ตอนที่แล้วบทที่ 34 โดดหรือไม่โดด?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 36 คืนมีดสั้นมาให้ฉัน

บทที่ 35 เจอผีกลางวันแสกๆ


บทที่ 35 เจอผีกลางวันแสกๆ

 

สถานการณ์อยู่ในภาวะคับขัน หลังจากพูดจบ เด็กหนุ่มคนนี้ก็หันไปมองหลิงม่อด้วยความร้อนใจ เมื่อกี้ที่เขาตะโกนเรียก หลิงม่อก็เป็นคนขานตอบ เขาจึงรู้สึกเลาๆ ว่าในบรรดาสี่ห้าคนนี้ ชายหนุ่มที่ดูหน้าตาธรรมดาคนนี้คงจะเป็นคนที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ

 

“แคมป์ของพวกนายอยู่ที่ไหน” หลิงม่อขมวดคิ้วพลางถาม

 

เด็กหนุ่มคงคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หลิงม่อยังจะมาครุ่นคิดคำถามพวกนี้อยู่อีก คนทั่วไปเมื่อเจอกลุ่มผู้รอดชีวิต ต่างก็เกาะติดแจทันทีอย่างกับกาว! ส่วนสาเหตุที่เขาเอ่ยปากชักชวนพวกหลิงม่อ ด้านหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกผิด ส่วนอีกด้านหนึ่งเพราะรู้สึกทึ่งกับฝีมือในการต่อสู้ของพวกหลิงม่อ

 

ถึงแม้ระหว่างทางที่ไปประตูข้าง จะมีซอมบี้ไม่มาก แต่ก็มีซอมบี้พุ่งออกมาขวางทางบ้างสามสี่ตัว ซึ่งตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าถ้าคนพวกนี้ต้านทานไม่ไหว พวกเขาก็คงจะหันหลังกลับและวิ่งหนี หรือไม่ก็ต้องสังเวยชีวิต

 

แต่ที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือกลุ่มที่ดูแสนจะอ่อนแอกลุ่มนี้ เด็กสาวสองคน เด็กหนุ่มสองคนและชายหนุ่มอีกหนึ่งคน กลับมีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก! ซอมบี้ที่อยู่กันกระจัดกระจายพวกนี้ไม่ได้มีผลอะไรต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย! เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ตัวภาระ แต่ควรที่จะเข้าไปตีสนิทด้วยเป็นอย่างมาก!

 

“ย่านอิ๋นซิ่ง! ว่ายังไง พวกนายอยากจะกลับแคมป์ไปกับพวกเราไหม” เด็กหนุ่มถามด้วยความกระตือรือร้นเล็กน้อย

 

ย่านอิ๋นซิ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แค่เดินอ้อมถนนไปสองสายก็ถึงแล้ว แต่คนพวกนี้ดูเหมือนว่าเพิ่งออกมาจากแคมป์กัน แล้วทำไมถึงจะกลับเข้าไปเร็วแบบนี้ล่ะ หลิงม่อไม่คิดที่จะเก็บซ่อนเรื่องพวกนี้เอาไว้ เขาเอ่ยปากถามทันที

 

เด็กหนุ่มรีบอธิบายว่า “นายเข้าใจผิดแล้ว เราออกมาตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ออกมาค้นหาข้าวของละแวกนี้ เดิมทีวันนี้ตั้งใจจะเสี่ยงอันตรายมาหาข้าวของที่นี่นิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีซอมบี้เต็มไปหมด เมื่อเจออุปสรรคแบบนี้ พวกเราจึงคิดที่จะกลับแคมป์ทันที เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้”

 

อย่างนี้นี่เอง...หลิงม่อพยักหน้า แล้วหันไปมองเย่เลี่ยนและซย่าน่าทีหนึ่ง ตอนนี้ซย่าน่าอารมณ์คงที่ เมื่อดูจากภายนอก ไม่อาจรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอได้เช่นเดียวกันกับเย่เลี่ยน แต่เพื่อความปลอดภัย หลิงม่อจึงค่อยๆ ควบคุมให้เย่เลี่ยนหยิบหมวกแก๊ปออกมาจากกระเป๋าเป้และใส่ให้กับซย่าน่า

 

การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่ม เพราะขณะเดียวกันหลิงม่อก็พูดคุยกับเขาไปด้วย

“ได้ งั้นเราจะกลับแคมป์ไปกับพวกนายด้วยก็แล้วกัน”

 

“เยี่ยมเลย! ไปกันเถอะ” เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าดีอกดีใจ การที่มีคนใหม่มาเข้าร่วมแคมป์ โดยทั่วไปแล้วมีความหมายสองอย่าง หนึ่งคือมีปากท้องเพิ่ม สองคือมีคนช่วยอีกแรง เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเด็กหนุ่มนั้น พวกหลิงม่อคืออย่างหลัง ไม่ว่าคนประเภทนี้ไปที่ไหน ต่างก็ได้รับการต้อนรับทั้งสิ้น

 

ทุกคนในกลุ่มผู้รอดชีวิตล้วนไม่มีความเห็นแย้งเรื่องที่พวกหลิงม่อจะมาเข้าร่วมอย่างกะทันหัน คนส่วนใหญ่ยังพยักหน้าให้พวกเขาเพื่อแสดงถึงการต้อนรับเสียด้วยซ้ำ เมื่อสังเกตดูคนพวกนี้ใกล้ๆ ทำให้หลิงม่อเข้าใจผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้มากขึ้น พวกเขามีทั้งหญิงและชาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ดูอายุไม่มาก คนที่อายุมากที่สุดก็ดูท่าทางจะแค่สามสิบต้นๆ เท่านั้น ส่วนคนที่อายุน้อยก็น่าจะแค่สิบห้าสิบหกปี

 

แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านการรบราฆ่าฟันกันมาหยกๆ แต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจแต่อย่างใด แค่มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากและดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเท่านั้น มีเพียงคนเดียวที่ดูสีหน้าเคร่งขรึม เธอเป็นเด็กสาวอายุราวๆ ยี่สิบปี ขอบตาของเธอแดงเรื่อ แต่ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมา

 

ระหว่างที่เดินตามคนกลุ่มนี้ไป หลิงม่อได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นกระซิบปลอบเด็กสาวอยู่สามสี่ประโยค ถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่นี้พี่ชายแท้ๆ ของเด็กสาวคนนี้ต้องการที่จะถ่วงเวลาพวกซอมบี้เอาไว้ เขาก็เลยโดดตึกช้าไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ถูกซอมบี้ลากตัวจากหน้าต่างกลับเข้าไปต่อหน้าต่อตาเธอ ป่านนี้พี่ชายของเธอคงจะเหลือแต่โครงกระดูกแล้วละ

 

หลังจากล้มเลิกความตั้งใจที่จะค้นหาข้าวของ คนกลุ่มนี้ก็เดินอ้อมจากถนนใหญ่เข้าไปในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ตอนแรกหลิงม่อรู้สึกสับสนงงงวยเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มที่นำทางดูคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี หลิงม่อก็เบาใจลงเล็กน้อย

 

ในซอยนี้มีซอมบี้ไม่มาก เพราะว่าซอยนี้อยู่ตรงกลางระหว่างสองย่านชุมชนและมีกำแพงล้อมรอบทั้งสองด้าน นอกจากจะมีซากรถยนต์ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอะไรอื่น หลังจากเดินลัดเลาะอยู่ในซอยนี้ราวๆ ห้าถึงหกนาที คนกลุ่มนี้ก็เดินเลี้ยวไปบนถนนที่ไม่ค่อยกว้างนัก แล้วซอมบี้หลายตัวก็ปรากฏตัวขึ้นบนถนน

 

รูปแบบการต่อสู้ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของคนกลุ่มนี้ บวกกับการที่หลิงม่อคอยช่วยคลายความกดดันให้พวกเขา ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่มากในการเดินผ่านถนนเส้นนี้ จากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงย่านอิ๋นซิ่ง ซึ่งที่นี่แตกต่างจากย่านสุดหรูหราที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนซานจง แม้ว่าย่านอิ๋นซิ่งจะเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่มีความหรูหราเช่นกัน แต่ที่นี่เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่นาน ยังมีคนเข้าพักอาศัยไม่มาก ซึ่งนี่ก็หมายความว่าสภาพแวดล้อมค่อนข้างสะอาดสะอ้านและจำนวนซอมบี้ในนี้ก็น้อย

 

แต่ก็ยังคงเห็นซอมบี้อยู่ที่ประตูทางเข้าบ้างเล็กน้อย มันขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์โดยสิ้นเชิง ใครใช้ให้แถวนี้มีถนนเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองกันล่ะ...

 

แคมป์ที่เด็กหนุ่มพูดถึงเป็นอพาร์ตเม้นต์แบบมีลิฟต์ที่อยู่ในย่านชุมชนแห่งนี้ ประตูอพาร์ตเม้นต์ของที่นี่สร้างได้ไม่เลว มันสามารถใช้ในการป้องกันได้ระดับหนึ่งด้วย แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์หากเผชิญหน้ากับซอมบี้ฝูงใหญ่ แต่หากใช้ต้านทานซอมบี้จำนวนน้อยนั้นไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีคนคอยเฝ้าระวังอยู่ที่ด้านหลังประตูใหญ่ด้วย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มพาคนแปลกหน้าสี่ห้าคนกลับมา คนเฝ้าประตูก็แค่สำรวจดูพวกหลิงม่ออย่างละเอียดเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก

 

