บทที่ 35 คลังสมบัติของเอกเทวคีต (3)
บทที่ 35 คลังสมบัติของเอกเทวคีต (3)
พร้อมกับบทเพลงรื่นหูที่ดังขึ้นในห้องเรียน ดาวหกแฉกเบื้องหน้านีนาก็ปริแยกออกเป็นสองด้านอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นระเบียงทางเดินกว้างขวางสายหนึ่ง ระเบียงทางเดินเหยียดยาวลาดเอียงลงไปด้านล่าง พวกเย่อินจู๋สี่คนเดินตามนีนาเข้าสู่สถานที่ลึกลับด้วยความประหลาดใจ
ส่วนยอดของระเบียงทางเดิน ทุกระยะสิบเมตรจะฝังประดับด้วยดาวเวทมนตร์สีขาวน้ำนมหนึ่งดวง เปล่งประกายแสงอันอ่อนโยน อากาศของที่นี่แห้งสบายมาก ไม่ได้เกิดความรู้สึกอึดอัดเพราะค่อยๆ เดินลงไปด้านล่างแต่อย่างใด
จนกระเดินมาได้ร้อยเมตร ประตูใหญ่ที่สลักลวดลายแบบเก่าแก่และเรียบง่ายก็ขวางเส้นทางของพวกเขาไว้ นีนาชะงักฝีเท้า ก่อนกล่าวเสียงเรียบว่า “หลังกลับออกไปแล้ว จงลืมทุกสิ่งที่พวกเจ้าเห็นในวันนี้” เสียงร่ายมนต์คล้ายกับเมื่อครู่ดังขึ้น อัญมณีรูปหกเหลี่ยมไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นในฝ่ามือของนีนาตั้งแต่เมื่อไหร่ รัศมีสีม่วงส่องสว่างขึ้นหลังจากอัญมณีฝังลงไปในประตูบานนั้น คลื่นพลังเวทมนตร์ที่ทำให้หายใจไม่ออกแผ่กระจายออกมาในพริบตา ทำให้ร่างกายของพวกเย่อินจู๋สี่คนแข็งทื่อไปในทันที
ประตูใหญ่เปิดเข้าไปทางด้านใน นี่คือห้องกว้างประมาณห้าสิบตารางเมตร นอกจากทิศของประตู บนกำแพงอีกสามด้านล้วนมีช่องตารางมากมาย ไม่รู้ว่าใช้อะไรก่อสร้างขึ้นจึงรวมเป็นเนื้อเดียวกับกำแพง ในช่องกำแพงด้านซ้ายวางเครื่องดนตรีต่างๆ เมื่อดูจากรูปแบบอันเก่าแก่เรียบง่ายก็มองออกถึงอายุอันยาวนานของมัน กำแพงด้านขวาวางเสื้อคลุมเวทมนตร์ ไม้ท้าวิเศษ ถึงขนาดมีของพวกเกราะกับอาวุธเวทมนตร์ด้วย ส่วนช่องกำแพงฝั่งตรงข้ามประตูใหญ่มีเยอะที่สุด ด้านในล้วนวางอัญมณีไว้ อัญมณีเวทมนตร์ คลื่นพลังธาตุเวทมนตร์มหาศาลจนเกือบหนืดข้นนั้นแผ่ออกมาจากอัญมณีหลายร้อยชิ้นนี้ ที่นี่คือคลังสมบัติขนาดย่อมดีๆ นี่เอง นอกจากเย่อินจู๋แล้ว แลนซี เชอรีน และพีค็อกสามคนต่างก็ถูกอัญมณีตรงหน้าดึงดูดเมื่อเข้าประตูมา ดวงตาของทั้งสามคนเป็นประกายขึ้นมา แม้แต่พีค็อกผู้หยิ่งทะนง ความหลงใหลในดวงตาสวยก็แรงกล้าจนไม่อาจปิดบัง
สายตาของเย่อินจู๋จดจ้องไปยังด้านซ้าย เพราะตรงนั้นเขามองเห็นพิณตัวหนึ่ง พิณตัวเดียวในคลังสมบัติของเอกเทวคีต สีเปลือกเกาลัดอ่อน ลวดลายธารน้ำไหล ประกายวาววับราวกับแผ่ลมปราณอันเย่อหยิ่งของมันออกมา ในบรรดาเครื่องดนตรีที่จัดวางไว้ทั้งหมด มันอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง ส่วนเครื่องดนตรีอื่นโดยรอบล้วนห่างไกลจากมันมาก ดุจดังข้าราชบริพารพิทักษ์องค์ราชา
โดยไม่รู้ตัว เย่อินจู๋หลงลืมตัวตนของคนอื่น ก่อนเดินเข้าไปหาพิณโบราณตัวนั้นทีละก้าว ประหนึ่งว่ามีอะไรอย่างชักพาหัวใจของเขา ใกล้เข้ามาแล้ว เขาเห็นสายพิณที่เปล่งประกายสีครามอ่อนนั้นอย่างชัดเจน เห็นปุ่มพิณสิบสามปุ่มที่ฝังด้วยไข่มุกดุจพระจันทร์เล็กจิ๋วสิบสามดวง หนุนอยู่บนพิณอย่างกลมกลืน
คนที่ตะลึงงันยังมีอีกคน คือนีนา ขณะพานักเรียนใหม่สี่คนเดินเข้าสู่คลังสมบัติของเอกเทวคีต ตอนที่เธอเพิ่งหันหลังกลับก็เห็นสายตาอันเปี่ยมด้วยความหลงใหลของเย่อินจู๋ เห็นเขาเดินไปทางพิณโบราณตัวนั้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ หัวใจของเธอตอนนี้ราวกับแข็งทื่อไปแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงพลันแล่นไปยังทุกส่วนของร่างกายจากก้นบึ้งหัวใจในฉับพลัน หัวหน้าเอกนีนาที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ในขณะนี้ ร่างกายกลับกำลังสั่นเทิ้ม
“เหมือน เหมือนมากจริงๆ เหมือนกับเขาตอนมาที่นี่ครั้งแรกไม่มีผิด ไม่หลงใหลอัญมณีเหมือนกัน สายตาเฉียบแหลมจ้องมองแค่พิณเหมือนกัน”
ร่างของนีนาปรากฏอยู่ตรงหน้าเย่อินจู๋ บดบังสายตาของเขา เมื่อคลาดสายตาจากพิณ เย่อินจู๋ก็ได้สติกลับมาจากอาการลุ่มหลงทันที เขามองเห็นสายตาตะลึงงันของนีนา
ขลุ่ยยาวสีม่วงตกมาอยู่ในมือเธอ ไอเย็นจางๆ แผ่ออกมาจากตัวขลุ่ย นีนากล่าวพึมพำกับตัวเองว่า
“ราตรีนานสุคนธ์โชย เมฆลอยลับไร้ร่องรอย เสียงนกขับขานบนปลายนิ้วเรียว
ขอบฟ้าไกลโพ้น นั่นคือแสงทะเลจันทราอันย้อมด้วยความคิดถึง คือฉากภาพอันไม่อาจลบเลือนจากดวงใจ หรือบางที อาจยังมีความปวดร้าวอันยากจะสร่างซา
จันทร์กระจ่างเขียวคล้ำดั่งกองดินทับถม ความคิดถึงจึงสั่งสมกลางหว่างคิ้วดุจเดียวกัน
ราตรีนี้ ขลุ่ยยังคอยเคียง
ขลุ่ยเย็นหยกม่วง เงาหลังตระหง่านกับสร้อยมุกสายหยกคู่กาย ยามนี้เจ้าอยู่ที่ใด?
ยามแสงดาวดั่งร้อยประดับแลดูเดียวดาย คลื่นหวนเพลงจบ เฝ้าข้างพิณใต้เงาจันทร์ เจ้าคงรับรู้ ข้ารอคอยเนิ่นนานเหลือเกิน...”
‘วี้~’ เสียงขลุ่ยอันโศกเศร้าเจือกลัดกลุ้มเล็กน้อยและความคิดถึงอันไร้จุดสิ้นสุดดังแหวกอากาศขึ้นมา เวียนวนเนิ่นนาน รัศมีสีครามมีนีนาเป็นศูนย์กลาง ชั่วพริบตาก็ส่องสว่างไปทั่วคลังสมบัติ น้ำตาไหลรินลงใบหน้าของนีนาอย่างเงียบเชียบ
แทบจะในเวลาเดียวกัน พวกแลนซีสามคนที่ยังลุ่มหลงอยู่กับประกายอัญมณีเมื่อครู่ก็ทรุดลงไปบนพื้นพร้อมกัน แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้ หัวใจของพวกเธอราวกับถูกเสียงขลุ่ยอันเศร้าโศกนั้นฉีกออกเป็นชิ้นๆ
สภาพของเย่อินจู๋ก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ พลังจิตของเขากับนีนาห่างชั้นกันไกลนัก ทั้งยังอยู่ใกล้นีนาที่สุดและสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ของเธอได้มากที่สุด ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายท่วมท้นหัวใจของเขา สีหน้าเริ่มซีดเผือดไปหมด โชคดีที่หัวใจพิณพิสุทธ์ดวงนั้นแจ่มใส จึงคอยพยุงเขาไม่ให้จมดิ่งลงไปในเสียงขลุ่ย
พอกัดลิ้นตัวเองแรงๆ ก็ทำให้สมองที่ฟุ้งซ่านของตัวเองได้สติขึ้นมาบ้าง รัศมีสีเหลืองอ่อนปกคลุมร่างกายของเขา พอก้าวพรวดเขาไป ร่างของเย่อินจู๋ก็อ้อมผ่านนีนาด้วยจังหวะฝีเท้าอันน่าอัศจรรย์ รัศมีสีแดงเข้มลุกโชติช่วง สองมือแปดนิ้วลูบไปบนสายพิณที่เปล่งประกายสีครามเจ็ดสายพร้อมกัน เสียงพิณกังวานใสกลมกลืนเจือเสียงสะท้อนดุจระลอกคลื่นดังขัดจังหวะในชั่วขณะที่เสียงขลุ่ยเสียงถัดไปยังไม่ทันดังขึ้น
ในหัวของนีนาเบาลง จึงค่อยรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่ตัวเองทำอะไรลงไป เราใช้คลื่นกระแทกในสภาวะสูญเสียการควบคุมความรู้สึกเล็กน้อย หากทำให้เด็กพวกนี้บอบช้ำทางจิตใจโดยไม่อาจรักษาให้หายได้ต้องเดือดร้อนแน่
คลื่นกระแทก คลื่นเสียงที่ระเบิดออกไปในชั่วพริบตา พลังทะลวงแบบฉับพลัน เทียบเท่ากับเวทมนตร์ฉับพลันของนักเวทสายอื่นๆ เป็นความสามารถที่นักเทวคีตใช้ได้เมื่อขึ้นไปถึงระดับเขียวแล้วเท่านั้น อินจู๋ยังด้อยกว่าระดับการใช้คลื่นกระแทกขั้นหนึ่ง
รีบเก็บขลุ่ยเย็นหยกม่วงในมือ ก่อนสาวเท้าเดินไปอยู่ข้างๆ เด็กหญิงทั้งสามคน คลื่นพลังจิตเบาบางแผ่ออกมา ตรวจดูสภาพอาการของพวกเธอผ่านการสัมผัสทางมือ
นีนาผ่อนลมหายใจ สีหน้าเคร่งเครียดผ่อนคลายลงมาก โชคดี พื้นฐานพลังจิตของเด็กหญิงสามคนนี้ไม่เลวเลย อีกทั้งคลื่นกระแทกของเราก็ถูกอินจู๋ขัดจังหวะไว้ได้ทันเวลา แม้พวกเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก พักผ่อนสักครู่ก็คงจะดีขึ้นแล้ว
นีนาหันหลังขวับ สายตาเฉียบขาดขึ้นมา “เย่อินจู๋ บอกข้ามา เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับฉินซาง”
“หา?” ตอนนี้พลังจิตของอินจู๋เพิ่งฟื้นคืนสภาพหลังจากถูกกระทบกระเทือน จึงไม่ได้ตอบสนองชั่วครูหนึ่ง
“เจ้าไม่ต้องปิดบังแล้ว ด้วยพลังจิตระดับครามของข้า หากเจ้าไม่ได้ฝึกฝนมนต์พิณเหมือนกับฉินซาง ก็ไม่มีทางใช้ความสามารถระดับแดงต้านทานได้เลย มิน่าล่ะวันนั้นเจ้าถึงไม่ได้รับผลกระทบจากเพลงกู่เจิงของไห่หยางทั้งยังบรรเลงร่วมกับเธอ ที่แท้เจ้าก็พวกเดียวกับไอ้คนสารเลวนั่น พลังเวทมนตร์สีแดงไม่ได้แทนขั้นสามแต่เป็นขั้นเก้า”
“ปู่ฉินไม่ใช่คนสารเลว” อินจู๋กล่าวอย่างโกรธเคือง ตอนนี้ พิณโบราณเมื่อครู่ถูกเขากอดไว้แนบอกโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกราวกับเชื่อมโยงกันทางสายเลือดระหว่างนักเวทพิณกับพิณโบราณทำให้ถึงอย่างไรอินจู๋ก็ไม่ยอมวางมันลง
“ปู่ฉิน? เจ้าเป็นหลานของเขา?” สีหน้าของนีนาซีดเผือดลงในพริบตา ร่างโยกโอนเอนราวกับจะหกล้มลงไป
เย่อินจู๋ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เปล่าครับ ข้าเป็นลูกศิษย์ของปู่ฉิน”
นีนาตะลึงงัน สีหน้าดูดีขึ้นมาบ้าง “เขาให้เจ้ามาหาข้าหรือ?”
เย่อินจู๋ระลึกถึงคำพูดที่ฉินซางบอกกับเขาตอนออกจากทะเลโพรงมรกตขึ้นมาได้ “ใช่ครับ! ปู่ฉินให้ข้าเอาจดหมายมาให้หัวหน้าเอกเทวคีต น่าจะเป็นท่านล่ะมั้งครับ”
“จดหมายล่ะ?” นีนาเอ่ยถามอย่างร้อนรน สาวเท้าหลายก้าวมาอยู่ตรงหน้าเย่อินจู๋ ลมหายใจไม่สม่ำเสมอขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หายไปแล้ว”
“อะไรนะ? ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น?”
……………………………………….