บทที่ 34 โดดหรือไม่โดด?
บทที่ 34 โดดหรือไม่โดด?
อันที่จริงการที่ผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้ล่าถอยเข้ามาในตึกนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เหตุผลที่เลือกที่นี่ก็คงจะเหมือนกับของหลิงม่อ อย่างแรกคืออาคารหลังนี้อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ที่สุด รองลงมาคือสภาพภูมิศาสตร์ของที่นี่ดีที่สุด ด้านหนึ่งเป็นลำธารเทียม อีกด้านหนึ่งเป็นลานน้ำพุ แล้วก็มีระยะห่างระหว่างอาคารโดยรอบอยู่ระดับหนึ่ง ทีนี้ก็ไม่มีทางที่จะตกอยู่ในวงล้อม อีกทั้งยังมีเส้นทางหลบหนีหลายเส้นทาง
คนกลุ่มนี้คงวางแผนที่จะใช้อาคารนี้ในการถ่วงเวลาสักพัก จากนั้นค่อยฉวยโอกาสวิ่งหนีไปอีกด้านหนึ่งละมั้ง
แต่คนกลุ่มนี้เพิ่งจะขึ้นมาบนชั้นสองไม่ทันไร บริเวณชั้นล่างก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น เห็นได้ชัดว่าประตูใหญ่ถูกพังเปิดออกเรียบร้อยแล้ว ความเคลื่อนไหวและเสียงฝีเท้าของพวกเขาก็ล่อพวกซอมบี้ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในตึกออกมาทันที เสียงฆ่าฟันและเสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วอยู่พักหนึ่ง มีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่เกิดเสียงชนและกระแทกประตูห้องพักที่พวกหลิงม่ออยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นซอมบี้หรือคนที่ชนประตู
หลิงม่อเดินย่องไปที่ประตู แล้วมองออกไปข้างนอกห้องผ่านทางตาแมวประตู เขาเห็นคนกลุ่มนี้ถอยหนีเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่งที่อยู่เยื้องกันแล้ว แถมยังล็อกประตูอย่างรวดเร็ว ส่วนซอมบี้ฝูงใหญ่ก็เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ที่ระเบียงทางเดินและชนกระแทกประตูห้องอย่างคลุ้มคลั่ง เมื่อได้ยินเสียงฉีกทึ้งและเสียงบดเคี้ยวระคนปนเปกัน หลิงม่อก็เดาว่าจะต้องเกิดการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พวกเขาแน่นอน นอกจากนี้ในตอนนี้บริเวณระเบียงทางเดินคงเต็มไปด้วยซากซอมบี้
การล่าถอยเข้ามาในห้องนั้นไม่อาจยับยั้งฝูงซอมบี้ได้ คนพวกนั้นคงวางแผนที่จะกระโดดตึกหนีตายกัน ซึ่งนี่เป็นวิธีที่ดีทีเดียว ล่อให้พวกซอมบี้ตามมาที่บันได จากนั้นค่อยกระโดดตึกออกไปจากที่นี่ ถึงแม้จะไม่สามารถสลัดพวกซอมบี้ได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วงชิงเวลาหลบหนีไปได้
ที่จริงแล้วการกระโดดลงจากชั้นสองเป็นอะไรที่อันตรายมาก แต่หลิงม่อรู้ว่าบริเวณรอบตึกด้านนอกเป็นสนามหญ้าทั้งหมด ตราบใดที่ไม่ได้โชคร้ายสุดๆ ก็คงไม่ถึงกับล้มขาแข้งหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ จะไปคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ง่ายๆ ที่ไหนกันล่ะ สามารถคิดหาวิธีโดยใช้ตึกให้เป็นประโยชน์ได้ ก็นับว่าดีกว่าคนที่เอาแต่ลนลานวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมากแล้ว
“เอายังไงดีครับ พี่หลิง เราต้องช่วยพวกเขาไหม” เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังลอยมาจากด้านนอกประตู หลิวอวี่หาวก็เดินเข้าไปหาหลิงม่อด้วยสีหน้ากังวล แล้วเอ่ยถามเสียงเบา
หลิงม่อเหลือบมองเขาทีหนึ่งและตอบว่า “ข้างนอกมีซอมบี้อยู่อย่างน้อยๆ สามสิบกว่าตัว ทันทีที่เปิดประตู พวกเราก็จะถูกอัดแน่นตายอยู่ที่นี่ แล้วจะไปช่วยได้ยังไง”
หลิวอวี่หาวพูดไม่ออกทันที ส่วนหลิงม่อแอบส่ายหัวอยู่ในใจ ลักษณะนิสัยเช่นนี้ของเขา หากพูดในเชิงบวกคือจิตใจดี หากพูดในเชิงลบคือยุ่งเรื่องคนอื่นโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา นอกจากนี้นิสัยนี้คงจะแก้ไม่ได้ภายในวันเดียว...
