บทที่ 33 ต่อไปอย่าเดินใกล้ฟู่อวี้เกินไปนัก
บทที่ 33 ต่อไปอย่าเดินใกล้ฟู่อวี้เกินไปนัก
ซ่งฉู่อี๋ไม่ตำหนิเธอ แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่าอาหารดูต๊อกต๋อย “สองสามวันนี้ผมงานยุ่งมาก ก็เลยไม่มีเวลาไปซื้อกับข้าว วันนี้ก็กินถูไถไปก่อนแล้วกันนะ แล้วพรุ่งนี้ผมค่อยไปซื้ออาหารอร่อยๆ ที่คุณชอบทานมาให้ดีมั้ย”
ฉางฉิงพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเขาทำงานมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เขากลับมาทำอาหารให้ แล้วเธอยังบ่น เธอนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ แต่การที่เขาพูดปลอบเธอเบาๆ แบบนี้ เธอได้ยินแล้วก็รู้สึกสบายใจมาก มีความรู้สึกว่าเธอกำลังถูกตามใจอีกแล้ว “เอาล่ะค่ะ งั้นมื้อนี้ฉันกินถูไถไปก่อนก็แล้วกันค่ะ”
หลังจากมองเขาอย่างเย่อหยิ่งทีหนึ่งแล้ว เธอก็ลุกขึ้นไปตักข้าวใส่ชาม
อาจจะเป็นเพราะเธอหิวแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเพราะฝีมือทำอาหารของเขาไม่เลว ฉางฉิงจึงรู้สึกว่าซุปสาหร่ายใส่ไข่รสชาติใช้ได้ทีเดียว
“ไม่ชอบกินแตงกวาเหรอ” ซ่งฉู่อี๋ไม่เห็นเธอคีบกินเลยสักชิ้น
“อืม” เธอก้มหน้าก้มตาซดน้ำซุป
“แล้วคุณชอบกินอะไรล่ะ”
ฉางฉิงครุ่นคิด แล้วตอบอย่างไม่เกรงใจว่า “ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง เนื้อผัดเสียบไม้ แพนเค้กข้าวโพด เนื้อปลาในน้ำพริกเผา...”
ซ่งฉู่อี๋พยักหน้าหงึกหงัก
ฉางฉิงประหลาดใจ “คุณทำเป็นหมดเลยเหรอ”
“ไม่เป็นสักอย่าง” เขาส่ายหัว
ฉางฉิง “...”
ทำไม่เป็นแล้วพยักหน้าทำไมเนี่ย
หลังจากทานข้าวไปได้ครึ่งชาม ฉางฉิงถามเสียงกังวลว่า “พรุ่งนี้คุณเป็นคนลงมือผ่าตัดให้กับคุณป้าเสิ่นใช่มั้ยคะ”
“อืม”
“แล้วคุณมั่นใจแค่ไหนคะ” ดวงตาใสแป๋วของฉางฉิงมองเขาอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง
ซ่งฉู่อี๋กินข้าวไปหนึ่งคำ แล้วตอบว่า “ห้าสิบเปอร์เซนต์มั้ง”
“น้อยจังเลย...” ฉางฉิงหน้าม่อยคอตก “คุณช่วยพยายามอย่างสุดความสามารถเลยได้มั้ยคะ คุณป้าเสิ่นท่านเป็นคนดีจริงๆ”
ซ่งฉู่อี๋จ้องเธอเขม็ง “ฉางฉิง ผมรักษาคนไข้ทุกคนอย่างสุดความสามารถเสมอ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะเป็นใครหรือจะป่วยเป็นอะไรก็ตาม”
พอพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นไปตักข้าว ฉางฉิงมองดูรูปร่างที่สูงชะลูดของเขา แล้วพลันรู้สึกว่าเขาดูเท่อยู่เหมือนกัน
พอกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง ซ่งฉู่อี๋ก็พูดเสียงเรียบว่า “เรื่องที่คุณเป็นห่วงเสิ่นลู่น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ต่อไปคุณอย่าเดินใกล้ฟู่อวี้เกินไปนัก แล้วก็ยิ่งไม่ควรออกไปทานข้าวกับเขาด้วย”
ฉางฉิงไม่พอใจพลางบุ้ยปาก “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าจะไม่ก้าวก่ายชีวิตกันและกัน”
“ถ้าเป็นคนอื่น ผมไม่ก้าวก่ายหรอก แต่สำหรับฟู่อวี้ไม่ได้” ซ่งฉู่อี๋ตีหน้าขรึม “คราวนี้แล้วก็แล้วกันไป แต่ถ้าคราวหน้าผมเห็นคุณกับเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกล่ะก็ อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
ฉางฉิงโมโห เธอเกลียดการถูกข่มขู่ที่สุด “คุณว่ามาคุณจะไม่เกรงใจยังไง”
“คุณอยากลองดูจริงๆ เหรอ” ซ่งฉู่อี๋หรี่ตา ความเย็นยะเยือกแผ่กระจาย
ฉางฉิงกลัวหัวหดอย่างไม่เอาไหน เธอเบ้ปาก ทำเสียงฮึดฮัดทางจมูก แล้วทานข้าวต่อ
ซ่งฉู่อี๋พออกพอใจมาก เขาล่ะชอบผู้หญิงประเภทเสือกระดาษ[1]แบบนี้
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เขาก็ขอตัวกลับห้องไปอาบน้ำนอนก่อน
ฉางฉิงนั่งขุ่นเคืองอยู่คนเดียวอยู่นานสองนาน ตอนกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับด้วย
วันรุ่งขึ้นตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ซ่งฉู่อี๋ก็ออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ในห้องอาหารมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเทนมสดอยู่ เจ้าร็อบเบนวางสองขาหน้าอยู่บนโต๊ะและทำสีหน้าตะกละตะกลาม ฉางฉิงขยี้ตาเบาๆ “คุณคือ...”
“ฉันเป็นแม่บ้านพาร์ทไทม์ที่คุณซ่งจ้างมาเมื่อคืนค่ะ ฉันแซ่หวังค่ะ” หญิงวัยกลางคนยิ้มพลางพูด “อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้ว คุณผู้หญิงล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็มาทานได้เลยค่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเธอว่า ‘คุณผู้หญิง’ ฉางฉิงแอบรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยพอใจนัก แต่พอเห็นอาหารเช้าสไตล์ตะวันตกวางอยู่เต็มโต๊ะ ฉางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “ฝีมือทำอาหารไม่เลวเลยนะคะ”
ป้าหวังยิ้ม “เมื่อคืนคุณซ่งโทรไปที่สำนักบริหารทรัพยากรบุคคลให้เจ้านายเราช่วยหาแม่บ้านพาร์ทไทม์ให้ค่ะ คุณซ่งบอกว่าคุณสมบัติแรกคือต้องทำอาหารเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทำพวกเนื้อผัดเสียบไม้ ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งอะไรพวกนี้เป็นค่ะ”
ฉางฉิงหัวใจเต้นตึกตัก
หรือว่าที่เมื่อวานเขาถามเธอเยอะแยะขนาดนั้นก็เพื่อหาแม่บ้านพาร์ทไทม์
เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะดีกับเธอขนาดนี้
ป้าหวังยิ้มตาหยีพลางมองเธอ ฉางฉิงหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที แล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ เมื่อส่องดูกระจก ขอบตาเธอดูหมองคล้ำจากการที่เมื่อคืนนอนไม่หลับ แล้วจู่ๆ ฉางฉิงก็รู้สึกว่าตัวเองใจแคบจริงๆ
.............................................
[1] เสือกระดาษ หมายถึง คนประเภทแข็งนอกอ่อนใน