เล่มที่ 2 บทที่ 6
แต้นนน….!
เสียงแตรดังขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงโหมโรงแห่งความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ บริเวณโดยรอบถูกกั้นมิให้ประชนผ่านเข้ามาหลายวันแล้วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานนี้ ผู้มีอำนาจจำนวนไม่น้อยต่างมาชุมนุมกันเพื่อเฝ้าดูการเปิดพระราชวังต้องห้าม บางคนกระทั่งหวังว่าจะได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้
เหล่าขุนนางและตระกูลที่มั่งคั่งไปด้วยอำนาจ ต่างพูดคุยกันอย่างออกรส ทั้งการคาดเดาต่างๆนานา และเมื่อหัวข้อมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผู้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนอย่างหยางอี้ ทำให้เหล่าอัจฉริยะต่างเต็มไปด้วยความอิจฉา การที่คนผู้หนึ่งนั้นเต็มไปด้วยความสามารถอยู่แล้ว และยังได้รับโอกาสเช่นนี้นั้นทำร้ายจิตใจของผู้คนมากเกินไป
“องค์จักรพรรดิเสด็จแล้ว”
เสียงขันทีประกาศออกมาให้ผู้คนได้รับรู้ถึงการมาขององค์จักรพรรดิ ชายวัยกลางคนหน้าตาคมเข้ม ในชุดลายเมฆสีทองดูสง่า เดินออกมาพร้อมกับแผ่บรรยากาศสูงส่งออกมาจากรอบตัว
พรึ่บ พรึ่บ
หลังจากการปรากฏตัวขององค์จักรพรรดิ ต่อมาเป็นการมาถึงของผู้อาวุโสจาก 4 สำนักใหญ่ หลายคนกลายเป็นตัวสั่นสะท้านเมื่อได้เห็นการชุมนุมของเหล่าผู้มีอำนาจในจักรวรรดิเมฆาหวนเช่นนี้
“อ่า กระทั่ง ตูเซียนแห่งสำนักปราการอัคคี ก็ยังมา”
บางคนอดไม่ได้ที่เอ่ยออกมาหลังจากเห็นตัวตนที่เป็นดั่งตำนานของจักรวรรดิแห่งนี้
“นั่น ผิงจู่ แห่งสำนักร้อยตะวัน ข้าได้ยินว่าในอดีตผิงจู่และตูเซียนนั้นเป็นดังคู่พยัคฆ์แห่งจักรวรรดิเมฆาหวนแห่งนี้”
ผู้อาวุโสของบางตระกูลกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ หลังจากเห็นเหล่าตัวตนที่สร้างชื่อไว้มากมายในอดีตปรากฏตัวอีกครั้ง
ตูม!
เสียงบางอย่างกระทบเข้ากับพื้นอย่างแรงจนฝุ่นควันลอยคลุ้งไปทั่วก่อนจะเผยให้เห็นผู้มาใหม่ภายใต้ฝุ่นควันนั้น
“กระทิงเหล็กหว่านถู แห่งป้อมปฐพี อ่า หากราชันสวรรค์อ้าวเทียนแห่งสำนักวิหารสวรรค์มาด้วย นี่จะเป็นการรวมตัวของ 5 อัจฉริยะแห่งยุคนี้”
เหล่าผู้อาวุโสที่เคยฟันฝ่าเรื่องราวต่างๆมาในยุคเดียวกับตัวตนที่เป็นดั่งตำนานเหล่านี้กล่าวออกมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ผิงจู่ ตูเซียน หว่านถู อ้าวเทียน และ ตู่ยี่หลง องค์จักรพรรดิคนปัจจุบัน ตัวตนทั้ง 5 นี้คือผู้ที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งยอดยุทธ์อันดับหนึ่งของรุ่นนี้ ตัวตนที่ทำให้เหล่าผู้คนต้องสั่นเทายามปรากฏกาย
“อ่า นานเพียงใดแล้วที่พวกเรามิได้อยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ แม้จะขาดไปหนึ่งคนก็ตาม”
ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาเมื่อมองไปยังเหล่าบุคคลที่คุ้นเคยด้านหน้า
“องค์จักรพรรดิกล่าวเช่นนั้นมิถูกต้อง เมื่อพวกเจ้าต่างอยู่กันที่นี่ แล้วจะขาดพี่ใหญ่เช่นข้าไปได้อย่างไร”
เสียงดังกังวาน ดังออกมาก่อนจากอากาศ ก่อนที่บรรยากาศจะบิดเบี้ยวและเริ่มปรากฎชายวัยกลางคนสง่างามผู้หนึ่งออกมา
“อ้าวเทียน เจ้าตัวโอหัง หากเจ้ายังไม่เลิกเรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่ วันนี้ข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าสักเล็กน้อย”
หว่านถูกล่าวออกมาอย่างดุร้ายเมื่อมองไปยังอ้าวเทียนผู้ได้ฉายาว่าราชันสวรรค์
“ฮ่าๆ น้องเล็กเช่นเจ้าน่ะรึจะสั่งสอนข้า”
“บัดซบ ใครคือน้องเล็ก”
กระทิงเหล็กหว่านถูคำรามออกมาพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลเข้าใส่ราชันสวรรค์ บรรยากาศเริ่มคุกรุ่น แรงกดดันจากทั้งสองต่างเข้าปะทะกันจนเกิดแรงลมพัดกรรโชกไปทั่วบริเวณลานหน้าพระราชวัง
“จะผ่านมากี่ปีพวกเจ้าก็ยังคงทะเลาะกันเป็นเด็กเช่นเคย เจ้าทั้งสองก็อย่าเอาแต่ยืนมอง”
ตู่ยี่หลงในฐานะองค์จักรพรรดิและผู้จัดงานนี้จะปล่อยให้ทั้งคู่สร้างความวุ่นวายได้อย่างไร ส่วนผิงจู่และตูเซียนก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนที่ทั้ง 3 คนจะปลดปล่อยแรงกดดันเพื่อทานอำนาจพลังของทั้งสองมิให้กระจายออกไปหาผู้อื่น
พลังปราณ 5 สายเข้าปะทะกันก่อนเกิดเป็นการต้านทานอำนาจของกันและกันจนเหล่าผู้ที่มาร่วมงานต้องขนลุกซู่เมื่อเห็นภาพนี้
“อ่า 5 ยอดยุทธ์ ครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิ ตำนานแห่งยุคนี้”
บางคนอุทานออกมาอย่างตกตะลึง หลังจากสัมผัสได้ถึงลมปราณของทั้ง 5 คน
“ข้าได้ยินมาว่าประมุขของ 4 สำนักใหญ่นั้นก็ติดอยู่เพียงระดับนี้ มีเพียงเหล่าบรรพชนเท่านั้นที่เล่าลือกันว่าก้าวผ่านเข้าสู่ระดับปราณจักรพรรดิ”
หลายคนถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของตัวตนทั้ง 5 นี้ หนึ่งต้องรู้ว่าประมุขของ 4 สำนักใหญ่นั้นแม้จะอยู่ในระดับนี้ทว่าอายุของพวกเขาก้าวผ่าน 100 ปีไปนานแล้ว ทว่าทั้ง 5 คนนี้ยังอยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี การที่ตัวตนเหล่านี้ปรากฎตัวออกมา จะมิให้พวกเขาต้องสั่นสะท้านได้อย่างไร
“พอได้แล้วกระมัง หากมิเห็นแก่หน้าองค์จักรพรรดิเช่นข้า ก็ควรรักษาหน้าของสำนักพวกเจ้าไว้บ้าง ข้ามิได้เชิญพวกเจ้ามาเพื่อทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้”
ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง งานนี้เป็นงานสำคัญ การกระทำของทั้ง 2 คนที่ทะเลาะกันเหมือนเด็ก ย่อมไม่น่าดูสักเท่าไหร่นัก ตู่ยี่หลงนั้นได้รับรายงานบางอย่าง เพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเมืองหลวง ทำให้เขาต้องออกหน้าเชิญทั้ง 4 คนมาเข้าร่วมในงานนี้
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะ หากเจ้ายังคงกล่าวเช่นนั้นอีกข้าจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น” หว่านถูกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
“มิได้ๆ ข้าต้องขออภัยท่านกระทิงเหล็กผู้มีนามก้องโลกด้วย”
อ้าวเทียนกล่าวออกมา ก่อนจะสลายพลังปราณออกไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แม้จะเป็นถ้อยคำเหน็บแนม ทว่าหว่านถูก็เลิกใส่ใจกับอ้าวเทียนในทันที แม้ด้วยนิสัยอ้าวเทียนจะชอบยุแหย่ ทว่าตัวเขาก็รู้เมื่อใดควรจะหยุด ยิ่งครานี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญนัก
ทั้ง 5 คนต่างแยกย้ายกลับสู่ที่นั่งของสำนักตนที่ถูกจัดเตรียมไว้ ไม่นานเหล่าผู้เยาว์ที่ผ่านการทดสอบ ก็เริ่มเข้ามาภายในลานกว้างหน้าพระราชวัง ตามการนำของ 3 ผู้อาวุโส ทั้งตู่เว่ยและเทียนเจินเซียงถูกนำไปยังบริเวณที่นั่งพิเศษที่ถูกจัดไว้ให้กับผู้เยาว์ที่มีสิทธิ์ในการเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม
หลังจากทั้งสองนั่งได้ไม่นานก็ปรากฏบุคคล 3 คน อายุราว 25 ปีเดินมายังที่นั่งพิเศษตามลำดับ แน่นอนว่าเทียนเจินเซียงและตู่เว่ยต่างตกตะลึงมิน้อยกับระดับของทั้ง 3 คนที่แตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง การที่องค์จักรพรรดิเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก 3 สำนักใหญ่มีหรือพวกเขาจะมิเรียกร้องบางสิ่ง และแน่นอนนั่นคือการส่งศิษย์หลักเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม
เทียนเจินเซียงจ้องมองไปยังทั้ง 3 คนอย่างระวัง แม้ทั้ง 3 คนจะเพียงนั่งนิ่งเงียบมิพูดจา ทว่าต่างคนต่างแผ่พลังปราณออกมากดดันกันอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าทั้ง 4 สำนักใหญ่ต่างมิได้เป็นมิตรกัน ดังนั้นศิษย์หลักของพวกเขาจึงคอยจะแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่ทั้ง 3 คนเห็นตู่เว่ยและเทียนเจินเซียงเป็นเพียงเด็กอมมือมิควรค่าให้ใส่ใจ
เหล่าผู้เยาว์และผู้อาวุโสของตระกูลต่างๆ มองไปยังทั้ง 5 คนด้วยหลากหลายอารมณ์ ผู้เยาว์บางคนอิจฉาให้กับพรสวรรค์ของพวกเขา บางคนมองไปยังพวกเขาอย่างชื่นชม กระทั่งบางตระกูลยังถอนหายใจที่มิได้ผลิตอัจฉริยะเช่นนี้ออกมา
ทั้ง 5 คนต่างนั่งกันอย่างเงียบสงบมิมีผู้ใดเอ่ยวาจาใดออกมา ทว่าในบริเวณนั้นยังคงมีอีกสองที่นั่งที่ยังคงว่างอยู่ อยู่ๆ ตู่เว่ยมองไปยังเก้าอี้นั้นก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างรังเกียจ
“เจ้าเด็กสารเลวนั่นคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาสายเช่นนี้”
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น เด็กหนุ่มผู้ที่เรียกเสียงฮือฮาได้เพียงการปรากฎตัวก็มาถึง หยางอี้ในชุดรัดรูปสีฟ้าขลิบเทาเดินเข้ามายังลานกว้างอย่างสง่าผ่าเผย ด้วยการประลองเมื่อวานนี้ทำให้ตัวเขามิจำเป็นต้องปกปิดพลังอีกต่อไป การมาถึงของเขาย่อมเรียกสายตาของ 5 ตำนานให้หันมาสนใจได้มิน้อย เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีที่บรรลุระดับปฐพีขั้นที่ 2 นั้นอาจกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาในครั้งอดีต
ตู่ยี่หลงดวงตากระจ่างวาบเมื่อมองไปยังหยางอื้ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและตรงไปหาชายหนุ่มท่ามกลางความงุนงงของผู้ที่มองดูเหตุการณ์
“อ่า สหายน้อยเจ้าคงเป็นหยางอี้ ฮ่าๆ ชื่อเสียงของเจ้านั้นดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวงของข้าแล้ว”
หยางอี้มองไปยังบุคคลเบื้องหน้าอย่างงุนงง ก่อนจะสังเกตชุดที่ใส่และบรรยากาศสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมา ชายหนุ่มเข้าใจได้ทันทีก่อนจะนั่งลงชันเข่าหนึ่งข้างแล้วกล่าวอย่างสุภาพ
“คารวะองค์จักรพรรดิ เป็นวาสนาที่ผู้เยาว์ได้พบกับพระองค์เช่นนี้ สำหรับหลายๆเรื่อง ผู้เยาว์ได้แต่กล่าวขอบพระทัยแล้ว”
“ฮ่าๆ มิได้ๆ อย่าได้คิดมาก อัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นเจ้าคู่ควรที่จะได้รับการส่งเสริม”
ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาก่อนจะพยุงหยางอี้ให้ลุกขึ้นท่ามกลางความงุนงงของผู้ที่พบเห็น ไม่เว้นแม้กระทั่ง 4 ตำนานที่นั่งมองอยู่ ไม่นานอ้าวเทียนที่ได้รับรายงานจากผู้อาวุโสก็ทะยานเข้ามาปรากฏตัวด้านข้างหยางอี้ทันที ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างมีความสุข
“ฮ่าๆ เจ้าคงเป็นศิษย์ใหม่ในปีนี้ นับว่าวิหารสรรค์นั้นโชคดีเป็นอย่างยิ่ง”
ด้วยคำกล่าวอันดังก้องของอ้าวเทียนทำให้อีก 3 คนที่เหลือได้แต่กัดฟันกรอดให้กับความโชคดีของวิหารสวรรค์ ทว่าท่ามกลางความเสียดายนั้น ยังคงมีอีกหนึ่งสายตาที่มุ่งร้ายมายังหยางอี้ด้วยความริษยาที่มากล้น เขาคือตู่เว่ย
“ขออภัยผู้อาวุโส ท่านคือ?” หยางอี้กล่าวออกมาด้วยความสงสัย ทำให้อ้าวเทียนคิ้วกระตุก มิใช่เป็นเพราะหยางอี้มิรู้จักเขา แต่เป็นเพราะเสียงหัวเราะที่ดังลั่นของหว่านถูที่ดังมาจากด้านหลัง
“นั่นคือ ราชันสวรรค์อ้าวเทียนแห่งวิหารสวรรค์”
ตู่ยี่หลงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา ทำให้หยางอี้สั่นสะท้านเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของ 5 ตำนานมาบ้าง ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอตัวจริง
“คารวะผู้อาวุโสอ้าว”
“ฮ่าๆ มิต้องมากความเจ้าหนู หลังจากเข้าสำนักแล้วหากพบปัญหาเจ้าสามารถมาหาข้าได้”
“ขอบคุณขอรับผู้อาวุโส”
หลังจากนั้นหยางอี้ก็อำลาทั้งสองก่อนจะไปนั่งยังที่ของตนและพูดคุยกับเทียนเจินเซียงเล็กน้อย
“ตู่ยี่หลง แม้เจ้าหนูนั่นจะมากความสามารถและได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสเหล่ยโหลว ทว่าสิ่งที่เจ้าทำดูจะมากเกินไปหน่อยนะ”
อ้าวเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกมา ตัวเขากับตู่ยี่หลงนับได้ว่ามีสัมพันธ์ที่ดี จึงไม่แปลกที่จะมองเห็นสิ่งผิดปกตินี้
“เฮ้อ อ้าวเทียน มีบางอย่างที่ข้ามิสามารถพูดได้ ทว่าเจ้าควรรู้ไว้ว่าเบื้องหลังของเจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา”
ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาพร้อมกับนึกย้อนไปในวันที่หยางอี้ก้าวเท้าเข้ามาภายในเมืองหลวง แน่นอนว่าตัวเขาที่เป็นถึงองค์จักรพรรดิมิมีความจำเป็นต้องใส่ใจหยางอี้ขนาดนี้ แม้จะมีชื่อของเหล่ยโหลวเข้ามาเกี่ยวข้อง ทว่าราชวงศ์นั้นก็มิได้อ่อนแอขนาดต้องคอยเอาใจเด็กน้อยเช่นนี้ ทว่าก็นับเป็นโชคดีที่มีชื่อของเหล่ยโหลวให้ใช้กล่าวอ้าง หากมิเช่นนั้นด้วยนามของจักรพรรดิ ตัวเขาเองคงจะเสียหน้ามิใช่น้อยที่กระทำการเช่นนี้
ย้อนกลับไปในวันนั้น ณ ห้องบรรทมของเขา ค่ำคืนที่เกิดสงครามขึ้นระหว่างตระกูลจุยและตระกูลหวัง มีชายชราในชุดขาวผู้หนึ่งใส่หมวกฟางใบเก่าๆปรากฎตัวต่อหน้าเขา ชายชราผู้ทำให้องค์จักรพรรดิเช่นเขาต้องหมอบกราบ ชายชราผู้ทิ้งคำพูดไว้เพียงหนึ่งประโยคพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันออกมาเพียงชั่วอึดใจ และคำพูดนั้นได้สลักลงลึกในความทรงจำของเขาอย่างมิมีวันลืมเลือน
“หากศิษย์ข้าเป็นอะไรไป ข้าจะลบจักรวรรดิแห่งนี้ออกจากแผนที่ทวีปจันทร์กระจ่างซะ”
คำกล่าวว่าจะลบจักรวรรดิออกจากแผนที่ทวีป คำกล่าวนี้ช่างดูโอ้อวดเกินไป ทว่าสิ่งที่สำผัสได้ จิตใจของเขาร่ำร้องว่าชายชราผู้นี้มีความสามารถพอจะทำมันได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นตู่ยี่หลงที่ได้รับข่าวก็เร่งส่งกองทัพไปยังที่เกิดเหตุทันที อาจจะดูเหมือนไปเพื่อหยุดสงคราม ทว่าความจริงกองทัพนั้นกลับถูกส่งไปเพื่อกำจัดทุกคนที่คิดจะสังหารหยางอี้ และหลังจากนั้นตัวเขาได้ส่งผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้ามองหยางอี้อยู่ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย โดยที่เด็กหนุ่มมิได้รู้ตัวเลยเสียด้วยซ้ำ
จากคำกล่าวของชายชรา ตู่ยี่หลงนั้นเข้าใจได้ หยางอี้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวและคนสุดท้ายของเขา แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะมีความสามารถและอาจารย์ของเขาต้องการให้เติบโตขึ้นจากประสบการณ์ด้วยตนเอง ทว่า อย่างไรหยางอี้ก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หากเขาบังเอิญไปยั่วยุให้กับบางคนที่สามารถฆ่าเขาได้เพียงพลิกฝ่ามือเข้า จะทำอย่างไร โลกนี้เต็มไปด้วยจิ้งจอกเฒ่าที่มากเล่ห์กล จะอย่างไรเด็กอายุ 16 ปียังไม่มีความสามารถเพียงพอจะต่อกรกับศัตรูทั้งหมดได้ ชายชรานั้นกล่าวว่า ตัวเขามีบางสิ่งที่ต้องทำ จึงมิอาจเฝ้าดูเจ้าเด็กนี่ได้ ทว่าเขาก็มิได้อยู่ห่างจากที่นี่มากนัก ก่อนจากไปชายชราได้ทิ้งบางอย่างไว้ให้เป็นการตอบแทนในครั้งนี้ และสิ่งนั้นทำให้ตู่ยี่หลงต้องหัวใจสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น มันคือ โอสถระดับจักรพรรดิ!!
ทั้งคำขู่และสิ่งตอบแทน ทำให้ตู่ยี่หลงคอยดูแลหยางอี้เป็นอย่างดี ทว่าก็มิได้ก้าวก่ายเด็กหนุ่มมากเกินไป เพียงเฝ้าระวังความปลอดภัยให้เท่านั้น และตัวเขากระทั่งมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจเช่นกันในตอนนี้ และโอกาสเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ หากมิคว้าโอกาสนี้ในการเชื่อมสัมพันธ์กับหยางอี้ด้วยเบื้องหลังของเขาเช่นนี้ ตู่ยี่หลงคงได้แต่เสียใจไปตลอดชีวิต
ภายในบริเวณที่นั่งรับรองผู้มีสิทธิ์เข้าสู่พระราชวังต้องห้าม 3 ผู้เยาว์และ 3 บุรุษ ผู้เป็นดั่งดวงดาวที่สร้างความริษยาให้กับผู้อื่นต่างนั่งกันอย่างนิ่งเงียบเพื่อรอเวลา จะมีบ้างก็เพียงหยางอี้ที่พูดคุยกับเทียนเจินเซียงเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ผิดแปลกไปอย่างสิ้นเชิงคือความกดดันจากบุรุษทั้ง 3 คนต่างมุ่งตรงมายังหยางอี้ ด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาต่างต้องการทดสอบเด็กหนุ่มผู้นี้
“ข้าขอขอบคุณพวกท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ ขอบคุณที่พวกท่านต่างให้เกียรติมาเป็นพยานในการเปิดพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ แต่ก่อนหน้านั้นทางสำนักวิหารสวรรค์จะมีการมอบรางวัลสำหรับ 3 อันดับแรกของศิษย์ใหม่ในปีนี้เสียก่อน”
วูปปป
ทันทีที่ตู่ยี่หลงกล่าวจบอ้าวเทียนก็ปรากฎกายขึ้นในทันที ก่อนจะเริ่มประกาศเรียกนามของผู้ได้รับอันดับที่ 3 ในการประลองจัดอันดับเพื่อมารับรางวัล
“อันดับที่ 3 หยางอี้”
หยางอี้ค่อยๆลุกขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คน เด็กหนุ่มผู้นี้สามารถจัดการข่งเย่หลงได้ ทำให้มีหลายคนคาดเดาว่าหากเขาไปประลองต่อในรอบสุดท้ายไม่แน่ว่าตัวเขาจะได้รับอันดับ 1 ในครั้งนี้ ตู่เว่ยนั้นแน่นอนว่าหลังจากอวิ้นหลานสละสิทธิ์และข่งเย่หลงบาดเจ็บสาหัสทำให้เขาได้อันดับ 1 ไปโดยปริยาย และสำหรับเทียนเจินเซียงแม้จะพ่ายแพ้ทว่าก็เป็นเช่นเดียวกับตู่เว่ย หลังจากมีการสละสิทธิ์เกิดขึ้น ทำให้ตัวเขาเองได้รับอันดับที่ 2 ในการประลองครั้งนี้
หยางอี้เดินตรงไปยังเวทีด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะประสานมือคารวะทั้ง 2 อีกครั้ง โดยอ้าวเทียนเป็นผู้มอบรางวัลให้กับชายหนุ่ม แน่นอนว่าของรางวัลนั้นต่างทำให้เหล่าผู้เยาว์ต้องร้องโอดโอยด้วยความอิจฉาและสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่ออ้าวเทียนได้มอบบางอย่างที่สั่นสะท้านจิตใจผู้คนให้กับชายหนุ่มเป็นการพิเศษ
หยางอี้เก็บทุกสิ่งเข้าสู่แหวนมิติทันทีก่อนจะกลับไปนั่งยังที่ของตน นอกจากเทียนเจินเซียงแล้ว แน่นอนว่าอีก 4 คนที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉา
กระบวนการทั้งหมดผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่นานองค์จักรพรรดิก็ทรงประกาศว่าจะเริ่มพิธีเปิดพระราชวังต้องห้ามในอีกไม่นาน ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้คน บนท้องฟ้าได้ปรากฏรถลากหนึ่งคันที่ถูกลากด้วยอาชาคู่สีขาว
หัวใจผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อมองไปยังอาชาคู่นี้ที่เหยียบย่างอยู่บนอากาศอย่างสง่างาม
“อาชาสวรรค์”
บางคนเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง รถลากนี้ถูกลากให้บินวนอยู่เหนือลานหนึ่งรอบก่อนจะทะยานลงสู่พื้นดินด้านหน้าบริเวณขององค์จักรพรรดิ เมื่อประตูรถถูกเปิดขึ้น สตรีนางหนึ่งก้าวลงมาอย่างแช่มช้า เพียงใบหน้าอันงดงามนั้นก็เพียงพอที่จะสะกดสายตาของทุกคนให้หลงใหลนางจนหมดใจ
“คารวะเสด็จพ่อเพคะ”
“หลินเอ๋อร์ นี่งานสำคัญเจ้ายังมาสาย ข้ามิน่าตามใจเจ้าจนเสียคน”
ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาอย่างยิ้มๆ จะอย่างไร ตู่หลินก็นับเป็นดังหัวแก้วหัวแหวนของเขา บุตรสาวคนเล็กที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเขาอย่างล้นเหลือ
“เอาล่ะ ไปนั่งที่ของเจ้าได้แล้ว อีกไม่นานจะได้เวลาแล้ว”
“เพคะ เสด็จพ่อ”
เด็กสาวผู้งดงามในชุดรัดรูปสีชมพูเดินตรงมายังบริเวณที่พวกหยางอี้นั่งอยู่ ก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ แม้ภายนอกจะดูงดงามเพียงใด ทว่าบรรยากาศโดยรอบตัวนางที่แผ่ออกมานั้น เต็มไปด้วยความดุดัน อีกทั้งสัมผัสนี้คือ ปฐพีระดับ 3 เช่นเดียวกับ เจินเซียงและตู่เว่ย
“มิเจอกันเสียนาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้างน้องเล็ก”
ตู่เว่ยกล่าวออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย ความงดงามของตู่หลินมิได้สั่นคลอนเขาเลยแม้แต่น้อย ด้วยความอิจฉาริษยาของเขา ตู่หลินเองก็นับเป็นก้างชิ้นใหญ่ในการขึ้นเป็นจักรพรรดิรุ่นต่อไป
“ข้าสบายดี ขอบคุณพี่ 9 ที่เป็นห่วง”
ตู่หลินตอบออกมาก่อนจะหันหน้าไปมองหยางอี้เล็กน้อยด้วยสายตาแปลกประหลาด และแค่นเสียงออกมาก่อนจะหันกลับไป
“ฮึ!”
หยางอี้กลายเป็นงุนงง ก่อนจะหันหน้าไปมองเจินเซียงที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสายตาว่า ข้าทำอะไรไม่ถูกใจนาง?
การมาถึงของตู่หลินสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก ด้วยอายุที่เท่าเทียมกับหยางอี้อีกทั้งระดับปราณยังสูงกว่าหยางอี้ที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาดในความคิดพวกเขา จะมิให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนเป็นเด็กสาวผู้งดงามนี้อย่างสิ้นเชิง
“ข้าได้ยินว่า องค์จักรพรรดิมีธิดาองค์เล็กอยู่ เมื่อ 5 ปีก่อนนางเคยออกมาสร้างชื่อภายในเมืองหลวงจนผู้คนต่างจดจำชื่อให้กับเด็กน้อยที่แข็งแกร่งและดุดันราวกับลูกของพยัคฆ์ แต่นั่นก็เพียงเวลาไม่นานก่อนที่นางจะหายตัวไป นางจะต้องเป็นเด็กน้อยในตอนนั้นอย่างแน่นอน องค์หญิง14”
ผู้อาวุโสบางคนกล่าวออกมาเมื่อย้อนไปยังอดีต องค์หญิง 14 ในปีนั้น เป็นเพียงเด็กน้อยตัวจ้อย ทว่าความสามารถของนางนั้นมิได้อ่อนด้อยตามตัวแม้แต่น้อย เด็กสาวตัวน้อยที่ออกตระเวนท้าประลองกับศิษย์สายนอกของสำนักภายในเมืองหลวง แม้จะมีหลายคนไม่กล้าลงมือกับนางทว่าความจริงกลับพลิกอย่างหมดรูป เพราะเป็นเด็กน้อยคนนั้นที่จะต้องยั้งมือเมื่อเริ่มการประลอง
เสียงพูดคุยต่างเต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีหลายคนถกเถียงกันถึงความแข็งแกร่งของตู่หลินและหยางอี้ ทว่าบทสรุปก็มิได้เกิดขึ้นหากทั้งสองมิได้ประมือกัน
ด้านตู่ยี่หลง หลังจากการปรากฏตัวของตู่หลิน ใบหน้าของเขาล้วนมีแต่ความสุขหลังมองไปยังใบหน้าที่แสดงออกถึงความอิจฉาของตำนานอีก 3 คน ส่วนอ้าวเทียนนั้นยังคงมีความสุขเช่นกันเมื่อได้รับอัจฉริยะเช่นหยางอี้มาไว้ในมือ ดูท่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีเพียงราชวงศ์และวิหารสวรรค์แล้วที่เพียงพอจะประชันหน้ากันในศึกสุดท้าย
“ฮึ่ม พวกเจ้าหัวเราะไปเถอะ ตำแหน่งยอดยุทธ์รุ่นเยาว์นั้นยังเร็วไปสำหรับพวกเขา มาดูกันว่าอีก 3 เดือนข้างหน้าพวกเขาจะไปได้สักเท่าไหร่ หากว่าเจ้าทั้งสองกล้าส่งมาเป็นตัวแทนน่ะนะ ฮ่าๆๆๆ”
คำพูดของหว่านถูทำให้ 2 คนที่ประสบชะตาเดียวกันพลันมีสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง และเป็นอ้าวเทียนกับตู่ยี่หลงที่ต้องคิ้วกระตุกกับคำท้าทายนี้ หากพูดถึงอีก 3 เดือนข้างหน้านั้น คงจะเป็นอะไรไปมิได้ นอกจากงานประลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเมฆาหวนแห่งนี้ งานประลองที่ถูกจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี งานประลองที่เป็นดั่งสนามต่อสู้ของเหล่าอัจฉริยะที่ต้องการก้าวสู่จุดสูงสุด และยืนอยู่เหนือผู้อื่น ศึกชิงตำแหน่งยอดยุทธ์รุ่นเยาว์
เรื่องนี้มิใช่ว่าจะตัดสินใจได้ในทันที เพราะในงานนี้ต่างเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจากทั่วทั้งจักรวรรดิ ยังเร็วไปที่หยางอี้และตู่หลินจะเข้าร่วม เพราะส่วนใหญ่แล้วเหล่าผู้เยาว์จะเข้าร่วมเมื่ออายุ 19 – 20 ปีที่เป็นขีดจำกัดของอายุ
ตู่ยี่หลงเลิกสนใจคำพูดของหว่านถู ก่อนจะลุกขึ้นยืน และประกาศออกมาด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
“บัดนี้ได้เวลาเปิดพระราชวังต้องห้ามแล้ว ขอให้ผู้เข้าร่วมทั้ง 6 คนออกมาเตรียมพร้อมด้านหน้า”
ภายใต้ร่มเงาอันยิ่งใหญ่ของประตูสีทองที่กั้นขวางอยู่ระหว่างกำแพงที่ทอดยาวออกไป 6 บุรุษและ 1 เด็กสาวต่างยืนรอคอยอย่างตื่นเต้น ทางราชวงศ์กำหนดให้เพียงผู้เยาว์เท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าสู่พระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้ และทั้ง 7 คนก็คือผู้ถูกเลือก
ภายใต้ประตูอันยิ่งใหญ่สีทอง ตู่ยี่หลงกล่าวคำพูดเล็กน้อยเพื่อให้ทั้ง 7 คนพยายามให้เต็มที่ในการแสวงหาโชคภายในพระราชวังต้องห้าม
บริเวณโดยรอบของลานหน้าพระราชวัง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังบุรุษเพียงคนเดียวที่อยู่ในชุดสีทอง ขณะองค์จักรพรรดิก้าวย่างไปยังบริเวณหน้าประตู ตู่ยี่หลงนำศิลาขนาดเล็กก้อนหนึ่งออกมา มันคือศิลาสีทองที่มีขนาดพอดีกับช่องกุญแจบนประตูทางเข้า
กึก กึก
ทันทีที่กุญแจถูกใส่เข้าไป ลำแสงสีทองถูกยิงออกมาจนสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ หลายคนต้องใช้มือบังไว้เพื่อมิให้แสงสีทองที่สว่างเกินไปนั้นส่องกระทบลูกตา
แกร่ก แกร่ก
บานประตูขนาดมหึมาขยับออกเล็กน้อย หน้าแปลกที่ประตูนี้ถูกปิดมากกว่าหลายร้อยปี ทว่าไม่มีแม้เพียงฝุ่นควันสักเล็กน้อยที่กระจายออกมายามประตูถูกเปิดออก
วูปปป
บานประตูเปิดออกเพียงครึ่งหนึ่งก่อนที่มันจะหยุดลง เมื่อมองเข้าไปภายในพระราชวัง ผู้คนเห็นเพียงแสงสีทองไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น แต่สิ่งนั้นยังมิอาจเทียบได้กับกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ และความเข้มข้นของพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ ที่เอ่อล้นทะลักออกมาจากประตู เหล่าตัวตนต่างๆรวมถึงผู้เยาว์หลายคนได้แต่อิจฉา นี่เพียงแค่เปิดประตูเท่านั้น มิมีผู้ใดสามารถคาดเดาออกว่าหากย่างก้าวเข้าไปภายในแล้วพวกเขาจะได้รับโชคที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
“อย่ามัวชักช้า ประตูนี้จะเปิดเพียง 10 ลมหายใจเท่านั้น และมันจะเปิดอีกครั้งในอีก 5 ชั่วยาม จงกลับให้ตรงเวลา ข้านั้นมิอาจรับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าได้” ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง ก่อนที่ทั้ง 7 คนจะพุ่งทะยานเข้าสู่พระราชวังด้านใน
ปัง!!
ประตูสีทองนั้นปิดลงทันทีหลังจากผ่านไป 10 ลมหายใจ ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดคงหนีมิพ้นเหล่า 5 ตำนานที่เฝ้ารอความสำเร็จของศิษย์พวกเขา เพียงคิดว่าเด็กพวกนี้จะได้รับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่จากพระราชวังนี้ ก็ทำให้หลายคนตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด
วูปปป
หยางอี้ลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากถูกบดบังด้วยแสงสีทองเมื่อเข้ามายังภายในประตูบานใหญ่ ชายหนุ่มทำได้เพียงตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า พระราชวังสีทองส่องประกายเรืองรองออกมาพร้อมกับกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ หยางอี้มองสำรวจไปรอบตัว ทว่าเขากลับไม่พบอีก 6 คนที่เหลือ
“ดูเหมือนแต่ละคนจะถูกส่งไปในพื้นที่ต่างกัน”
หยางอี้เดินสำรวจรอบนอกพระราชวังอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนจุดนี้จะเป็นทิศตะวันตกของตัวปราสาท บริเวณรอบนอกปราสาทหลัก ถูกโอบล้อมไปด้วยปราสาทน้อยใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น แม้สถานที่แห่งนี้จะถูกสร้างมากว่า 1000 ปีแล้วทว่าความเสื่อมโทรมกลับไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเข้ามาภายในหมู่ตึกที่หยางอี้เลือกจะเดินผ่านไปอย่างเจ็บปวดโดยมิสำรวจแม้แต่น้อย แม้จิตใจของเขาจะร่ำร้องไปด้วยความโลภก็ตาม ภายในพระราชวังนี้ ต่างมั่งคั่งไปด้วยสมบัติจากยุคอดีต ตั้งแต่อดีต หนึ่งคำสั่งของสำนักพิทักษ์ฟ้าคือการเซ่นไหว้ให้แก่ผู้ล่วงลับทุกปี และบางปีกระทั่งผู้อาวุโสคุมกฎก็ลงมาเองเพื่อเยี่ยมเยือนหลุมศพนี้
ทว่าเวลาเพียง 5 ชั่วยามไม่เพียงพอที่จะกอบโกยสมบัติทั้งหมดนี้ สิ่งแรกที่หยางอี้ต้องทำคือการเข้าสู่ตัวปราสาทหลักให้ไวที่สุด ตัวเขามิใช่เพียงคนเดียวที่มาที่นี่ ยังมีอีก 6 คนที่เป็นดั่งศัตรู การไปยังจุดหมายช้ากว่าผู้อื่นจะเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกโจมตี อีกทั้งตัวเขาเองต้องการวางแผนในการรับมือผู้อื่นเช่นกัน
และบางสิ่งที่ทุกคนได้รับจากการแนะนำของผู้อาวุโสสำนักตนนั้นคือสิ่งที่เป็นเป้าหมายในครั้งนี้ มันคือคัมภีร์ทักษะที่เคยออกมาโลดแล่นสร้างชื่อเสียงเมื่อหลายร้อยปีก่อน หนึ่งในสามทักษะลับของสำนักผู้อยู่เบื้องหลังทวีปแห่งนี้ ที่ถูกถือครองโดยผู้อาวุโสคุมกฎ ทักษะระดับจักรพรรดิ เก้าดาราสะบั้นภพ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามหยางอี้ก็มาถึงทางเข้าด้านหนึ่งของปราสาทหลัก ทางเข้านี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่น่าแปลกเมื่อภายนอกส่องสว่างไปด้วยแสงสีทองทว่าทางเข้ากลับมืดสนิทราวกับไร้ที่สิ้นสุด หยางอี้นำทวนออกมาก่อนจะโคจรเคลือบตะวันเข้าไปและอาศัยแสงนั้นในการนำทาง
ด้วยความระมัดระวัง ชายหนุ่มมิประมาทเลยแม้แต่น้อย สมาธิแน่วแน่พุ่งกระจายออกไปรอบตัวเพื่อสัมผัสสิ่งผิดปกติ ทว่าเดินเข้ามาเรื่อยๆมิรู้ผ่านมาแล้วนานเท่าไหร่ กลับไม่พบทางออก ด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยหยางอี้หยุดพักเล็กน้อยก่อนจะสังเกตไปยังด้านหน้าที่เริ่มมีหมอกควันบางๆเข้ามาปกคลุมไปทั่วพื้นที่
หยางอี้รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปสำรวจอย่างระมัดระวัง อย่างช้าๆ ชายหนุ่มก้าวเดินทะลุเข้าไปภายในหมอกควันก่อนจะหลุดออกมาอีกฝั่ง ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มต้องหน้าซีดเผือดในทันที มันคือนักรบโครงกระดูก 5 ตัวที่กำลังยืนจ้องมายังเขา กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นก็เป็นระดับปฐพีขั้นสูงแล้ว
หยางอี้เร่งโคจรพลังปราณเพื่อเตรียมพร้อมเข้าปะทะในทันที ทว่าก่อนที่จะได้เข้าปะทะเมื่อโครงกระดูกทั้ง 5 เดินแยกออกจากกัน เบื้องหลังมันปรากฏสตรีนางหนึ่งที่หมดสติถูกตรึงไว้กับผนังเหล็ก ทันทีที่เห็นใบหน้านั้นหยางอี้กลายเป็นนิ่งค้างในทันที ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างมิเชื่อสายตาตนเอง
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ไม่ทันได้เอ่ยคำต่อไป 1 ในโครงกระดูกพุ่งเข้าโจมตีเขาในทันที นักรบโครงกระดูกถือดาบเล่มใหญ่ฟาดฟันเข้าปะทะกับทวนโลหิตทมิฬอย่างดุเดือด ด้วยระดับพลังที่เหนือกว่าทำให้หยางอี้เสียเปรียบอยู่เล็กน้อย ทว่านั่นก็เป็นตอนที่จำกัดพลังปราณไว้เท่านั้น ด้วยความร้อนใจ หยางอี้ไม่รอช้าระเบิดพลังปราณสูงสุดออกมาและพุ่งเข้าจัดการนักรบโครงกระดูกในทันที
ปัง ปัง ปัง
นักรบโครงกระดูกถูกฟาดด้วยทวนโลหิตทมิฬอย่างเต็มแรง ในที่สุดชิ้นส่วนร่างกายมันก็กระจัดกระจายไปตามพื้นก่อนจะล้มลงพร้อมๆกับดวงไฟสีเขียวจางๆที่อยู่ในเบ้าตาได้มอดดับไป
กี้ กี้ กี้
เมื่อเห็นว่านักรบโครงกระดูกตัวแรกถูกจัดการลงอย่างง่ายดาย ทำให้อีกสี่ตัวที่เหลือคำรามออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะเข้าหาหยางอี้หมายจะเอาชีวิตชายหนุ่มให้จงได้
ปัง ปัง ปัง
การปะทะกันเป็นไปอย่างดุเดือด ทั่วร่างของหยางอี้เต็มไปด้วยรอยบาดแผล การรับมือกับนักรบโครงกระดูก 4 ตัวพร้อมกันนับว่าลำบากมิใช่น้อย แม้จะมีอาวุธระดับสูงอยู่ในมือ ทว่าโครงกระดูกพวกนี้กลับโจมตีสอดประสานกันเป็นอย่างดี
แฮ่ก ๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หยางอี้ก็ล้มนักรบโครงกระดูกตัวสุดท้ายลงได้ ชายหนุ่มที่ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนและเลือด ลุกขึ้นเดิน หลังจากนั่งพักสักเล็กน้อย เพื่อเข้าไปหาสตรีที่หมดสติอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าอันงดงามที่คุ้นเคย กับสภาพของนางที่เป็นอยู่ ทำให้ชายหนุ่มอดรู้สึกเจ็บปวดที่ภายในมิได้
เมื่อหยางอี้เดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า นางค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆเพื่อมองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยเช่นกัน สองสายตาสอดประสาน ลึกลงไปภายในใจของหยางอี้ความคิดต่างๆมากมายผุดขึ้นมาในทันทีเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า แรงใจของชายหนุ่มกลับแปรเปลี่ยนพุ่งทะยานขึ้นสูงเทียมฟ้าเพื่อโหยหาความแข็งแกร่ง หากอ่อนแอจะมิสามารถปกป้องผู้ใดได้นั่นคือกฎของโลกใบนี้
หยางอี้ยื่นมือออกไปหวังจะสัมผัสใบหน้าของนาง ทว่ากลับมีเสียงบางอย่างดังขึ้นจากส่วนลึกในจิตใจของเขา
“ไอ้หนู อย่าได้ผิดพลาดกับเรื่องโง่เง่าเช่นนี้” หยางอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจดจำได้ว่าเสียงนี้คือเสียงโบราณที่เขาเคยพบเมื่อเข้าสู่มิติพิเศษในครั้งแรก
“ข้ารู้ เพียงแต่...”
ด้วยอารมณ์อันหลากหลายชายหนุ่มกัดฟันหลับตาลงก่อนจะใช้ทวนโลหิตทมิฬแทงเข้าไปยังหน้าอกของสตรีเบื้องหน้า
“ท ทำไม เจ้าถึงรู้ได้”
เสียงอันหวานใสค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่าก่อนที่ร่างของสตรีเบื้องหน้าจะค่อยๆแตกร้าวออกกลายเป็นเพียงโครงกระดูกดังเช่นอีก 5 ตัวก่อนหน้านี้
“มนุษย์นั้นมีบางสิ่งที่เชื่อมถึงกัน...บางสิ่งที่ไม่สามารถปลอมแปลงได้”
หยางอี้พูดขึ้นพร้อมๆกับที่แสงสว่างสีทองสว่างวาบไปทั่วบริเวณก่อนที่ชายหนุ่มจะมาปรากฎตัวอีกครั้งที่หน้าประตูสีทองบานหนึ่ง
“นับว่าใช้ได้ แม้จะตกอยู่ภายใต้หมอกมายาเจ้าก็ยังคงมิเสียท่า”
เสียงลึกลับดังขึ้นเพื่อปลุกสติของหยางอี้ที่จมอยู่กับความรู้สึกอันหลากหลาย
“ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นเพราะอะไร ว่าแต่ท่านเถอะทำไมถึงพูดคุยกับข้าได้”
หยางอี้นั้นสงสัยไม่น้อย หากจะให้พูดตัวเขานั้นเข้าใจมาตลอดว่าเสียงลึกลับนั้นเป็นเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของบางอย่างที่สถิตอยู่ภายในมิติพิเศษ ทว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่ในโลกภายนอกกลับพูดคุยกันได้อย่างไร
“ฮ่าๆ ข้านั้นเพียงเบื่อการนอนและอยากออกมาชมดูโลกภายนอกบ้าง”
“ไม่ใช่ท่านเคยบอกว่าท่านต้องฟื้นคืนพลังหรอกหรือ”
“ฮี่ๆ นั่นก็จริง แต่เป็นเพราะผลท้อนั้นทำให้ข้าได้รับพลังกลับมาบางส่วน เพื่อเป็นการตอบแทนข้าอาจจะช่วยแนะนำเจ้าได้หนึ่งหรือสองอย่าง”
เสียงลึกลับกล่าวออกมาอย่างขี้เล่น
“แนะนำข้า? ท่านพูดจริง?”
หยางอี้กล่าวถามออกมาพร้อมกับดวงตาที่ลุกวาว ครั้งแรกนั้นหยางอี้ได้รับทักษะย่างก้าวมายาสวรรค์มา และคราวนี้แน่นอนว่าการแนะนำของเสียงลึกลับจะต้องให้ประโยชน์แก่เขาอย่างมาก
“ฮ่าๆ อย่าได้ใจร้อนนัก เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้รับมันเอง”
หยางอี้ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับประตูสีทองเบื้องหน้า ชายหนุ่มเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังก่อนจะค่อยๆเปิดประตูอย่างช้าๆโดยมิลืมโคจรทักษะซ่อนจันทร์เพื่อปิดบังตนเอง
แอด.....
หยางอี้ก้าวผ่านเข้ามาภายในประตู สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขานั้นผิดไปอย่างมากจากที่คิด เบื้องหน้านั้นปรากฎเป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรแปลกประหลาดที่แผ่กลิ่นอายบริสุทธิ์ออกมาอย่างเข้มข้น
“โอ ทรัพยากรเหล่านี้กระทั่งบริสุทธิ์กว่าลูกท้อสีทอง”
หยางอี้ที่ดวงตาลุกวาวค่อยๆสำรวจพื้นที่โดยรอบก่อนที่ตัวเขาจะเดินทะลุมายังศิลาหินขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางทางไปยังกึ่งกลางสวนหย่อมนี้
หยางอี้อ่านข้อความบนศิลาอย่างตั้งใจ ซึ่งเนื้อความนั้นเป็นการกล่าวถึงความผิดพลาดขององค์ชายผู้โง่เขลาที่เกือบจะทำให้ราชวงศ์ต้องล่มสลาย ชายหนุ่มพลันเข้าใจถึงเบื้องหลังพระราชวังแห่งนี้ในทันที หยางอี้ยังคงสำรวจบริเวณรอบศิลานี้อย่างระมัดระวัง
ปัง!
ตูม!
เสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากอีกฟากของสวนนี้ ทำให้หยางอี้เร่งเคลื่อนตัวไปยังจุดที่เกิดการปะทะทันที ด้วยทักษะด้านความเร็วอันสูงล้ำ ทำให้ไม่นานหยางอี้ก็มาถึงจุดปะทะ เบื้องหน้านั้นปรากฏเป็นบุรุษ 2 คนกำลังยืนปะทะกันอยู่ ทั้งสองนั้นเป็นศิษย์จากป้อมปฐพีและปราการอัคคี หยางอี้เห็นการต่อสู้ได้แต่สูดหายใจเฮือกใหญ่ หากตัวเขาได้พบกับทั้งสองนี้ดูเหมือนตราประทับราชันคือสิ่งเดียวที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้ พลังปราณปฐพีระดับสูงอีกทั้งศาสตราวุธปฐพีขั้นสูง แน่นอนว่าความสามารถของพวกนักรบโครงกระดูกก่อนหน้านี้มิอาจเทียบกับทั้งสองคนนี้ได้เลย
หยางอี้ที่ซุ่มดูอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่ถูกประดับไว้ในสวน เริ่มกระจายสัมผัสไปรอบบริเวณเพื่อสำรวจดูว่ายังมีคนอื่นซุ่มอยู่อีกหรือไม่
“ดูเหมือนจะมีอีกคนอยู่ทางด้านนั้น”
ชายหนุ่มพึมพำขึ้นพร้อมกับมองไปยังศิลาหินที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะพลิ้วกายหายไปเพื่อตรงไปยังศิลาก้อนนั้น วูปป ร่างของชายหนุ่มพลันไปปรากฏด้านหลังของผู้ที่แอบอยู่
ชิ้ง!
หมับ!
คมกระบี่ถูกชักออกจากฝักทันทีที่สัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ด้านหลังทว่าก็ยังคงช้าไปสำหรับหยางอี้อยู่ดี ชายหนุ่มใช้มืออันหยาบกร้านจับไปยังข้อมืออันอ่อนนุ่มของผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
“เจ้า!”
อิสตรีเจ้าของเสียงนั้นมิใช่ใคร นางคือตู่หลิน ด้วยความประหลาดใจนางอดไม่ได้ที่จะทำหน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ ก่อนจะเก็บกระบี่เข้าฝัก หยางอี้เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ปล่อยมือจากนางก่อนจะเอ่ยปากขออภัย
“ข้าต้องขออภัยแม่นางด้วย”
“เฮอะ”
ตู่หลินแค่นเสียงออกมาก่อนจะหันหน้ากลับไปมองยังฉากการต่อสู้ของสองศิษย์จากสำนักใหญ่
***
ตูม!
บึ้ม!
ภายนอกพระราชวังต้องห้าม บรรยากาศครื้นเครงก่อนหน้านี้ถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบอย่างกลับตาลปัตร กลิ่นคาวเลือดคลุ้งกรุ่นไปทั่วลานกว้าง บริเวณรอบนี้ผู้คนต่างหลบหนีการโจมตีกันจ้าละหวั่น
“สมกับเป็น 5 ตำนานที่ร่ำลือกันจริงๆ”
บุรุษผู้อยู่ในชุดดำกล่าวออกมาด้วยเสียงขี้เล่นเมื่อมองไปยังชายวัยกลางคนทั้ง 5 ที่ยืนประจันอยู่เบื้องหน้า
“ตู่ยี่หลง นั่นมิใช่ตระกูลอำมาตย์ของราชวงศ์เจ้าหรอกรึ?”
หว่านถูกล่าวถามออกมา ทำให้ใบหน้าของตู่ยี่หลงเต็มไปด้วยความโกรธก่อนจะสบถออกมา
“ตัวเดรัจฉานพวกนี้เลี้ยงไม่เชื่อง ข้านั้นได้มอบโอกาสที่สองให้ ทว่ามันยังคงทำผิดเช่นเดิม”
“ฮี่ๆ เรื่องนั้นพวกเจ้าค่อยไปคุยต่อกันในนรกดีกว่ามั้ง”
เสียงเล็กแหลมดังออกมาจากบุรุษในชุดคลุมอีกคนหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีหว่านถู ตู่ยี่หลงได้แต่ถอนหายใจเมื่อมองไปยังสัญลักษ์ตัวอักษรสีแดงดั่งโลหิตที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง
มารทลายฟ้า!!
***
กลับมาภายในพระราชวังต้องห้าม หยางอี้ตู่หลินนั้นเลือกที่จะไม่สนใจการต่อสู้ของศิษย์จากสองสำนัก ทั้งคู่เดินลึกเข้าสู่ใจกลางสวนหย่อมเพื่อจะสำรวจพื้นที่แห่งนี้
หลังจากที่ทั้งสองเดินตรงลึกเข้ามาได้ไม่นานเบื้องหน้าทั้งคู่ก็ปรากฏเป็นโดมขนาดใหญ่ หยางอี้และตู่หลินเดินสำรวจได้มินานก็พบกับทางเข้า ภายในโดมเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกประดับด้วยอัญมณีส่องแสงหลากสีสัน ตรงใจกลางปรากฏเป็นโลงศพสีทองสองอันตั้งคู่กันอยู่ โดยช่องว่างระหว่างโลงศพนั้นเป็นแท่นหินขนาดเล็กที่ตั้งรองรับบางสิ่งอยู่ บางสิ่งที่เป็นเป้าหมายของทุกคนที่เข้ามาในครั้งนี้
“คัมภีร์ทักษะ!”
หยางอี้อุทานออกมาขณะมองไปยังดวงแก้วสีใสที่ภายในอัดแน่นไปด้วยตัวอักษรสีทองวิ่งวนกันไม่หยุดหย่อน หยางอี้และตู่หลินหันหน้ามามองกันเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งทะยานสู่ส่วนกลางของโถง
เช้ง!
กระบี่หยกถูกชักออกมาก่อนจะกระโจมสกัดการเคลื่อนไหวของหยางอี้ ด้วยความคล่องตัวชายหนุ่มพลันหมุนตัวเล็กน้อยก่อนสวนกลับด้วยทวนโลหิตทมิฬ
การสกัดกั้นกันไปมาของทั้งสองทำให้ไม่มีใครร่นระยะทางเพื่อเข้าใกล้คัมภีร์ได้ หากหนึ่งคนคิดจะถอยหนีอีกคนจะบุกจู่โจมในทันที แม้การต่อสู้จะไม่รุนแรงทว่าก็ไม่มีผู้ใดปล่อยให้อีกฝ่ายได้เปรียบเช่นกัน
“เจ้า เจ้า เจ้า หลีกไปเดี๋ยวนี้นะ”
ตู่หลินกล่าวออกมาอย่างโมโหอีกครั้ง และอีกครั้งที่ถูกชายหนุ่มเบื้องหน้าเข้ามาขวางทาง
“แม่นางน้อย ข้านั้นก็ต้องการคัมภีร์นั้นเช่นกัน ท่านจะหลีกทางให้ข้าได้หรือไม่” หยางอี้กล่าวออกมาจากใจจริง ตัวเขานั้นถือว่ามีสัมพันธ์อันดีกับตู่ยี่หลง จึงมิอยากกระทำรุนแรงกับตู่หลิน ทว่าอีกฝ่ายกลับคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้กำลังหยอกล้อนางอยู่
“แม่นางน้อยบ้านเจ้าสิ ไม่ใช่ว่าเจ้าอายุเท่ากับข้างั้นรึเจ้าบ้า”
ตู่หลินกล่าวออกมาพร้อมกับกระทืบเท้าด้วยความโมโห ก่อนจะเข้าโจมตีหยางอี้อีกครั้งด้วยหวังจะสั่งสอนชายหนุ่มสักเล็กน้อย
หยางอี้ที่รับการโจมตีของตู่หลินนั้นเริ่มที่จะมีอารมณ์เล็กน้อย การปะทะกันของทั้งคู่ที่เหมือนเด็กเล่นนั้นสร้างความรำคาญให้ชายหนุ่มไม่น้อย ทว่าตัวเขาก็มิใช่ฝ่ายเดียวที่คิดเช่นนั้น ทั้งคู่แยกจากกันชั่วขณะก่อนที่จะระเบิดพลังปราณออกมาเพื่อเตรียมพร้อมในการต่อสู้อย่างจริงจัง
“ฮึ่ม เจ้าบังคับข้าเองเรื่องนี้เสด็จพ่อจะมาตำหนิข้าไม่ได้”
ตู่หลินคำรามออกมาพร้อมตั้งท่าเตรียมเข้าปะทะ ตัวนางที่เป็นดั่งความภูมิใจของราชวงศ์ในยุคนี้ มิมีความคิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆ พวกเจ้านี่ตลกดีจริงๆ”
การต่อสู้ของทั้งสองกลายเป็นชะงักก่อนจะหันหน้าไปมองยังเจ้าของเสียง ก่อนที่จะกลายเป็นตกตะลึงเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือบุรุษหนุ่มในชุดรัดรูปสีขาวที่ร่างกายจางจนสามารถมองทะลุไปยังเบื้องหลังได้กำลังลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ
“เฮ้ๆ การมองแบบนั้นมันเสียมารยาทนะ” ทั้งคู่พลันได้สติขึ้นมา ก่อนที่ หยางอี้จะกล่าวถามออกมาอย่างสุภาพ
“ท่านเป็นใครขอรับ”
“ข้าคือผู้ปกครองสุสานแห่งนี้ หากเดามิผิดพวกเจ้าคงมาเพื่อคัมภีร์เล่มนั้น”
“ใช่แล้วขอรับ ข้าต้องการคัมภีร์เล่มนั้น ท่านจะมอบมันให้ข้าได้หรือไม่”
“แน่นอนๆ ข้าเป็นเพียงวิญญาณ คัมภีร์นั่นล้วนไม่มีประโยชน์ต่อข้า ทว่าการจะได้รับมันยังคงต้องมีการทดสอบสักเล็กน้อย” วิญญาณชุดขาวพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันขี้เล่น
“ทดสอบอะไร”
ตู่หลินกล่าวออกมา ก่อนที่วิญญาณนั้นจะลอยเข้ามาหานางด้วยท่าทีขี้เล่น ก่อนจะกระซิบบางอย่างที่ข้างหูนาง จนใบหน้าของนางร้อนผ่าวกลายเป็นแดงระเรื่อก่อนจะหันไปมองหยางอี้เล็กน้อย และรีบสะบัดหน้ากลับมาในทันที
“ให้ท่านทำเองเถอะไอ้ผีบ้า”
“ฮ่าๆๆๆ”
วิญญาณชุดขาวหัวเราะออกมาดังลั่นท่ามกลางความงุนงงของหยางอี้และความโมโหของตู่หลิน ก่อนที่เสียงหัวเราะจะเงียบลงพร้อมกับสายตาของมันที่มองไปยังทิศทางที่ตั้งของประตูเข้าโดมแห่งนี้
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับร่างบุรุษสามร่างที่พุ่งมายังใจกลางด้วยความเร็ว
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ
หยางอี้และตู่หลินมองไปยังผู้มาใหม่ทั้งสามและหนึ่งในนั้นคือตู่เว่ยนั่นเอง ใบหน้าของตู่หลินกลายเป็นเย็นชาในทันที จิตสังหารของนางพวยพุ่งออกมาพร้อมกับสายตาอันรังเกียจที่มองไปยังตู่เว่ยเมื่อนางเห็นสัญลักษณ์ของชายในชุดดำทั้งสองที่ยืนอยู่หลังตู่เว่ย
“อืม งั้นการผันผวนของมิติก่อนหน้านี้คงเป็นฝึมือพวกเจ้ามารทลายฟ้าสินะ”
วิญญาณบุรุษชุดขาวกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะครุ่นคิดบางอย่าง
“ตู่เว่ย นี่หมายความว่าอย่างไร”
ตู่หลินกล่าวออกมาอย่างเย็นชาโดยที่สายตาของนางไม่สามารถระงับโทสะที่เอ่อล้นออกมาได้
“เฮอะ เป็นพวกเขาเองที่บังคับข้าให้ทำแบบนี้” ตู่เว่ยคำรามออกมาอย่างเกลียดชังเมื่อนึกถึงความคับข้องต่างๆในอดีตที่ผ่านมา
“เดรัจฉานเช่นเจ้า ไม่ควรเกิดมาในตระกูลตู่” ตู่เว่ยกลายเป็นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้ยินคำของตู่หลิน ก่อนที่เขาจะมองไปยังเรือนร่างของนาง แล้วกล่าวออกมาอย่างน่ารังเกียจ
“สาวน้อย หากเจ้ายอมมาปรนนิบัติข้า บางทีข้าอาจจะละเว้นชีวิตเจ้า ฮ่าๆๆ”
“หาที่ตาย!”
ตู่หลินคำรามออกมาพร้อมกับชักกระบี่เตรียมพุ่งทะยานหมายจะเด็ดหัวของพี่ชายบัดซบเบื้องหน้า ทว่าหยางอี้ได้ยื่นมือเข้ามาจับแขนนางไว้ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา
“ใจเย็นๆก่อน สถานการณ์ตอนนี้เราเสียเปรียบอยู่ เจ้าควรจะคิดให้รอบคอบ”
“พอได้แล้ว หากพวกเจ้ายังไม่เลิกเถียงกันข้าจะไม่ให้ผู้ใดได้ทดสอบ”
เสียงอันเกียจคร้านของวิญญาณชุดขาวดังออกมาพร้อมกับหาวหวอดใหญ่
ตู่หลินและตู่เว่ยเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่เงียบลง ส่วนหยางอี้ได้มองไปยังวิญญาณชุดขาวพร้อมกับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่าวิญญาณนั้นง่วงนอนด้วยหรือ?
“เอาล่ะ ข้าไม่สนใจว่าใครจะเป็นผู้ทดสอบ และสิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเจ้าได้รับคัมภีร์เล่มนั้นคือผ่านการทดสอบจากข้า”
หลังจากพูดจบ วิญญาณนั้นสะบัดมือคราหนึ่ง เบื้องหน้าของทั้งสองกลุ่มพลันปรากฏเป็นบานประตูขนาดพอดีตัวขึ้นมากลุ่มละหนึ่งบาน
“เอาล่ะ การทดสอบของข้าก็ง่ายๆ ภายในประตูนั้นจะมีไข่อยู่หนึ่งใบและแต่ละประตูนั้นจะมีผู้พิทักษ์เฝ้าไข่อยู่ ภารกิจของพวกเจ้าก็ง่ายๆ จงนำไข่กลับออกมาให้ข้าก่อนครึ่งชั่วยาม”
วิญญาณนั้นหยุดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าทั้ง 5 คนเข้าใจแล้วจึงกล่าวต่อ
“จงระวังให้ดี แม้จะเป็นการทดสอบง่ายๆ ทว่าข้าจะไม่รับรองชีวิตพวกเจ้า..... เริ่มได้!”
ทันทีที่กล่าวจบ ทั้ง 5 คนต่างพุ่งเข้าไปภายในประตูโดยไม่รีรอภายใต้การเฝ้าดูของวิญญาณชุดขาว รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของมันพร้อมกับแววตาที่เต็มได้ด้วยความสนุกสนาน
“ดูเหมือนท่านจะเล่นแรงไปหน่อยนะครั้งนี้”
“นานๆที่ทางสำนักจะเปิดให้มีผู้ทดสอบเข้ามาที่นี่ หลังจากที่ท่านปู่จากไปยิ่งทิ้งช่วงห่างเข้าไปใหญ่ เฮ้อ หวังว่าครั้งนี้จะมีผู้ผ่านการทดสอบเสียที สุดยอดวิชาของเทพดารานั้นห่างหายจากโลกใบนี้มานานเกินไปแล้ว”
วิญญาณชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ก่อนจะหันไปยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับต้นเสียงหวานใสก่อนหน้านี้ ที่เป็นหญิงสาวใบหน้างดงามในร่างวิญญาณเช่นกัน ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ก่อนจะเบนสายตาไปยังบานประตูทั้งสอง เพื่อเฝ้ามองการทดสอบที่เริ่มขึ้นแล้ว
“อ้า.... บัดซับ ไอ้ผีบ้า ไหนบอกว่าง่ายๆไงเล่า”
เสียงของตู่หลินดังออกมาพร้อมกับวิ่งหลบการโจมตีที่ประดังเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ตูม! ตูม! ตูม!
หยางอี้ที่มองการกระทำอันบุ่มบ่ามของเด็กสาวเบื้องหน้า ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจ ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดการทดสอบจึงให้เข้ามาเป็นกลุ่มเช่นนี้ ควรรู้ว่าทั้งตัวเขาและตู่หลินต่างต้องการคัมภีร์ทักษะเช่นกัน
ชายหนุ่มมิได้รีบร้อนแต่อย่างใด ทว่ายังคงครุ่นคิดพร้อมกับมองไปยังการต่อสู้ของเด็กสาวเบื้องหน้าและสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นกลาง ที่เหมือนกับการหยอกล้อของผู้ใหญ่กับเด็ก
เวลาดำเนินผ่านไปหนึ่งก้านธูป หยางอี้ที่พยายามทบทวนสิ่งต่างๆอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นพร้อมประกายในดวงตา สำหรับผู้อื่นอาจจะมองว่าการปะทะกับสัตว์อสูรระดับสวรรค์นั้นดูเหมือนยากเกินไป ทว่าในความเป็นจริงนั้นวิญญาณชุดขาวนั้นมิได้บอกให้เอาชนะมัน เพียงบอกให้นำไข่ออกไป และสำหรับตัวเขานั้นมองว่ามิได้ยากเย็นเกินไปเลย หากเป็นผู้มีความสามารถสักหน่อยการชิงไข่จากเจ้าแรดวายุตัวนี้ย่อมใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ทางด้านความเร็วนับว่าแรดวายุยังด้อยกว่าวานรเผือกนัก
และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจในตอนแรก อ่า...ใช่แล้วรางวัลของการทดสอบนี้คือทักษะระดับจักรพรรดิ การทดสอบมันจะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร
“หวังว่าข้าคงจะคิดไม่ผิด”
หยางอี้เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็มาอยู่ไม่ห่างจากตู่หลินมากนัก เมื่อชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาภายในสนามต่อสู้ การต่อสู้ของทั้งสองจึงเกิดการชะงักขึ้น ทั้งแรดวายุและตู่หลินต่างหันมามองยังชายหนุ่มก่อนเด็กสาวจะเอ่ยขึ้น
“นี่เจ้า ข้าบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าไม่ยอมให้เจ้าได้ไข่ใบนั้นไปแน่นอน” หยางอี้เพียงยิ้มให้กับนางแต่มิได้กล่าวอันใดพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มกำลังเพื่อเป็นสัณญาณว่าการต่อสู้ที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งตู่หลินและแรดวายุเองก็มิน้อยหน้า ภายในของโถงใหญ่นั้นจึงอัดแน่นไปด้วยกระแสลมปราณอันเกรี้ยวกราดจากทั้งสาม หยางอี้นำอาวุธคู่กายออกมาโดยมิเอ่ยสิ่งใดก่อนที่จะซัดคลื่นพลังปราณจากทวนใส่แรดวายุ
ตูม!
โอกกกกกก
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของแรดวายุ ฝุ่นควันจากการระเบิดเริ่มจางหาย บนร่างกายของมันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน สายตาอันเย้ยหยันที่มองมายังชายหนุ่มด้วยความเหนือกว่า ตัวมันที่เป็นชนชั้นระดับสวรรค์ล้วนไม่เห็นมนุษย์ตัวจ้อยระดับปฐพีขั้นต้นอยู่ในสายตา
หยางอี้มิได้สนใจสายตานั่นแม้แต่น้อยทว่ากลับเคลื่อนที่ไปโดยรอบและเริ่มระดมการโจมตีใส่แรดวายุอย่างต่อเนื่องโดยจงใจลดความเร็วลงให้อยู่ในระดับเดียวกับตู่หลิน
ตู่หลินมองดูการกระทำของหยางอี้แล้วนางเองก็เริ่มโจมตีแรดวายุพร้อมกับหาทางผ่านเข้าไปชิงไข่ที่วางอยู่บนแท่นด้านหลังเช่นกัน ด้วยความแข็งแกร่งของมันทำให้แรดวายุไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวออกจากจุดนั้นแม้แต่น้อยมันเพียงอ้าปากยิงบอลวายุที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณอันคมกริบออกมาตอบโต้เท่านั้น
ห้องโถงกลายเป็นสั่นสะเทือนตลอดเวลา ปราณหอกสีแดงดำ ปราณกระบี่ฟ้าคราม และบอลวายุ ต่างพุ่งทะยานกระจัดกระจายไปอย่างมั่วซั่ว แรดวายุนั้นสมกับเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง แม้จะรับการโจมตีจากทั้งสอง ทว่าผ่านมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้วผิวหนังของมันนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“ฮึ่ม เวลาไม่มีแล้ว อีกเพียง 1 ก้านธูปเราจะถูกส่งออกไป หากเป็นเช่นนั้นไม่ดีแน่” ตูหลินกล่าวออกมาพร้อมกับถอยออกจากระยะโจมตีของแรดวายุ ก่อนจะหันไปยังหยางอี้
“นี่เจ้า หากเป็นเช่นนี้เราจะออกไปมือเปล่าทั้งคู่ การโจมตีต่อไปข้าจะใส่สุดกำลัง เจ้าเองก็ต้องทำเช่นกัน แล้วหลังจากนั้นก็แล้วแต่วาสนาว่าใครจะฝ่าเข้าไปได้ หากใครพลาดห้ามขัดขวางอีกฝ่ายเด็ดขาด ตกลงหรือไม่”
หยางอี้มองไปยังตู่หลินพร้อมกับรอยยิ้ม แม่นางนี่นับว่ามิโลภจนหลงลืมตัว การที่ทั้งคู่มิอาจฝ่าเข้าไปชิงไข่ได้เป็นเพราะนอกจากโจมตีแรดวายุแล้วยังต้องคอยขัดขากันเองเพื่อมิให้อีกฝ่ายเข้าไปถึงแท่นไข่ได้ก่อน แม้หยางอี้จะมีแผนอยู่ในใจก็ใช่ว่าเขาจะมั่นใจเต็มสิบส่วน ทำให้ต้องคอยระวังการเคลื่อนไหวของตู่หลินเช่นกัน
“ตกลงตามที่แม่นางกล่าวมา”
“ดี งั้นก็เริ่มลงมือเลย”
ทั้งคู่เริ่มเร่งเร้าพลังปราณจนถึงขีดสุดเพื่อใช้ออกด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตน หยางอี้นั้นโคจรพลังปราณอัดแน่นเข้าไปภายในทวนโลหิตทมิฬจนตัวทวนเริ่มเปล่งแสงสีแดงออกมาจางๆ ก่อนจะหันไปมองทางตู่หลินเล็กน้อย ตัวเขาอดมิได้เช่นกันที่จะต้องตกตะลึง ปราณกระบี่นับร้อยนับพันสายหมุนวนรอบตัวนางอย่างเกรี้ยวกราดดั่งสายพิรุณที่โหมกระหน่ำท่ามกลางพายุ ทั้งคู่พยักหน้าให้กันเล็กน้อยก่อนจะปลดปล่อยพลังโจมตีที่รั้งเหนี่ยวไว้จนถึงขีดสุด
“ไป!!!”
สองกระแสลมปราณหนึ่งหนักหน่วงราวภูเขาทั้งใบกดทับหนึ่งแหลมคมดังใบมีดนับพันพุ่งทะยานเข้าหาแรดวายุอย่างรวดเร็ว
ปัง!!
ตูม!!
โฮกกกกกก
ทันทีที่เสียงร้องจากความเจ็บปวดของแรดวายุดังขึ้นทั้งสองต่างพุ่งทะยานเข้าสู่แท่นด้านหลังอย่างรวดเร็ว เสียงร้องนั้นแน่นอนว่ามันบ่งบอกว่าการโจมตีนั้นได้ผล
วูปปปป
ตู่หลินเคลื่อนกายด้วยท่าร่างอันรวดเร็วผ่านหน้าหยางอี้ไปก่อนจะทะลวงเข้าสู่ช่องว่างที่เปิดออกจากแรดวายุ มุ่งตรงเข้าสู่แท่นหิน ใบหน้าของนางกลายเป็นยินดีเมื่ออีกเพียงเอื้อมมือก็จะถึงไข่ที่วางอยู่
ทว่า.... ก่อนที่นางจะถึงไข่นั้นเถาวัลย์หลายสายพุ่งทะลวงอย่างรวดเร็วก่อนเข้าพันธนาการร่างของนาง แล้วฟาดเข้าตรงร่างนางกับกำแพงโถงอย่างรุนแรง
“อ้าาาา”
อัก!
ตู่หลินกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะมองไปยังเบื้องหน้าด้วยสติอันลางเลือน ก่อนหน้านี้นางเต็มไปด้วยความยินดีที่เอ่อล้น อีกเพียงนิดเดียวจะได้ไข่มาอยู่ในมือ ทว่าสิ่งใดเกิดในตอนนี้ แม้นางเองยังคงงุนงงอยู่เช่นกัน
หยางอี้ปรายตามองไปยังตู่หลินเล็กน้อย แม้ในใจเขายังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้เวลาไม่มีแล้ว อีกทั้งยังมีบางสิ่งที่เขายังต้องยืนยันให้แน่ชัด ชายหนุ่มพลิ้วกายผ่านไปโดยมิได้สนใจนางแม้แต่น้อย พร้อมกับพุ่งตรงไปยังแท่นหิน
ตู่หลินเห็นเช่นนั้นนางได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น สุดท้ายแล้วทั้งนางและหยางอี้ต่างมีเป้าหมายคือไข่ใบนั้น
โฮกกก
เสียงคำรามของแรดวายุที่กระเด็นออกไปหลังจากถูกโจมตีลุกขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด สายตาของมันจ้องมองไปยังทั้งคู่ด้วยความอาฆาตแค้น มนุษย์ตัวจ้อยที่บังอาจทำให้มันได้รับความอัปยศมันจะยินยอมได้เช่นไร
แรดวายุเร่งเร้าพลังปราณสุดขีดจนนอเหนือจมูกด้านหน้ามันเปล่งแสงรองรองสีฟ้าอ่อนออกมาพร้อมกับย่ำเท้าหลังเตรียมพุ่งโจมตีศัตรูเบื้องหน้า
ทว่า......
เป้าหมายของมันกลับมิใช่ชายหนุ่มที่มุ่งหน้าไปยังแท่นหิน แต่กลับเป็นสตรีน้อยที่ถูกขึงติดอยู่กับกำแพง
ใบหน้าของตู่หลินกลายเป็นซีดเผือดทันที หากมันโจมตีเข้ามา แน่นอนว่านางเป็นเพียงเป้านิ่งที่รับความตายเท่านั้น
“บ้าหน่า ทำไม ทำไมมันถึงโจมตีข้า”
ด้วยสายตาอันสิ้นหวังนางมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังพุ่งตรงไปยังแท่นหินพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ล้นปริ่มออกมา แต่ด้วยความหยิ่งทรนงและศักดิ์ศรี นางจะยอมออกปากร้องเรียกขอความช่วยเหลือได้อย่างไร เมื่อนางเป็นคนลั่นวาจาออกมาเองว่าหากผู้ใดผ่านไปได้อีกฝ่ายต้องไม่ขัดขวาง อีกอย่างนางและหยางอี้เพิ่งเจอกันครั้งแรก ใครจะยอมแลกทักษะระดับจักรพรรดิกับชีวิตของคนแปลกหน้ากัน
โฮกกกก
เสียงคำรามจากความโกรธเกรี้ยวของแรดวายุดังออกมาพร้อมกับร่างกายของมันที่พุ่งเข้ามาหาตู่หลินด้วยความเร็ว ทุกย่างก้าวอันทรงพลังจนทั้งห้องสั่นสะเทือน ตู่หลินมองไปยังแรดวายุที่พุ่งเข้ามาด้วยสายตาสิ้นหวังก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับสายน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดหย่อน
“ท่านพ่อ ข้าขอโทษ”
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
พลังปราณสีแดงเลือดพุ่งผ่านตัดกระชากเถาวัลย์ที่พันธนาการร่างหญิงสาวไว้กับกำแพงจนขาดกระจุย ก่อนที่ร่างของนางจะร่วงหล่นลงมา
วูป!ตูม!!!
เสียงดังอันสนั่นหวั่นไหวจากการโจมตีของแรดวายุดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโถง ตู่หลินลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนจะมองไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยืนโอบอุ้มนางอยู่
“ทำไม...ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า”
หยางอี้ก้มหน้าลงมาเล็กน้อยเพื่อสบตากับนางก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“จะให้ข้าทนมองสตรีตัวเล็กเช่นเจ้าตกตายไปได้อย่างไร”
“แต่....นั่นคือทักษะจักรพรรดินะ”
“ฮ่าๆ สำหรับข้ามิมีสิ่งของใดสำคัญกว่าชีวิตหนึ่งชีวิต อีกอย่างในอนาคตยังมีโอกาสอีกมากที่จะได้ครอบครองสมบัติเหล่านี้”
หยางอี้หัวเราะออกมาก่อนจะหันหน้ากลับไปมองท่าทีของแรดวายุอีกครั้ง
ตู่หลินหลังจากได้ฟังคำของหยางอี้ นางจึงมิกล่าวอะไรอีก ก่อนจะปรายตามองไปยังใบหน้าของหยางอี้ด้วยใบหน้าแดงซ่าน และซุกลงกับทรวงอกอันหนักแน่นของชายหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้ม
หยางอี้มองดูแรดวายุอย่างตั้งใจโดยมิได้สนใจสตรีในอ้อมอกเลยแม้แต่น้อย ดวงตาอันคมกล้าเพ่งพินิจไปยังแรดวายุที่ร่างกายเริ่มจางหายไปก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยพร้อมตัวเขาเองที่เริ่มจางหายไปจากห้องโถงเช่นกัน
‘หวังว่าจะเป็นไปตามที่ข้าคิด’
แม้จะคิดเช่นนั้นทว่าภายในใจหยางอี้มั่นใจถึงเก้าส่วนว่าเขานั้นคาดการณ์ได้ถูกต้อง และอีกหนึ่งส่วนนั้นย่อมเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงหากมันเกิดขึ้น
วูปปป
ร่างของชายหนุ่มที่โอบอุ้มอิสตรีปรากฏขึ้นภายในสวนอีกครั้งท่ามกลางสายตาของสามบุรุษและหนึ่งวิญญาณพร้อมกับเสียงอันยียวนของวิญญาณชุดขาวที่ดังขึ้นภายในหัวของตู่หลิน
“แหมๆ ร้ายกาจเหมือนกันนะเจ้านี่ ฮ่าๆ”
“อ้ะ”
ตู่หลินพลันลืมตาขึ้นทันที พร้อมกับจ้องมองไปยังคนอื่นๆที่จ้องมองมายังเธอเช่นกัน ใบหน้าอันขาวผ่องที่มีความสุขเมื่อครู่กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวทันที ก่อนจะแดงก่ำไปด้วยความอับอาย นางรีบขยับร่างกายดิ้นออกจากอ้อมอกของชายหนุ่มทันที
“ป ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าบ้า”
ว้าย!
ตุบ!
โอ้ยยย
ตู่หลินเงยหน้าขึ้นมามองค้อนหยางอี้ด้วยสายตาเอาเรื่องในทันที หลังจากชายหนุ่มที่อยู่ๆก็ปล่อยนางลงโดยมิบอกกล่าว ก่อนจะลุกขึ้นมาเอามือลูบไปยังสะโพกของนาง
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของวิญญาณชุดขาวดังออกมา จนตู่หลินเริ่มจะหงุดหงิด
“เอาล่ะๆ พวกเจ้านำไข่ในมือมาให้ข้า”
ตู่หลินมองไปยังตู่เว่ยที่ในมือถือไข่ใบสีขาวอยู่ด้วยสายตาเสียดาย ก่อนจะหันไปมองหน้าของหยางอี้อย่างรู้สึกผิด
“ข้าขอโทษ”
น้ำเสียงอันแผ่วเบาดังออกมาจากปากของนาง
“จะขอโทษทำไม เจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ทั้งหมดคือความต้องการของข้า”
ทั้งคู่กลายเป็นเงียบไปทันทีเมื่อตู่เว่ยก้าวเดินผ่านมา สายตาของเขามองมาทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความดูถูก
“ฮี่ๆ น้องเล็ก เจ้าสามารถทบทวนข้อเสนอของข้าอีกครั้งได้”
“ไปตายซะ!”
“ฮ่าๆๆ”
ตู่เว่ยเดินหัวเราะผ่านไปจนไปหยุดอยู่เบื้องหน้าวิญญาณชุดขาวพร้อมกับส่งไข่ในมือให้อย่างนอบน้อม
วิญญาณนั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนสะบัดมือคราหนึ่งลูกแก้วสีใสที่ภายในอัดแน่นไปด้วยตัวอักษรสีทองค่อยๆลอยมาตกลงสู่มือของตู่เว่ยอย่างช้าๆ
ตู่เว่ยจ้องมองไปยังลูกแก้วนั้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบเก็บมันเข้าสู่แหวนมิติอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา”
วิญญาณชุดขาวพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมา
“เอาล่ะ หมดเรื่องของพวกเจ้าแล้ว จะออกเสี่ยงโชคเพื่อรับบางสิ่งจากพระราชวังแห่งนี้ต่อ หรือจะกลับไปยังทางเข้าจงเลือกมา”
ตู่เว่ยหันกลับไปพูดคุยกับชายชุดดำทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเลือกค้นหาสมบัติภายในต่อ เวลาบัดนี้ยังคงเหลืออีกครึ่งชั่วยาม อย่างไรเสียการเข้ามาภายในนี้มิใช่เรื่องง่าย อีกทั้งพวกเขายังคงมีสมบัติวิเศษที่ใช้ในการแทรกมิติเข้ามาอีก จึงมิกลัวว่าจะติดอยู่ภายในนี้
วิญญาณชุดขาวสะบัดมือคราหนึ่งร่างของทั้งสามคนจึงค่อยๆหายไปจากสวนแห่งนี้ ก่อนจะหันหน้ามายังหยางอี้และตู่หลินและยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ส่วนพวกเจ้า…… แม้จะไม่ได้รับไข่ออกมาแต่ว่า.... ผ่านการทดสอบจากข้า”
ตู่หลินกลายเป็นงงงวยทันทีที่ได้ฟัง
“ผ่านการทดสอบ?”
“ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าต้องการคือทักษะระดับจักรพรรดิใช่หรือไม่ แล้วข้าบอกสักคำไหมว่าในลูกแก้วนั่นคือทักษะจักรพรรดิ” วิญญาณชุดขาวกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์
“แล้วที่ตู่เว่ยได้ไปคือสิ่งใด”
“ก็แค่ทักษะขยะทักษะหนึ่ง เจ้าคิดว่าการทดสอบแค่นั้นจะทำให้ได้รับทักษะระดับจักรพรรดิจริงรึสาวน้อย”
ตู่หลินที่คิดตามก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่วิญญาณชุดขาวเอ่ยออกมา ทว่านางเองยังคงมิเข้าใจเช่นกันว่าสิ่งใดที่ทำให้พวกนางสามารถผ่านการทดสอบจากผีเจ้าปากเสียตนนี้
“เอาล่ะ ทักษะนี้ข้าจะสามารถถ่ายทอดให้ได้เพียงผู้เดียว นั่นคือหนึ่งในเจ้าทั้งสอง จงตัดสินใจให้ดีและผู้ที่ต้องการสืบทอดจงก้าวออกมา”
สิ้นคำของวิญญาณชุดขาวตู่หลินหันไปมองหยางอี้ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวออกมาพร้อมกับก้าวถอยหลังไปโดยมิลังเลแม้แต่น้อย
“เจ้าไปเถิด มันสมควรเป็นของเจ้า”