“พวกเราทุกคนที่นี่จะต้องผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม แล้วที่ชั้นบนก็มีคนรับหน้าที่สังเกตการณ์ด้วย หากสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็จะเรียกพวกเรามารวมตัวกันแล้วล่าถอยออกจากที่นี่หรือไม่ก็ไปหลบซ่อนตัว” เด็กหนุ่มเห็นหลิงม่อดูท่าทางสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับที่นี่ เขาจึงพูดแนะนำให้ฟัง

 

พวกเขาเดินขึ้นบันไดฉุกเฉินไปยังชั้นสอง จากนั้นเดินเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่ง สิ่งที่หลิงม่อประหลาดใจก็คือที่นี่ไม่มีคนพักอยู่ มีเพียงผู้หญิงสวมแว่นตาหนึ่งคนกำลังช่วยปลดกระเป๋าเป้ออกจากบ่าให้คนพวกนี้ แล้วเธอก็หยิบสมุดออกมาหนึ่งเล่ม ตรวจเช็คข้าวของที่คนพวกนี้นำกลับมาพลางจดบันทึกอย่างละเอียดไปด้วย

 

“พวกนายรอเดี๋ยวนะ” เด็กหนุ่มบอกหลิงม่อ แล้วเดินไปปลดกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ออก หลิงม่อยืนดูอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง แล้วก็พบว่าข้าวของที่คนกลุ่มนี้นำกลับมามีไม่น้อยทีเดียว นอกจากอาหารต่างๆ นานาแล้ว ยังมียาและเสื้อผ้าที่วางกองระเกะระกะ แม้กระทั่งของใช้สำหรับผู้หญิงก็มีด้วย

 

หลังจากจดบันทึกเสร็จแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ให้เด็กหนุ่มเซ็นชื่อ แล้วถึงให้พวกเขาไปได้ ส่วนข้าวของพวกนั้นก็ถูกผู้หญิงจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่และขนย้ายเข้าไปไว้ในห้องด้านใน หลิงม่อยืนดูอยู่ห่างๆ และพบว่าห้องนอนห้องนั้นถูกดัดแปลงเป็นคลังเก็บสินค้า ตอนที่เปิดปิดประตูห้อง เขาสามารถเห็นได้เลาๆ ว่าข้าวของที่กองอยู่ข้างในนั้นมีไม่น้อยเลย

 

เด็กหนุ่มเดินยิ้มแย้มออกมา “คือว่า...ก่อนหน้านี้ฉันไม่มีเวลาบอกพวกนาย ที่จริงแล้วฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องให้พวกนายเข้าร่วมกลุ่ม ต้องถามลูกพี่ของเราถึงจะถูก แต่พวกนายสบายใจได้ ลูกพี่ของเราเป็นคนดีใช้ได้เลย ฉันพาพวกนายไปหาตอนนี้เลยก็แล้วกัน!”

 

หลิงม่อพยักหน้าอย่างเฉยเมย แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาก็เป็นประกาย และหยั่งเชิงถาม “เมื่อกี้พวกนายทำ?”

 

“อ๋อ แค่ลงบันทึกน่ะ พวกเราที่นี่แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะผลัดกันออกไปหาข้าวของ หลังจากกลับมาแล้ว จะต้องมาลงบันทึกและนำข้าวของเก็บเข้าคลัง จากนั้นหัวหน้ากลุ่มก็จะเซ็นชื่อ จริงสิ ฉันชื่อหลี่อวี้ เป็นหัวหน้ากลุ่มสอง” สายตาของหลี่อวี้ฉายประกายความภาคภูมิใจ

หลังจากคนอื่นๆ ออกมาจากคลังเก็บสินค้า พวกเขาก็กลับเข้าไปในห้องพักอีกห้อง ส่วนหลี่อวี้พาพวกหลิงม่อขึ้นไปที่ชั้นสาม

 

สำหรับคนที่ถูกเรียกว่าลูกพี่คนนี้ หลิงม่อรู้สึกสนอกสนใจมากทีเดียว อย่างไรเสียการที่สามารถก่อตั้งแคมป์ผู้รอดชีวิตได้ขนาดนี้ในระยะเวลาสั้นๆ แสดงว่าลูกพี่คนนี้จะต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา

 

ก่อนที่จะได้เจอกับลูกพี่คนนี้ ในสมองของหลิงม่อคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่เขาก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเมื่อประตูห้องที่ชั้นสามเปิดออก คนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นหญิงสาวที่ดูท่าทางค่อนข้างอ่อนแอคนหนึ่ง

 

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ...สาเหตุแท้จริงที่ทำให้หลิงม่อเบิกตาโตและตะลึงงันไปในพริบตาคือเขารู้จักหญิงสาวคนนี้!

 

คนที่เขาคิดว่าตายอยู่ในร้านขายมีดของสกุลหวัง เด็กสาวข้างบ้านคนนั้น หวังหลิ่น!

 

เมื่อหวังหลิ่นเงยหน้าขึ้นมามองเขา หลิงม่อก็พูดโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “เจอผีเข้าให้แล้ว...”

 

..........................................................................................................................................................

 

 

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด