เล่มที่ 3 บทที่ 1
//เล่มที่ 3 ยังคงลงเป็นแบบตอนหนังสือนะครับ เล่ม 4 ถึงจะเริ่มลงเป็นตอนออนไลน์ปกติ (ขี้เกียจอัพหลายตอน)
20 วันผ่านไป วันนี้คือกำหนดการถึงสำนักวิหารสวรรค์ เหนือน่านฟ้าหุบเขาเทียมฟ้าเรือลมปราณลำใหญ่ด้านบนโบกสะบัดธงที่ปักด้วยตัวอักษรสีทอง ‘วิหารสวรรค์’ เมื่อเข้าสู่อาณาเขตหุบเขา เหล่าผู้เยาว์ได้รับอนุญาตให้ออกมาภายนอก มองไปยังด้านล่าง ภายในหุบเขาเทียมฟ้านั้นเต็มไปด้วยภูเขาสูง 48 ลูก แต่ละยอดเขานั้นพุ่งสูงทะลุก้อนเมฆจนสามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่บนเรือลมปราณก็ตาม
แต่ละยอดเขานั้นเต็มไปด้วยวิหารน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายกันอย่างสวยงาม หากไม่บอก ผู้คนที่เห็นภาพนี้ต่างก็รู้ได้ว่าที่แห่งนี้นั้นสมกับเป็นสวรรค์อย่างแท้จริง มองออกไปยังภาพอันวิจิตรเบื้องหน้านั้น ราวกับว่าสิ่งปลูกสร้างถูกตั้งอยู่บนก้อนเมฆ หลังจากเรือลอยผ่านยอดเขาหลายลูกก็มาสิ้นสุดลงที่ยอดเขาลูกหนึ่ง ก่อนจะลงจอดที่ลานด้านล่าง
“ถึงแล้ว ที่นี่คือยอดเขาลำดับที่ 28 มีชื่อว่า เขาทดสอบ” ผู้อาวุโสกล่าวออกมาเสียงดัง ก่อนจะสั่งให้บรรดาผู้เยาว์ทั้ง 500 คนที่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์สายนอกลงไปยังด้านล่าง ส่วนผู้รับใช้ทั้ง 1000 คนนั้นจะต้องไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง
หลังลงจากเรือลมปราณ ศิษย์ใหม่ทั้ง 500 คนนั้นยืนอยู่ไม่นานก็มีผู้อาวุโสหัวล้านคนหนึ่งเดินมา
“ทุกคนฟังทางนี้ ข้าคือผู้อาวุโสจิน เป็นผู้ดูแลเขาทดสอบแห่งนี้” หลังจากกล่าวจบผู้อาวุโสหัวล้านมองสำรวจศิษย์ใหม่เล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ที่เขาลูกนี้ มีศิษย์สายนอกอยู่ทั้งหมด 1800 คน และจำนวนสูงสุดที่เขาลูกนี้จะรับไว้คือ 2000 คน นั่นหมายความว่าในพวกเจ้าจำนวน 500 คน จะมี 300 คนที่ถูกคัดออกจากเขาลูกนี้ และเมื่อถูกคัดออกไป ทั้ง 300 คนนั้นจะถูกลดขั้นจากศิษย์สายนอกเรียกว่า เตรียมเลื่อน”
หลังจากสิ้นคำ เสียงพูดคุยของศิษย์ใหม่ดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนล้วนไม่พอใจกับเรื่องเช่นนี้ ใครจะไปคาดคิดว่าหลังจากผ่านการทดสอบมาแล้วยังต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้อีก
“เงียบ! ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวจงตั้งใจฟัง การทดสอบจะมีขึ้นทุกๆ 1 เดือน จำนวนตำแหน่งนั้นมีจำกัด ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องแย่งชิงกันโดยการแข่งขัน สำหรับศิษย์ใหม่นั้นมีเวลา 1 เดือนในการเตรียมตัว และอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะมี 300 คนที่ถูกลดขั้น และสำหรับพวกเตรียมเลื่อนนั้นก็มีจำกัดเช่นกัน หากไม่สามารถรักษาตำแหน่งเตรียมเลื่อนได้นั้นสุดท้ายจะถูกลดตำแหน่งกลายเป็นผู้รับใช้”
“และแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ถูกลดตำแหน่งกลายเป็นเตรียมเลื่อนหรือพวกที่เลื่อนตำแหน่งจากข้ารับใช้มาเป็นเตรียมเลื่อน เมื่อครบหนึ่งเดือนพวกเจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงตำแหน่งศิษย์สายนอกเช่นกัน การแข่งขันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าพวกเจ้าจะเลื่อนขั้นเป็นศิษย์หลักได้ และหากอายุเกิน 30 ปีแล้วยังไม่เลื่อนขั้นถึงศิษย์สายในเป็นอย่างน้อย พวกเจ้าจะถูกขับไล่ออกจากสำนัก!”
“สำหรับศิษย์สายนอกนั้นแบ่งออกเป็นสองพวก หนึ่งคือ 1900 คนพวกไร้อันดับ และ 100 คน พวกมีอันดับ แน่นอนว่าทั้งสองพวกนี้แตกต่างกันสิ้นเชิง ทั้งฐานะและทรัพยากรที่ได้รับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ยิ่งมีอันดับสูงขึ้นก็ยิ่งได้รับผลตอบแทนมากขึ้น และ 10 อันดับแรกในแต่ละเดือนนั้นจะมีสิทธิ์ในการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน ทว่าโอกาสเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายในนั้น มี เพียง 3 ครั้ง หากพลาดทั้ง 3 ครั้ง พวกเจ้าจะไม่ได้รับโอกาสที่ 4 และจะมีเพียง 2 ตัวเลือกคือเป็นข้ารับใช้หรือออกจากสำนักตามกฎเมื่ออายุครบ 30 ปี”
“ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจงคิดให้ถี่ถ้วน และเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดจนมั่นใจ สำหรับอันดับของศิษย์สายนอกนั้นไม่มีการกำหนดครั้ง พวกเจ้าสามารถท้าประลองเพื่อชิงอันดับ 11 ถึง 100 ได้เมื่อถึงกำหนดหนึ่งเดือน และผู้ที่มีอันดับ 11 ถึง 20 เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ชิง 10 อันดับแรกเมื่อครบกำหนดในทุกๆเดือนเช่นกัน”
“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องรู้ไว้ในการอยู่ที่เขาทดสอบลูกนี้ หรือจะเรียกอีกชื่อว่าเขาจัดอันดับ ก็ได้ ในสำนักวิหารสวรรค์นั้นมีทั้งหมด 48 ยอดเขา แต่ละยอดเขานั้นทำหน้าที่ต่างกัน เช่นเขาลูกนี้ที่มีไว้เพื่อจัดอันดับศิษย์ ยังมีทั้งเขาที่เป็นตลาดประมูล เขาที่มีไว้เพื่อฝึกฝน เขาที่มีไว้เพื่อเพาะปลูกสมุนไพร เขาที่มีไว้เพื่อล่าสัตว์อสูร และสิ่งที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนภายในสำนักวิหารสวรรค์แห่งนี้คือแต้มสวรรค์ พวกเจ้าหลายคนคงได้รับมาบ้างแล้ว ในจำนวน 48 ยอดเขานั้นมีเพียง 18 ยอดเขาเท่านั้นที่เป็นสถานที่ส่วนตัวของผู้อาวุโสระดับสูง ทว่าการที่จะออกจากเขาทดสอบได้นั้นจำเป็นต้องกลายเป็นศิษย์ 100 อันดับแรกเสียก่อนจึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไป”
“เอาล่ะ เรื่องสำคัญก็มีเพียงเท่านี้ สำหรับพวกที่ได้รับ 60 อันดับแรกจากการทดสอบเข้าสำนักจงเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้ง 60 คนจะได้รับโอกาสในการชิง 100 อันดับแรกเป็นพิเศษ”หลังจากกล่าวจบผู้อาวุโสจินก็หมุนตัวจากไปทันที และมีศิษย์สองคนเดินเข้ามาแทน
“เฮ้ๆ พวกเจ้าเงียบกันหน่อยได้ไหม ตามข้ามาได้แล้ว” หลังจากพูดจบศิษย์ทั้งสองก็เดินนำทางทั้ง 500 คนเข้าไปด้านในเขาทดสอบตามถนนที่ทอดยาวจากลานกว้าง ไม่นานก็เข้าสู่เขตที่พัก มองไปด้านหน้าจะเป็นกระท่อมน้อยถูกตั้งเรียงรายกันละลานตา
ด้านหน้านั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 เขตอย่างชัดเจน กระท่อมกว่า 3000 กระท่อมนั้นถูกตั้งเรียงกันอย่างแออัด จดสุดกำแพงอิฐหนาที่กั้นไว้ด้านในสุด เหล่าผู้เยาว์นั้นมองไปยังที่พักด้วยความอดสู แต่สำหรับทั้ง 60 คนที่ได้รับสิทธิ์ในการชิงอันดับวันพรุ่งนี้นั้นกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เพราะกำแพงใหญ่ที่เห็นนั้นไม่ใช่กำแพงที่มีไว้กั้น แต่มันคือพื้นที่ถูกยกระดับสูงขึ้นไป 10 เมตร ด้านบนนั้นมองเห็นเป็นเรือนขนาดกลางตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ กระทั่งมีสนามฝึกซ้อมอยู่ภายในรั้วกั้นด้วย
แม้จะไม่ถือว่าใหญ่โตเท่ากับที่พวกคุณชายทั้งหลายเคยอยู่มา แต่เมื่อเทียบกับกระท่อมด้านล่างนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างที่ผู้อาวุโสจินกล่าวไว้จริงๆ และนั่นคือเขตที่อยู่ของศิษย์มีอันดับ หลังจากจัดแจงแจกชุดประจำสำนักให้แล้ว ศิษย์ใหม่ทั้ง 500 คนก็เลือกกระท่อมที่ยังว่างอยู่สำหรับใช้เป็นที่พัก กลุ่มของหยางอี้นั้นก็เลือกกระท่อมบริเวณใกล้ๆกันเป็นที่พัก ก่อนที่ต่างคนจะแยกกันเข้าไปพักภายใน
หยางอี้เมื่อเข้ามาในกระท่อมก็ทำความสะอาดเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเปิดตำราของกู่เทียนชางเพื่อศึกษาทันที ภายในตำราเล่มใหญ่นั้น 100 หน้าแรกอัดแน่นไปด้วยสมุนไพรและวัตถุดิบนับหมื่นชนิด แต่ละชนิดถูกแบ่งแยกระดับอย่างชัดเจน รายละเอียดมากมายถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระเบียบหยางอี้เริ่มศึกษาและจดจำวัตถุดิบที่เกี่ยวกับการปรุงโอสถในทันที ในใจก็อดนึกชมกู่เทียนชางไม่ได้ ตำราเล่มนี้นั้นสมแล้วที่เป็นสมบัติล้ำค่า ไม่รู้ว่ากู่เทียนชางใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะสรรสร้างมันขึ้นมาได้
รายละเอียดมากมายถูกจดจำไว้ทีละเล็กละน้อย ความรู้ต่างๆเริ่มซึมซับเข้าสู่สมองเด็กหนุ่ม การจะศึกษาขั้นต่อไปนั้นจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งนี้คือพื้นฐานของนักปรุงยา หากไม่มีความเข้าใจในวัตถุดิบแล้วจะปรุงยาขึ้นมาสำเร็จได้อย่างไร?ไม่ต้องกล่าวถึงยาระดับ 8 ตัวหยางอี้ตอนนี้เพียงยาเม็ดระดับ 1 นั้นไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะปรุงขึ้นมาได้
หยางอี้จดจ่ออยู่กับการศึกษาตำราโดยมิได้สนใจอย่างใดเลยแม้แต่น้อย สำหรับการประลองชิงอันดับในวันพรุ่งนี้ หยางอี้ไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย ชายหนุ่มมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะมีรายชื่ออยู่ใน 100 อันดับแรกแน่นอน
ผ่านไป 2 ชั่วยาม หยางอี้นั่งอ่านตำราเทพโอสถอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ทำความเข้าใจอย่างละเอียดกับวัตถุดิบแต่ละชนิด ตอนนี้มี 5 ชนิดแล้วที่เขาจดจำได้อย่างขึ้นใจ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยเพียงใดที่ถูกบันทึกไว้ภายในตำรา
จนกระทั่งผ่านมาถึงช่วงเย็น หยางอี้จึงหลุดออกจากสมาธิเพราะเสียงเอะอะโวยวายด้านนอก ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเก็บตำราและลุกออกไปด้านนอกกระท่อม
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
เปิดออกมาด้านนอกหยางอี้มองไปยังเหล่าศิษย์ที่พูดคุยกันพร้อมกับชี้ไปยังด้านบน เมื่อเบนสายตาไป ก็พบกับชายสองคนในชุดสีฟ้า จากที่มองดูหยางอี้คาดว่าพวกเขาคือศิษย์สายใน หนึ่งคนมีรูปร่างใหญ่กำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม อีกคนเป็นชายร่างผอมหน้าแหลมเล็ก ทั้งคู่ยืนอยู่บนกระบี่เล่มใหญ่บินวนอยู่บนท้องฟ้า
หยางอี้มองไปยังทั้งคู่ ดวงตาของเขาลุกวาวขึ้นมาทันที คาดว่ากระบี่บินนั้นต้องเป็นศาสตราวุธระดับสูงแน่นอน
“หากข้ามีกระบี่นั่น การเดินทางคงสะดวกสบายมิใช่น้อย” ชื่นชมกระบี่บินอยู่ไม่นาน ชายทั้งสองก็หยุดเคลื่อนไหวก่อนจะยืนนิ่งอยู่บนกระบี่บินที่ลอยค้างอยู่ในอากาศ พวกเขาทอดสายตามองลงมาเบื้องล่างยังเหล่าศิษย์สายนอกด้วยความเหยียดหยาม ก่อนที่ชายร่างใหญ่คลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“ไอ้ตัวบัดซบใดที่ชื่อว่าหยางอี้ จงก้าวออกมาหาบิดาผู้นี้ซะ”
เสียงอันเย่อหยิ่งดังก้องไปทั่วบริเวณกระท่อมน้อยที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ เหล่าศิษย์ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะมีเสียงจากพวกเหล่าศิษย์เก่าเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“นั่นมันศิษย์พี่เฉินกวงกับศิษย์พี่เห่ยหลาน”
“ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่ทั้งสองเลื่อนไปเป็นศิษย์สายในเมื่อสองเดือนก่อน”
“ดูเหมือนว่าภายในศิษย์สายในที่โดดเด่นจะมีคนของตระกูลเฉินอยู่ในพวกศิษย์มีอันดับด้วย”
เฉินกวงนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฉินซิที่เป็นศิษย์สายในผู้มีรายชื่ออยู่ในอันดับ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นศิษย์สายในนั้น เฉินกวงตั้งตนเป็นใหญ่คอยรังแกผู้อ่อนแอมาตลอด ทำให้มีคนไม่น้อยที่รังเกียจเขา กระทั่งดีใจด้วยซ้ำที่เขาเลื่อนขั้นผ่านไปเป็นศิษย์สายในได้
แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ถึงเฉินกวงจะอาศัยอำนาจบารมีของญาติผู้พี่ แต่เรื่องความสามารถของเขานั้นก็มิได้อ่อนแอ มิเช่นนั้นแล้วเขาจะผ่านการเลื่อนขั้นได้อย่างไร ภายในเขาทดสอบนั้นคงมีแต่พวกที่ครองอันดับ 1 ถึง 20 ที่พอจะต่อรองกับเขาได้
หยางอี้ยืนมองไปยังชายสองคนที่เรียกชื่อของเขาและประกาศว่าจะทุบตีด้วยความชั่วร้าย แววตาของชายหนุ่มกลายเป็นสว่างวาบก่อนจะเดินออกไปด้านหน้า พวกเจินเซียงเมื่อได้ยินเสียงเอะอะก็ออกมาเช่นกัน และเมื่อเห็นท่าทีของหยางอี้ พวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับมองไปยังเฉินกวงด้วยแววตาสงสาร เด็กหนุ่มผู้นี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นอำมหิต สำหรับศัตรูหยางอี้ไม่เคยปรานีผู้ใด
“ดูเหมือนว่าข่งเย่หลงจะกลัวเสียหน้ามากเกินไป ข่าวของน้องหยางจึงถูกปิดเอาไว้” เทียนเจินเซียงพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจพลางส่ายหน้า ข่งเย่หลงนั้นด้วยตำแหน่งประมุขน้อย เพียงอายุ 20 ปีเขาก็มีรายชื่ออยู่ในผังฟ้าแล้ว แถมยังเป็นอันดับที่ 49 อีกด้วย สำหรับศิษย์สายในนั้นจะแตกต่างจากศิษย์สายนอกเล็กน้อย
ผังอันดับของสายนอกนั้นมีเพียงอันดับที่ 1 ถึง 100 แต่สำหรับศิษย์สายในนั้น รายชื่อจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน นั่นคือ ผังฟ้า และผังดิน ผังดินคือ 100 อันดับสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับ ก่อตั้งจิตระดับสูง ส่วนผังฟ้านั้นคือของศิษย์ที่อยู่ในขั้นปฐพี
สำหรับคณะของหยางอี้และเทียนเจินเซียงนั้น แต่ละคนถือเป็นยอดอัจฉริยะของจักรวรรดิเมฆาหวนที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าที่มาอยู่ตรงนี้นั้นเป็นเพราะต้องทำตามกฎของสำนัก หากพูดถึงความสามารถทั้ง 6 คนนั้นเทียบได้กับพวกศิษย์สายในที่มีรายชื่อในผังฟ้าแล้ว
แล้วเฉินกวงเป็นใคร เพียงศิษย์สายในที่เพิ่งเลื่อนขั้น ดูจากพลังปราณที่แผ่ออกมาแล้วอยู่เพียงปราณก่อตั้งจิตขั้นสูงเท่านั้น ยังไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ปฐพี แล้วมันยังกล้ามาประกาศจะทุบตีหยางอี้ที่อยู่ในระดับปฐพีขั้น 2
“หยางอี้? หรือจะเป็นหยางอี้ผู้นั้น?”
ศิษย์บางคนกล่าวออกมาอย่างสงสัย แม้เขาทดสอบจะเรียกได้ว่ามีไว้แบ่งเขตของสำนัก แต่ข่าวของหยางอี้นั้นโด่งดังเกินไป บุรุษผู้ไร้ตัวตนแต่กลับกลายเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในสำนักเมื่อสามเดือนก่อน ชายผู้เป็นศัตรูหัวใจของใครหลายๆคน และการมาของเฉินกวงพวกเขาก็คาดว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้
ท่ามกลางความสงสัยของศิษย์เก่าที่กำลังพูดคุยกัน ด้านหน้าก็ปรากฏร่างของหยางอี้เดินออกไปอย่างช้าๆ แน่นอนว่าสำหรับศิษย์เก่านั้นมิได้มีผู้ใดที่รู้จักเขา สายตาหยามเหยียดต่างจ้องมองมาด้วยความสงสัย ด้วยความเคยชิน
หยางอี้หากไม่อยู่ในสถานะที่ต้องปลดปล่อยพลังเต็มที่ เขาจะโคจรซ่อนจันทร์ไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพื่อให้สะดวกต่อการใช้ชีวิต
แต่สำหรับศิษย์ใหม่ทั้ง 500 คนเล่า หยางอี้เรียกได้ว่ากลายเป็นแบบอย่างที่ชื่นชมและเคารพของหลายๆคนไปแล้ว ใบหน้าของพวกเขาต่างกระหยิ่มยิ้มย่องกันไม่ขาด การแข่งขันภายในเขาทดสอบแห่งนี้สูงอยู่แล้ว และยิ่งพวกมาใหม่เพิ่มเข้ามา แน่นอนว่าพวกศิษย์เก่าย่อมคอยกดดันพวกเขาอยู่ตลอด หากหยางอี้แสดงพลังออกมาย่อมสร้างผลกระทบไม่มากก็น้อย
“เรียนศิษย์พี่ ข้าคือหยางอี้ มิทราบว่าศิษย์พี่มีธุระอันใด”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้มเมื่อมองไปยังเฉินกวง จนอี้เสวี่ยชิงเริ่มจะหมั่นไส้กับการแสดงออกเช่นนี้
เฉินกวงลอบมองไปยังหยางอี้เพื่อสำรวจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยาม พลังปราณที่กระจายออกมาจากร่างหยางอี้นั้นอยู่เพียงก่อตั้งจิตขั้นกลางเท่านั้น นั่นก็นับเป็นเกณฑ์ของพวกศิษย์สายนอกที่ไม่ติดอันดับ
“เจ้านะรึ หยางอี้ ฮ่าๆๆๆๆ บัดซบเอ๊ย เจ้ามันก็แค่ขยะดีๆนี่เอง”
เฉินกวงนั้นเดิมทีก็กังวลเล็กน้อยก่อนจะมาเขาทดสอบ งานนี้เขาได้รับมอบหมายมาจากเฉินซิญาติผู้พี่ เฉินซินั้นเป็นหนึ่งในบุรุษที่หลงใหลในตัวของเสี่ยวปิง ดังนั้นเมื่อได้รับข่าวว่าศิษย์ใหม่มาถึง เขาจึงส่งเฉินกวงมาทันที จากชื่อเสียงของหยางอี้นั้นทำให้เขากังวลเล็กน้อย บุรุษผู้ที่เทพธิดาทั้งสองหลงใหลนั้นหลายคนคาดเดาว่าจะต้องเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง แต่ด้วยไม่มีอะไรยืนยัน รวมกับค่าจ้างที่เฉินซิมอบให้ ทำให้เขาตัดสินใจมาในทันที
ด้วยความโล่งใจเฉินกวงมองไปยังหยางอี้ด้วยความเหยียดหยามอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมา
“เจ้าขยะ รู้หรือไม่การมาของเจ้านั้นทำให้หลายคนไม่พอใจ”
เหล่าศิษย์เก่าเองเมื่อรับรู้ว่าชายด้านหน้าคือหยางอี้ที่สร้างความเกลียดชังให้กับผู้ชายกว่าครึ่งสำนัก ก็เริ่มโห่ร้องแหกปากกันขึ้นมาทันที ผิดกับพวกศิษย์ใหม่ที่เริ่มมองดูพวกเฉินกวงอย่างเวทนา คนสุดท้ายที่พูดว่าหยางอี้เป็นขยะนั้นคือ ข่งเย่หลง ทายาทประมุขน้อยผู้เป็นอัจฉริยะของสำนักแห่งนี้ และสภาพของเขาหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยจะดูดีสักเท่าไหร่ แล้วไอ้ตัวบัดซบเฉินกวงนี่เป็นใคร
หยางอี้มองไปยังเฉินกวงด้วยสายตาแวววาว ทว่าหากสังเกตดูให้ดีแล้วจุดหมายของสายตานั้นไม่ใช่เฉินกวงแต่เป็นกระบี่บินที่เขาเหยียบอยู่!
“นี่ศิษย์พี่ หากท่านมอบกระบี่บินให้ข้า ข้าจะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ”
หลังจากถ้อยคำของหยางอี้กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ปนตื่นเต้น ทุกคนพลันเงียบกริบทันที เฉินกวงกลายเป็นมึนงงก่อนจะมองมายังหยางอี้ด้วยสายตาโง่งม
“ฮ่าๆๆ มันเล่นปล้นกันแบบนี้เลยเรอะ หยางอี้เจ้าควรเก็บอาการหน่อยดีไหม” เสียงหัวเราะร่าดังออกมาจากกลุ่มผู้คน ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือซูเฉินนั่นเอง คนอื่นๆเองก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา เจ้าเด็กนี่มันเล่นปล้นกันแบบนี้เลย?
“ฮ่าๆ สารเลวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะไม่ถือสาข้างั้นเรอะ หาที่ตาย”เฉินกวงกล่าวออกมาพร้อมกับปล่อยเจตนาฆ่ามายังหยางอี้ในทันที เหล่าศิษย์เก่าต่างหัวเราะโห่ร้องให้กับความเลอะเลือนของหยางอี้ ผิดกับศิษย์ใหม่ที่ลุ้นกันอย่างตื่นเต้นว่าจุดจบของเฉินกวงจะเป็นเช่นไร
“เช่นนั้นข้าคงต้องขออภัยศิษย์พี่ที่เสียมารยาท” หยางอี้กล่าวจบก็ลงมือทันที เฉินกวงที่ได้ฟังยังไม่ทันได้แสดงอาการอะไรออกมา เบื้องหน้าเขาพลันปรากฎเงาดำสายหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะมีฝ่ามือฟาดมายังใบหน้าของเขาด้วยความรวดเร็ว
ปัง!
ตุบ!
ด้วยความงุนงง ร่างใหญ่โตของเฉินกวงพุ่งดิ่งลงสู่พื้นในทันที เหล่าศิษย์เก่ากลายเป็นเงียบกริบด้วยความตะลึง เหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีใครคาดคิด และวินาทีนั้นกลับกลายเป็นเหล่าศิษย์ใหม่ที่โห่ร้องกันออกมาด้วยความสะใจ
มองไปยังหยางอี้ที่ลอยอยู่บนอากาศเบื้องหน้า ดวงตาของพวกเขาพลันเบิกกว้าง อ้าปากค้าง ก่อนจะพูดออกมาด้วยความตกตะลึง
“อะไร นั่นมันอะไร ทำไมมันยืนอยู่บนอากาศได้”
ด้วยความมึนงง หยางอี้ที่มองไปยังกระบี่บินด้วยความหลงใหลก็ละสายตาไปยังชายร่างผอมที่มีใบหน้าเล็กแหลม ซึ่งตอนนี้เขาเองก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตะลึงเช่นกัน
“ศิษย์พี่ หากเป็นเช่นนี้จะดูเหมือนเอาเปรียบศิษย์พี่ท่านนั้นเกินไป ดังนั้น..... ข้าต้องขออภัยด้วย”
ปัง!
ตุบ!
***
ภายในกระท่อมน้อย หยางอี้ยังคงนั่งศึกษาตำราท่ามกลางแสงเทียนที่ถูกจุดขึ้นในยามราตรีอย่างขะมักเขม้น หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายเมื่อช่วงเย็นไป ชายหนุ่มก็มิได้สนใจเสียงนินทาใดๆอีก ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือศาสตร์การปรุงยา
เฉินกวงและสมุนนั้น หลังจากโดนหยางอี้ทุบตีไปเล็กน้อยก็ทำได้เพียงกัดฟัดมอบกระบี่บินให้กับหยางอี้ด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนจะรีบออกจากเขาไป แม้จะมีความสนใจแต่หยางอี้ก็ทำการตรวจสอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับกระบี่บิน ก่อนจะหันมาทุ่มสมาธิกับการศึกษาตำรา
กระบี่บินที่ยึดมาจากเฉินกวงนั้นเป็นศาสตราวุธระดับปฐพีขั้นต่ำ มีชื่อว่า กระบี่เหินฟ้า หยางอี้ผิดหวังเล็กน้อยสำหรับกระบี่เหินฟ้านี้ กระบี่เหินฟ้าเป็นสมบัติประเภทพาหนะ ตัวกระบี่สามารถหดเล็กและขยายใหญ่ได้แต่เพียงพอแค่หนึ่งคนเหยียบเท่านั้น ภายในสำนักวิหารสวรรค์นั้นถือเป็นของพื้นเพไปแล้ว หากมีแต้มสักหน่อยก็สามารถแลกมาใช้ได้ ส่วนใหญ่แล้วศิษย์สายในแทบจะมีใช้กันทุกคน
“ถ้าหากข้าสามารถนำสิ่งของเข้าไปภายในมิติพิเศษได้จะได้ประโยชน์ขนาดไหนเชียวนะ” หยางอี้ได้แต่ตัดพ้อเล็กน้อย เรื่องนี้ตัวเขาคิดมานานแล้วและทดลองอยู่หลายครั้ง ทว่าเมื่อเข้าไปภายในมิติพิเศษกลับล้มเหลวทุกครั้งในการพยายามจะนำสิ่งของเข้าไป แหวนมิติเองก็ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน
“ฮ่าๆ ไอ้หนู มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”เสียงโบราณดังขึ้นมาภายในโสตประสาทของหยางอี้ จนชายหนุ่มสะดุ้งออกจากการเหม่อลอย
“ท่านยังอยู่? ข้าคิดว่าท่านหลับไปอีกแล้ว”
“เฮอะ ตั้งแต่ครั้งนั้นข้าก็เฝ้ามองเจ้ามาตลอด เพียงไม่ได้แสดงตัวออกมาเท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้น แต่เรื่องที่ท่านพูดเมื่อกี้...”
หยางอี้รีบถามออกมาทันทีด้วยความตื่นเต้น
เสียงลึกลับนั้นเงียบหายไปนานจนหยางอี้เริ่มกระวนกระวายเล็กน้อย นี่มิใช่เรื่องเล่นๆ หากสามารถทำได้จริง หยางอี้มั่นใจว่ามีอีกหลายอย่างที่เขาจะกระทำได้สำเร็จด้วยเวลาอันสั้น และจะได้รับประโยชน์อย่างมาก
“อืม...เรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแต่เป็นเจ้าเองที่จะต้องมีพลังปราณมากพอในการเปิดใช้งาน”
“มากพอ? แล้วมันต้องมากขนาดไหน”
“ตามจริงข้าสามารถจัดการให้เจ้าได้ แต่ว่านั่นจะทำให้ข้าต้องหลับไหลอีกครั้ง ดังนั้นเจ้าเลิกหวังไปได้เลย อีกทางหนึ่งคือเจ้าต้องหาแหล่งพลังปราณที่มีระดับเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นปฐพีสูงสุดเป็นอย่างน้อย และให้มุกมิติราชันย์นั้นดูดซับโดยตรงก็น่าจะใช้ได้”
หยางอี้กลายเป็นหน้าซีดเหงื่อตก แหล่งพลังงานที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นปฐพีสูงสุดนั้น เขาจะไปหามาจากไหน หากกล่าวอย่างง่ายๆคือเขาต้องหาแหล่งพลังงานที่มากกว่าลูกท้อสีทองถึงสิบเท่า!
“โอ นั่นมิใช่เรื่องง่ายเลย”
หยางอี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนึกบางเรื่องออกมาได้
“อ่า ท่านผู้อาวุโสที่เคารพ ข้านั้นจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยหลับไหลและตื่นขึ้นมาเมื่อท่านได้รับผลจากการดูดซับผลท้อของข้า...”
“พอเลย!”
เสียงโบราณนั้นตวาดขึ้นมาเพื่อหยุดหยางอี้ในทันที เขารู้ดีว่าหยางอี้ต้องการอะไรและเขาจะไม่ยอมทำเช่นนั้นแน่นอน
“สารเลวน้อย ข้านั้นช่วยเจ้ามามากพอแล้ว อย่าได้โลภเกินไป! มุกมิติราชันย์นั้นมีความสามารถอยู่ 5 รูปแบบ และตามกฎนั้นผู้ครอบครองจะได้รับเพียงความสามารถแรก นั่นคือ การเข้าสู่พื้นที่มิติพิเศษเท่านั้น ส่วนความสามารถอื่นๆอีก 4 อย่างนั้น จะต้องเดินทางไปยังหุบเขาอสรพิษสวรรค์และตามหาสถานที่ทดสอบเพื่อปลดผนึก!”
“ข้านั้นเห็นถึงความสามารถและความอดทนของเจ้าที่ผ่านมา ในตอนนั้นเมื่อเจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดข้าจึงยอมปลดผนึกให้ แต่สำหรับตอนนี้เจ้าต้องทำตามกฎเท่านั้น มิเช่นนั้นก็เลิกฝันไปได้เลย เพียงเท่านี้เจ้าก็โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ข้าเบื่อ...แค่กๆ ที่ข้าต้องการสำรวจบางอย่างจึงออกมาจากหุบเขาเอง มิเช่นนั้นหากเป็นผู้ครอบครองในอดีต มีแต่ต้องเดินทางไปยังสถานทดสอบเท่านั้น”
เสียงโบราณกล่าวออกมาอย่างชัดเจนทำให้หยางอี้ถอดใจที่จะเกลี้ยกล่อมต่อไป สำหรับจิตวิญญาณโบราณนั้นตอนนี้ที่ถูกผนึกอยู่ในมุกมิติราชันย์คือจิตวิญญาณหลัก ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องการปลดผนึกได้อย่างเต็มที่ เดิมทีในอดีตนั้นจิตวิญญาณที่อยู่ภายในสมบัติสวรรค์ทุกชิ้นจะเป็นเพียงจิตวิญญาณนำทางเท่านั้น เพื่อให้ผู้ครอบครองรับรู้ถึงการมีอยู่ของสถานทดสอบ
หยางอี้เมื่อยังไม่สามารถหาประโยชน์จากเสียงโบราณได้ในตอนนี้ เขาก็มิกลับไปสนใจอีก หลังจากกล่าวขอบคุณหยางอี้ก็กลับมาสนใจตำราโอสถเช่นเดิม
เวลาผ่านไป ราตรีแปรเปลี่ยนเป็นรุ่งเช้า หยางอี้เก็บตำราแล้วจึงลุกออกจากกระท่อมน้อย วันนี้เขาและอีก 59 คนต้องประลองชิงอันดับกับพวกศิษย์เก่าตามกฎ หยางอี้ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ตัวเขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะได้ย้ายขึ้นไปอยู่บนเรือนไม้แน่นอน
ทั้ง 60 คนยืนรอไม่นานผู้อาวุโสจินก็ทะยานลงมาจากฟ้า ก่อนจะแนะนำเล็กน้อยและเดินนำพวกเขาขึ้นไปยังส่วนอาศัยของศิษย์มีอันดับ
การชิงอันดับนั้นก็เพียงง่ายๆ ท้าประลองและเอาชนะให้ได้ เพียงแค่นี้ก็จะสามารถครอบครองอันดับนั้นๆได้ในทันที ผู้แพ้ก็ต้องตกไปยังกระท่อมน้อยด้านล่างและรออีกหนึ่งเดือนจึงจะสามารถกลับมาชิงอันดับได้อีกครั้ง
จวบจนช่วงบ่ายการชิงอันดับจึงสิ้นสุดลง เป็นไปตามคาด นอกจากกลุ่มของหยางอี้แล้วที่เหลือไม่มีใครสามารถเอาชนะศิษย์เก่าได้ ส่วนศิษย์เก่าที่ถูกพวกหยางอี้ท้าประลองนั้นทำได้เพียงร้องโอดโอยในความซวย พวกเขาแน่ใจว่าหากเจ้าเด็กใหม่พวกนี้ท้าประลองกับใครก็ตามใน 100 อันดับแรก ยกเว้นเป่ยลู่ ย่อมชนะได้อย่างแน่นอน เพราะสำหรับอันดับที่หนึ่งนั้นอยู่เพียงปฐพีขั้นที่ 1 เท่านั้น และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาจงใจรั้งรอไม่ยอมเลื่อนไปยังศิษย์สายในเองมิใช่ไม่มีความสามารถ เพราะขนาดเฉินกวงยังสามารถเป็นศิษย์สายในได้
พลบค่ำต่างคนต่างแยกย้ายเข้าสู่ที่พักใหม่ หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ถึงจะพูดว่าเป็นเรือนไม้ขนาดกลาง ทว่าหากเทียบกับห้องของเขาในจวนแล้วนี่นับว่าดีกว่าหลายส่วน
เมื่อเข้ามาเป็นศิษย์มีอันดับแล้วถือว่าเป้าหมายแรกสำเร็จ สิ่งที่หยางอี้ต้องการมิใช่การเลื่อนเป็นศิษย์สายในแต่เป็นสิทธิ์ในการออกจากเขา เป้าหมายที่เขาเข้ามายังสำนักวิหารสวรรค์นี้คือ ตำรายุทธ์พยัคฆ์เก้าวิถี แต่ตอนนี้ดาบเมฆาพยัคฆ์กลับหักลงในการประลองกับข่งเย่หลง ดั้งนั้นอันดับแรกคือการตามหาผู้อาวุโสที่หลอมดาบเล่มนี้ขึ้นมา หยางอี้มั่นใจกว่า 8 ส่วนว่าต้องอยู่ในสำนักแห่งนี้แน่นอน เพราะดาบเล่มนี้เสี่ยวทันหลางขอร้องให้ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวจัดหามาให้
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป หยางอี้ยังคงใช้เวลาในการศึกษาตำราเทพโอสถในส่วนของสมุนไพรอย่างขยันขันแข็ง ในช่วง 10 วันที่ผ่านมานี้นอกจากช่วงค่ำคืนที่ใช้เวลาในการบ่มเพาะพลังปราณในมิติพิเศษแล้ว นอกเหนือจากนั้นหยางอี้ใช้เวลาทั้งหมดในการทำความเข้าใจกับสมุนไพรและส่วนประกอบต่างๆที่บันทึกไว้ในส่วนแรก
ด้วยความรู้และประสบการณ์มากมายที่กู่เทียนชางสั่งสมมาทั้งชีวิต ในเวลาสิบวันนี้ แม้หยางอี้จะเป็นคนที่หัวดีค่อนข้างเอนเอียงไปทางอัจฉริยะเสียด้วยซ้ำ ยังทำความเข้าใจได้เพียงไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วนของภาคสมุนไพรเลยเสียด้วยซ้ำ ด้วยตัวเขาไม่เพียงมองผ่านแต่ต้องการเข้าใจถึงความลึกซึ้งของสมุนไพรและส่วนประกอบแต่ละชนิดอย่างถ่องแท้ ทำให้หยางอี้ใช้เวลาไม่น้อยในการศึกษาสมุนไพรแต่ละชนิด
“สมุนไพรแต่ละชนิดนั้นมีความพิเศษและลึกซึ้งที่ต่างกัน จะเป็นการดีหากข้าสามารถหาของจริงมาทำการศึกษาได้”
หยางอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย การได้เห็นและสัมผัสของจริงย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่เนื่องจากจำนวนมากเช่นนี้จึงทำให้ หยางอี้ปวดใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงแต้มที่ต้องจ่ายไป
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน หยางอี้ตัดสินใจออกจากเขาทดสอบ หลายวันมานี้อี้เสวี่ยชิงและซูเฉินได้ออกไปสำรวจภูเขาลูกอื่นๆของสำนักและได้ชวนหยางอี้ไปด้วยเช่นกัน หยางอี้จึงมีโอกาสสอบถามถึงสถานที่ต่างๆ
วันนี้เป้าหมายของหยางอี้คือเขาลูกที่ 37 ของสำนัก มีชื่อว่าเขาโรงหลอม เขาโรงหลอมที่ตั้งของโรงหลอมอาวุธขนาดใหญ่ ของสำนักวิหารสวรรค์ มีผู้อาวุโสที่ถนัดทางด้านนี้คอยประจำการอยู่ สำหรับศิษย์คนใดมีความสามารถที่ดี และสนใจในศาสตร์การหลอมอาวุธ สามารถสมัครเข้าร่วมได้ แต่การทดสอบนั้นนับว่ายากเย็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะสวัสดิการที่จะได้รับนั้นค่อนข้างดีเยี่ยม เพราะกิจการแลกเปลี่ยนอาวุธนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทุกคนอยู่แล้ว
ก่อนจะออกไป หยางอี้ได้เข้าไปหาซูเฉินเพื่อสอบถามเส้นทางเล็กน้อย ภายในสำนักวิหารสวรรค์นั้นครอบคลุมอาณาเขตกว้างไกลทั่วหุบเขาเทียมฟ้า การไปมายังภูเขาแต่ละลูกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับศิษย์ใหม่เช่นหยางอี้ ซูเฉินเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพียงนำแผนที่ออกมาให้กับหยางอี้ 1 แผ่น
หยางอี้มองดูแผนที่พร้อมกับอ้าปากค้าง ตั้งแต่มาถึงเรียกได้ว่าตัวเขาเอาแต่หมกอยู่ในห้องมิได้ออกไปไหนเลย และเมื่อเห็นแผนที่ที่มีรายละเอียดระบุไว้ จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง 4 สำนักใหญ่นั้นมั่งคั่งเกินไป เพียงภายในเขตทั่วไปของสำนักก็ใหญ่กว่าเมืองหลวงถึง 3 เท่าแล้ว
หยางอี้มองหารายชื่อเขาโรงหลอม ก่อนจะสำรวจทิศทางและเรียกกระบี่เหินฟ้าออกมากระโดดขึ้นเหยียบทะยานออกจากเขาทดสอบ
ฟิ้ว ฟิ้ว
บนท้องฟ้าเหนือทางออกจากเขาทดสอบ หยางอี้บังคับกระบี่เหินฟ้าล่องลอยไปบนท้องฟ้าอย่างสนุกสนาน อย่างเขาก็ถือเป็นเด็กวัยเยาว์ผู้หนึ่ง การเจอสิ่งน่าตื่นเต้นจึงกระตุ้นให้นิสัยเช่นนี้แสดงออกมา การที่คนผู้หนึ่งจะท่องไปบนท้องฟ้าได้ จำเป็นจะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับสวรรค์ แล้วในจักรวรรดิแห่งนี้มีสักกี่คนเชียวที่จะก้าวไปถึง
“ฝีมือการหลอมอาวุธของเขาโรงหลอมนับว่าสูงส่ง สามารถผลิตสมบัติวิเศษเช่นนี้ออกมาได้โดยง่าย น่าชื่นชมจริงๆ”
หยางอี้กล่าวออกมา พร้อมกับยืนกอดอกมองดูบรรยากาศโดยรอบอย่างชื่นชม ทางออกจากเขาทดสอบนั้นเต็มไปด้วยหินผาสูง ตั้งเรียงกันไปมา จนกระทั่งถึงช่องแคบที่จะออกไปยังบริเวณป่าที่เป็นช่องทางการมุ่งหน้าไปยังเขาลูกอื่นๆ
หยางอี้จ้องมองไปยังช่องแคบก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย และส่งพลังปราณกระตุ้นการทำงานของกระบี่เหินฟ้าให้พุ่งไปยังด้านหน้าด้วยความเร็ว
ฟิ้ววว
ด้วยความคะนองหยางอี้พุ่งไปอย่างสนุกสนานและทันทีที่พ้นปากทางช่องแคบ วิสัยทัศน์การมองเห็นพลันเปิดออกกว้างไกลทำให้เขาชะลอการเคลื่อนที่อย่างลืมตัว
“เห้ยยยย! ไอ้บ้าที่ไหนมาขวางทาง รีบถอยไป!”
หยางอี้ชะงัก ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง สิ่งที่เห็นทำให้หยางอี้หน้าซีดทันที ห่างไปไม่กี่เมตรมีศิษย์กลุ่มหนึ่งเหยียบกระบี่เหินฟ้ากำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว
“ไม่ดีแล้ว”
ศิษย์กลุ่มนั้นบังคับกระบี่เหินฟ้าตีลังกาข้ามเขาไปอย่างเฉียดฉิว ก่อนจะหันกลับมาตะคอกหยางอี้ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เฮ้ ไอ้เด็กใหม่ หากจะออกมาครั้งแรกก็ควรศึกษาเส้นทางสัญจรก่อนสิฟะ”
หยางอี้มองไปยังศิษย์กลุ่มนั้นที่กำลังจากไปด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังเบื้องหน้าแล้วนิ่งค้างไปไม่นานหยางอี้ก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ข้านั้นเป็นเพียงกบน้อยที่อยู่ในกะลาใบเล็ก!”
ภาพมหัศจรรย์เบื้องหน้าของหยางอี้นั้น ภาพเหล่าศิษย์ของสำนักหลายร้อยคนแต่งตัวในชุดหลากสีตามกลุ่มของตัวเองกำลังเหยียบกระบี่เหินฟ้ามุ่งหน้าไปยังหลายทิศทางที่แตกต่าง ทั้งเสียงหัวเราะ พูดคุย กระทั่งด่าทอกันยังเป็นไปอย่างธรรมชาติ ภาพเช่นนี้หากคนภายนอกมาเห็นจะต้องหัวใจวายแน่นอน โลกภายนอกกับที่นี่ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
หยางอี้สำรวจเส้นทางอีกครั้งก่อนเหินฟ้าตามศิษย์บางกลุ่มที่ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังเขาโรงหลอมเช่นกัน
ผ่านไปไม่นานหยางอี้ก็มาถึงทางเข้าเขาโรงหลอม ที่เขาโรงหลอมไม่อนุญาตให้ใช้กระบี่เหินฟ้า ใครที่ต้องการขึ้นเขาโรงหลอมจำเป็นต้องลงที่หน้าเขาและเดินขึ้นบันไดจากตีนเขาเท่านั้น
หยางอี้เดินตามกลุ่มศิษย์หลายคนขึ้นไปยังด้านบน ดูเหมือนที่นี่นั้นจะคึกคักไม่น้อย บริเวณทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนไปมา จากที่สังเกตดูเหมือนว่าศิษย์ของเขาโรงหลอมจะสวมชุดคลุมสีขาวคาดแดง แต่ละคนนั้นส่วนใหญ่แล้วจะดูร่างกายใหญ่โตกว่าคนอื่นๆ
ทางขึ้นเขานั้นนับว่าไม่ไกลมากนักสำหรับผู้ฝึกตน เดินขึ้นมาไม่นานก็ถึงยอดเขา หยางอี้มองไปยังด้านหน้า ด้านบนยอดเขาโรงหลอมถูกแบ่งออกเป็น 3 เขต เขตด้านในคือที่อยู่ของผู้อาวุโสและศิษย์ของเขาโรงหลอม ส่วนอีกสองเขตคือ ตำหนักศาสตรา และเขตหลอมอาวุธ
ทั้ง 3 เขตนั้น สำหรับคนภายนอกได้รับอนุญาตให้เข้าได้เพียงเขตของตำหนักศาสตราเท่านั้น ส่วนอีกสองเขตเป็นเขตต้องห้าม
หยางอี้เดินมุ่งหน้าเข้าไปยังตำหนักศาสตราทันที ตำหนักศาสตราเป็นตำหนักขนาดใหญ่ 3 ชั้น ด้านหน้ามีป้ายสีทองสลักชื่อติดอยู่ เมื่อเดินเข้ามาภายในหยางอี้ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อย ศาตราวุธมากมายกว่าหมื่นชิ้นถูกประดับไว้ตามกำแพงบ้าง ตู้โชว์บ้าง เพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ได้เลือกสรร
หยางอี้เพียงมองดูคร่าวๆก็ละความสนใจและตรงเข้าไปยังด้านในที่มีผู้อาวุโสเฝ้าอยู่ การมาครั้งนี้ เป้าหมายของหยางอี้คือการสอบถามเกี่ยวกับการซ่อมดาบพยัคฆ์เมฆา
“คารวะผู้อาวุโส”
ชายชราเพียงปรายตามองแว่บหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาสนใจกับอาวุธด้านหน้าต่อ พร้อมเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
“มีธุระอะไร”
หยางอี้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่สนใจการแสดงออกเหล่านั้น เขาหยิบดาบพยัคฆ์เมฆาออกมาแล้วจึงเริ่มกล่าวถามทันที
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสพอจะช่วยข้าได้หรือไม่ ดาบเล่มนี้มีที่มาจากสำนักแห่งนี้ มันมีความสำคัญกับข้าอย่างมาก ในช่วงการทดสอบเข้าสำนักข้าบังเอิญทำมันหักลงจากการประลอง”
ชายชรามองไปยังดาบในมือหยางอี้ชั่วขณะหนึ่ง ในใจพลันชื่นชมผู้หลอมดาบเล่มนี้ขึ้นมา ด้านความประณีตนับว่าอยู่ในระดับสูง หากมาจากเขาโรงหลอมผู้ที่สร้างขึ้นมาน่าจะเป็นหนึ่งใน 5 ปรมาจารย์หลอมศาสตรา แต่หลังจากสังเกตจนถี่ถ้วนแล้ว เขากลับขมวดคิ้วแล้วตะคอกออกมา
“สาระเลวน้อย อย่าได้พูดไร้สาระ สมบัติทุกชิ้นที่สร้างออกจากเขาโรงหลอมจะต้องมีการสลักนามของผู้สร้าง”
หยางอี้ชะงักครู่หนึ่งก่อนจะมองสำรวจดาบอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นการสลักอักษร ตัวเขาเองก็ได้แต่ถอนหายใจ หรือเขาจะคาดเดาผิดไป
“เช่นนั้นผู้เยาว์ต้องขออภัยด้วย ดาบเล่มนี้ข้านั้นได้รับมาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนัก จึงได้คิดไปเองว่าเป็นของจากเขาโรงหลอม แล้วสำหรับการซ่อม...”
ยังไม่ทันได้พูดจบผู้อาวุโสท่านนี้ก็หัวเราะออกมา เขามองสำรวจหยางอี้อีกครั้งก่อนจะกล่าว
“ไอ้หนู ดูท่าเจ้าคงจะเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อไม่กี่วันนี้ เจ้าคิดจริงๆรึว่ามันง่ายดายเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสมองเห็นหยางอี้งุนงงจึงกล่าวขึ้นมาเพิ่มเติม
“ที่เขาโรงหลอมแห่งนี้แน่นอนว่ารับซ่อมอาวุธเช่นกัน สำหรับดาบของเจ้านั้นเป็นศาสตราวุธระดับปฐพีรวมกับความเสียหายขนาดนี้คงมีแต่ต้องพูดคุยกับระดับปรมาจารย์ หากว่าดาบของเจ้านั้นมีการสลักชื่อ เจ้าจะสามารถส่งซ่อมได้ทันทีโดยมีค่าใช่จ่ายไม่เกิน 2000 แต้ม”
หยางอี้ที่ฟังอยู่ก็ยิ้มออกมาทันที จากรางวัลการชนะประลองเขาได้รับแต้มจากการทดสอบภายในป่าเมฆามาเต็มร้อยส่วน นั่นคือ 8750 แต้ม นับว่าจะคงเหลือพอสำหรับการซ่อมครั้งนี้
“แต่ว่า... อาวุธของเจ้ามิได้มาจากที่เขาแห่งนี้ ดังนั้นการจะซ่อมดาบเล่มนี้เจ้ามีโอกาสไม่มากที่ปรมาจารย์จะยอมรับ อีกทั้งหากเจ้าโชคดีมีปรมาจารย์ท่านใดยอมรับ ข้าพนันได้เลยว่าเจ้าจะต้องจ่ายไม่ตำกว่า 8000 แต้ม”
รอยยิ้มของหยางอี้กลายเป็นแข็งค้างทันที
“อ อะไรนะ ท่านพูดว่า 8000 แต้ม”
8000 แต้มนั้นมากเกินไป แม้หยางอี้จะไม่รู้คุณค่าของแต้มเหล่านี้ว่าเท่าใดเยอะเท่าใดน้อย แต่ 8000 แต้มนั้นคือเกือบทั้งหมดที่มี
“ผิดแล้ว ข้าพูดว่า 8000 แต้มเป็นอย่างน้อย”
ผู้อาวุโสนั้นค่อนข้างประทับใจกับหยางอี้ ชายหนุ่มผู้นี้ดูจริงใจ แถมยังดูเหมือนจะเป็นพวกบ้านนอกเสียด้วยซ้ำ การแสดงท่าทีของหยางอี้จึงทำให้เขาขบขันไม่น้อย เขารู้ดีว่าหยางอี้ไม่มีทางจ่ายไหวแน่นอน สำหรับศิษย์สายในต้องใช้เวลาทำภาระกิจเป็นปีๆ กว่าจะรวบรวมได้ 5000 แต้ม แล้วเด็กนี้เพิ่งจะมาได้ไม่กี่วัน หากมีสัก 100 แต้มก็นับว่ามั่งคั่งแล้ว
“ฮ่าๆ อย่าได้คิดมาก ข้าว่าเจ้าหมั่นขยันสักหน่อย รวบรวมแต้มสัก 1 ปี ก็สามารถหาซื้ออาวุธใหม่ได้...ว่าแต่ผู้อาวุโสคนใดที่มอบดาบเล่มนี้ให้เจ้า”
หยางอี้ที่ตะลึงกับราคาจึงได้สติขึ้นมา แต่เขาเองก็มิได้ถอดใจหากมีปรมาจารย์สักท่านยอมซ่อมให้เรื่องราคายังคงต่อรองกันได้ หยางอี้ถอนหายใจก่อนจะหยิบป้ายของเหล่ยโหลวออกมา
“ดาบเล่มนี้เดิมมาจากผู้อาวุโสเหล่ยโหลว”
ผู้อาวุโสกลายเป็นชะงักก่อนจะตรวจสอบป้ายพลางคิดในใจ หากเป็นผู้อาวุโสเหล่ยโหลวมอบให้จริง ดาบเล่มนี้สมควรถูกสร้างจากที่นี่ จริงสิ!
หลังจากมองป้ายแล้วผู้อาวุโสพลันคิดได้บางอย่างจึงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“หรือว่าเจ้าคือ.... หยางอี้!”
“ใช่ขอรับ ผู้เยาว์มีนามว่าหยางอี้”
หยางอี้พูดพลางละเหี่ยใจ แม่สาวน้อยทั้งสองนั้นก่อเรื่องไว้ให้เขามากแค่ไหนกัน ขนาดผู้อาวุโสท่านนี้ยังรู้ชื่อของเขา