ตอนที่แล้วตอนที่ 49: เผ่าพันธุ์ดิงกี้บ็อกกี้
ทั้งหมดรายชื่อตอน

ตอนที่ 50: สิ่งที่ต้องการขโมย


ตอนที่ 50: สิ่งที่ต้องการขโมย

 

เบื้องหน้าของเฮเซคียาห์คือเสนาบดีระดับสูงคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ดิงกี้บ็อกกี้ เผ่าพันธุ์นี้บังเอิญมีลักษณะทางกายภาพเหมือนกับสุนัขบนโลก แต่มีสติปัญญาระดับสูง มีขาหน้าซึ่งพัฒนาการไปจนตรงส่วนปลายประกอบด้วยนิ้วยาวปุกปุยไว้ใช้หยิบจับของได้ไม่ต่างจากมนุษย์ นอกจากนี้กล่องเสียงและช่องปากยังผ่านการวิวัฒนาการโดยธรรมชาติเพื่อให้เหมาะกับการพูดออกมาเป็นภาษา

“เหอะ เหอะๆ เหอะ...” เฮเซคียาห์หัวเราะตะกุกตะกักเฝื่อนๆ มองที่ตัวของเสนาบดีในชุดทหารสีเขียวแก่

อีกฝ่ายมีส่วนสูงแค่ระดับหน้าอกของเขา ความสูงนี้ดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งแรกเมื่อทั้งสองได้พบกัน

“โอ้! ผมดีใจที่ท่านไม่หัวเสียและพยายามฆ่าผม ผมจำได้ดี ปีนั้นชีวิตช่างยุ่งยาก เพชฆาตหนุ่มๆ ชาวมัสตินพยายามเอาชีวิตหลายครั้ง ผมคิดมาตลอดว่าท่านจะฆ่าผมเสียให้ได้ ถ้าเรามาเจอกันอีก” เสนาบดีแลบลิ้นออกมาเลียรอบปาก และตวัดขึ้นไปจนถึงจมูก ก่อนจะอ้าปากปล่อยให้ลิ้นทิ้งตัวลงสบายๆ ปลายลิ้นแลบออกมานอกริมฝีปาก เสียงหอบแฮ่กๆๆ ฟังแล้วน่ารำคาญในความรู้สึกของเฮเซคียาห์

“ท่านพริสคงเกริ่นเรื่องให้ฟังไปบ้างแล้ว ทางเราต้องการเข้าไปในเขตหวงห้ามของเผ่าพันธุ์มัสติน และจะดีมากถ้าหากพวกท่านร่วมมือกับพวกเรา” อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทีเหมือนหอบหน่อยๆ

เฮเซคียาห์มองขนสีส้มๆ เหลืองๆ ที่มีขนสีขาวขึ้นแซมเป็นลายน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย

“ฉันยังจำเรื่องเมื่อร้อยปีก่อน ตอนนั้นแกก็ตัว...”

“ตัวเล็กเท่านี้ใช่ไหมครับ ใช่แล้วครับ ผมสูงได้เท่านี้” สุนัขยืนบนสองขาตัวกระจ้อยเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพ หูลู่ไปทางด้านหลัง ดวงตาหลมโตจ้องมองเฮเซคียาห์ “ท่านจำช่วงเวลาที่เกิดเหตุได้แม่นยำ ดูท่าว่าเรื่องที่ผมทำไปคงทำให้ท่านไม่ชอบเหลือเกิน ขออภัยเถอะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ก็อย่างที่ท่านเห็น ผมระบบขับถ่ายไม่ค่อยดีสักเท่าไร”

“โอ๊ย! คอร์กัส พี่คีห์โตป่านนี้แล้ว เขาไม่ถือสาเรื่องในวัยเด็กพรรค์นั้นอีกแล้วล่ะ” พริสเซล่ายิ้มแย้ม เธอโน้มกายไปข้างหน้า น้อมกายลงไปและวางมือจับหัวเข่าทั้งสองข้างเพื่อพยุงตัว ใบหน้าของเธออยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของคอร์กัส แล้วเธอก็ยื่นมือไปลูบหัวของมัน

คอร์กัสมีสีหน้าเคลิ้มไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนสุนัขเชื่องๆ ไม่มีพิษไม่มีภัย

แต่ว่า...

“มันน่ะร้ายกว่าอะไรทั้งนั้น เพชฆาตชาวมัสตินแต่ละคน ถูกส่งกลับมาในสภาพลูกบอลเนื้อ กว่าจะฟื้นตัวต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน เพราะแบบนั้นถึงได้ส่งคนไปเรื่อยๆ เพราะแกกล้าทำร้ายชาวมัสติน” เฮเซคียาห์พูดเสียงรอดไรฟัน เขาเชื่อในความชั่วร้ายของคอร์กัส ไม่เชื่อในภายนอกที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู

“ผมแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเองครับ มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่อยากตาย” คอร์กัสกะพริบตาปริบๆ แล้วเลียปากอีกหน

“เอาน่าๆ เรื่องราวก็ผ่านมานานแล้ว เรื่องสมัยเด็กๆ เราอย่าไปพูดถึงมันดีกว่า” พริเซล่าหันหน้าเข้าหาพี่ชาย

เธอยิ้มหวานให้อย่างประจบประแจง แล้วหมุนกายไปยืนด้านข้าง กอดแขนของเขาที่ก้มหน้าลงไปมองหน้างาม

“เข้าไปในที่พักชั่วคราวของคอร์กัสสิคะ เขามีคุกกี้อร่อยมาก ให้เขาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเรื่องแอบเข้าไปในแล็บร้าง น้องรู้แค่ว่าเขาต้องการบางอย่าง แต่ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร คอร์กัสอยากบอกกับท่านพี่เอง” เธอออกแรงรั้งเขาให้ไปยังเห็ดยักษ์ที่ตรงส่วนโคนด้านหน้ามีประตูสีขาว

“คุกกี้เหรอ น้องแน่ใจนะ ว่าไม่ใช่ขนมหมา” ชายหนุ่มพูดเยาะๆ

“ไม่ใช่ครับ เป็นคุกกี้ ผมอบเอง”

“อบเอง?” เขาเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อหู มองมืออวบๆ นิ้วกลมๆ ของคอร์กัส

ไอ้ดวงตาสีดำดูออดอ้อน นั่นมันอะไร!!! แล้วอาการส่ายตัวไปมาอย่างน่าประหลาดของมันอีก ทำไมมันเริ่มน่ารักขึ้นมา

“ฮึ๊ย! ก็ได้ หยุดมองด้วยสายตาแบบนั้นเสียทีเหอะ ฉันสะอิดสะเอียน” เฮเซคียาห์แสร้งทำท่าขนลุก และออกเท้าเดินไปยังที่พักรูปเห็ด เป็นผลให้พริเซล่าที่รออยู่แล้วว่าจะได้ลากเขาเดินไปด้วยกัน รีบออกแรงเบาๆ กึ่งลากกึ่งจูงเขาไปยังบ้านพักของคอร์กัส ส่วนคอร์กัสก็เดินสองขา กึ่งวิ่งสี่ขา ตรงไปเปิดประตูที่พักไว้ให้ก่อน

ด้านในโคนเห็ด เป็นห้องสีขาวที่ปูด้วยผ้ากำมะหยีนุ่มๆ สีแดง ด้านหนึ่งมีที่นอนสำหรับสุนัขอยู่ และถัดไปมีเตาไฟฟ้าแบบสังเคราะห์พลังงานเองได้จากฝุ่นขนาดความสูงเหมาะสำหรับคอร์กัสใช้งาน ถัดจากเตามีเก้าอี้เล็กๆ ทรงกลมไม่มีพนัก แต่พริเซล่าเลือกจะนั่งบนพื้น

“มาสิคะ นั่งกัน” เธอตบบนพื้นแปะๆ

เฮเซคียาห์ปั้นหน้าดุ จ้องมองคอร์กัสไม่วางตา ก่อนจะค่อยๆ หย่อนกายลงนั่ง

“เดี๋ยวผมรินชาให้นะครับ” คอร์กัสกุลีกุจรต้อนรับแขก จัดหาคุกกี้มาให้ด้วย

“อบเองอย่างนั้นเหรอ หมากินช็อกโกแลตไม่ได้ไม่ใช่หรือไง” เฮเซคียาห์ยกคุกกี้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาดมดู แล้วจ้องเขม็งไปที่คอร์กัสที่ดูมีท่าทีอึดอัดอยู่ไม่น้อย

“ผมเป็นชาวดิงกี้บ็อกกี้นะครับ ไม่ใช่สุนัขบนโลก”

“อ้อ! นั่นสินะ เคยได้ยินเหมือนกัน ว่าไม่ใช่ว่าดูคล้ายๆ แล้วจะเหมือนกันทุกอย่าง” ชายหนุ่มหรี่ตาอย่างเหยียดๆ แต่ยอมเอาคุกกี้เข้าปาก รสชาติของเนยและน้ำตาลเข้ากันอย่างดีกับตัวแป้ง ทำให้เขาหยิบอีกชิ้นขึ้นมากัดอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปเลือกหยิบเอาคุกกี้หน้าตาต่างออกไปจากเดิมมาลองเป็นลำดับต่อไป

“ผมดีใจที่ท่านเริ่มติดใจ” คอร์กัสแสดงความกล้า ทักกิริยาอาการของอดีตเจ้าชาย

“หุบปากน่า!” คนถูกทักเคี้ยวตุ้ยๆ หงุดหงิดนิดหน่อย

แต่เขาไม่ต่อต้านคำพูดของคอร์กัส หรือปฏิเสธของว่าง เขาจัดการทั้งคุกกี้และน้ำชาต่อ

“มาพูดในเรื่องที่เป็นธุระระหว่างเรานะครับ ก่อนอื่นโปรดดูนี่ให้ดีนะครับ” ดิงกี้บ็อกกี้ใช้อุ้งเท้าของเขาตบลงไปบนพื้นเบาๆ สองที

ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องมืดลง หน้าต่างที่สามารถมองผ่านกระจกออกไปด้านนอกได้กลายเป็นสีดำขึ้นมาเฉยๆ แต่คนในห้องยังสามารถเห็นคนอื่นๆ ได้ เพราะมีแสงสว่างส่องมาจากโคนเห็ดอันเล็กซึ่งโผล่ออกมาจากพื้น แต่เฮเซคียาห์เข้าใจดีว่าเห็ดนี้ไม่ใช่เห็ด มันเป็นแผงควบคุมรูปร่างหน้าตาคล้ายเห็ด

“นายชอบเห็ดเหรอ?” เขาพึมพำกับคอร์กัส

“เห็ดอร่อยครับ งานอดิเรกที่ดาวบ้านเกิดของผมคือการขุดหาเห็ด พอได้มาเยอะๆ ก็เอามาทำกับข้าวแบ่งกับ9y;อื่น อร่อยๆ” คอร์กัสแลบลิ้นเลียรอบปากอีกครั้ง และน้ำลายไหลสอออกมา แต่อีกฝ่ายเร็วพอก่อนถูกทัก รีบสูดน้ำลายกลับเข้าปาก

“ฮิๆ” พริเซล่าหัวเราะเบาๆ

“อย่าฉี่นะว้อย” เฮเซคียาห์ดักไว้ก่อน เขารู้ว่าคอร์กัสเคยทำให้เกิดความวุ่นวายในหลายที่ มันเคยชิ้งฉ่องใส่สระน้ำที่บ้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของชาวมัสตินคนหนึ่งมาแล้ว

อ้อ! คงมีน้อยคนจะรู้ แต่ปัสสาวะของชาวดิงกี้บ็อกกี้นั้นมีความเหม็นอย่างมาก และโดนเข้าไปแล้วต้องใช้เวลานับเดือนกว่ากลิ่นจะหายไปจากตัว นั่นเพราะชาวดิงกี้บ็อกกี้ต้องการกลิ่นของพวกเขาเอง เป็นสัญลักษณ์นำทางกลับบ้านในการเดินทางไกล

ชาวดิงกี้บ็อกกี้ส่วนใหญ่มีปัญหากับการนั่งยานเพื่อสัญจร พวกเขาอาเจียน ดังนั้นที่ลีฟวิ่งแลนด์ของพวกเขา พวกเขามักเดินทางไปไหนมาไหนด้วยสุนัขบนดาว ซึ่งสุนัขของพวกเขามีสภาพคล้ายสุนัขจริงๆ บนโลก แต่มีขนาดใหญ่โตเท่ากับม้า ซึ่งสติปัญญาของพวกมันด้อยกว่าชาวดิงกี้บ็อกกี้มาก ไม่สามารถพูดเป็นภาษาได้

“ผมใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอยู่นะครับ โปรดวางใจเถอะ”

 

“เอาละ รีบๆ เล่ามาได้แล้ว” เฮเซคียาห์อึดอัดที่จะอยู่ในบ้านพักทรงเห็ด เขาได้กลิ่นสาบสัตว์ มันคงเป็นกลิ่นของคอร์กัส และยังกลิ่นเหียนๆ ที่เขาไม่อยากนึกระบุเลยว่ามันเป็นกลิ่นอะไร มันทำให้เขาเริ่มคลื่นเหียนขึ้นมา

“ก็คือเรากำลังเดินทางไปที่เขตการปกครอง 6 โดยจากที่นี่ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน”

“ช้าชะมัด นี่คือพวกนายไม่ใช้ยานใช่ไหม” เขานิ่วหน้า นึกอยากปฏิเสธเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเห็นชัดเจนว่าพวกเขาต้องเหนื่อยมากกับการเดินทาง

“ครับ แต่การเดินทางของพวกเราคงไปเร็วละครับ เราตั้งใจเลือกใช้สัตว์หลายแบบมาเป็นพาหนะให้”

“แล้วจะเข้าไปในเขตการปกครอง 6 ได้ยังไง ที่นั่นมีสารพิษปนเปื้อนสูงในอากาศ ถ้าไม่ใช่คนที่เติบโตมาที่นั่น หรือพวกมัสติน ไม่สามารถรอดได้แน่”

“พอดีผมได้เลือดจากไขสันหลังของท่านมา เอามาตอนสลบนั่นแหละ แล้วผมสกัดยาตามสูตรที่น่าจะทำให้เราคงกะพันต้านพิษได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่งครับ”

“ห๊า! เอาเลือดฉันไป” คนถูกขโมยเลือดหน้ากริ้ว แอบไม่พอใจ “หัวขโมยเอ้ย!”

“ขอโทษจริงๆ ครับ” คอร์กัสน้อมตัวลงมา เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นการยืนสี่ขา แล้วเขาก็เหยียดขาหน้าออก และยืดกายขึ้น ลดกายลง สลับไปมา เป็นการแสดงความขอโทษจากใจ “ผมขอเลือกคุณมาทำแบบนี้แค่หนนี้เท่านั้นแหละ มันจำเป็นสำหรับเราจริงๆ บอกตรงๆ ตอนที่รู้ว่าพวกคุณหนีมาทางเรา เราดีใจกันมาก นี่มันนอกแผนแต่ก็เยี่ยมยอดไปเลย”

“พวกเขารู้เหตุการณ์ผ่านช่องโทรทัศน์ที่จัดโดยกลุ่มคนของพวกเขา แล้วเจอพวกเราตอนที่น้องกำลังอาบน้ำเพลินๆ อยู่” พริสเซล่าพูดขึ้น ยกมือขึ้นไปลูบบนศีรษะของคอร์กัส ฝ่ายนั้นที่ยังไม่กลับไปอยู่ในท่านั่ง เอียงคอให้พริสเซล่า แถมยังกระดิกหางที่เป็นพู่เล็กๆ ไปมาอีกด้วย แต่เนื่องจากตัวเล็ก การกระดิกหางก็เท่ากับการส่ายตูด ส่ายสะโพกดีๆ นี่เอง

“แล้วเจ้าโบโบ้ของเธอล่ะ ดูเห่อนี่” เฮเซคียาห์สัพยอกน้องสาว

“โบโบ้ก็เอามาด้วย แต่มีคนเอาไปเลี้ยงให้อยู่”

“ทรมานสัตว์” คนพี่นึกถึงปลาว่ายในหยดน้ำซึ่งลอยตัวอยู่ในอากาศ

จริงๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พริเซล่าทำแบบนี้ เธอเคยเลี้ยงปลาทองในอากาศมาก่อน ตอนนั้นเลี้ยงอยู่หลายปี จนปลาทองถึงอายุไขไปเอง ซึ่งในความรู้สึกของเขา เขาไม่ชอบเลยที่จะเห็นปากอ้าปากพะงาบๆ ในน้ำ ว่ายไป ว่ายมา ในอากาศ

“ว่าแต่ จะให้ไปขโมยอะไรในเขตนั้น แล้วช่างกล้านะ ให้เราไปขโมยของของเราเอง” เขาปรับสีหน้าให้เป็นงานเป็นการ ก่อนจะรับงาน เขาอยากตรวจสอบรายละเอียดให้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปจะไม่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับเผ่าพันธุ์มัสติน และเผ่าพันธุ์อื่นในสหพันธ์อวกาศ

พวกดิงกี้บ็อกกี้เชี่ยวชาญการผลิตอาวุธ พวกเขาอาจกำลังวางแผนที่จะก่อสงครามด้วยของบางอย่างที่ถูกเก็บลืมไว้ในเขตการปกครองที่ 6

“สิ่งที่เราต้องการขโมย คือ บันทึกรหัสพันธุกรรมของเซอร์เบอรัส

“แค่นั้นเองเหรอ” สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ดูไม่ได้สลักสำคัญ “นั่นเป็นของที่ทางดิงกี้บ็อกกี้มอบให้กับมัสติน เป็นของขวัญของการร่วมมือกันระหว่างสหพันธ์อวกาศนี่ ผ่านมาจากตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ มันนานนับพันปีมาแล้วนะ”

“ใช่! แต่เราอยากได้คืน” คอร์กัสมีท่าทีกระวนกระวายพิกล หูตกลู่ และหายใจถี่ๆ คล้ายกำลังหวาดระแวง “เรารับรู้ได้ว่าภัยใหญ่กำลังใกล้เข้ามา แต่เซอร์เบอรัสล้มหายตายจากไปหมดเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้เราต้องการสักตัว ที่จะช่วยเราเอาไว้จากหายนะ”

เฮเซคียาห์กะพริบตาปริบๆ เขาไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเซอร์เบอรัสนัก รู้แค่ว่าตอนที่มันมีชีวิตเมื่อนับพันปีก่อน พวกมันเป็นเหมือนเทพที่เหล่าดิงกี้บ็อกกี้รักใคร่ และเชิดชู ตามตำนานของพวกดิงกี้บ็อกกี้ เซอร์เบอรัสทำงานร่วมกับตัวอื่นเพื่อช่วยปกป้องชาวดิงกี้บ็อกกี้ให้ปลอดภัย

“ภัยใหญ่? มันคืออะไร” เฮเซคียาห์อยากได้ความกระจ่าง

“เราก็ไม่รู้ แต่เรารับรู้ถึงมันได้โดยสัญชาตญาณ เรื่องชั่วร้ายบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้” คอร์กัสย่นส่วนคอของเขา เสียงหงิงๆ ดังจากคอ หางของหมาน้อยลู่ หูตก ดูจากท่าทาง มันกำลังหวาดกลัวบางอย่างอยู่จริงๆ

 

 

สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ Fictionlog

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด