ตอนที่แล้วเล่มที่ 2 บทที่ 6
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 3 บทที่ 1

เล่มที่ 2 บทที่ 7


  

“ฮ่าๆ ข้าถูกใจพวกเจ้าจริงๆ”

เสียงหัวเราะของวิญญาณชุดขาวดังออกมาพร้อมกับหยางอี้ที่ก้าวเดินออกมาเบื้องหน้ามันเช่นกัน

“เอาล่ะเจ้าหนู จงรับรู้ไว้ นี่คือทักษะวิชาหนึ่งในสิบแปดวิชาสายทำลายที่ทรงพลังที่สุดในโลก เป็นมรดกสืบทอดของตระกูลข้ามาตั้งแต่ยุคอดีตอันไกลโพ้น หนึ่งสืบทอดหนึ่ง หลังจากนี้เจ้าได้รับอนุญาตให้สืบทอดแก่ผู้อื่นได้เพียงหนึ่งเท่านั้น”

สิ้นคำพูดแสงสีทองพลันปรากฎขึ้นที่ปลายนิ้วก่อนจะพุ่งตรงเข้าสู่หน้าผากของหยางอี้ รายละเอียดต่างๆของทักษะวิชาพลันร้อยเรียงไหลประดังเข้าสู่ความทรงจำของชายหนุ่มอย่างไม่หยุดหย่อน

หยางอี้เพียงกัดฟันตั้งสมาธิในการรับสืบทอดเท่านั้น ข้อมูลมากมายพุ่งทะลักเข้ามาโดยมิหยุดพัก ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าสมองจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา ทักษะวิชานี้เพียงสำนึกถึงภาพร่างภายในก็ส่งแรงกดดันจนตัวเขาแทบมิอาจยืนไหว

ช่วงเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปการสืบทอดจึงได้หยุดลง พร้อมกับร่างชายหนุ่มที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อนั่งหอบหายใจอยู่เบื้องหน้าวิญญาณนั้น ตู่หลินเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้ามาประคองหยางอี้ในทันที

“หนุ่มน้อย ภาพบันทึกนั้นเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ จงอย่าทำให้ข้าผิดหวัง นับจากนี้ แม้จะมิใช่สายเลือดที่หมุนเวียน แต่เมื่อสืบทอดไปแล้ว เจ้านับเป็นสวนหนึ่งของตระกูลข้า จงออกไปสั่นสะเทือนให้ทั่วฟ้า สยบให้ราบทั่วทั้งพสุธา ให้ผู้คนจดจำถึงนามอันเกรียงไกรในอดีต”

‘ตระกูลเทพดารา’ หยางอี้สั่นเทิ้มไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเงยหน้ามองวิญญาณชุดขาวด้วยสายตาอันหนักแน่น

“ผู้อาวุโสโปรดมั่นใจ ข้าจะทำให้ผู้คนยุคนี้จดจำนามนั้นอย่างแน่นอน”

“ฮ่าๆ ดี ดี ข้านั้นเฝ้าคอยมาเนิ่นนานกลัวว่าจะมิได้เจอผู้สืบทอดที่เหมาะสม หากเป็นเช่นนั้นข้าคงมิมีหน้าไปพบบรรพบุรุษ ในอดีตข้านั้นมีชีวิตที่แสนสั้น เพียงดาราแรกยังมิอาจปลุกขึ้นมาได้ช่างหน้าขายหน้ายิ่งนัก ทักษะวิชานี้มิใช่ฝึกฝนได้ง่ายๆ เจ้าจงอย่าท้อแท้”

“ขอรับ ผู้อาวุโส”

วิญญาณชุดขาวมองไปยังหยางอี้อีกครั้งด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังตู่หลินที่ประคองหยางอี้อยู่ด้านข้าง

“แม่หนูน้อย นี่สำหรับเจ้า”

สิ้นคำ เบื้องหน้าตู่หลินพลันปรากฏกล่องไม้ยาวสีดำสนิทกล่องหนึ่งลอยอยู่ ตู่หลินมองอย่างงุนงงไปยังวิญญาณชุดขาวที่ยิ้มให้อยู่เบื้องหน้าก่อนจะเปิดดู

ภายในกล่องไม้ถูกบรรจุไว้ด้วยกระบี่สีเงินเล่มหนึ่ง ตู่หลินมองไปยังมันอย่างตื่นเต้น แม้ตัวกระบี่จะดูธรรมดาสามัญมิได้มีลวดลายอันใดหรือผิดแปลกจากกระบี่ธรรมดาทั่วไป ทว่ากลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาบ่งบอกว่ามันคือศาสตราวุธระดับสวรรค์ขั้นสูง!

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

ตู่หลินเก็บกล่องไม้เข้าไปก่อนจะกล่าวขอบคุณออกมาอย่างยินดี

“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว เวลาก็เหลืออีกเพียงไม่นาน ข้าจะส่งพวกเจ้าออกไป”

***

ตูม!

เสียงการปะทะของสงครามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริเวณลานหน้าพระราชวังต้องห้ามเต็มไปด้วยบ่อหลุมที่เกิดจากการโจมตีของทั้งสองฝ่าย

5 ตำนานต่างยืนหยัดมองไปยังเหล่าชายในชุดคลุมสีดำที่บัดนี้เหลือเพียง 3 คนเท่านั้นที่เบื้องหน้า ตู่ยี่หลงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ก่อนหน้านี้ทางราชวงศ์กันประชาชนในละแวกนี้ออกไปจนหมด มิเช่นนั้นเขาเองก็มิอาจรู้เลยว่าผลเสียจะมากมายเช่นใด

“สมกับเป็น 5 ตำนาน แม้พวกมันจะใช้ยากลืนโลหิตก็ยังมิอาจเอาชนะได้” เสียงคลุมเครือดังออกมาจากชายในผ้าคลุมดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

“เฮอะ เศษสวะเช่นพวกเจ้านะรึจะมาเทียบเคียงกับพวกข้า เจ้าพวกนอกรีด”

หว่านถูคำรามออกมาอย่างเย้ยหยัน เมื่อมองไปยังร่าง 3 ร่างที่ลอยอยู่ไม่ไกลนัก

“วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดต้องตายอยู่ที่นี่”

เสียงคำรามของกระทิงเหล็กดังออกมาพร้อมกับพุ่งทะยานเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง 3 ตำนานเข้าปะทะกับคนของมารทลายฟ้าอีกครั้ง ส่วนอ้าวเทียนและตู่ยี่หลงนั้นเพียงยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง สิ่งที่พวกเขากังวลในตอนนี้คือบรรดาอัจฉริยะทั้ง 7 ที่เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เวลาตอนนี้อีกเพียง 100 ลมหายใจประตูจะเปิดออก และการตัดกำลังของอำนาจอื่นที่ดีที่สุดคือกำจัดเหล่าผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ หากพวกมารทลายฟ้าคิดเล่นลูกไม้ขึ้นมาผลเสียนี้มิอาจประเมินได้

อ้าวเทียนนั้นยังมิเท่าไหร่ ทว่าสำหรับตู่ยี่หลง หนึ่งคือบุตรสาวสุดรักและหนึ่งคือชายหนุ่มที่เขาต้องปกป้องมิต่างกัน แม้หยางอี้จะเป็นดั่งดวงดาวอันรุ่งโรจน์แห่งความหวังของเขา ทว่าหากเขาเป็นอะไรไป เจ้าหนูนี่จะกลายเป็นตัวหายนะของจักรวรรดินี้ทันที

พริบตา 100 ลมหายใจผ่านไป แสงสีทองพลันสว่างวาบที่บานประตู ร่าง 5 ร่างพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า ตู่ยี่หลงและอ้าวเทียนมิรอช้าพุ่งตรงเข้าหาในทันที

ปัง!

ในเวลาเดียวกันลำแสงสีแดงทะยานขึ้นบนท้องฟ้าเหนือบริเวณพระราชวังของเมืองหลวง การต่อสู้กลายเป็นหยุดชะงักตู่ยี่หลงและอ้าวเทียนเองก็เช่นกัน อาศัยเพียงช่วงเวลานั้นเงาสามร่างจากทั้งห้าที่ปรากฏหน้าบานประตูเคลื่อนกายผ่านวูบบออกห่างจากกลุ่มก่อนจะไปรวมกลุ่มกับชายในชุดคลุมดำทั้งสามที่ถอยออกจากการต่อสู้

“เสด็จพ่อ!”

ตู่หลินร้องเรียกออกมาเมื่อเห็นบิดาเคลื่อนกายมาอยู่ด้านข้าง ตู่ยี่หลงมองไปได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพียงหยางอี้และตู่หลิน ในใจพลันเกิดความวิตกกังวลถึงลางร้ายก่อนจะเบนสายตาไปยังร่างทั้งสามที่ปรากฏออกมาพร้อมกัน

สายโลหิตภายในร่างสูบฉีดจนเส้นเลือดแดงก่ำปรากฏขึ้นในดวงตาด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่คุ้นเคยยืนรวมกลุ่มกับคนของมารทลายฟ้าทั้ง 5

“สารเลว! นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

ตู่เว่ยเมื่อเห็นท่าทางของบิดา เขาได้แต่พูดออกมาด้วยความสะใจ

“ตาแก่ เป็นเจ้าเองที่บังคับให้ข้าทำแบบนี้ ข้านั้นทุ่มเทเท่าไหร่เพื่อราชวงศ์ แต่เจ้า แต่เจ้ากลับไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา”

“เสด็จพ่อ”

ตู่หลินจับแขนของบิดานางด้วยความเป็นห่วง นางรู้ดีที่สุด แม้บิดานางจะให้ความสนใจแก่นางมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ทว่าด้วยความเป็นบิดา ตู่ยี่หลงมิเคยละเลยบุตรคนใดแม้แต่น้อย แต่ด้วยเป็นถึงองค์จักรพรรดิ เขาทำได้เพียงเฝ้ามองรัชทายาททั้ง 14 แข่งขันกัน การเลือกผู้ที่จะก้าวมาปกครองจักรวรรดิแห่งนี้ในอนาคต มิสามารถทำเป็นเรื่องเล่นๆได้

“เอาล่ะทุกท่าน วันนี้เราคงต้องจากกันเพียงเท่านี้ หวังว่าโอกาสหน้าจะได้พบกันใหม่”

เสียงของชายชุดดำดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่มิติรอบกายพวกมันจะสั่นไหวปรากฏเป็นเงาดำครอบคลุมร่างทั้ง 6 ให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตู่ยี่หลงและคนที่เหลือทำได้เพียงมองดูการจากไปของมารทลายฟ้าด้วยอารมณ์ การปะทะครั้งนี้มิได้มีผลเสียมากนัก คนอื่นๆทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้ไว้ ยกเว้นหว่านถูที่คำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง สาบานต้องล้างแค้นให้จงได้ เมื่อรู้ว่าศิษย์ของเขาถูกสังหารลงด้วยฝีมือของพวกตู่เว่ย

ฟรึ่บ!

เงาร่างหนึ่งปรากฎขึ้นด้านหน้าตู่ยี่หลงก่อนจะคุกเข่าลง เขาคือองค์รักษ์ของวังหลวง หัวใจของตู่ยี่หลงพลันตกวูบในทันที เขาสังหรณ์ใจไว้อยู่แล้วตั้งแต่เห็นแสงสัญญาณเหนือวังหลวง

“เกิดอะไรขึ้นจงเร่งกล่าวมา”

“เรียนฝ่าบาท เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน รอบคลังสมบัติปรากฎคลื่นพลังปราณเป็นกำแพงอันแข็งแกร่งขึ้นจากการวางค่ายกลบางอย่าง เหล่าผู้อาวุโสต่างระดมการโจมตีล้วนไม่เป็นผล แม้แต่ท่านบรรพชนเองก็ใช้เวลาอยู่นานจึงทำลายลงได้เมื่อครู่นี้ ทว่าเมื่อเข้าไปภายในกลับไม่พบผู้ใดแล้ว สมบัติต่างๆล้วนมิได้หายไป เพียงแต่...”

“เพียงแต่อันใด!”

“ตราผนึกผู้พิทักษ์ได้ถูกทำลายแล้วพะยะค่ะ”

สิ้นคำ ตู่ยี่หลงกลายเป็นสติลางเลือนในทันที ส่วนตำนานอีก 4 คนที่เหลือต่างล้วนหน้าซีดเป็นซากศพทันทีเช่นกัน มีเพียงหยางอี้และตู่หลินที่ยืนมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความงุนงง

หลังจบสงครามขนาดย่อยนี้ ภายในเมืองหลวงต่างเต็มไปด้วยข่าวลือเซ็งแซ่ ทว่าสิ่งที่เป็นข่าวใหญ่และถูกรายงานไปยังมหาขุมอำนาจของจักรวรรดิเมฆาหวนแห่งนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องตราผนึกผู้พิทักษ์ที่ถูกทำลายลง ข่าวนี้มิใช่เพียงตู่ยี่หลงที่เป็นกังวล กระทั่งเหล่าบรรพชนรุ่นก่อนของ 4 สำนักใหญ่ยังต้องออกจากด่านฝึกตนเพื่อมาหารือกัน

ตามตำนานกล่าวว่าทั้ง 5 จักรวรรดิในทวีปจันทร์กระจ่างนั้นต่างมีสัตว์เทพคอยคุ้มครองอยู่ และสิ่งที่ใช้ในการอัญเชิญนั้นคือตราผนึกผู้พิทักษ์และถูกเก็บรักษาโดยราชวงศ์ ทว่าตอนนี้ตราผนึกถูกทำลายลง ราชวงศ์จึงไม่มีอำนาจในการอัญเชิญและสื่อสารกับผู้พิทักษ์อีกต่อไป

เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย มันอาจก่อให้เกิดการล่มสลายของจักรวรรดิได้โดยง่าย หากมารทลายฟ้ามีวิธีการบางอย่างในการควบคุมผู้พิทักษ์ แน่นอนว่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่นั้นมิใช่เรื่องง่ายหากผู้ใดจะบงการ ทว่าอีกฝ่ายคือมารทลายฟ้า องค์กรนอกรีตที่ดำรงอยู่มานานนับหมื่นปี และเป้าหมายของมันคือการทำลายผนึก

เรื่องนี้จะมิให้คิดมากคงจะไม่ได้ อย่างไรมหาอำนาจเหล่านี้ยังคงต้องคิดถึงความเป็นไปได้และหาทางป้องกันให้เร็วที่สุด

หยางอี้หลังจากออกมาได้รับคำสั่งให้พักผ่อนหนึ่งวันเช่นผู้ผ่านการทดสอบคนอื่น และทั้งหมดจะเดินทางกลับสำนักวิหารสวรรค์ในวันรุ่งขึ้น

ภายในที่รับรองของราชวงศ์ เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างถูกอนุญาตให้เข้าพักเพื่อความไม่ประมาท บริเวณชั้นในของวังหลวงภายในส่วนเหล่าอัจฉริยะรุ่นนี้ต่างกำลังพูดคุยอย่างออกรส กลุ่มของเทียนเจินเซียงได้กลับเข้ามาแล้วหลังจากเรื่องราวสงบลง

เมื่อทั้งกลุ่มได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ทุกคนต่างพูดถึงเหตุการณ์นี้ และแน่นอนมีเพียง 3 คนที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวมากที่สุด ก็คือกลุ่มของหยางอี้ที่ได้เข้าสู่พระราชวังต้องห้าม

หยางอี้มองไปยังตู่หลินด้วยใบหน้าประหลาดใจ องค์หญิงผู้นี้ครั้งแรกที่ตนพบกลับมีท่าทีไม่พอใจ ทว่าตอนนี้กลับพูดจาน้ำไหลไฟดับเข้าคู่กับซูเฉินจนการสนทนานั้นมีเพียงทั้งสองที่ผลัดกันตอบโต้ไปมา หยางอี้เบนสายตาไปเล็กน้อยทางเทียนเจินเซียง ดูเหมือนว่าหลังจากกลับมาท่าทีของเขาดูแปลกไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยบุคลิกการผู้เป็นนำ เทียนเจินเซียงจะมีคำพูดและคำแนะนำอยู่เสมอทว่าตอนนี้เขากลับเอาแต่นั่งเงียบ บางครั้งยังดูเหม่อลอย บางครั้งดูครุ่นคิด

หยางอี้คาดว่าเทียนเจินเซียงจะต้องเจอบางอย่างภายในพระราชวังแน่นอน ทว่านั่นก็เป็นเพียงเรื่องของผู้อื่น ชายหนุ่มมิได้ใส่ใจนัก ก่อนจะขอตัวกลับไปพักที่ห้องของตน ตัวเขาเองตอนนี้ก็แทบจะอดใจไม่ไหวแล้วเช่นกัน จะมีผู้ใดนั่งติดเก้าอี้อยู่บ้างหากมีทักษะระดับจักรพรรดิอยู่ในมือ

ครึ่งชั่วยามให้หลัง ภายในห้องพักรับรองของหยางอี้ ชายหนุ่มนั่งทำสมาธิอย่างสงบ ลึกลงไปภายในมิติพิเศษลำแสงสีทองสว่างวาบพุ่งตรงออกจากกึ่งกลางหน้าผากก่อนจะฉายภาพความทรงจำบางส่วนที่ถูกถ่ายทอดจากวิญญาณในพระราชวังต้องห้าม

ตระกูลเทพดารานั้นกำเนิดขึ้นมายาวนานตั้งแต่สมัยอดีตอันไกลโพ้น ผู้ก่อตั้งคนแรกนั้นได้รับตำราทักษะอันเก่าแก่มาจากวิหารแห่งหนึ่ง ด้วยโชคลาภและความสามารถทำให้เขาผ่านการทดสอบอันแสนยากลำบากมาได้ หลังจากนั้นทักษะวิชานี้มีชื่อเสียงขจรไปไกลทั่วทั้งทวีปด้วยเวลาไม่นาน ด้วยพลังทำลายอันมหาศาลทำให้ตระกูลเทพดาราถือกำเนิดขึ้นในที่สุด

หลังจากนั้นรุ่นต่อรุ่น ผู้เยาว์ที่มีความสามารถมากที่สุดจะถูกสืบทอดเพียงผู้เดียวในแต่ละรุ่น ด้วยความรุ่งโรจน์ตระกูลเทพดารากลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทวีปแห่งนี้ ทว่าช่างน่าเศร้าความยิ่งใหญ่นั้นดำเนินต่อมาได้เพียงไม่กี่พันปีในที่สุดก็จบลง

เมื่อช่วงเวลาหมุนวน ตระกูลเทพดาราในรุ่นหลังไม่สามารถให้กำเนิดอัจฉริยะที่สามารถฝึกฝนทักษะนี้ได้ จึงทำให้ภายหลังถูกเหล่ามหาอำนาจที่ต่างอิจฉาในความทรงพลังนี้กดดันจนตระกูลแทบจะล่มสลาย และสุดท้ายสายเลือดนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อ 500 ปีก่อน

ในยุค 5000 ปีที่ผ่านมา ตระกูลเทพดาราไม่สามารถให้กำเนิดเทพดาราได้แม้แต่คนเดียว ความอัปยศนี้ในที่สุดทักษะอันทรงพลังนี้จึงได้ลางเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน ผู้สืบทอดในแต่ละรุ่นทำได้เพียงมีพลังในระดับแนวหน้า ทว่าไม่ใช่ระดับยอดสุด

หลังจากนั้นมาจบลงในผู้สืบทอดซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสใหญ่ของ 4 สำนักพิทักษ์ฟ้า ทว่าด้วยความทรงพลังระดับนี้เขาเพียงสำเร็จดาราที่ 3 เท่านั้น ยังห่างไกลจากคำว่าเทพดารามากนัก และผู้สืบทอดของเขานั้นคือเด็กหนุ่มที่มาจบชีวิตลงภายในเมืองหลวงแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน เผ่ยหยางชิง บุรุษผู้สร้างชื่อในเมืองแห่งนี้และถูกจารึกเป็นตำนานเตือนสติของผู้คน

เผ่ยหยางชิงนับได้ว่าเป็นสายเลือดคนสุดท้ายที่สืบทอดทักษะวิชานี้จากปู่ของเขา ผู้อาวุโสคุมกฎของวิหารเทวะสุริยันต์ ทว่าแม้เทียบกับคนของ 5 จักรวรรดิ เขาจะเป็นตัวตนอันสูงล้ำ แต่ภายในวิหารนั้นเขาเป็นเพียงศิษย์สายในที่ได้รับความช่วยเหลือจากปู่ของเขาเท่านั้น และความสำเร็จนี้ ด้วยอายุที่ไม่มากนักจึงสำเร็จเพียงดาราแรกเท่านั้น

หยางอี้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วยามในการทำความเข้าใจกับตระกูลเทพดารานี้ก่อนจะดูเนื้อหาภายในความทรงจำที่ได้รับสืบทอดมา ชายหนุ่มตกตะลึงไม่น้อยเมื่อรับรู้ถึงเรื่องราวในอดีต วิชา 9 ดาราสะบั้นพบนั้นมีทั้งหมด 9 ขั้น เรียกว่า 9 ดารา และเทพดาราจะอุบัติขึ้นเมื่อฝึกถึงดาราที่ 5 และตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั้นมีเทพดารากำเนิดขึ้นมาทั้งหมด 9 คน ผู้นำตระกูลคนแรกนั้นสำเร็จดาราที่ 5 และผู้ที่นับว่าเป็นเทพดาราที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้นำรุ่นที่ 3 ที่บรรลุถึง 7 ดารา ซึ่งนับเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของตระกูลเทพดารา

หยางอี้ยิ่งรับรู้ยิ่งตื่นเต้น และสิ่งที่หยุดความตื่นเต้นของเขาไว้นั้นคือ อายุของเทพดาราทุกรุ่นที่สำเร็จดาราที่ 5 นั้นไม่ต่ำกว่า 300 ปี มีเพียงผู้นำรุ่นที่ 3 เท่านั้นที่สำเร็จเมื่ออายุ 200 ปี

“เช่นนั้นเอง อย่างไรนี่คือทักษะระดับจักรพรรดิ ความยากในการฝึกฝนนั้นย่อมยากเย็นเหลือคณา”

หยางอี้ถอนหายใจเล็กน้อย แม้จะเป็นเช่นนั้น ภายในดวงตาของเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ก่อนจะเริ่มศึกษาทักษะนี้อย่างจริงจัง

เนื้อหาของทักษะนี้ช่างเรียบง่าย จุดสำคัญคือการปลุกดาราแต่ละดวงภายในตันเถียนด้วยการควบแน่นพลังปราณแปรเปลี่ยนพลังปราณภายในร่างกายให้แบ่งออกเป็นลูกแก้วดารา ทว่าปริมาณพลังปราณธรรมชาติในการปลุกดาราแต่ละดวงนั้นช่างมากมายมหาศาล จุดที่สองคือการควบคุมดาราแต่ละดวงให้ได้ดังใจนึก

จากความทรงจำ เพียงดาราดวงเดียวก็สามารถป่นภูเขาขนาดย่อมให้พังทลายได้ภายในพริบตา ซึ่งเรียกว่าเป็นวิชาสายทำลายขนานแท้ และปริมาณพลังปราณในแต่ละดาราที่สามารถทำลายภูเขาได้อย่างง่ายดายนั้นมิต้องเอ่ยถึงว่าจะมากมายเพียงไหน

จุดสุดท้ายที่เป็นเคล็ดลับคือการเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมชาติ การควบคุมพลังปราณธรรมชาติจากภายนอกถือเป็นจุดสำคัญที่สุด ขั้นแรกพลังปราณของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะปลุกดาราแต่ละดวงขึ้นมาได้จึงต้องใช้การดูดซับจากพลังปราณธรรมชาติมาเก็บสะสมไว้ปริมาณมหาศาล ขั้นที่สองเมื่อใช้ออกด้วยดาราสะบั้นภพ ลูกแก้วดาราจะถูกดึงออกจากร่างเพื่อใช้ในการบดขยี้ศัตรูและนั่นจำเป็นต้องควบคุมมันให้ได้

หยางอี้เพียงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่เมื่อศึกษาเคล็ดวิชาเพียงส่วนของดาราแรกเสร็จ วิชานี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกจริงๆ หยางอี้ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงเวลาอันยาวนานนั้นกำเนิดเทพดาราขึ้นมาเพียง 9 คน แม้จะเต็มไปด้วยพลังทำลายอันมหาศาล ทว่าความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ้งและทรัพยากรมหาศาลนั้นคือสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับทักษะวิชานี้

“นับว่าโชคของข้ายังดีที่ได้เรียนรู้ทักษะของตาแก่นั่น ทำให้ความเข้าใจในปราณธรรมชาติของข้านับว่าไม่เลว”

หยางอี้เลือกที่ไม่ศึกษาในส่วนถัดไปในทันที ทว่าเริ่มโคจรพลังปราณภายในร่างและทำความเข้าใจเพื่อการฝึกส่วนแรกของทั้ง 3 ส่วน

แบ่งแยก ก่อร่าง และเติมเต็ม!

แบ่งแยกคือส่วนที่ยากที่สุด ตันเถียนของคนทั่วไปนั้นคือแหล่งกักเก็บพลังปราณภายในร่างกาย และการสร้างดาราแต่ละดวงนั้นผู้ฝึกจะต้องแบ่งแยกมวลพลังปราณภายในทะเลตันเถียนเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับก่อร่างลูกแก้วดารา เมื่อก่อร่างสำเร็จแล้ว ส่วนสุดท้ายคือส่วนที่นับว่าสิ้นเปลืองทรัพยากรที่สุด การเติมเต็มให้ดาราแต่ละดวงครบสมบูรณ์

ราตรีล่วงเลย หยางอี้ใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกฝนวิชาเพื่อให้บรรลุส่วนแรก แม้ภายในมิติพิเศษนั้นจะมีเวลามากกว่าโลกภายนอกถึง 10 เท่า ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใกล้แม้แต่น้อยกับคำว่า แบ่งแยก

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะมองออกไปยังบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ยามรุ่งเช้าแสงอาทิตย์เริ่มจะโผล่พ้นขอบฟ้า ด้วยบรรยากาศอันน่ารื่นภิรมณ์เบื้องหน้าสายตาอันเหม่อลอยนั้นอยู่ๆพลันปรากฎใบหน้าของชายชราร่างอ้วนขึ้นในฉับพลัน ทำให้ด้วยความตกใจ หยางอี้กระโดดถอยตัวลอยกลิ้งตกเตียงหลุนๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของชายชรา

“ตาแก่บัดซบ เล่นอะไรของท่านนี่”

“ฮ่าๆ เจ้าหนูเจ้าเรียกอาจารย์เจ้าแบบนี้ได้อย่างไร”

แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าใบหน้าเขานั้นไม่มีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เดิมทีก่อนที่จะรับหยางอี้เป็นลูกศิษย์ ตัวเขาเองก็เห็นหยางอี้เป็นดังสหายน้อยเช่นเดียวกับที่หยางอี้เห็นเขาเป็นสหายชราผู้ชอบโอ้อวด

“ฮึ่ม! ไหนท่านบอกว่ามิสามารถออกจากป่าได้อย่างไรล่ะ ท่านอาจารย์!”

หยางอี้พูดออกมาด้วยความโกรธเคือง พร้อมกับเน้นคำว่า ท่านอาจารย์อย่างช้าๆ

“ฮ่าๆ ใจน้อยเป็นเด็กๆเลยนะเจ้าหนู เอาล่ะ ข้านั้นจะมาบอกเจ้าบางเรื่อง” หยางอี้จึงเปลี่ยนมาเป็นท่าทีจริงจังเช่นเดียวกับอาจารย์ของเขา

“เนื่องจากการโจมตีของพวกมารทลายฟ้าเมื่อวาน หลังจากข้าจัดการธุระเสร็จ จึงต้องทำการตรวจสอบบางอย่างให้แน่ใจ ข้าอยากให้เจ้าใช้เวลาฝึกฝนตัวเองภายในสำนักวิหารสวรรค์ไปก่อน จนกว่าข้าจะไปรับเจ้า แม้จะเป็นสำนักเล็กๆ ทว่าสำหรับเจ้าตอนนี้ก็ยังนับว่าไม่เลว เอ้ารับนี่ไว้”

พรึ่บ!

หยางอี้นั้นกลายเป็นไร้คำพูดเมื่อได้ยิน สำนักวิหารสวรรค์ที่ผู้คนยกย่องกันนักหนา เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราร่างอ้วนนี้กลับเป็นเพียงสำนักเล็กๆที่ไม่เลว หยางอี้เลิกใส่ใจกับถ้อยคำนั้น และหันไปมองดูตำราเล่มใหญ่ที่ดูเก่ากึก ทว่าสภาพนั้นบ่งบอกได้ว่ามันถูกรักษาเป็นอย่างดี และดวงตาของเขาเปล่งประกายโดยสิ้นเชิงเมื่อเห็นตัวอักษรที่สลักไว้ที่ปกเบื้องหน้า

“ตำราเทพโอสถ!”

“ไอ้หนู ตำราเล่มนี้เปรียบดังชีวิตของข้า จงหมั่นฝึกฝนและรักษามันให้ดี” กู่เทียนชางพูดออกมาอย่างจริงจัง ใบหน้าไม่มีความล้อเล่นแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวออกมาเพิ่มเติม

“ด้วยตำราเทพโอสถในมือเจ้า การคงอยู่ของมันสามารถสร้างความแย่งชิงให้ทั้ง 5 จักรวรรดิได้ในทันที หากมีข่าวแพร่ออกไป”

หยางอี้นั้นเข้าใจในทันที เดิมการเป็นนักหลอมโอสถนั้นก็ยากเย็นอยู่แล้ว มีคนเพียงหยิบมือที่สามารถจะเป็นได้ มิใช่เพียงพลังปราณที่ต้องใช้ ทั้งความละเอียดอ่อนในการควบคุมไฟและยังต้องมีความรู้ความเข้าใจในสมุนไพรอีกมากจึงจะเป็นได้

แล้วกู่เทียนชางเป็นใคร กระทั่งโอ้อวดว่าตนเองเป็นเซียนโอสถ แม้หยางอี้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าความแข็งแกร่งของกู่เทียนชางนั้นเป็นของจริง จากแรงกดดันที่ปล่อยออกมาเมื่อตอนที่อยู่ในป่าดับดารานั้น หยางอี้มั่นใจว่าชายชราผู้นี้อยู่เหนือกว่าระดับสวรรค์ไปแล้วแน่นอน

“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์ นอกจากข้าจะไม่มีผู้ใดได้เห็นตำราเล่มนี้” กู่เทียนชางพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาส่งให้กับหยางอี้

“เจ้าหนู นี่คือยาเม็ดบัวโลหิตระดับ 4 มันจะช่วยให้เจ้าฝึกฝนได้เร็วกว่าเดิมมากนัก”

หยางอี้รับขวดยามา ภายในบรรจุเม็ดยาสีแดงสดขนาดเท่าลูกหินเล็กไว้ 5 เม็ด ทันทีที่หยางอี้เปิดจุกขวดออกมา กลิ่นหอมพลันทะลักออกมาจากขวดทันที จากสัมผัสยังคงมีกระแสปราณอ่อนๆเจือปนยาด้วย หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างดีใจก่อนจะพูดกับกู่เทียนชาง

“ขอบคุณท่านอาจารย์ ความใจกว้างของท่านเปรียบดังมหาสมุทร”

“ฮ่าๆ เจ้าหนูอย่าได้มายอข้าแล้วหวังจะได้อะไรเพิ่ม ข้านั้นมิใช่คนชอบคอยตามก้นลูกศิษย์ ในตำราเล่มนั้นมีกระทั่งสูตรโอสถระดับ 8 หากเจ้ามีความสามารถพอก็จงปรุงมันขึ้นมาเอง หากไม่สามารถเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นศิษย์ของเซียนโอสถแล้ว”

กู่เทียนชางกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะร่า ส่วนหยางอี้นั้นพอได้ยินว่ามีสูตรโอสถและวิธีปรุงระดับ 8 อยู่ในมือก็อ้าปากค้างในทันที โอสถระดับ 8 คืออะไร กระทั่งโอสถระดับ 2 ยังมีราคาหลายพันเหรียญทอง โอ้สวรรค์ไม่ต้องกล่าวถึงจักรวรรดิเมฆาหวน ในทวีปจันทร์กระจ่างนี้จะมีกี่คนที่ปรุงมันขึ้นมาได้

“ท ท่านอาจารย์ ข้าจะรักษาตำราเล่มนี้เป็นอย่างดี”

หยางอี้พูดขึ้นมาพร้อมกับกอดตำราแน่นราวกับกลัวว่ากู่เทียนชางจะเปลี่ยนใจเอาคืน เมื่อเห็นเช่นนั้นชายชรายิ่งหัวเราะร่าเข้าไปใหญ่ ไม่บ่อยนักที่เจ้าเด็กนี่จะแสดงอาการเช่นนี้

“ดี! หมดเรื่องแล้ว จากนี้ให้เจ้ารออยู่ที่สำนักวิหารสวรรค์และหมั่นฝึกฝนอย่าให้ขาด เมื่อเสร็จธุระแล้วข้าจะมารับเจ้าเอง อีกสามเดือนหลังจากเก็บเกี่ยวสิ่งนั้นแล้วข้าจะแวะไปหาเจ้าก่อน”

กู่เทียนชางกล่าวจบก็พลิ้วกายหายไปในทันที หยางอี้เองก็ไม่รอช้ารีบเก็บตำราและขวดยาเข้าสู่แหวนมิติทันที ก่อนจะสำรวจภายในห้อง แล้วเดินออกไป

ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยพ้นขอบฟ้า เวลาหมุนเข้าสู่ช่วงยามสาย ลานหน้าพระราชวังตอนนี้เต็มไปด้วยผู้เยาว์กว่าพันคนที่มายืนรอตามนัดหมาย

เสียงพูดคุยยังคงจอแจเช่นเดิม และหัวข้อคงหนีไม่พ้นการที่เมืองหลวงถูกโจมตีเมื่อวานนี้ แม้หัวข้อจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่เนื่องจากมีเพียงคนส่วนน้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ จึงทำให้เนื้อหาถูกบิดเบือนไปหลายส่วน

หยางอี้เมื่อมาถึงก็เข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเจินเซียงเพื่อรอการประกาศ ห่างกันไม่กี่ลมหายใจเป่ยลู่เองก็เข้ามารวมตัวเช่นกัน

คลื่นนน

“เงียบได้แล้ว!”

เสียงผู้อาวุโสดังลงมาจากท้องฟ้าพร้อมเงาดำขนาดยักษ์ที่เคลื่อนเข้าปกคลุมลานหน้าวังหลวง

เหล่าผู้เยาว์ต่างมองไปยังเรือลมปราณขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือหัวด้วยความตื่นเต้น เรือลมปราณนั้นมิใช่สิ่งของที่ตระกูลขนาดเล็กจะมีในครอบครอง ภายในจักรวรรดิเมฆาหวนนั้นมีเพียง สี่สำนักใหญ่และราชวงศ์เท่านั้นที่ครอบครองเรือลมปราณ

เมื่อลดระดับลงมาห่างจากพื้นเพียงร้อยเมตรแล้ว ด้านข้างเรือลมปราณนั้นมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก่อนจะมีบันไดขนาดใหญ่ยื่นออกมาจนถึงพื้น เนื่องจากขนาดของมันใหญ่เกินไป จึงทำให้ไม่สามารถลงจอดภายในลานหน้าวังหลวงได้

เมื่อผู้อาวุโสประกาศเสร็จ เหล่าผู้เยาว์ทั้งหมดที่ผ่านการทดสอบต่างทยอยกันขึ้นไปด้านบน หยางอี้และกลุ่มของเทียนเจินเซียงนั้นเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินขึ้นไป

ขณะเดินขึ้นไปก่อนจะถึง หยางอี้พลันหันกลับมาก่อนจะมองไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ประดับลานหน้าวังหลวง ชายหนุ่มจ้องมองไปยังเงาของคนผู้หนึ่งก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยและก้าวเดินต่อไป

เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่นั้น สตรีนางหนึ่งกำลังยืนพิงต้นไม้อยู่ เจ้าของใบหน้าอันสวยงามนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากองค์หญิง 14 ตู่หลิน นางชะโงกออกมามองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเรือลมปราณเริ่มเคลื่อนที่ออกไปแล้วนางจึงเดินออกมา

ตู่หลินมองไปยังเรือลมปราณที่ค่อยๆเคลื่อนไกลออกไปด้วยอารมณ์จนกระทั่งมันหายลับไปยังขอบฟ้า นางดึงสายตากลับมาอีกครั้งก่อนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“อีกสามเดือนสินะสำหรับงานประลอง ข้าจะต้องไปแน่นอน”

บนเรือลมปราณ ผู้อาวุโสใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการอธิบายเรื่องต่างๆ และจัดที่พักให้กับศิษย์ใหม่ทั้งหนึ่งพันห้าร้อยคน เมื่อเรียบร้อยก็ปล่อยให้เป็นเวลาส่วนตัวของแต่ละคน การเดินทางนั้นใช้เวลาราว 20 วัน กว่าจะไปถึงหุบเขาเทียมสวรรค์

ด้านหน้าเรือลมปราณภายในระเบียงเรือ หยางอี้ยืนอยู่พร้อมกับมองไปยังเบื้องหน้า สายลมพัดผ่านอ่อนๆ ร่างสูงใหญ่ผมยาวดำพลิ้วไหวไปตามแรงลม รอบเรือนั้นมีเขตแดนกางไว้มิเช่นนั้นแล้วด้วยความเร็วของเรือจะทำให้ไม่สามารถออกมาภายนอกได้

“จริงสิข้ายังมิได้อ่านมันเลย”

หยางอี้หยิบจดหมายสีขาวออกมาจากแหวนมิติก่อนจะจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จดหมายฉบับนี้คือจดหมายที่หวังจือให้เขามาก่อนจากเมืองธาราสวรรค์

หยางอี้เปิดจดหมายออกทันที กลิ่นหอมฉุยลอยออกมากระทบกับจมูกส่งให้เคลิบเคลิ้ม แม้จะผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ทว่ากลิ่นนั้นไม่เคยจางหายไป หยางอี้มองไปยังตัวอักษรอันงดงามที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเรียบร้อยภายในจดหมาย

‘ถึงคุณชายหยาง

หวังจือนั้นอีกหนึ่งปีจะต้องเดินทางไปยังจักรวรรดินภาสวรรค์ เพื่อเข้าร่วมพิธีฉลองอายุรุ่นเยาว์ตามกฎของตระกูล หากมิเกิดเรื่องผิดพลาด หวังจือจะรีบกลับมารอท่านเมื่อถึงกำหนดที่ท่านสัญญากับข้าไว้ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย’

หยางอี้อ่านเสร็จก็เก็บจดหมายกลับเข้าไปภายในแหวนมิติ ก่อนจะมองไปยังเส้นขอบฟ้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา

“จักรวรรดินภาสวรรค์? ถึงตอนนี้นางคงใกล้จะออกเดินทางแล้ว ข้าเองก็ต้องเดินทางไปที่นั่นเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้น นางคงจะประหลาดใจไม่น้อยที่พบข้าที่นั่น รอก่อนเถิดภรรยาข้า”

“หยางอี้! เจ้าบ้า มายืนยิ้มอะไรอยู่คนเดียว รีบตามข้ามาเร็ว คนอื่นกำลังรออยู่” หยางอี้พลันได้สติทันที ก่อนจะหันกลับมามองไปยังเจ้าของเสียง

“เกิดอะไรขึ้น เสวี่ยชิง”

“ตามมาเร็วๆเถอะ!”

อี้เสวี่ยชิงพูดจบก็หน้ามุ่ยเดินเข้าไปภายในเรือทันที ก่อนที่หยางอี้จะเดินตามเข้าไปอย่างงุนงงจนหายลับเข้าไปภายในเรือ

/// จบเล่มที่ 2

/// ตั้งแต่เล่มที่ 3 เป็นต้นไปจะเป็นความยาวตอนปกตินะครับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด