DC บทที่ 49: มีตาแต่…
เมื่อซูหยางเดินทางไปในหุบเขาฟ้าคำราม การต่อสู้ระหว่างแมวสายฟ้ากับผู้คนล้วนกลายเป็นเรื่องปกติ
“พวกนี้ล้วนไม่มีแก่นพลังสัตว์อสูร…” ซูหยางตรวจหาแมวสายฟ้าที่มีแก่นพลังสัตว์อสูรไปรอบข้าง
ปกติแล้วไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ที่ตนเองฆ่าจะมีแก่นพลังหรือไม่นอกจากว่าพวกเขาเปิดผ่ากระโหลกของพวกมันออกมาดู อย่างไรก็ตามสำหรับซูหยางผู้มีวิชาความรู้ระดับเทพเซียน เขามีความสามารถในการประเมินว่าสัตว์เหล่านี้มีแก่นพลังสัตว์อสูรหรือไม่โดยไม่ต้องลงมือฆ่า
“โอ นั่นตัวนึง…”
เมื่อซูหยางพบแมวสายฟ้าที่มั่นใจว่าจะหลงเหลือแก่นพลังสัตว์อสูรไว้ให้ เขาจะหายตัวตรงไปล่ายังทิศทางแมวสายฟ้านั้น แม้ว่ามันจะกำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่
“อา เฮ้ เจ้าเป็นใครกันวะ เจ้ากล้าขโมยเหยื่อของพวกเราได้อย่างไร”
“แม่ม เจ้ามิมีความละอายใจเลยรึ”
บรรดาผู้คนที่กำลังต่อสู้กับแมวสายฟ้าต่างพากันโกรธแค้นเมื่อซูหยางพลันปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าและแย่งฆ่า แถมยังเอาแก่นพลังสัตว์อสูรไปอีกด้วย
ซูหยางเพียงเหลือบมองพวกเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “พวกเจ้าคาดหวังจริงๆรึว่าผู้อื่นจะยืนมองดูเฉยๆเมื่อเห็นสิ่งมีค่าไร้เจ้าของอยู่ต่อหน้า นี่เป็นป่าเขา มิใช่สนามหลังบ้านเจ้าสักหน่อย อีกอย่างข้ามาที่นี่เพื่อความร่ำรวยของตัวข้าเฉกเช่นเดียวกับทุกคน ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อยืนดูผู้อื่นล่าสัตว์เหล่านี้”
ในดินแดนฃั้นสูงของยุทธภพที่ซึ่งบรรดาเทพเจ้าและเซียนต่างขาดทรัพยากรเพื่อพัฒนาตนเอง ซูหยางได้พบเจอและมีประสบการณ์ด้วยตนเองถึงความรุนแรงของการแข่งขันเพื่อทรัพยากรระหว่างเหล่าเทพเซียน
ยิ่งผู้ฝึกฝีมือมีระดับพลังฝีมือสูงมากขึ้นเท่าไร ความต้องการทรัพยากรล้ำค่าของพวกเขาเพื่อใช้เพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นเป็นไปตามการเติบโตและความกระหายอยาก สำหรับซูหยางผู้ที่ปรับตัวเข้ากับการดิ้นรนเช่นนั้น เขาไม่ได้พิจารณาว่าการกระทำของเขาเป็นการขโมยไร้ยางอาย
“อย่าตัดสินด้วยความเห็นของตนเอง นี่คือความเป็นจริงของยุทธภพที่แท้จริง” เขากล่าวกับพวกเขาก่อนหายไปราวกับภูติผี
ใช่แล้ว ในสายตาของคนโบราณเช่นซูหยางผู้ที่หลายครั้งต้องต่อสู้ถึงตายกับเหล่าเซียนเพียงเพื่อแค่โอกาสที่จะเพิ่มพลังการฝึกปรือของตนเองเพียงเล็กน้อย โลกของปุถุชนเช่นนี้ยังไม่มีโอกาสที่จะประสบกับโลกของผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ที่นี่ไม่มีการดิ้นรนหรือแข่งขันกันอย่างดุเดือดแท้จริงระหว่างผู้ฝึกปราณ ด้วยที่นี่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากพอที่จะแบ่งปันให้คนส่วนใหญ่
-
-
-
“อะไรวะ แจ้งนามเจ้ามาซิ เจ้าคิดบ้างไหมว่าพวกข้าอยู่สำนักไหน”
เหล่าบรรดาศิษย์พากันจ้องมองซูหยางด้วยท่าทางโกรธแค้นหลังจากที่เขาปรากฏตัวขึ้นโดยไร้วี่แววและแย่งเหยื่อไปรวมไปถึงรางวัลการล่า
ซูหยางเหลือบมองเหล่าศิษย์ที่เขาแย่งแมวสายฟ้ามาแล้วยักไหล่ “ข้ามิทราบและมิมีความสนใจ” เขาพูดกับพวกเขาและหายตัวไปยังที่อื่น
ภายในเวลานับเป็นชั่วโมง ซูหยางท่องเที่ยวไปทั่วพื้นที่ชั้นในของหุบเขาฟ้าคำรามราวกับกระแสลม และที่ไหนก็ตามที่เขาปรากฏกายก็จะมีแก่นพลังสัตว์อสูรเข้าไปในกระเป๋าของเขา ตามด้วยท่าทางโกรธแค้นของบรรดาผู้คนที่ถูกแย่งฆ่า
“เชี่ย ไอ้สารเลวไร้ยางอาย ข้าสาบานว่าถ้าข้าเจอเจ้าอีกครั้ง ข้าจะเหยียบเจ้าให้เละเหมือนลูกพรุน”
“แต่...แม้เขาจะหน้าด้านไร้ยางอาย เขาก็จัดการฆ่าแมวสายฟ้าโดยปราศจากความพยายามใดๆทั้งสิ้น...เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าต้องการสู้กับคนอย่างเขา”
“ข้า...หุบปากซะ”
อย่างรวดเร็ว ซูหยางกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในหุบเขาฟ้าคำรามฐานะหัวขโมยไร้ยางอาย ผู้ที่แย่งเหยื่อของผู้อื่น
“ผลลัพธ์ดีกว่าที่ข้าคาดไว้...” ซูหยางพูดเมื่อเขารู้สึกถึงถุงกระเป๋าที่ใช้บรรจุแก่นพลังสัตว์อสูร เขารู้สึกยินดีแกมประหลาดใจที่พบเห็นแมวสายฟ้าจำนวนมากวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในหุบเขาฟ้าคำรามนี้ เหมือนกับว่าสัตว์เพียงชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในหุบเขาฟ้าคำรามแห่งนี้คือแมวสายฟ้า
ปกติแล้วพงไพรเช่นหุบเขาฟ้าคำรามควรมีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดอาศัยอยู่ แต่จากที่ซูหยางได้พบเจอล้วนมีแต่แมวสายฟ้า
“ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ...” ซูหยางหยุดการเคลื่อนที่และเริ่มคิด
หลังจากคิดชั่วขณะ เขาพลันวิ่งเข้าไปลึกในหุบเขาฟ้าคำรามไม่สนใจแม้กระทั่งแมวสายฟ้าที่มีแก่นพลังสัตว์อสูรที่อยู่รอบข้าง
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะถึงใจกลางของหุบเขาฟ้าคำราม ใจฟ้าคำราม เขาถูกยั้งไว้ด้วยกลุ่มคนจำนวนมากที่ขวางกั้นทางเดิน
ผู้คนเหล่านี้ล้วนสวมชุดสองส่วนที่มีรูปดาบสีทองปักอยู่บนขาขวา พวกเขามีจำนวนร่วมร้อยคนยืนเรียงรายอยู่บริเวณนี้
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่” ซูหยางถามหนึ่งในพวกเขา
“ที่แห่งนี้ปัจจุบันถูกจับจองโดยนิกายดาบศักดิ์ศิทธิ์ จงหันกายกลับไปในทันที”
เมื่อซูหยางได้ยินว่าพวกเขาขึ้นกับนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เขาอดที่จะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่ได้
เป็นที่แน่ชัดว่าผู้อาวุโสจงเดินทางไปยังสถานที่อื่นเมื่อพวกเขาแยกทางกัน แล้วเหตุใดบรรดาคนเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่ท่ามกลางหุบเขาฟ้าคำราม
พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ที่เขตคัมภีร์วิญญาณยกเว้นบางคนที่อยู่เขตสัมมาวิญญาณ ถือว่าเป็นกองกำลังขนาดมหึมา ยิ่งในหุบเขาฟ้าคำรามแห่งนี้ที่เหล่าสัตว์ป่ายังอยู่ในเขตปฐมวิญญาณ มันเกินความจำเป็น
อย่างไรก็ตามด้วยผู้เชี่ยวชาญเขตคัมภีร์วิญญาณจำนวนมาก แมวสายฟ้าที่มีอยู่มากมายควรถูกกวาดล้างสิ้น แต่พวกมันยังมีมากมายหลายตัวที่เพ่นพ่านไปทั่ว ดังนั้นย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อแมวสายฟ้าแต่เป็นอย่างอื่น
“ถ้าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อแมวสายฟ้า เช่นนั้นพวกเขาต้องมาที่นี่เพราะสิ่งนั้น” ซูหยางยิ้มกับตนเอง
เมื่อศิษย์นิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เห็นซูหยางยิ้ม เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้ายิ้มทำเชี่ยอะไรวะ ไสหัวไป” เขาคำรามเสียงต่ำและหงุดหงิด
“ไสหัวไป หือ...” ซูหยางหยิบป้ายหยกสีเหลืองขึ้นมาจากชุดยาวแสดงให้ศิษย์นิกายโดยไม่ใส่ใจ เขาพลันกรีดร้องด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงหลังจากเห็นป้ายหยก เป็นเหตุให้ทุกคนแถวนั้นต่างพากันหันมามองเขา
“ข..ข..ข้าขออภัยเป็นอย่างยิ่ง” ศิษย์นิกายพลันคุกเข่าโขกศีรษะเคารพซูหยางด้วยใบหน้าซีดเผือด “ศิษย์ผู้น้อยต่ำต้อยผู้นี้มีตาแต่หารู้จักเขาสูง”
สถานที่พลันกลายเป็นเงียบสงัดจนกระทั่งได้ยินเสียงใบไม้ร่วงลงสู่พื้น