DC บทที่ 48: ก้าวเก้าดารา
(ผู้แปล.เปลี่ยนจากหุบเขาสายฟ้าเป็นหุบเขาฟ้าคำราม)
.
ด้านนอกหุบเขาฟ้าคำรามก่อนที่จะเข้าไปในดงไม้สุดสายตานั้นมีผู้คนหลายสิบคนตั้งแคมป์อยู่ ส่วนใหญ่แล้วมีอาการบาดเจ็บบางคนถึงขั้นเสียอวัยวะ พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของสำนักบางสำนักและทหารรับจ้าง
ทุกคนที่นี่ล้วนมีจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือล่าแมวสายฟ้าเพื่อเอาแก่นพลังสัตว์อสูรซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าล้ำลึกที่ผู้ฝึกปราณใช้สำหรับฝึกฝนตนอเอง
แก่นพลังสัตว์อสูรเป็นสิ่งที่สัตว์ร้ายใช้ฝึกปราณและเก็บพลังปราณไว้ ถ้าหากสัตว์ร้ายที่มีพลังการฝึกปรือแก่กล้าเหล่านี้ตาย ก็จะมีโอกาสที่จะทิ้งแก่นพลังสัตว์อสูรที่มีพลังปราณหลงเหลือไว้ภายในซึ่งผู้ฝึกปราณสามารถใช้ในการฝึกฝีมือได้
แก่นพลังสัตว์อสูรสามารถใช้เพื่อสร้างอาวุธทรงอำนาจที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้อย่างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นที่ต้องการและมีค่ามาก
ซูหยางเดินไปยังทางเข้าหุบเขาฟ้าคำรามที่มีเสียงสายฟ้าฟาดอยู่เบื้องหลังอย่างสบายๆ
เมื่อเขาเดินไปถึงแคมป์ ผู้คนที่นั่นเริ่มพากันมองเขาด้วยสามตาแปลกประหลาด
“เข้าไปคนเดียวเลยรึ นี่คิดจะฆ่าตัวตายใช่ไหม”
“เขาต้องมีความมั่นใจจริงๆ”
“ข้าให้เวลาเขาสองชั่วโมงก่อนที่เขาจะกลับมาด้วยน้ำตานองหน้า...”
“ข้าขอพนันกับเจ้าว่าเขาจะไม่กลับมา...ตลอดกาล”
ผู้คนสองสามคนที่นั่นหัวเราะเยาะซูหยางที่กำลังเดินไปยังหุบเขาฟ้าคำรามโดยไม่มีท่าทางระมัดระวังตัวแต่อย่างใด พวกเขาเคยเห็นหลายคนที่มีความมั่นใจเกินตัวเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนซูหยาง ซึ่งล้วนกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บร้ายแรงหลังจากอยู่ที่นี่หลายวัน
ภายในหุบเขาฟ้าคำรามเรียงรายล้อมรอบไปด้วยเขาใหญ่น้อยหญ้าและต้นไม้สูง นอกจากสายฟ้าที่ประกอบอยู่เบื้องหลังแล้วถือว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ
เขาเดินลึกตรงไปกว่าครึ่งฃั่วโมงโดยไม่หยุดพัก แต่เขาก็ยังไม่พบกับแมวสายฟ้าแม้แต่ตัวเดียว
แต่ซูหยางตระหนักรู้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในหุบเขาฟ้าคำรามแล้วว่าไม่มีแมวสายฟ้าในบริเวณพื้นที่ด้านนอก ดังนั้นเขาจึงไม่ประหลาดใจที่ไม่พบเจอ
“แน่นอนว่าพวกนั้นกำจัดได้อย่างหมดจดในเขตอ้านนอก พวกเขานำไปแม้กระทั่งซากศพ” เขาประหลาดใจขณะที่เขาเดินลึกเข้าไปในหุบเขา
เมื่อซูหยางเข้าไปใกล้กับใจกลาง สายฟ้ายิ่งส่งเสียงดังขึ้นรุนแรงขึ้นคล้ายกับเสียงมังกรคำราม เมื่อฟังเสียงรอบข้างนี้ซูอยางอดใจนึกถึงช่วงเวลาที่เขาใช้อยู่ในหุบเขามังกรเทพเจ้าไม่ได้ ที่ซึ่งเขามักจะได้ยินเสียงคล้ายคลึงกันเช่นนี้อยู่ทั่วไป
“หุบเขามังกรเทพเจ้า...” ดวงตาเขาเกิดประกายลึกลับพาดผ่าน มันเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
ฉับพลันเสียงกรีดร้องหลายเสียงก้องเข้าไปในหูของซูหยาง แม้ว่ามันจะมาจากที่ไกลแต่เขาก็สามารถระบุตำแหน่งเสียงกรีดร้องว่ามาจากที่ใดได้ในทันที
ร่างของเขาพลันพร่ามัว ตามด้วยกระแสลมแรงกระโชกอย่างรวดเร็ว
ใช้วิชาท่าร่างจากชีวิตก่อนที่เพิ่มความเร็วให้กับเขาอย่างเห็นได้ชัด เขาไปถึงที่นั่นภายในไม่กี่วินาที เดินทางเกือบไมล์ด้วยเวลาสั้นๆ
ทันทีที่เขาไปถึง เขาก็สังเกตเห็นกลุ่มวัยรุ่นสวมชุดเขียวเช่นเดียวกัน ครึ่งหนึ่งของพวกเขานอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น รอบตัวพวกเขามีแมวสายฟ้าห้าตัว
พวกเขาเหล่านี้คงเป็นศิษย์ของสำนักอะไรสักอย่าง
แมวสายฟ้ามีขนดำและดวงตาสีน้ำเงิน ตัวโตเท่ากับมนุษย์เต็มวัยที่ลงไปเดินสี่ขา ขนสีดำของพวกมันมีประกายสายฟ้าพลุกพล่าน ดูราวกับว่าพวกมันปกคลุมไปด้วยเกราะที่สร้างขึ้นจากสายฟ้า
เมื่อซูหยางปรากฏตัว แมวสายฟ้าและบรรดาศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองดูเขา เหล่าศิษย์ต่างพากันมองดูเขาด้วยสายตาสิ้นหวัง ความหวังที่อยากให้ซูหยางช่วยพวกเขาหนีพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า
ส่วนบรรดาแมวสายฟ้า พวกมันจ้องเขม็งไปที่เขาด้วยความตื่นตัว แม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถเห็นพลังการฝึกปรือของเขา สัญชาตญาณสัตว์ป่าเตือนพวกมันว่าซูหยางที่ปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นแข็งแกร่งที่สุด เขาไม่ใช่คนที่จะดูเบาได้
เมื่อเหล่าศิษย์ที่สั่นเทาสังเกตเห็นแมวสายฟ้าพากันตั้งท่าป้องกันตัวเมื่อเห็นซูหยางมาถึง ดวงตาของพวกเขาก็มีประกายของความหวัง
ซูหยางดึงม้วนกระดาษภารกิจที่ได้รับจากนิกายออกมาตรวจดูจนมั่นใจว่าไม่มีการจำกัดจำนวนการล่าเพื่อให้สำเร็จภารกิจ
“แม้ว่าพวกมันจะอยู่ที่เขตปฐมวิญญาณ แต่แก่นพลังสัตว์อสูรของพวกมันควรนำมาซึ่งความร่ำรวยพอสมควรถ้าข้าขายแก่นพลังเหล่านั้นให้กับตระกูลร่ำรวยบางตระกูล...” ซูหยางดึงกระบี่ออกจากฝักข้างเอวขณะครุ่นคิดเรื่องการหาเงินทองในโลกนี้
แม้ว่าความรู้และประสบการณ์ของเขาจะกว้างขวางดุจมหาสมุทร แต่กระเป๋าเงินกลับว่างเปล่าอย่างน่าสงสาร และนอกจากเหรียญทองสิบเหรียญที่เขาแลกมาด้วยแต้มรางวัล เขาก็ไม่มีสมบัติอะไรเหลืออีก
“ข้าช่างแสนยากจนในชีวิตนี้ ถึงขั้นที่ว่าข้าไม่สามารถหาสิ่งใดที่จะมาช่วยการฝึกวิชาของข้าในระดับนี้...”
ระหว่างที่ซูหยางคิด แมวสายฟ้าทั้งห้าตัวพลันกระโจนเข้าหาเขาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยประกายสายฟ้าบนร่างของพวกมันยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้า เป็นเหตุให้เกิดเส้นสีขาวเล็กๆหงิกงอคล้ายกับงูหลายสิบสายฟาดใส่เขาดังพายุสายฟ้า
ดวงตาของซูหยางเปล่งประกายลึกล้ำ เท้าเขาพลันพร่ามัวจนแทบมองไม่เห็น
“ก้าวเก้าดารา”
ซูหยางใช้หนึ่งในสุดยอดวิชาท่าเท้าที่เขาได้เรียนรู้ในชีวิตก่อน และแม้ว่าเขาจะสามารถแสดงเพียงเศษเสี้ยวจากพลังของวิชานี้เหตุเพราะว่าเขามีพลังการฝึกปรือที่ไม่เพียงพอ ความเร็วของเขาก็ยังเร็วจนกระทั่งไม่ว่าจะเป็นบรรดาศิษย์หรือแมวสายฟ้าล้วนไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
เขาพลันสาบสูญไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ และด้วยความเร็วที่เกินกว่าใครจะทันกระพริบตา เขาก็ปรากฏกายด้านหลังแมวสายฟ้าราวกับวิญญาณ
ทันทีที่เขาปรากฏกาย มือที่ถือกระบี่ของเขาก็กวัดแกว่งอย่างสง่างามและเฉียบคมโจมตีติดต่อกันห้าครั้งอย่างสบายๆปราศจากการใช้วิชาฝีมือใด
โลหิตสาดกระจายศีรษะปลิดปลิว
แมวสายฟ้าทั้งห้าตัวล้มลงบนพื้นโดยไร้ศีรษะ พวกมันล้วนตกตายโดยซูหยางก่อนที่เหล่าศิษย์ที่ตกตะลึงจะทันได้ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากฆ่าแมวสายฟ้าทั้งห้าในชั่วพริบตา เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเหล่าศิษย์ที่งงงันเหล่านั้น เขาใช้กระบี่กรีดหน้าผากแมวสายฟ้าสองตัวเป็นช่องเปิดเพื่อเอาแก่นพลังสัตว์อสูรที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
“ได้แก่นพลังสัตว์อสูรสองก้อนแล้ว...” ซูหยางพยักหน้าอย่างพึงใจและโยนแก่นพลังสัตว์อสูรสองก้อนเข้าไปในกระเป๋า
ขณะที่เขากำลังจะหันกายจากไป หนึ่งในศิษย์สำนักที่นั่นพลันเรียกเขาไว้
“ขอประทานอภัยท่านผู้ช่วยชีวิต อาจจะอุกอาจเกินไปที่จะถามหลังจากที่ท่านได้ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ว่าท่านต้องการเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราหรือไม่”
ซูหยางหันกายไปดูหญิงสาวน่ารักผู้ที่เรียกเขาไว้ เธอมองเขาด้วยสายตายั่วยวน หลังจากที่เหลือบมองเห็นพลังการฝึกปรือของเธอที่เขตปฐมวิญญาณระดับสี่ เขาตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สัตว์นักล่ามีพลังอยู่ที่เขตปฐมวิญญาณระดับสูงสุด ขณะที่เจ้าไม่แม้แต่จะมีคุณสมบัติเข้ามาในหุบเขาฟ้าคำรามนี้… พวกเจ้าคิดว่าจะได้อะไรจากที่นี่ด้วยพลังการฝึกปรือแค่นั้น ข้ามิมีเวลาที่จะมาเล่นกับเจ้าหรือเกมงี่เง่าของพวกเจ้า...”
ซูหยางหันกายจากไปหลังจากปฏิเสธที่จะเพิ่มตัวถ่วง เงาร่างของเขาหายไปอย่างรวดเร็วจากสายตาของพวกเขา หญิงสาวน่ารักมองไปยังทิศทางที่เขาหายไปด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง ใบหน้าแดงด้วยความอับอายหลังจากได้ยินคำกล่าวรุนแรงของเขา