ทว่า เมื่อได้ยินเสียงซอมบี้ที่อยู่ด้านนอกเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีซอมบี้มาชนกระแทกประตูห้องของตัวเอง สีหน้าของหลิงม่อก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “พวกเราเองก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ไปกันเถอะ”
การที่พวกซอมบี้ชนกระแทกประตูห้องนั้น อาจจะไม่ใช่เพราะพวกมันค้นพบร่องรอยของพวกหลิงม่อ แต่เป็นเพราะเป้าหมายหายไปชั่วขณะ แล้วก็เป็นปฏิกิริยาที่แสดงออกมาเมื่อถูกกลิ่นคาวเลือดกระตุ้นจนคลุ้มคลั่งสุดขีด นอกจากนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะประตูห้องหลิงม่อเท่านั้น ประตูห้องอื่นก็ถูกชนกระแทกด้วยเหมือนกัน
หวังเฉิงตกใจนิ่งงันกับเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วตอนนี้จิตใต้สำนึกก็สั่งให้เขาถามขึ้นมาว่า “ไปทางไหนเหรอ”
“โดดตึก!”
ถึงแม้หลิงม่อจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางหลับหูหลับตากระโดดโดยที่ไม่แน่ใจ ถ้าเกิดแข้งขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ทีนี้พวกเขาคงต้องนั่งรอความตายกันจริงๆ โชคดีที่เมื่อคืนเขาเอาเฟอร์นิเจอร์ขวางประตูเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้ประตูห้องจะถูกชนเสียงดัง “ปังๆ” ไม่หยุด แต่ก็ยังไม่ถูกพังเปิดออก ถึงกระนั้นก็ตามพวกหลิงม่อเองก็มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว
หลิงม่อรีบค้นหาเชือกปีนเขาที่อยู่ในกระเป๋าเป้ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาหาเจอที่ร้านขายอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมกลางแจ้งร้านหนึ่ง เดิมทีเขาตั้งใจจะใช้ในยามอับจนหนทาง แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้งานเร็วขนาดนี้
หลังจากผูกปมเชือกและจัดแจงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลิงม่อก็ควบคุมเย่เลี่ยนและซย่าน่าให้ปีนเชือกลงไปก่อน ชั้นสองอยู่ไม่สูงจากพื้นนัก แถมด้านนอกหน้าต่างยังมีเครื่องคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ใช้ยันตัวลงมาได้ บวกกับซอมบี้สาวสองตัวนี้คล่องแคล่วปราดเปรียวกว่าคนทั่วไปมาก ดังนั้นเพียงไม่นานพวกเธอก็ปีนลงมาถึงพื้น อีกทั้งเริ่มจัดการเก็บกวาดซอมบี้แถวนั้นให้พวกหลิงม่อทันที
แม้ว่าหลิวอวี่หาวจะตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด แต่เขาก็ยืนกรานไม่ยอมลงไปก่อน หลังจากพูดเร่งหลิวอวี่หาวสองครั้ง สุดท้ายหลิงม่อก็ปีนเชือกโดดลงบนเครื่องคอมเพรสเซอร์แอร์ จากนั้นก็ใช้เท้ายันตัวปีนลงมาต่อ แล้วเมื่ออยู่สูงจากพื้นเมตรกว่าๆ เขาก็ปล่อยเชือกกระโดดลงมา
จากนั้นหวังเฉิงก็ตามมาติดๆ แต่ตอนที่หลิวอวี่หาวกระโดดลงมาเป็นคนสุดท้าย ประตูห้องได้ถูกซอมบี้พังเปิดออกแล้ว ซอมบี้หลายตัวพุ่งมาที่หน้าต่างทันที แถมยังกระโดดตามลงมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่พวกซอมบี้รู้จักใช้เชือกกันซะที่ไหน พอกระโดดลงมา พวกมันก็พากันหกล้มหน้าคะมำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าหลิงม่อและเย่เลี่ยนไม่ปล่อยให้พวกมันได้มีโอกาสลุกขึ้นยืน แล้วมีดยาวของซย่าน่าก็ไม่ใช่มีดมังสวิรัติ ทว่าหลังจากลงมือ สองตาของเธอก็เริ่มแดงก่ำ หลิงม่อเห็นแล้วก็ชาวูบที่หนังศีรษะทันที และรีบเพิ่มขีดการควบคุมเธอให้มากขึ้น ไม่ปล่อยให้เธอลงมือต่ออีก
“หนีเร็ว”
เพียงพริบตาเดียวบนพื้นก็มีซากซอมบี้เพิ่มขึ้นมากมายหลายตัว จินตนาการออกได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องดึงดูดพวกซอมบี้มาเป็นโขยงแน่นอน หลิงม่อจึงรีบพาพวกเย่เลี่ยนวิ่งตะบึงไปที่ประตูข้างของย่านชุมชนทันที สาเหตุที่ไม่ไปที่ประตูหน้าเป็นเพราะตอนนี้ก็มีซอมบี้อยู่ที่ประตูหน้าไม่น้อยเช่นกัน แถมยังล้วนเป็นซอมบี้ที่ติดตามคนกลุ่มนั้นมา
นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะวิ่งเลียบอาคารที่พักหลังนี้มายังถนนด้านหลัง ก็มาบังเอิญเจอเข้ากับผู้รอดชีวิตกลุ่มนั้น!
คนพวกนี้กระโดดลงมาจากอีกด้านของตึก แล้วจะวิ่งหนีไปทางประตูข้างเหมือนกัน
พอเห็นคนกลุ่มนี้ หลิงม่อก็เกิดอาการเซ็งสุดขีดทันที เมื่อมีพวกเขาเป็นเป้าความสนใจใหญ่ขนาดนี้ ฝูงซอมบี้จะต้องวิ่งตามมาอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตามในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีคนลดน้อยลงไปสามสี่คน...
“พวกนาย...” หนึ่งในเด็กหนุ่มวิ่งอยู่ด้านหน้าสุดพูด เขาคงเป็นคนเปิดทาง ดังนั้นพอเห็นพวกหลิงม่อ เขาก็ร้องตกใจออกมาทันที พวกเขาเองก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่ในย่านชุมชนแห่งนี้ แถมยัง “บังเอิญ” มาเจอกับพวกเขาเสียด้วย
หลิงม่อค้อนตาเหลือก การฉวยโอกาสรีบวิ่งหนีขณะที่คนกลุ่มนี้วิ่งอยู่รั้งท้ายถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาใช้วิธีอะไร ซอมบี้พวกนั้นถึงได้ไม่ปรากฏตัวขึ้นอยู่พักหนึ่ง หลังจากหลิงม่อพาพวกเย่เลี่ยนวิ่งตะบึงออกมาจากย่านชุมชนแล้ว เขาถึงค่อยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของซอมบี้ดังแว่วมาไกลๆ
“นี่!” นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนก่อนหน้านี้จะยังคงวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ เขาตะโกนเรียกพวกหลิงม่อเอาไว้พลางหอบหายใจ
ด้วยความที่ถูกบีบให้ต้องทิ้งที่พักตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ สีหน้าของหลิงม่อจึงดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร น้ำเสียงก็ฟังดูไม่พอใจเล็กน้อย “มีอะไร”
“คือว่า...” เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้โง่ทึ่ม เขาเอ่ยปากขอโทษขอโพยทันที “ขอโทษด้วยนะ เราไม่รู้ว่าพวกนายอยู่ที่นี่ ทำให้พวกนายต้องเดือดร้อนเสียแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดคุยกัน อยากจะกลับไปที่แคมป์กับพวกเราไหม”
แคมป์? คนกลุ่มนี้มีแคมป์ด้วยเหรอเนี่ย?
หลิงม่อแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที เดิมทีเขาอยากจะเอ่ยปฏิเสธ แต่แล้วกลับเหลือบไปเห็นหลิวอวี่หาวที่อยู่ข้างหลัง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากไปแคมป์ผู้รอดชีวิตอะไรนั่น แล้วเจ้าหวังเฉิงจะเป็นหรือตาย เขาเองก็ไม่สนใจ แต่หลิวอวี่หาวคนนี้ทำให้เขารู้สึกประทับใจมาก ทว่าด้วยนิสัยของเขาทำให้หลิงม่อไม่อาจให้เขาอยู่ข้างกายได้ ทางออกที่ดีที่สุดคือหาหลักแหล่งที่ดีให้กับหลิวอวี่หาว
..........................................................................................................................................................