทองแดง เงิน ทอง สำหรับป้ายทองแดงนั้นมีราคาอยู่ที่ 10 แต้มต่อ 1 ชั่วยาม ป้ายเงินนั้น 50 แต้มต่อ 1 ชั่วยาม และป้ายทองนั้น 100 แต้มต่อหนึ่งชั่วยาม
หยางอี้ขมวดคิ้วพลางนึกในใจ นี่มันเป็นการรีดไถชัดๆ หากต้องการอยู่ในเขตใน 1 วัน จำต้องจ่ายออกด้วยแต้ม 1200 แต้ม นับว่าสมกับเป็นสถานที่เสี่ยงดวงโดยแท้ หากพบหนึ่งหรือสองอย่างก็นับว่าคุ้มค่า แต่หากไม่ได้รับอะไรเลยนั่นถือว่าเสียหายอย่างหนักเมื่อจ่ายออกไป 1200 แต้ม
และต่อมาหยางอี้ก็แทบจะเข่าทรุด การเข้าป่าสวรรค์นั้นจะถูกผนึกแหวนมิติไว้และผู้ที่จะเข้าต้องเช่าถุงมิติจากทางตำหนักเท่านั้น โดยถุงเองก็มี 3 ระดับตามจำนวนสิ่งของที่ใส่ได้ 10 ชิ้น ราคา 100 แต้ม 50 ชิ้นราคา 300 แต้ม และ 100 ชิ้นราคา 500 แต้ม
กฎการใช้ถุงมิตินั้นศิษย์พี่อธิบายว่าเพื่อป้องกันการกอบโกยวัตถุดิบระดับต่ำมากเกินไป เช่นหากศิษย์หลักคนหนึ่ง เข้าไปยังเขตนอกในเวลา 1 ชั่วยาม นั่นหมายถึงจ่ายออกเพียง 10 แต้ม และในเวลา 1 ชั่วยามนั้นกับความสามารถของศิษย์หลักทางสำนักจะต้องเสียหายมากขนาดไหนไม่มีผู้ใดรู้
หยางอี้จึงพอพยักหน้าเข้าใจหลังจากฟังศิษย์พี่ผู้นี้อธิบายทุกอย่างจนจบ
“ศิษย์พี่ ข้าต้องการป้าย เงิน เป็นเวลา 1 วัน และถุงระดับ 2”
หยางอี้เมื่อตัดสินใจก็เอ่ยปากบอกความต้องการทันที นี่ทำให้ศิษย์พี่ผู้นี้ตกใจจนเกือบหงายหลัง
“น้องหยาง เจ้าเร่งรีบไปหรือไม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้าป่าสวรรค์ ข้าคิดว่าเจ้าควรเข้าไปสำรวจในเขตที่หนึ่งสัก 1 ชั่วยามก่อนดีหรือไม่ มันไม่ใช่เพียงเรื่องอันตรายแต่ การจะเข้าป่าสวรรค์เพื่อให้ได้รับประโยชน์นั้นจำเป็นต้องดูเวลาที่เหมาะสมเช่นกัน แล้วยังถุงระดับ 2 เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
ศิษย์พี่กล่าวเตือนออกมาทันที สิ่งที่หยางอี้ทำนั้นออกจะบุ่มบ่ามไปหน่อย เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาจึงไม่อยากให้หยางอี้ใช้จ่ายออกไปโดยเสียเปล่า ป้ายเงิน? 1 วัน? ถุงระดับ 2? การใช้จ่ายเช่นนี้ทำให้เขางุนงง แน่นอนว่าทรัพยากรระดับต่ำนั้นสามาถเก็บเกี่ยวได้เกิน 20-30 ชิ้น แน่นอนหากใช้เวลา 1 วัน แต่หากต้องการจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรระดับต่ำจะเอาป้ายเงินไปเพื่ออะไร และแน่นอนว่า 1 วัน การจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในเขตสองให้ได้ 10 ชิ้นนั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก
“ข้าเพียงอยากลองดู บางทีข้าอาจจะมีโชคอยู่บ้าง”
หยางอี้เพียงยิ้มและตอบออกไป ศิษย์พี่จึงไม่พูดอะไรอีกก่อนจะส่ายหัวและจัดการธุระให้หยางอี้ เมื่อจ่ายแต้มออกไป 900 แต้มหยางอี้ก็รับของแล้วเดินออกจากตำหนักไปยังประตูค่ายกลทางเข้าป่าสวรรค์
ห่างไปไม่ไกลมีชาย 2 คนกำลังมองดูหยางอี้อยู่และเมื่อเห็นหยางอี้เข้าไปภายในป่าสวรรค์แล้ว ชายคนหนึ่งจึงกล่าวออกมา
“เฉินซุย รีบไปรายงานนายน้อยว่ามันเข้าไปในป่าสวรรค์แล้ว”
วูปปปป
หยางอี้เดินผ่านประตูค่ายกลบานใหญ่เข้ามา ภายในป่าสวรรค์นั้นโดยรอบเป็นป่าทึบและจะมองเห็นเขาแฝดที่ตั้งติดกันอยู่ใจกลาง พื้นที่ทั้งหมดบนภูเขาคืออาณาเขตของส่วนใน หยางอี้เริ่มเดินสำรวจทันที เวลานั้นมีไม่มากชายหนุ่มต้องการเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด การเข้าป่าสวรรค์นั้นใช้จ่ายออกไปมิใช่น้อย เพียงแค่ป้ายเงินนี้ก็ 900 แต้มแล้ว หากเก็บเกี่ยวได้ไม่มากพอนั่นจะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมาก
เป้าหมายของหยางอี้ในครั้งนี้คือเก็บเกี่ยวสมุนไพรตามรายการให้ได้มากที่สุด ส่วนชนิดใดหาไม่ได้ก็ค่อยไปซื้อเอาที่เขาแลกเปลี่ยน เนื่องจากหยางอี้ต้องการวัตถุดิบมาเพื่อฝึกปรุงยา มิใช่นำมาเพื่อปรุงยา หากใช้แต้มที่มีแลกมาทั้งหมดจะมิพอเป็นแน่ ดังนั้นป่าสวรรค์คือความหวังของชายหนุ่ม
สำหรับยาที่หยางอี้ต้องการปรุงคือ โอสถระดับ 1 ยาเพลิงพิโรธ และยาหัวใจสมุทร ทั้งสองอย่างนี้ขั้นตอนการปรุงนับว่าไม่ยากมากนัก สิ่งที่ยากขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของเม็ดยา ทั้งเพลิงพิโรธและหัวใจสมุทรนั้นเป็นโอสถที่ช่วยในการชำระกาย และปรับลมปราณในร่างให้คงที่ เรียกได้ว่าเป็นของคู่กันที่ต้องใช้ในการทะลวงระดับ หากแต่อย่างต่ำต้องมีความบริสุทธ์อย่างน้อย 6 ส่วน จึงจะขายได้ โอสถทั้งสองนี้เป็นที่ต้องการของศิษย์สายในจำนวนมาก เพราะมันคือสิ่งที่ช่วยให้ทะลวงระดับปฐพีได้ง่ายขึ้น
ภายในเขตนอกหยางอี้วิ่งวุ่นโดยไม่หยุดพัก หลังจากสังเกตภูมิประเทศของป่าสวรรค์แล้ว เขาเริ่มลงมือทันที ด้วยความรู้ที่ศึกษาจนแตกฉานส่วนที่หนึ่งในตำราเซียนโอสถ การระบุตำแหน่งของวัตถุดิบระดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก ระหว่างรวบรวมวัตถุดิบระดับต่ำหยางอี้พบคนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาเก็บสมุนไพรเช่นกัน บางครั้งก็มีตำแหน่งที่เล็งไว้ถูกผู้อื่นจับจองไว้แล้ว เนื่องจากป่าสวรรค์นั้นอุดมไปด้วยทรัพยากรและหยางอี้ยังไม่ต้องการนองเลือดเพื่อสมุนไพรระดับ 1 เขาจึงเปลี่ยนหาที่ใหม่แทน
4 ชั่วยามผ่านไป หยางอี้รวบรวมสมุนไพรได้ไม่น้อย ตอนนี้ในถุงมิติทั้ง50ช่อง เหลือว่างเพียง 12 ช่องเท่านั้น ภายในถุงประกอบไปด้วย 6 ชนิด ที่เป็นส่วนประกอบของการปรุงยา ตอนนี้หยางอี้ยังขาดวัตถุดิบอีก 2 ชนิดในการปรุงยาเพลิงพิโรธและยาหัวใจสมุทร แต่วัตถุดิบที่ขาดอยู่นั้นค่อนข้างจะหายากสักเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะแลกเอาจากตลาด
ระหว่างทางยังมีสมุนไพรหลายอย่างที่พบ แต่เนื่องด้วยถุงมิติสามารถใส่ของได้อย่างจำกัดแม้จะน่าเสียดายแต่เขาก็ได้แต่ปล่อยผ่านไป ด้วยเวลา 4 ชั่วยามกับการเก็บเกี่ยวระดับนี้ มากพอแล้วที่จะทำให้คนอื่นต้องอ้าปากค้าง ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณความพยายามในการศึกษาตำราอย่างละเอียดของเขาเอง
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หยางอี้ก็มาถึงทางเข้าเขตกลาง มองไปก็ไม่นับว่าเป็นทางเข้าอะไร เพียงแต่ทั้งสองเขตจะมีกำแพงลมปราณเล็กๆลอยขึ้นมาจากค่ายกลที่ถูกวางเอาไว้ทั่วป่า เพื่อแบ่งแยกเขตนอกและเขตกลางออกจากกัน หากไม่มีป้ายเงินที่ลงอักขระของค่ายกลไว้ก็จะไม่สามารถผ่านไปได้
โดยไม่เสียเวลาหยางอี้มุ่งหน้าเข้าสู่เขตกลางทันที เขตกลางนั้นต่างจากเขตนอกเพราะภายในนั้นจะไม่ได้มีเพียงสมุนไพรกับวัตถุดิบแล้ว แต่เขตกลางเป็นที่อาศัยของสัตว์อสูรอีกด้วย จากคำแนะนำนั้นในเขตกลางจะมีสัตว์อสูรตั้งแต่ก่อตั้งจิตถึงปฐพีขั้นสูง แม้จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับหยางอี้ แต่กับศิษย์คนอื่นการมาเขตกลางก็เหมือนกับเอาชีวิตมาเสี่ยงแล้ว และหากเข้าเขตในนั่นคือการเอาชีวิตไปทิ้ง
สำหรับเขตกลางนั้นความหวังของหยางอี้คือโชคดีได้พบกับสมุนไพรระดับ 3 สัก 1 หรือ 2 ต้นก็ถือว่าการมารอบนี้เก็บเกี่ยวได้อย่างยอดเยี่ยม แต่หากไม่แล้ว เพียงเติมช่องว่างในถุงทั้ง 12 ที่ด้วยสมุนไพรระดับ 2 ก็ยังนับว่าไม่เลว
ภายในป่าเขตกลางนั้น ตลอดเวลาที่ออกค้นหาสมุนไพรจะได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรมาเป็นพักๆ หยางอี้มีเป้าหมายในใจแล้วในการออกค้นหาสมุนไพรในเขตนี้ จากการอ่านตำราตลอด 20 วันที่ผ่านมา เมื่อจดจำเนื้อหาในส่วนของระดับที่ 1 จนครบถ้วนแล้ว ก่อนจะทบทวนดูอีกครั้งหยางอี้ได้เปิดอ่านในส่วนของวัตถุดิบระดับ 2 มาพอสมควร แม้จะยังมิได้เข้าใจจนถ่องแท้เช่นส่วนแรก แต่สำหรับเรื่องที่อยู่ของพวกมันนับว่าไม่เป็นปัญหาในการค้นหา
เป้าหมายของหยางอี้ครั้งนี้คือสมุนไพร ระดับ 2 ที่จะเกิดขึ้นบริเวณที่อับชื้น หญ้าบัวราตรี สมุนไพรชนิดนี้เป็นส่วนประกอบในการปรุงยาระดับ 3 ราคาของมันค่อนข้างสูง และยาบัวผลาญใจระดับ 3 นั้น คือหนึ่งในโอสถที่หยางอี้ต้องการปรุงเช่นกัน โอสถชนิดนี้ความยากในการปรุงค่อนข้างสูง แต่ผลประโยชน์และราคาเองก็สูงลิบเช่นกัน ในเขาโอสถนั้นมีเพียงศิษย์หลักเท่านั้นที่สามารถปรุงได้ แต่จำนวนคนที่ปรุงได้นั้นก็น้อยจนสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ
เดินตัดผ่านป่ามาไม่นานนัก หยางอี้ก็เริ่มได้ยินเสียงน้ำไหลกระทบหินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงจุดหมาย เบื้องหน้าชายหนุ่มเป็นลำธารขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นน้ำตกไหลลงมาสูง 20 เมตร บริเวณโดยรอบอุดมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด มีกระทั่งสมุนไพรระดับ 1 ที่หาได้ยากในเขตนอก สำหรับศิษย์ที่มีความสามารถมากพอ การใช้จ่ายเข้ามาเขตกลางนับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง
หยางอี้เริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบทันที ตามตำราบันทึกไว้ว่าหญ้าบัวราตรีนั้นจะเติบโตขึ้นบริเวณโขดหินชื้น ภายในลำธารแห่งนี้เองก็เต็มไปด้วยโขดหินมากมาย ซึ่งนับว่าหยางอี้เลือกสถานที่ได้เหมาะสมเพราะด้วยภูมิประเทศเช่นนี้เหมาะแก่การเติบโตของบัวราตรีจริงๆ
ค้นหาอย่างรอบคอบไม่นานดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกาย เมื่อมองไปยังโขดหินก้อนหนึ่ง ในช่องแคบๆนั้น ปรากฎต้นหญ้าขนาด 3 นิ้วหลบซ่อนอยู่ภายใน ทั้งต้นของหญ้าบัวราตรีนั้นจะมีสีฟ้าอ่อนและแสงรางๆออกมาตลอดเวลา ใบของมันที่งอกออกมาจะงุ้มงอเข้าหากันจนลักษณะคล้ายกับดอกบัวตูม และจะบานออกยามที่แสงจันทร์ตกกระทบ
หยางอี้ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะขุดเอาหญ้าบัวราตรีออกมาทั้งรากและเก็บใส่ถุงมิติ สมุนไพรนั้นมีหลายประเภท และหญ้าบัวราตรีเป็นหนึ่งในประเภทที่แผ่พลังปราณออกมาเป็นแสงจางๆอยู่ตลอดเวลา เมื่อเก็บเกี่ยวออกมาแล้วภายในหนึ่งวันจำต้องใช้วิธีพิเศษในการเก็บรักษา มิเช่นนั้นแหล่งพลังปราณภายในจะสูญเสียจากการปล่อยแสงจางๆสีฟ้าจนคุณสมบัติในการเป็นวัตถุดิบปรุงยาหมดไป
หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน ครั้งนี้นับว่ามีโชคไม่น้อย เพียงต้นแรกที่เก็บเกี่ยวได้ก็มีอายุถึง 5 ปีแล้ว หญ้าชนิดนี้เมื่อเกิดมาจะมีใบอยู่ 4 ใบ และจะงอกขึ้นหนึ่งใบเมื่อผ่านไปหนึ่งปี ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ยิ่งหมายความว่าดูดซับพลังหยินมามากเท่านั้น
หยางอี้หลังจากเก็บหญ้าบัวราตรีต้นแรกมาแล้วก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้น ด้วยการอ่านตำราเพียงผิวเผินทำให้ชายหนุ่มไม่ได้ตระหนักถึงวิธีพิเศษที่กู่เทียนชางบันทึกไว้ หญ้าบัวราตรีเป็นหนึ่งในประเภทที่แผ่พลังปราณออกมา และยิ่งในเวลากลางคืนจะยิ่งแผ่ออกมามากเป็นพิเศษเมื่อใบหญ้าบานออกรับพลังหยินจากดวงจันทร์ นั่นหมายความว่าทักษะซ่อนจันทร์ของหยางอี้จะเป็นดั่งเครื่องมือชั้นเลิศในการเก็บเกี่ยวครั้งนี้
ตอนนี้ฟ้าเองก็เริ่มมืดแล้ว หยางอี้เมื่อคิดได้ในใจก็ยิ่งปลื้มปริ่มลิงโลดไปด้วยความยินดี ชายหนุ่มไม่ต้องการทำลายทรัพยากรพวกนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ แน่นอนว่าหยางอี้ต้องการต้นหญ้าที่มีอายุมากที่สุดดังนั้นจึงตั้งใจเก็บช่องว่างที่เหลือทั้ง 11 ที่ไว้รอยามค่ำคืนเพื่อเก็บเกี่ยวหญ้าบัวราตรี
หยางอี้เลือกโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งเพื่อนั่งทำสมาธิ อีก 1 ชั่วยามท้องฟ้าจะเข้าสู่ราตรีแล้ว ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะรอการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่อยู่เงียบๆ และโคจรทักษะซ่อนจันทร์บังคับแผ่ระลอกพลังปราณไปโดยรอบ 1 กิโลเมตรเพื่อคอยจับตาดูสัตว์อสูรบริเวณนี้อย่างระมัดระวัง
ผ่านไปครึ่งชั่วยามหยางอี้ก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาทางลำธารแห่งนี้ ด้วยลักษณะการเคลื่อนที่ทำให้หยางอี้เริ่มกังวลว่าจะเป็นการสะกดรอยตามตนเองมา แต่เมื่อเข้ามาใกล้ 500 เมตร กลุ่มคนก็หยุดลงและไม่เคลื่อนที่อีก
โชคดีที่พวกมันเข้ามาหยุดอยู่ในระยะใกล้พอสมควรทำให้หยางอี้สามารถตรวจสอบได้ในระดับหนึ่ง มนุษย์นั้นต่างจากสัตว์อสูรที่แผ่พลังปราณออกมาตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา หยางอี้พบว่ากลุ่มนี้มีด้วยกัน 5 คน สามคนเป็นก่อตั้งจิตขั้น 9 อีก 1 คนครึ่งก้าวสู่ปฐพี และคนสุดท้ายดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม อยู่ในระดับปฐพีขั้นที่ 1
หยางอี้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจก่อนจะลืมตาขึ้นมามองไปยังทิศทางนั้นครู่หนึ่งด้วยประกายตาเรืองโรจน์ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งมุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย ในเมื่อมีเนื้อก้อนงามมาหาถึงที่จะปล่อยไปได้อย่างไร ครั้งเฉินกวงหยางอี้มิได้สืบสาวเอาความเพราะไม่ควรค่าให้ใส่ใจ แต่หากครั้งนี้อีกฝ่ายย่อมมีเจตนาสังหารตนเป็นแน่แท้ จึงได้ตามเข้ามาในป่าแห่งนี้เองเช่นนี้ หากปล่อยไว้จะสร้างความวุ่นวายในอนาคต ดังนั้นครั้งนี้ชายหนุ่มจึงคิดที่จะตัดไฟแต่ต้นลม การจัดการตัวต้นเรื่องคือวิธีการจบเรื่องนี้อย่างดีที่สุด
ครึ่งชั่วยามผ่านไปดวงจันทร์ลอยล่องอยู่กลางนภาอันมืดมิด แผ่แสงนวลละออมายังพื้นพิภพส่งให้ดูชวนน่าหลงใหล หยางอี้เองก็ไม่รอช้ารีบลดระยะการสัมผัสพลังปราณให้เหลือเพียงครอบคลุมพื้นที่บริเวณนี้ เพื่อค้นหาหญ้าบัวราตรี แม้จะกล่าวว่าเป็นประเภทแผ่พลังปราณก็ตาม แต่นั่นก็ยากจะสัมผัสได้หากมิทุ่มเทสมาธิเต็มที่
ด้วยแสงจางๆนั้นล้วนถูกบดบังโดยโขดหิน การจะเก็บเกี่ยวโดยอาศัยแสงที่มันแผ่ออกมาเห็นจะเป็นไปได้ยาก หยางอี้ทุ่มเทสมาธิกระจายพลังปราณออกไปเพื่อค้นหาไม่นานก็ลืมตาลุกพรวดขึ้นทันที หัวใจชายหนุ่มพลันเต้นถี่ยิบ บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อแหงนมองไปยังธารน้ำตกที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย
หยางอี้กระโดดเหยียบตามโขดหินในลำธารไปเรื่อยๆโดยไม่รีบร้อน เดิมทีหากจะขึ้นไปยังธารน้ำตก สำหรับชายหนุ่มที่บรรลุขั้น 3 ของย่างก้าวมายาสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ด้วยเกรงว่าหากแสดงออกมากไป กลุ่มคนที่แอบติดตามมาจะไม่กล้าลงมือ หยางอี้จึงเลือกค่อยๆลัดเลาะไปตามชั้นหินแทน
ตอนที่หยางอี้สำรวจบริเวณนี้เพื่อหาหญ้าบัวราตรีนั้น เขาได้ค้นพบว่าหลังม่านน้ำตกนี้มีถ้ำอยู่ และที่สำคัญภายในถ้ำนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังปราณประเภทเดียวกับหญ้าบัวราตรี หยางอี้มั่นใจว่าถ้ำแห่งนี้ยังไม่มีใครพบมาก่อน อย่างน้อยก็ในรอบร้อยปีนี้
เมื่อมาถึงด้านล่างหยางอี้ไม่รอช้าทันที โน้มตัวลงสายตาจ้องมองไปยังบริเวณกลางม่านน้ำตกก่อนจะกระโดดขึ้นทะยานเข้าสู่ม่านน้ำไป
เมื่อผ่านเข้ามาสิ่งที่มองเห็นทำให้หยางอี้กลายเป็นตกตะลึงอย่างมาก ก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะออกมาอย่างลิงโลด แม้ในยามราตรีแต่ภายในถ้ำแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงสว่างสีฟ้า หญ้าบัวราตรีนับร้อยบานสะพรั่งรับแสงจันทร์ที่ทะลุผ่านม่านน้ำตกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าหญ้านับร้อยนี้ยังมิใช่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง ด้านในสุดท่ามกลางหญ้าบัวราตรีนับร้อยที่บานรับแสงจันทร์ ปรากฎกอหญ้าสีฟ้าขนาดใหญ่บานออกถึงหนึ่งเมตร จำนวนใบของมันนั้นดูคร่าวๆเกินกว่า 50 ใบแน่นอน หยางอี้จ้องมองไปยังมันอย่างยินดีก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
หยางอี้สำรวจรอบข้างอีกครั้งก่อนจะเริ่มนับใบของหญ้าบัวราตรีเพื่อคัดเอา 11 ต้นที่มีอายุมากที่สุด การพบเจอขุมทรัพย์เช่นนี้นับว่าชายหนุ่มมีโชคอย่างมาก
“ฮ่าๆ มันมิใช่เพียง 50 ปี แต่นี่มันคือหญ้าบัวราตรี 100 ปี”
หยางอี้จ้องมองไปยังต้นหญ้าขนาด 1 เมตรที่เบื้องหน้า ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น เมื่อเข้ามาใกล้ๆแล้ว ชายหนุ่มจึงเห็นว่าด้านในของต้นนี้ยังมีใบหญ้าอีกหลายใบขึ้นเรียงเป็นชั้นๆราวกับดอกบัวจริงๆ เมื่อกำหนดเป้าหมายได้เรียบร้อยแล้วหยางอี้ก็เริ่มขุดต้นหญ้าบัวราตรีออกมาแล้วเก็บเข้าถุงมิติทันที
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ด้วยความระมัดระวังในที่สุดหยางอี้ก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ครั้งนี้เสร็จสิ้น นับว่าโชคดีที่เมื่อขุดรากหญ้าบัวราตรีขึ้นมาแล้วใบหญ้าทั้งหมดจะหุบกลับเป็นดังดอกบัวตูมเหมือนเดิม มิฉะนั้นแล้วการถือหญ้าบัวราตรี 100 ปีออกไปดูจะไม่ค่อยปลอดภัยเสียเท่าไหร่
หลังจากเรียบร้อยหยางอี้จึงออกจากถ้ำหลังน้ำตกไปด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี การเสี่ยงโชคครั้งนี้นับว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ใครจะไปคิดว่าเขาจะเข้ามาเจอขุมทรัพย์เช่นนี้เสียตั้งแต่ครั้งแรก หากผู้อื่นรู้คงได้แต่กัดฟันอิจฉาจนอยากตาย นอกจากหญ้าบัวราตรี 100 ปี แล้ว หยางอี้ยังได้หญ้าบัวราตรี 50 ปีมาอีก 3 ต้น และที่เหลืออีก 7 ต้นนั้นล้วนอายุมากกว่า 20 ปี ทั้งสิ้น
ด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ หยางอี้เดินออกจากบริเวณลำธารอย่างช้าๆ ในหัวจดจำเส้นทางไว้อย่างละเอียด ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าก่อนที่จะกลับเข้ามาอีกครั้งอย่าให้มีผู้ใดบังเอิญมาพบถ้ำแห่งนี้เข้าเสียก่อน
แม้จะยินดีแค่ไหนแต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมแผ่กระจายสายปราณอ่อนๆและพุ่งสมาธิออกไป สำหรับหยางอี้แล้วการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ยังไม่จบลง จะน่ายินดียิ่งกว่านี้หากว่ากลุ่มคนทั้ง 5 ที่ติดตามมานั้นเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง สำหรับ 4 คนหยางอี้นั้นไม่ได้สนใจมากนัก ทว่าคนที่อยู่ในระดับปฐพีนั้นหยางอี้มั่นใจว่าจะต้องเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ และมีฐานะพอสมควรในสำนักวิหารสวรรค์แห่งนี้
ด้วยการเดินลอยชายออกมาจากบริเวณลำธาร หยางอี้เริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าอีกครั้งเพื่อให้ง่ายแก่การลงมือ สำหรับคนที่เข้ามายังป่าสวรรค์นั้นสามารถออกไปได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกับป่าเมฆา แต่หากออกไปแล้วเวลาที่ใช้แต้มแลกมาเมื่อตอนเข้าจะถือว่าสิ้นสุดตามไปด้วย
หยางอี้เมื่อเข้ามาใกล้ถึง 100 เมตรก็ลงมือทันที ด้วยความรวดเร็ว สายเงาดำพลันเคลื่อนไหว วูบวาบ พุ่งเข้าโจมตี 3 คนแรกที่อ่อนแอที่สุดทันที เพียงหนึ่งฝ่ามือสับลงที่ต้นคอ ด้วยความเร็วและระดับที่ห่างกันทำให้ ทั้ง 3 คนหมดสติไปทันที อีกสองคนเมื่อรู้ตัวก็ชักอาวุธออกมาทันที แม้จะตกตะลึงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
พวกมันยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นคนลอบโจมตี คน? หรือเป็นสัตว์อสูร? ทั้ง 5 คนต่างกระจายกันจับตาดูหยางอี้ แต่ขณะที่กำลังเฝ้ามองอยู่และเตรียมจะลงมือนั้น กลับพบว่าอยู่ดีๆทั้ง 3 คนนั้นกลับถูกลอบโจมตีหมดสติไป จนกระทั่งเมื่อสังเกตเห็นว่าหยางอี้หายไปจากตำแห่งเดิมจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เองที่เป็นคนลงมือ
ด้วยความมั่นใจนั้นหยางอี้ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ สายเงาวูบเคลื่อนไหวมายังศิษย์คนที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ปฐพี โดยไม่ลังเล หยางอี้โคจรหัตถ์หลอมตะวันขั้น 5 แทงทะลวงอกของมันอย่างโหดเหี้ยม ศิษย์คนนั้นถลึงตามองไปยังชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัวและเสียใจที่ต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้
ตุบ!
หยางอี้สะบัดมือคราหนึ่งทิ้งร่างนั้นให้ตกลงบนพื้น ก่อนจะมองไปยังศิษย์คนเดียวที่อยู่ในระดับปฐพีที่บัดนี้ก็จ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“แก! บังอาจสังหารศิษย์ร่วมสำนัก ความผิดนี้มิอาจอภัยได้ ตาย!”
ศิษย์คนนั้นตะโกนก้องออกมาก่อนจะหยิบดาบออกมา สำหรับอาวุธนั้นเป็นข้อยกเว้นในการผนึก ด้วยความอันตรายภายในป่าสวรรค์ทางตำหนักจึงผนึกไว้เพียงการนำสิ่งของเข้าไปด้านใน แต่หากเรียกออกมานั้นไม่มีปัญหา
พลังปราณระดับปฐพีแผ่พุ่งออกมารอบร่างกายของมัน เศษใบไม้กระจายออกเป็นวงกว้าง ในใจศิษย์คนนี้ไม่มีความเกรงกลัวหยางอี้เลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะหยางอี้เพียงปลดปล่อยลมปราณออกมาเท่ากับศิษย์คนที่เขาสังหารไปเมื่อครู่ หยางอี้แม้จะรวดเร็วแค่ไหนก็ไม่อาจจัดการทั้ง 5 คนได้ในทันที อีกทั้งคนสุดท้ายยังเป็นระดับปฐพีอีกด้วย
หากว่าหยางอี้ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มพิกัดแน่นอนว่าศิษย์พี่ผู้เดือดดาลที่กำลังแผ่เจตนาฆ่ามายังเขาผู้นี้จะไม่มีทางหมายมั่นจะสังหารเขาแน่นอน ด้วยกฎการออกจากป่าสวรรค์เพียงแค่ถ่ายลมปราณเข้าสู่ป้ายก็จะไปปรากฏด้านนอกแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นยุ่งยากทันที หากมีผู้อื่นรู้เช่นนั้นหยางอี้ต้องตกที่นั่งลำบากแน่นอน ดังนั้นเพื่อมิให้มันหนีไปหยางอี้จึงต้องจำกัดพลังปราณไว้ เพราะสิ่งสำคัญคือการไม่ปล่อยให้มีผู้ใดรอดไปได้
หยางอี้ยิ้มเย็นขณะจ้องมองไปยังศิษย์คนที่ถือดาบพุ่งเข้าหาเขา ก่อนจะโคจรหัตถ์หลอมตะวันอีกครั้ง คมดาบถูกฟาดเข้ามาเต็มแรง
แคร้ง !
บังเกิดเสียงดังโลหะปะทะกัน ศิษย์ผู้นั้นจ้องมองไปยังคมดาบของมันที่ถูกหยุดไว้ด้วยสายตาเลื่อนลอย ในใจพลางร่ำร้องว่าเป็นไปไม่ได้ ก่อนจะระดมเพลงดาบกระหน่ำฟาดไปยังหยางอี้อย่างบ้าคลั่ง
แคร้ง แคร้ง แคร้ง !
ผ่านไป 50 กระบวนท่า ทุกครั้งที่ลงดาบยังคงปรากฏเป็นเสียงโลหะกระทบกันเช่นเดิม ใบหน้าของมันเริ่มซีดเซียว ก่อนจะเหลือกตาด้วยความตกตะลึง ในจิตใจพลันบังเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างสุดขีด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ฝ่ามือของหยางอี้ทะลวงทรวงอกของศิษย์น้องมันจนทะลุ เพราะบัดนี้ความเข้มข้นของพลังปราณที่มันสัมผัสได้จากเด็กหนุ่มเบื้องหน้านั้นมิใช่ครึ่งก้าวสู่ปฐพีเช่นเดิมอีกแล้ว แต่กลับเป็นปฐพีขั้นสอง ! ซึ่งยังเหนือกว่ามันไปขั้นหนึ่ง
“เจ้า เจ้า เจ้า”
ด้วยความหวาดกลัวมันได้แต่ก้าวถอยหลังพร้อมกับเอามือชี้หน้าหยางอี้ บัดนี้มันรู้แล้ว เจ้าเด็กนี่จงใจปกปิดพลังที่แท้จริงไว้เพื่อมิให้มันหนีไปตั้งแต่แรก
เมื่อเห็นว่าคนผู้นี้ถูกความกลัวครอบงำหยางอี้ก็ยิ้มออกมา ทีแรกชายหนุ่มยังกังวลอยู่ว่าคนผู้นี้จะสู้ตายไม่ยอมแพ้ แต่หากเป็นเช่นนี้แล้วการจะเค้นเอาความจริงก็มิใช่เรื่องยาก
“พวกเจ้าและข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดจึงมาดักซุ่มโจมตีข้า”
หยางอี้ค่อยๆเดินช้าๆเข้าไปหามัน ด้วยความหวาดกลัวศิษย์ผู้นี้ไม่รอช้ารีบกล่าวต่อรองในทันที
“หากข้าบอกเจ้า เจ้าจะยอมปล่อยข้าไปหรือไม่”
หยางอี้เพียงยิ้มและกล่าวออกมาสบายๆ
“แน่นอน หากเจ้าบอกมาข้าจะไม่สังหารเจ้า”