บทที่ 33 จิ้งจอกขาวมอบนิมิตมงคล
บทที่ 33 จิ้งจอกขาวมอบนิมิตมงคล
ธรรมชาติยังไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน ผลสาลี่บนต้นไม่มีลูกใดสั่นไหว เช่นนั้นคงไม่มีเหตุอย่างมังกรยักษ์พลิกกายเกิดขึ้นแน่
เพียงแต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็พบสาเหตุที่ทำให้เจ้าจิ้งจอกรู้สึกหวาดกลัว ว่ามาจาก...มังกร
เมื่อก่อนเถี่ยซินหยวนมักคิดว่ารัศมีที่เปล่งออกมาจากร่างกายเป็นเพียงภาพลวงตา ตอนนี้นับว่าเข้าใจกระจ่างแล้ว รัศมีที่ว่าเป็นสิ่งมีรูปร่าง อย่างน้อยเจ้าจิ้งจอกก็สามารถสัมผัสได้
มีเสียงร่ำไห้แผ่วเบาล่องลอยไปมาในอาณาเขตวังหลวง ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกชัน เมื่อฟังจากเสียงพูดคุยของเหล่าองครักษ์บนกำแพง ก็พอทราบต้นตอของความรู้สึกหวาดกลัวนั่นแล้ว
บุตรของโอรสสวรรค์ที่ยังไม่ทันลืมตาดูโลกจากไปเสียแล้ว...อีกทั้งยังเป็นพระโอรสด้วย
ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนักจนมีรับสั่งโบยคนในวังจนตายไปถึงสิบเอ็ดคน...
ช่วงเช้าตรู่ประตูใหญ่ของวังหลวงยังคงปิดสนิท ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายเฝ้ารออยู่นานก็มีราชโองการลงมาว่า วันนี้ฮ่องเต้ไม่มีพระประสงค์จะออกว่าราชการยามเช้า
ฉะนั้นเวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงมีความอึดอัดเข้าปกคลุม ถึงขนาดที่ว่าสุนัขในบ้านส่งเสียงร้องดังเกินไปสักหน่อย ก็จะโดนไม้ฟาดให้เงียบ
บรรยากาศเมืองทั้งเมืองแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของคนผู้หนึ่ง
ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้...เมื่อก่อนเถี่ยซินหยวนยังนึกว่าเป็นเพียงเรื่องขบขัน
หลังจากมาถึงดินแดนต้าซ่ง เมื่อมีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองแล้วถึงพบว่า อำนาจเป็นสิ่งน่ากลัวหาใดเปรียบ
เมื่อขอทานมีโทสะ อย่างมากที่สุดก็แค่หยิบเศษอิฐทุบหน้าต่างบ้านคนที่ตนชิงชัง
เมื่อชาวบ้านธรรมดามีโทสะ อย่างมากที่สุดก็คงมาระบายใส่ภรรยาและบุตรของตน
แต่เมื่อใดฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริง...
ในหอสุราไม่มีเสียงคุยโวโอ้อวดของเหล่าบัณฑิต ในหอนางโลมเสียงเครื่องสายเครื่องเป่าอันเย้ายวนก็หายไปเช่นกัน
ฮ่องเต้จ้าวเจินเอนพระวรกายพิงเก้าอี้คนงาม[1]อันอ่อนนุ่ม ฉลองพระองค์ที่สวมอยู่คลายออกมาครึ่งหนึ่ง ด้านล่างเหล่านางรำกำลังแสดง ‘ระบำไฉ่เวย’[2] ด้วยลีลาอ่อนช้อยเย้ายวน จอกสุราในพระหัตถ์ยังมีละอองไอลอยวนขึ้นมา
อากาศยามนี้ร้อนอบอ้าวยิ่งนัก แต่ภายในพระทัยกลับมืดมนและหนาวเหน็บราวกับตกลงไปในอุโมงค์เก็บน้ำแข็งก็ไม่ปาน
นัยน์ตาของหวังเจี้ยนไม่ปรากฏอาการประจบสอพลอเช่นในวันวาน กลับมีความดุร้ายและเย็นชาเพิ่มขึ้นหลายส่วน เขาจ้องมองนางกำนัลที่กำลังร่ายรำอย่างงดงามด้วยสายตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยว และเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่า หากมีใครกล้าทำให้ทรงกริ้วอีก เขาจะลงมือจัดการคนผู้นั้นให้ถึงตายด้วยตัวเอง
เมื่อลอบมองทางไปฮ่องเต้ ก็เห็นเพียงพระเนตรทั้งสองข้างเป็นสีแดงก่ำราวถ่านไม้มีเปลวไฟลุกโชน
‘ระบำไฉ่เวย’ ร่ายรำมาสามรอบติดกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีหรือว่านางรำ ต่างไม่มีใครกล้าหยุดพัก แม้หยาดเหงื่อจะไหลรินจนกระโปรงเปียกชื้น ก็ยังไม่กล้าเผอเรอเลยสักชั่วขณะเดียว
ฮองเฮายืนอยู่หน้าประตูพระตำหนักทอดพระเนตรมองฮ่องเต้ชั่วครู่ ก่อนจะทอดถอนพระทัยแล้วเสด็จนำเหล่าขันทีเดินจากไป สิ่งที่ทรงนำกลับไปด้วยยังมีน้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหิมะ[3]ที่เพิ่งเคี่ยวเสร็จใหม่ๆ ชามหนึ่ง ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้จิตใจสดชื่นและบำรุงปอดได้ดี
สำหรับฮ่องเต้ที่เพิ่งสูญเสียความหวังไปพระองค์หนึ่ง น้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหิมะชามเดียวไม่อาจดับเปลวไฟในพระทัยให้มอดไปได้
เสียงร้องของสุนัขจิ้งจอกดึงความสนพระทัยขึ้นมา เมื่อทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง ทรงเห็นจิ้งจอกสีขาวผ่องตัวหนึ่งนั่งอยู่บนภูเขาจำลองสูงลิบ มันกำลังมองตรงมาทางนี้
หวังเจี้ยนรีบเปิดหน้าต่างออกในทันใด เพื่อให้ฮ่องเต้และเจ้าจิ้งจอกมองหน้าอีกฝ่ายได้อย่างสะดวก
“เจ้ามาปลอบใจเราอย่างนั้นหรือ?”
ดวงพระเนตรเมามายของจ้าวเจินมองไปทางเจ้าจิ้งจอกอย่างสลัวเลือนราง
จิ้งจอกขาวคาบกระดาษม้วนหนึ่งขึ้นมา แล้วเดินมาที่ข้างหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ในที่สุดมันก็กระโดดเข้าไปแล้ววางกระดาษม้วนนั้นไว้ตรงขอบหน้าต่าง
บนพระพักตร์ของจ้าวเจินปรากฏรอยแย้มพระสรวลขึ้นมาจางๆ พระองค์ชี้ไปทางเจ้าจิ้งจอกแล้วตรัสว่า “เจ้าหาสิ่งใดพบอีกเล่า? ตอนนี้อารมณ์ของเราย่ำแย่นัก ไม่ใช่แค่ของเล็กน้อยก็จะทำให้ดีขึ้นได้”
เจ้าจิ้งจอกนั่งอยู่บนพื้นเงยหน้ามองฮ่องเต้ จนหวังเจี้ยนรีบร้อนนำเนื้อแพะจานหนึ่งมาวางตรงหน้าของมัน หลังจากกินเนื้อแพะคำหนึ่งแล้ว ก็เงยหน้ามองฮ่องเต้พร้อมส่งเสียงร้องเรียกอีกครั้ง
หวังเจี้ยนที่สับสนราวกับศีรษะมีหมอกบดบังหยิบกระดาษม้วนนั้นขึ้นมา หลังจากเปิดดูแวบหนึ่งแล้ว ก็ม้วนเก็บในทันที จากนั้นคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ด้วยสีหน้าซีดขาว พร้อมกราบทูลว่า “ฝ่าบาท จิ้งจอกขาวมอบนิมิตมงคล พ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจินนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อพระองค์ประสงค์จะเอ่ยวาจา ก็เห็นหวังเจี้ยนไล่นางกำนัลที่ร่ายรำจนเมื่อยล้าแทบล้มลงไปกองกับพื้นกลับไปอย่างไร้มารยาท ในขณะเดียวกันขันทีผู้นี้ยังไล่นักดนตรี องครักษ์ และขันทีคนอื่นที่รับใช้ข้างพระวรกายออกไปด้วย
จ้าวเจินปรายพระเนตรมองหวังเจี้ยนอย่างเย็นชา ถ้าหากบ่าวตรงหน้าไม่มีเหตุผลอันสมควรสักข้อหนึ่ง วันนี้พระองค์คงไม่ปล่อยไปโดยง่ายแน่
หวังเจี้ยนเดินเพียงสองสามก้าวก็ขยับมาอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้แล้วกราบทูลซ้ำว่า “ฝ่าบาท จิ้งจอกขาวมอบนิมิตมงคลแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
จ้าวเจินมองจิ้งจอกที่กำลังกินเนื้อแพะด้วยความแปลกพระทัย ก่อนจะฉวยม้วนกระดาษมาจากมือของหวังเจี้ยน หลังจากเปิดดูภาพข้างในแล้วก็ตรัสด้วยความสับสนว่า “หน้าไม้วิเศษ?”
หวังเจี้ยนลดเสียงลงต่ำแล้วกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท หากของสิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วล่ะก็ จิ้งจอกขาวตัวนี้นับว่าสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงให้กับต้าซ่งเลยทีเดียว พ่ะย่ะค่ะ
เจ้าโจรถ่อยซีเซี่ยหลี่หยวนฮ่าวอาศัยอาวุธชนิดนี้ ถึงได้ห้อตะบึงไปทั่วแนวชายแดนโดยไร้คู่ต่อกร กระหม่อมได้ยินว่าหน้าไม้วิเศษของซีเซี่ย ตัวธนูทำด้วยไม้เยี่ยน ร่องนำธนูทำด้วยไม้ถาน คันธนูทำด้วยเหล็ก กลไกยิงทำด้วยทองแดง และสายธนูทำด้วยเส้นไหมอย่างดี ยิงครั้งหนึ่งพุ่งไปไกลสามร้อยก้าวทะลุชุดเกราะหนัก ทำให้เปิดศึกไปทั่วทิศโดยไร้คู่ต่อกร
กระหม่อมเคยส่งคนเข้าไปสอดแนมในเขตควบคุมของเจ้าโจรถ่อยหลายครั้ง ใช้หมื่นตำลึงก็แลกหน้าไม้วิเศษมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าช่วงเวลาที่ฝ่าบาททรงรู้สึกเสียพระทัยที่สุด เจ้าจิ้งจอกกลับนำของสิ่งนี้มาถวายพระองค์ได้”
จ้าวเจินทอดพระเนตรหวังเจี้ยนที่กำลังตื่นเต้นยินดีด้วยความลังเล ก่อนทรงคลี่ม้วนกระดาษในพระหัตถ์ออกดู บนกระดาษนั้นมีภาพร่างต่างๆ อัดแน่นอยู่เต็มไปหมด บริเวณขอบภาพเหล่านั้นยังมีการจดบันทึกความยาวระดับต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ความรู้สึกแรกสำหรับพระองค์ที่เคยเห็นภาพแผนผังของกรมโยธามาก่อนก็คือ เชื่อว่าของสิ่งนี้เป็นภาพร่างฉบับจริงแท้แน่นอน
หลังจากวางภาพร่างในพระหัตถ์ ทรงลุกขึ้นแล้วลองแย่งชามข้าวของเจ้าจิ้งจอกมา แต่ก็พบเพียงว่ามันรีบงับชายแขนเสื้อชุดฉลองพระองค์ไว้ทันที จากนั้นแสร้งทำตัวเป็นสุนัขตายไม่ขยับเขยื้อน ดูแล้วเจ้าตัวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าใช่สัตว์มงคลเลยสักนิด
เมื่อส่งชามข้าวคืนเจ้าจิ้งจอกแล้ว จ้าวเจินก็ตรัสกับหวังเจี้ยนว่า “หรือบ่าวไพร่อย่างเจ้าเห็นเรากำลังเศร้าโศก ถึงได้จงใจเตรียมละครฉากนี้ขึ้นมา หวังช่วยให้เราเบิกบานใจใช่ไหม?
หากเป็นเช่นนี้จริง เราไม่ตำหนิเจ้าหรอก อีกสักครู่ไปตามช่างใหญ่ของวังหลวงหลี่รุ่ยมายืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาด เจ้าก็นำรายชื่อขุนนางที่มีความดีความชอบมาเสีย เราจะมีรางวัลให้เอง”
เวลานี้หวังเจี้ยนเกือบจะยกย่องเจ้าจิ้งจอกเป็นบรรพบุรุษของตนอยู่แล้ว เขายกอาหารเลิศรสหลายจานจากโต๊ะเสวยของฮ่องเต้มาให้มันกินอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งเอาเนยแข็งที่ปรุงรสอย่างดีแล้วมาป้อนมันทีละคำ
เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ หวังเจี้ยนก็อยากจะรับความดีความชอบครั้งนี้มาเป็นของตนยิ่งนัก แต่นึกได้ว่าพระองค์ชิงชังคนโกหกหลอกลวงเป็นที่สุด
เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วขยับกายเข้าใกล้เพื่อกราบทูลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอสาบานต่อสวรรค์ว่า ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ ทั้งหมดนี่เป็นเจ้าจิ้งจอกคาบมา พ่ะย่ะค่ะ”
หวังเจี้ยนมีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ จ้าวเจินสามารถแยกแยะออกได้ด้วยพระองค์เอง ในเมื่อไม่ใช่เขา หรือจะเป็นฝีมือของหลานสาวหวังตั้นกันแน่?
หวังเจี้ยนที่คุ้นเคยกับฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นที่สุดชิงกราบทูลว่า “ฝ่าบาท ไม่มีทางเป็นฝีมือของนางเถี่ยหวังซื่อได้แน่ กระหม่อมตรวจสอบมาแล้วว่า หลังจากนางโดนซย่าส่งทำนายดวงชะตา ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่ได้แต่งงาน ภายหลังทนรับคำติฉินนินทาไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านไปด้วยความโกรธเคือง สุดท้ายก็กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย
ไม่คาดคิดว่าจะได้เถี่ยอาชีแห่งหมู่บ้านตระกูลเถี่ยช่วยชีวิตเอาไว้ ทั้งสองต่างก็มีใจรักใคร่และกลายเป็นสามีภรรยากันในเวลาต่อมา นับจากนั้นนางเถี่ยหวังซื่อก็ไม่เคยติดต่อกับตระกูลหวังอีกเลย แม้กระทั่งหลังจากเหตุอุทกภัยเมื่อหกปีก่อน ก็ไม่เคยก้าวเข้าจวนตระกูลหวังเลยสักก้าวเดียว จึงนับได้ว่าเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น”
จ้าวเจินแย้มพระสรวลแล้วตบหัวเจ้าจิ้งจอกที่กำลังก้มหน้าก้มตากินแล้วตรัสว่า “เราไม่เคยเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ของผีสางเทวดา หรือเรื่องนี้จะเป็นกรณีพิเศษจริง? คงไม่มีทางแน่
หวังเจี้ยน ตรวจสอบที่มาของม้วนกระดาษนี้ให้กระจ่าง สุนัขจิ้งจอกแต่ไหนแต่ไรมีนิสัยชอบสะสมของมีค่า ไม่แน่ว่ามันอาจเก็บมาจากที่ไหนก็ได้ เราเชื่อว่าขอบเขตค้นหาไม่น่ากว้างนัก”
หวังเจี้ยนรีบเอ่ยรับพระบัญชา ก่อนจะลอบเงยหน้ามอง จึงพบว่าดูเหมือนพระเนตรที่เคยแดงก่ำข่มขวัญผู้คนของฮ่องเต้จะอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย จึงกราบทูลอีกว่า “ฝ่าบาท วันนี้ข้างนอกลมพัดเย็นสบายนัก ออกไปเดินเล่นสักหน่อยไหม พ่ะย่ะค่ะ?”
จ้าวเจินเห็นท้องฟ้าแลดูสว่างปลอดโปร่งมากทีเดียว ก็ถอนพระทัยยาวครั้งหนึ่งแล้วตรัสว่า “ทุกสิ่งมีเหตุมีผล หรือสวรรค์ลิขิต? มีบางครั้งเราอยากเห็นเสียจริงว่าเทพยดาฟ้าดินมีหน้าตาเป็นเช่นไร?”
หวังเจี้ยนคุกเข่าเอ่ยทัดทานอย่างร้อนรนว่า “ฝ่าบาทอย่าทรงตรัสเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าปีนั้นอินโจ้วอ๋อง[4]กล่าววาจาไม่เคารพต่อโฮ่วถูเหนียงเหนียง(พระแม่ธรณีของจีน)จนทำให้แผ่นดินถล่มทลาย..”
จ้าวเจินสะบัดแขนชุดฉลองพระองค์ด้วยความรำคาญแล้วตรัสว่า “เรารู้แล้ว เจ้าคอยทัดทานตามกฎบรรพชน เราทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้าสิ พวกเราจะออกไปเดินเล่นผ่อนคลายกันสักหน่อย”
เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักบรรทมแล้ว คนทั่วทั้งวังหลวงพากันถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก ทุกคนต่างทราบดีว่าเพราะเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นเอง ฮ่องเต้ถึงอารมณ์ดีขึ้นมาเช่นนี้ ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจิ้งจอกจะเดินไปทางไหน ก็มีผู้คนต้อนรับด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
เถี่ยซินหยวนรออยู่นานสามวันเต็มๆ ถึงได้ข่าวเรื่องฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลให้เจ้าจิ้งจอก หวังโหรวฮวาไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับของล้ำค่ากองใหญ่ที่หวังเจี้ยนนำมา เถี่ยซินหยวนยิ่งแสร้งทำท่าทางโง่งมทึ่มทื่อ
หวังเจี้ยนไม่ได้เรื่องราวที่มีประโยชน์อะไรจากสองแม่ลูกตระกูลเถี่ยเลยสักนิด หลังจากนำรางวัลพระราชทานมาให้แล้วก็จากไปโดยพลัน พวกนางแม่ลูกก็แค่บังเอิญโชคดีเลี้ยงจิ้งจอกมงคลเอาไว้ มิฉะนั้นด้วยฐานะชาวบ้านธรรมดาๆ เขาไม่คู่ควรต้องมาเองด้วยซ้ำ
สิ่งที่พระราชทานมาแน่นอนว่าเป็นของเจ้าจิ้งจอก หลายวันมานี้หวังเจี้ยนทำตามพระบัญชาโดยไม่หลับไม่นอน เพื่อค้นหาโพรงซ่อนสมบัติของเจ้าจิ้งจอก ในที่สุดเขาก็หาพบจนได้ สถานที่แห่งนั้นก็คืออุโมงค์ใต้ดินลึกลับเหลือประมาณในวังหลวง
ขณะที่เขาหาอุโมงค์ใต้ดินจนพบหยาดเหงื่อก็ไหลรินเป็นสาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะที่แห่งนี้เป็นอุโมงค์เก่าแก่ยาวนานหลายปี ตำแหน่งทางเข้าออกก็พังถล่มปิดตาย เขาคงยากจะปัดความรับผิดชอบได้พ้น
โพรงซ่อนสมบัติของเจ้าจิ้งจอกอยู่ในอุโมงค์แห่งนี้เอง นอกจากขวดและกระปุกไม่ทราบที่มา ก็เป็นสิ่งของลักษณะแวววาวไม่มีค่าอันใด ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ขันทีและนางกำนัลในวังทำหล่นหาย
หวังเจี้ยนไม่ได้แตะต้องสมบัติที่เก็บซ่อนไว้ในโพรง เขาลอบตรวจสอบอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไปรายงานที่สิ่งตนได้รู้ได้เห็นมากับฮ่องเต้
“เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าภาพร่างหน้าไม้วิเศษเดิมทีก็อยู่ในวังหลวงรึ?” จ้าวเจินตรัสถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หวังเจี้ยนพยักหน้าแล้วทูลตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมตรวจสอบกระดาษม้วนนั้นแล้ว พบว่ากระดาษชนิดนั้นมีเฉพาะแถบเส้นทางกานเหลียง แตกต่างจากกระดาษเปลือกต้นหม่อนในเมืองหลวงมากนัก
ส่วนในโพรงซ่อนสมบัติของจิ้งจอกมงคล แม้จะมีสภาพโดยรอบแห้งผาก แต่ถ้าหากต้องการเก็บรักษากระดาษเหล่านั้นให้สมบูรณ์ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย จากการคาดคะเนของกระหม่อม เจ้าจิ้งจอกคงเพิ่งหาพบไม่นานมานี้เอง มิฉะนั้นคงจะโดนหนูแทะแมลงกัดกินจนเสียหายหมดสิ้นแล้ว”
“ก็ดี สมบัติล้ำค่าทางทหารอย่างหน้าไม้วิเศษ อยู่ในวังหลวงมาตลอดแท้ๆ ยามเราปรารถนากลับหาไม่พบ ถ้าหากไม่ใช่เพราะจิ้งจอกตัวนั้น ต้าซ่งของข้าไยมิต้องไร้วาสนากับอาวุธชั้นยอดเช่นนี้ไปเลยรึ?
หึ หึ จิตใจคนช่างน่ารังเกียจนัก เราดูแลวังหลังอย่างดีมาหลายปี ความภักดีของคนพวกนี้ยังเทียบจิ้งจอกตัวหนึ่งไม่ได้
เจ้าจิ้งจอกเห็นเราโศกเศร้า ยังสู้อุตส่าห์คาบของมีค่ามาให้แลกกับรอยยิ้มหนึ่ง คนพวกนั้นกลับนำของมีค่าถึงเพียงนี้ซุกซ่อนเอาไว้ในวัง ยอมเห็นกองทัพต้าซ่งสูญเสียกำลังทหารไปมากมายก็ไม่ยอมมอบภาพร่างนี้ออกมา คนเทียบจิ้งจอกไม่ได้สักนิด”
หวังเจี้ยนกล่าววาจาไหลไปตามสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสว่า “แต่ฝ่าบาทก็ได้หน้าไม้วิเศษนั่นมาแล้ว เป็นเพราะบารมีของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าโดยแท้...”
----------------------------
[1] เก้าอี้คนงาม(美人椅)เก้าอี้ตัวยาวมีที่วางแขนข้างหนึ่ง ใช้สำหรับเอนนอนพักผ่อนได้
[2] ระบำไฉ่เวย(采薇舞)เป็นการแสดงระบำที่มีลีลาอ่อนช้อย นางรำจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อบางเบา ปลายแขนเสื้อยาวเลยระดับหัวเข่า ยามร่ายรำพลิ้วไหวงดงามดุจนางฟ้า
[3] น้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหิมะ(银耳莲子羹)เป็นของว่างช่วยบำรุงสุขภาพ ส่วนผสมหลักๆ ประกอบด้วย เม็ดบัว เห็ดหูหนูขาวและน้ำตาลกรวด หรืออาจเพิ่มลำไย พุทราจีนและเก๋ากี้ใส่ลงไปด้วยก็ได้
[4] อินโจ้วอ๋อง(殷纣王)หรือพระเจ้าโจ้ว กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง(商)ตามตำนานเล่าว่าพระองค์เป็นทรราชผู้โหดเหี้ยม ประหารขุนนางผู้ภักดี หลงใหลนางสนมต๋าจี(妲己)ที่เป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางแปลงกาย จนสุดท้ายโดนโค่นล้มอำนาจและราชวงศ์ล่มสลาย