เล่มที่ 2 บทที่ 5
โฮกกก! ตูม!
เสียงของการทำลายล้างดังก้องไปทั่วทั้งป่าเมฆา ความโกรธเกรี้ยวของราชาวานรส่งผลให้บริเวณโดยรอบถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง แม้การโจมตีสุดท้ายของมันจะอัดเข้าใส่หัวขโมยตัวน้อยเต็มๆ ทว่ามันกลับสัมผัสได้ว่าความรุนแรงนั้นไม่มากพอจะสังหารมนุษย์หัวขโมยผู้นั้น!
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงร่างมนุษย์กลิ้งกระดอนไปกับพื้นอย่างแรงทำให้ร่างนั้นกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันที หยางอี้แม้จะตั้งรับเต็มกำลังแต่ก็ยังไม่สามารถหักล้างความรุนแรงในการโจมตีของราชาวานรได้ทั้งหมด
อั่ก! ‘ไอ้ลิงบ้าเอ้ย! เล่นใส่มาได้ไม่ยั้งมือ‘
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลก่อนจะสำลักโลหิตออกมาคำโต...สภาพของเขาในตอนนี้เนื้อตัวมอมแมม แขนเสื้อทั้งสองข้างขาดยาวไปจนถึงหัวไหล่ แขนที่ใช้รับการโจมตีนั้นเขียวช้ำจนสามารถมองเห็นได้ชัดแม้จะเพิ่งบาดเจ็บได้ไม่นาน
“นายน้อย เกิดอะไรขึ้นกับท่าน!?” เสียงของเป่ยลู่ดังขึ้นพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างหยางอี้ให้ลุกขึ้น
“ไม่มีอะไร เจ้าช่วยพาข้าไปยังต้นไม้นั่นที”
หยางอี้กล่าวกับเป่ยลู่พร้อมชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเวทีของผู้อาวุโสมากนัก หลังจากถูกเป่ยลู่พยุงร่างอันมอมแมมมายังต้นไม้ใหญ่ หยางอี้ก็เริ่มโคจรพลังปราณเพื่อรักษาบาดแผลภายในทันที เป็นเพราะโผล่ออกมาจากป่าเมฆา หยางอี้ก็กลิ้งหลุนๆกระดอนไปตามพื้นจึงทำให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้เข้าทดสอบบริเวณนั้น หลายคนต่างพูดคุยนินทากันไปต่างๆนานาอย่างสนุกปาก
“ฮ่าๆ ดูเจ้านั่นสิ สงสัยคงถูกใครอัดมาก่อนจะออกจากป่า น่าสมเพชจริงๆ”
“เจ้าก็พูดเกินไป ผู้มีความสามารถเช่นพวกเราไม่ควรดูถูกพวกอ่อนแอหรอกนะ ฮ่าๆ”
“นั่นสินะ หากมันยอมมาขอเข้ากลุ่มพวกเรา ข้าคงจะพอเจียดแต้มอันมากมายให้มันบ้างสักเล็กน้อย”
“นั่นสิ อย่างไรเราก็มีกันคนละ 2000 กว่าแต้มอยู่แล้ว”
กลุ่มของผู้เยาว์กลุ่มหนึ่งพูดขึ้นมาโดยมีหยางอี้เป็นหัวข้อสนทนา เพื่อใช้ในการโอ้อวดแต้มของตนเอง หลายคนมองไปยังพวกนั้นอย่างอิจฉา ทว่าบางคนกลับลอบก่นด่าคนกลุ่มนี้ในใจ อ่อนแอ? ยากจน? บัดซบไอ้กลุ่มนี้เพียงโชคดีเท่านั้นที่ไม่ถูกเจ้านั่นปล้นตอนอยู่ในป่า!
หยางอี้ยังคงนั่งโคจรพลังปราณภายในเพื่อรักษาอาการบอบช้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมิได้สนใจเสียงรอบข้างเลยแม้แต่น้อย หลังจากผู้เข้าทดสอบออกจากป่าเมฆาได้ไม่นาน ผู้อาวุโสก็เริ่มประกาศให้แต่ละคนนำป้ายของตนเองมาลงบันทึกแต้ม เพื่อตรวจสอบการจัดอันดับของผู้เข้าทดสอบ
การบันทึกแต้มกินเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม หยางอี้และเป่ยลู่นั้นอยู่ในกลุ่มสุดท้ายที่ลงบันทึก เมื่อเสร็จสิ้นผู้อาวุโสก็เริ่มประกาศผลที่เกิดจากการทดสอบครั้งที่สองออกมา ความตกตะลึงครอบคลุมไปทั่วทั้งลานทดสอบเมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกประกาศออกมา กระทั่งจำนวนผู้ถอนตัวยอมเสียสิทธิ์ไปตลอดชีวิตก็มีไม่น้อย
จากผู้เข้าทดสอบ 3000 กว่าคนเหลือเพียง 2145 คนเท่านั้นที่รอดออกมาส่งป้ายบันทึกแต้ม และแน่นอนจำนวนผู้ที่ตกตายลงในการทดสอบมากเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งสามสถานะเสียงฮือฮาพูดคุยของผู้เข้าทดสอบที่เหลือต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สำหรับผู้ที่หวังเพียงได้ติด 1 ใน 1500 อันดับแรกนั้นล้วนเฝ้ารอผลอย่างใจจดใจจ่อ สำหรับผู้ที่หวังเข้าร่วมการประลองจัดอันดับศิษย์ใหม่นั้นดูเหมือนจะมิค่อยแสดงอาการเท่าใดนักเพราะต่างคนนั้นล้วนมั่นใจอยู่แล้วว่าติด 1 ใน 500 อันดับแรกอย่างแน่นอน
หลังจากส่งมอบป้ายเรียบร้อยหยางอี้ยังคงกลับมานั่งโคจรพลังปราณเพื่อเตรียมพร้อมในรอบการประลองอีกครั้ง เดิมทีชายหนุ่มยังคงกังวลเล็กน้อยว่าแต้มกว่า8000แต้มของเขาจะเพียงพอหรือไม่ แต่เมื่อได้ยินคำนินทาของกลุ่มผู้เยาว์ที่ดูถูกจึงทำให้เขาคลายความกังวลลงได้ เพราะการที่คนกลุ่มนี้มีเพียง 2000 แต้มแต่กลับเรียกเสียงฮือฮาและสายตาริษยาจากผู้คนจำนวนมากได้แสดงว่า 8000 แต้มนั้นจะต้องติด 60 อันดับแรกและได้รับสิทธิ์ในการประลองแน่นอน
ระหว่างรอผลการประกาศ เสียงพูดคุยยิ่งมายิ่งดังขึ้น การถ่ายทอดประสบการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆภายในป่าเมฆาถูกผู้เข้าทดสอบปรุงเสริมเติมแต่งเพื่อคุยข่มโอ้อวดกันไม่หยุดหย่อน เป่ยลู่ได้ฟังจนเริ่มจะเอียนกับนิสัยของเหล่าคุณชายบริเวณนี้ หยางอี้เองก็ยังคงนั่งโคจรพลังปราณต่อไปโดยไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้แต่น้อย เดิมทีหยางอี้คิดจะใช้ลูกท้อในการเพิ่มระดับพลังปราณสักเล็กน้อย ทว่าชายหนุ่มไม่มีความรู้เกี่ยวกับลูกท้อสีทองนี้เลย จึงเกรงว่าหากมันให้ผลเกินกว่าที่คาดไว้ตัวเขาเองจะมิสามารถย่อยสลายพลังปราณบริสุทธิ์ของลูกท้อได้ทัน และนั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายหากไม่สามารถดูดซับผลประโยชน์จากมันได้ทั้งหมด
เป่ยลู่ที่เฝ้ามองการกระทำของกลุ่มผู้เยาว์ที่ดูถูกหยางอี้เมื่อตอนแรกที่ออกจากป่าเมฆามาสักพักแล้วเริ่มจะขมวดคิ้วแน่น จากการจับใจความได้ยินพวกเขาสนทนากันดูเหมือนเจ้าคุณชายพวกนี้อยากจะหาอะไรทำแก้เบื่อระหว่างรอสักเล็กน้อย และดูเหมือนเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นหยางอี้
กลุ่มคุณชายท่าทางเจ้าสำราญ 5 คนเดินตรงมาทางต้นไม้ใหญ่ที่หยางอี้กำลังนั่งโคจรพลังปราณอยู่ ทว่าเป่ยลู่เองย่อมมิยอมให้ผู้ใดมารบกวนนายน้อยของเขา ชายหนุ่มร่างบึกบึนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเดินออกมาขวางทันทีเมื่อกลุ่มคุณชายเข้ามาในระยะ
“พวกเจ้าหากไม่มีธุระอันใดก็กลับไปซะ อย่าได้มาสร้างปัญหารบกวนนายน้อยของข้า”
เป่ยลู่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นและชัดเจนโดยมิอ้อมค้อมแต่อย่างใด ตัวเขารู้ดีมารยาทที่สุภาพใช้กับคนพวกนี้ไม่ได้ผล มีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขาได้ใจ
สิ้นคำของเป่ยลู่พวกนั้นต่างชะงักไปเล็กน้อยก่อนบางคนจะหัวเราะออกมา นายน้อย นายน้อยอันใดกัน พวกเขาแม้จะไม่ได้อยู่ในตระกูลระดับแนวหน้าของจักรวรรดิ ทว่าก็ยังเป็นตระกูลระดับสูงอยู่ดี และสำหรับตระกูลพวกนี้ข้อมูลต่างๆล้วนมีความสำคัญเพื่อที่ลูกหลานของพวกเขาจะได้ไม่ไปเหยียบตอเข้า และในความจำของพวกเขาหลังจากพูดคุยกันก่อนหน้านี้ล้วนไม่มีใครเคยได้ยินนามของหยางอี้ พวกเขาจึงได้เลือกหยางอี้เป็นเป้าหมายในการกลั่นแกล้งเล็กน้อยแก้เบื่อ
“ฮ่าๆ เจ้าจะทำไมหากพวกข้าจะรบกวนนายน้อยชั้นต่ำของเจ้า”
“โอ้ จางหวู่ ท่านอย่าได้พูดเสียงดังเช่นนั้น มันจะรบกวนนายน้อยผู้นั้นเอาได้ ฮ่าๆ” เสียงพูดคุยปนเปไปกับเสียงหัวเราะของพวกนั้น กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที
เป่ยลู่เริ่มมีสีหน้าดำทะมึนหลังจากที่คนพวกนี้เริ่มพูดจาดูถูกหยอกล้อเขาและหยางอี้ ชายหนุ่มหยิบดาบที่สะพายไว้กลางหลังออกมาทันทีและตวัดมันคราหนึ่ง เกิดเป็นเส้นลากยาวกับพื้นขวางหน้ากลุ่มคุณชายพวกนั้นไว้ก่อนจะปักลงกับพื้นเสียงดังกึกก้อง
“หากผู้ใดก้าวข้ามเส้นนั้นมาอย่าได้หาว่าข้าไม่เกรงใจ” พวกนั้นเมื่อได้ยินคำเป่ยลู่ต่างชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น และทำท่าทีหวาดกลัวหยอกเย้าเป่ยลู่เหมือนตัวตลก
“ฮี่ๆ เจ้าสวะเอ้ย หากข้าจะข้ามไปแล้วเจ้าจะทำ...”
“ข้าก็จะตัดขาของเจ้าทิ้งไงไอ้ลูกหมาจางหวู่”
ทว่าก่อนที่จางหวู่จะพูดจบกลับมีเสียงบางคนดังมาจากด้านหลังจนเขาต้องหยุดชะงักและตวาดลั่นกลับไปด้วยความโกรธ
“บัดซบ ใครกล้าบังอาจเรียกข้าเช่นนั้น รีบโผล่หัวออกมาซะ!”
วูปปป
เพี้ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกับใบหน้าของจางหวู่ดังลั่นก่อนที่เขาจะล้มลงไปกับพื้น
“ไอ้ลูกหมา เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าสั่งบิดาผู้นี้เรอะ”
จางหวู่ที่กำลังมึนงงอยู่ ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองดูผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขา และเมื่อเห็นใบหน้านั้นร่างกายเขากลับสั่นกลัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความทรงจำเก่าก่อนต่างผุดขึ้นมาในหัวของเขาจนเผลอเอ่ยนามที่สลักลึกในความทรงจำอันเลวร้ายของเขาออกมา
“ท ท่าน ซ ซูเฉิน”
“เฮอะ สุนัขตัวน้อยเช่นเจ้ามาทำอะไรที่นี่ รีบใสหัวไปซะ!”
สิ้นคำของซูเฉิน จางหวู่รีบลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลพาร่างอันสั่นเทาของเขาวิ่งจากไปทันทีโดยที่อีก 4 คนในกลุ่มของเขายังคงงุนงงกับเหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่ ก่อนจะมีบางคนได้สติขึ้นมาและจดจำซูเฉินได้
“นั่นมัน ซูเฉิน บุตรชายตระกูลซูที่กุมอำนาจทางเหนือของจักรวรรดิเมฆาหวน หนึ่งในอัจฉริยะแนวหน้าของยุคนี้ ผู้ก้าวไปถึงระดับปฐพีด้วยวัยเพียง 19 ปี”
สิ้นคำเสียงฮือฮาต่างดังขึ้นอีกครั้ง การปรากฎตัวของซูเฉินกลายเป็นจุดสนใจขึ้นทันที อีก 4 คนนั้นต่างเริ่มหวาดกลัวเพราะจางหวู่หนึ่งในสมาชิกกลุ่มของพวกเขาดันไปมีเรื่องบาดหมางกับคนระดับนี้เข้า อาจจะทำให้พวกเขาพลอยซวยไปด้วย
“แหมๆ ดูเหมือนจะเจอสหายเก่านะขอรับคุณชายเฉิน”
“เฮอะ ไอ้เจ้าบ้าดันไปหาเรื่องพวกเศษสวะ น่าขายหน้าจริงๆ”
“อืมๆ นิสัยของหมาบ้าสินะ”
เสียงของผู้เยาว์สามในสี่คนที่เดินตามหลังซูเฉินมาดังขึ้นเรียกความสนใจของผู้คนบริเวณนั้นทันที ซูเฉินเองหลังจากได้ยินก็หันมาตะโกนแยกเขี้ยวใส่เช่นกัน
“เงียบไปเลยพวกแก!”
หลายคนดูเหมือนจะจดจำบุคคลทั้ง 4 ได้เป็นอย่างดีเสียงพูดคุยซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง
“น นี่มันบ้าอะไร ทำไมเหล่าอัจฉริยะระดับนี้ถึงมารวมตัวกันที่นี่”
“อ่า ข้าได้ยินว่าอัจฉริยะกลุ่มนี้ค่อนข้างจะสนิทกันและดูเหมือนพวกเขาจะตัดสินใจเข้าร่วมกับวิหารสวรรค์ในปีนี้”
“บุตรชายคนกลางของตระกูลซิว เจ้าของกิจการหอการค้าจันทราโลหิตที่ครอบคลุมไปทั้ง 5 จักรวรรดิของทวีปนี้ อายุ 19 ปี ระดับปฐพีขั้น 1 ไม่สิ บ้าหน่าขั้นที่ 2 งั้นรึ”
หลายคนกลายเป็นตกตะลึงเพราะก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอัจฉริยะกลุ่มนี้บรรลุเพียงระดับปฐพีขั้นที่หนึ่ง ทว่าตอนนี้มิใช่เพียงซิวซานเท่านั้น อีก 3 คนรวมถึงซูเฉินเองก็ล้วนไปถึงระดับที่ 2 แล้วเช่นกัน
“นั่นคือบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์ ผู้มีอำนาจสูงสุดในการทหารของจักรวรรดิเมฆาหวน อายุ 19 ปี ระดับปฐพีขั้นที่ 2 เช่นกัน เปียวเหว่ย”
“งดงามสมคำร่ำลือ นั่นคือเทพธิดาจากแดนใต้ บุตรีสุดรักสุดหวงของมังกรแดนใต้อี้หลง ผู้นำคนบัจจุบันของตระกูลอี้ที่กุมบังเหียนทางตอนใต้ของจักรวรรดิ อายุ 19 ปี ระดับปฐพีขั้นที่ 2 อี้เสวี่ยชิง”
หลังจากกล่าวร่ายยาวถึงที่มาของทั้ง 4 คน ผู้เยาว์คนที่กล่าวออกมาถึงกับต้องหยุดชะงักและสูดหายใจเข้าลึกเมื่อมองมาที่บุรุษหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีแดงเพลิงขลิบทองที่แผ่กลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์ออกมาตลอดเวลา
“บุตรชายลำดับที่ 4 ของตระกูลเทียน ตระกูลที่สืบทอดความสามารถและสายโลหิตจากยุคอดีตและผู้นำตระกูลคนบัจจุบันมีอำนาจเป็นรองเพียงองค์จักรพรรดิ อายุ 20 ระดับ...ระดับ จุดสูงสุดของปฐพีขั้นต้น! เทียนเจินเซียง”
ความเงียบเข้าปกคลุมไปรอบบริเวณทันที อีกเพียงก้าวเดียวจะเข้าสู่ระดับปฐพีขั้นกลาง นับเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ต้องรู้ว่าผู้นำพรรคระดับสูงในเมืองหลวงนั้นล้วนอยู่ในระดับปฐพีขั้นกลางถึงขั้นสูง และที่สำคัญอายุของพวกเขานั้นไม่ต่ำกว่า 50-60 ปี แต่บัดนี้เทียนเจินเซียงผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับนั้นด้วยวัยเพียง 20 ปี!
“เรื่องนี้ให้ผู้อื่นรู้คงจะไม่ดี”
ท่ามกลางความเงียบ บุรุษชุดแดงกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาเพียงไม่กี่คำเท่านั้นแต่กลับทำให้ผู้ที่อยู่บริเวณโดยรอบหน้าซีดเผือดบางคนถึงกับทรุดตัวหมอบลงกับพื้น
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ด้านข้างระเบิดแรงกดดันระดับปฐพีขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ต้องรู้ว่าผู้เข้าทดสอบโดยรอบเป็นเพียงชนชั้นปราณก่อตั้งจิตเท่านั้น ไฉนเลยพวกเขาจะสามารถทานทนแรงกดดันที่ทั้ง 4 คนปลดปล่อยออกมาได้ ไม่นานบริเวณนั้นก็เหลือเพียงกลุ่มของเทียนเจินเซียง เป่ยลู่และหยางอี้ที่ยังคงนั่งโคจรพลังปราณอยู่
ทั้งห้าคนก้าวเดินไปยังใต้ต้นไม้ที่หยางอี้กำลังนั่งโคจรพลังปราณอยู่ ทว่าเป่ยลู่ยังคงเข้ามาขวางไว้อีกครั้ง ทำให้ซูเฉินคิ้วกระตุกขึ้นอีกครั้ง ผิดกับเทียนเจินเซียงที่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและชื่นชมกับความกล้าของเป่ยลู่ แม้จะถูกกดดันจากทั้ง 4 คนแต่ยังคงทำหน้าที่ของตนโดยไม่ถอยหนีแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรเป่ยลู่”
หยางอี้ลืมตาขึ้นพร้อมกับกล่าวออกมาเป็นสัญญาณว่าตัวเขาได้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว หยางอี้ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังกลุ่มของเทียนเจินเซียง เป่ยลู่เมื่อได้รับคำสั่งก็ถอยให้และกลับมายืนด้านหลังหยางอี้ทันที
“ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท”
หยางอี้กล่าวออกมาพร้อมกับยกมือประสานกันด้านหน้า ตัวเขารับรู้นานแล้วว่าทั้ง 5 คนมาพบ ทว่าเขาอยู่ในขั้นตอนการรักษาอาการบอบช้ำจึงมิอาจออกจากการโคจรพลังปราณได้
“เจ้าได้รับบาดเจ็บ?” อี้เสวี่ยชิงกล่าวถามออกมาอย่างสงสัย
“หรือว่าไอ้ลิงนั่นมันตามไปเจอเจ้า” ซูเฉินกล่าวขึ้นมาบ้าง
“ใช่แล้ว ราชาวานรเผือกตามกลิ่นของลูกท้อมาจนเจอข้า และข้าพลาดโดนการโจมของมันก่อนจะถูกส่งออกมา ทำให้บาดเจ็บเล็กน้อย” หยางอี้ตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจมากนัก
“เฮ้อ หากเจ้าไม่เป็นอะไรมากก็ดีน้องชาย ลูกท้อนั้นข้าอยากให้เจ้าเก็บไว้ก่อน การนำออกมาตอนนี้จะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ข้าจะมานำมันไปหลังจบการทดสอบ”
เทียนเจินเซียงกล่าวออกมาอย่างจริงใจ ตัวเขานั้นแม้จะมาเพื่อยืนยันเรื่องลูกท้อ ทว่าตัวเขาเองก็กังวลไม่น้อยว่าหยางอี้จะไม่รอดพ้นจากราชาวานรหรืออาจจะบาดเจ็บสาหัส
“ปัญหา?”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างสงสัย เพราะด้วยเบื้องหลังคนกลุ่มนี้ แม้ลูกท้อสีทองจะเป็นสมบัติล้ำค่า ทว่ายังมีสิ่งใดต้องกังวล ผู้ใดจะกล้ามาท้าทายพวกเขา
เทียนเจินเซียงเห็นหยางอี้ถามออกมาก็ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบหยางอี้ออกไปตามตรง
“ข้าได้ยินว่าจะมีตัวปัญหามาเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ และเพียงคนเดียวมันก็มากพอจะทำให้พวกข้าปวดหัวแล้ว ทว่าครั้งนี้มีสองคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประลอง”
หยางอี้เมื่อได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย การที่ใครบางคนจะได้รับอภิสิทธิ์ให้แทรกแซงระหว่างการทดสอบของสำนักวิหารสวรรค์ได้ เบื้องหลังเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และดูเหมือนพวกที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ล้วนเป็นตัวปัญหาตามที่เทียนเจินเซียงกล่าวมาโดยแท้
“ทั้งสองคนคือใครหรือพี่ชาย” หยางอี้เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คนแรกคือรัชทายาทลำดับที่ 9 ตู่เว่ย และอีกคนคือ ข่งเย่หลง บุตรชายของหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิหารสวรรค์ ทั้งสองคนพลังปราณอยู่ในระดับเดียวกับพี่เจินเซียง”
เป็นอี้เสวี่ยชิงตอบออกมาแทน เทียนเจินเซียงก็พยักหน้าให้กับหยางอี้ว่าเป็นไปตามที่นางกล่าว ก่อนที่อี้เสวี่ยชิงจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“และทั้งสองคนยังเป็น ศัตรูหัวใจของพี่เจินเซียงอีกด้วย” เทียนเจินเซียงแทบสำลักเมื่อได้ยินคำของอี้เสวี่ยชิง
“พูดอะไรของเจ้าเสวี่ยชิง หากนางมาได้ยินเข้าจะทำยังไง”
เทียนเจินเซียงหันไปเพื่อจะดุอี้เสวี่ยชิง แต่ก็ต้องส่ายหัวและเลิกสนใจนางเมื่อเห็นใบหน้าสงสัยของอี้เสวี่ยชิงที่ราวกับจะถามว่าข้าทำอะไรผิดงั้นหรือ
เมื่อหยางอี้เห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเทียนเจินเซียงถึงกล่าวว่าผู้มาใหม่ทั้งสองเป็นตัวปัญหา
‘ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว’
“เรื่องนี้...”
“เป็นอย่างที่น้องชายคิด พวกมันทั้งสองมาเพราะการเปิดของพระราชวังต้องห้าม”
หยางอี้จมลงสู่ความคิดอีกครั้ง เดิมทีหยางอี้มั่นใจว่าเขาจะต้องติดหนึ่งในสามอันดับแรกแน่นอน และอีกสองคนนั้นย่อมเป็นเทียนเจินเซียงและสตรีอีกคนที่เขาเจอในชั้นที่ 6 ของหอทดสอบ หยางอี้มั่นใจกว่า 8 ส่วนว่าจะเอาชนะอีก 4 คนในกลุ่มของเจินเซียงได้ และการประลองนั้น มิจำเป็นต้องเจอครบทั้ง 4 คน ทว่าหากมีอีกสองคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเจินเซียงแล้ว เรื่องนี้ทำให้หยางอี้ต้องคิดใหม่อีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของเทียนเจินเซียงตัวเขาได้ประจักษ์มากับตาตนเองแล้วผู้เยาว์คนหนึ่งที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับปฐพีขั้นต้นก็นับว่าน่ากลัวพอแล้ว ทว่าเทียนเจินเซียงยังมีความแข็งแกร่งจากสายเลือดที่สืบทอดมาจากอดีตอยู่อีก ระดับปฐพีที่สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้น 5 ได้อย่างสูสี หากเผชิญหน้ากันหยางอี้เองก็มิมั่นใจนักว่าจะเอาชนะได้หากมิใช้ออกด้วยตราประทับราชันย์ แม้ตัวเขาเองจะได้เปรียบผู้อื่นอยู่เสมอเพราะขนาดของเส้นลมปราณที่ใหญ่กว่าผู้อื่นและผลประโยชน์ที่ได้รับจากมุกมิติราชันย์ก็ตาม แต่หยางอี้มิเคยประมาทคิดว่าตนคือผู้อยู่สูงสุดของผู้เยาว์ในยุคนี้ เทียนเจินเซียงนั้นนับเป็นตัวอย่างที่ดี ในโลกยุทธภพอันกว้างใหญ่ยังมีอัจฉริยะอีกมากมายที่ได้รับโชคไม่น้อยไปกว่าเขา และในอนาคตอันใกล้นี้หากหยางอี้ต้องการจะเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม เขาจะต้องปะทะกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นอย่างแน่นอน
หยางอี้มั่นใจว่าในการติดอันดับหนึ่งในสาม ตัวเขาจะต้องปะทะกับ 2 ใน 4 ยอดอัจฉริยะอย่างเทียนเจินเซียงแน่นอน และมีโอกาสสูงมากที่ตัวเขาจะต้องเผยไพ่ทุกใบบนมือในการเอาชนะสัตว์ประหลาดพวกนี้
หลังจากเห็นหยางอี้จมลงสู่ห้วงความคิด อี้เสวี่ยชิงก็พูดออกมาเพื่อดึงสติของชายหนุ่ม
“หรือว่าเจ้าต้องการติดหนึ่งในสามอันดับแรกจริงๆ” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวเตือนออกมาด้วยความหวังดี
“แหมๆ ข้าว่าคุณชายหยางล้มเลิกความตั้งใจดีกว่านะขอรับ”
“ใช่แล้ว หากเป็นก่อนหน้านี้ สองในสามย่อมเป็นพวกเราทั้ง 4 ที่ต้องแย่งชิงกัน เจ้าเองก็พอมีโอกาสอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว พวกเราทั้ง 4 คนเองก็ล้วนหมดสิทธิ์อย่างแน่นอน”
หยางอี้มองไปยังซิวซานและซูเฉินที่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ขอบคุณพี่ชายทั้งสอง ทว่าข้ายังไม่คิดจะยอมแพ้ อย่างไรก็ขอลองดูให้ถึงที่สุดเสียก่อน”
ทั้งสองกลายเป็นชะงักเล็กน้อย และยิ้มตอบกลับมาอย่างขมขื่น มิใช่ว่าพวกเขานั้นไม่มีใจจะสู้ แต่พวกเขาล้วนรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของทั้ง 4 คน
“เช่นนั้นเจ้าก็พยายามเข้าล่ะ” อี้เสวี่ยชิงพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบเฉย ตัวนางเองก็มิได้สนใจพระราชวังต้องห้ามแต่แรกอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ดี ชายชาตรีย่อมต้องหนักแน่นในปณิธาน ทว่าน้องชายอย่าได้ฝืนตัวเองมากนัก” เทียนเจินเซียงกล่าวเตือนหยางอี้ออกมาด้วยความหวังดี
ทั้ง 6 คนพูดคุยกันอีกเล็กน้อยผู้อาวุโสก็ประกาศให้ไปรวมกันเพื่อดูรายชื่อของผู้ที่ติด 1500 อันดับแรกและผ่านการทดสอบเข้าสู่สำนักวิหารสวรรค์
ป้ายขนาดใหญ่ 15 ป้ายถูกนำมาวางเรียงกันด้านหน้าเวทีประกาศ โดยแต่ละป้ายจะมี 100 รายชื่อและอันดับของแต่ละคนติดเรียงกันจากซ้ายไปขวา แน่นอนว่ากลุ่มของหยางอี้และเจินเซียงตรงไปยังป้ายลำดับที่หนึ่งทันที
ตามความคาดหมายทั้ง 7 คนรวมถึงเป่ยลู่เองก็มีรายชื่อติดอยู่ใน 100 อันดับแรก หยางอี้นั้นอยู่ในอันดับที่ 16 เป่ยลู่นั้นอยู่ในอันดับที่ 12 ส่วนกลุ่มของเทียนเจินเซียงทั้ง 5 คนต่างอยู่ในอันดับที่ 32ถึง36 หยางอี้เข้าใจดี เพราะกลุ่มของเทียนเจินเซียงนั้นมิได้มีเป้าหมายในการล่าแต้ม ส่วนเป่ยลู่นั้นนับว่าโชคดีไม่น้อยเพราะจากการสังหารล้างกลุ่มของอันจิ่วที่มีจำนวนมากทำให้เขาได้รับแต้มมากถึง 9740 แต้ม
ทั้ง 7 คนอยู่ใน 60 อันดับแรกและได้รับสิทธิ์ในการประลองจัดอันดับอย่างแน่นอนแล้วจึงเลือกเก๋งบริเวณหน้าหอทดสอบเพื่อนั่งพักผ่อนและพูดคุยกันถึงการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น
ด้านหน้าป้ายนั้นเกิดความชุลมุนขึ้นเล็กน้อยเมื่อในการทดสอบครั้งนี้มีผู้ถูกคัดออกกว่าครึ่งทำให้หลายคนล้วนอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเจอการเยาะเย้ยของบางคนที่ผ่านการทดสอบเข้า จึงเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกัน และทางสำนักเองก็มิได้ผ่อนปรนให้แม้แต่น้อย เหล่าผู้ที่ก่อความวุ่นวายต่างถูกศิษย์ของสำนักจัดการอย่างรุนแรงไม่เว้นกระทั่งคนที่ผ่านการทดสอบแล้ว จึงทำให้เหตุการณ์เริ่มสงบลงในเวลาไม่นาน
เมื่อเหลือเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ผู้อาวุโสก็ประกาศรวมตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อแจ้งกำหนดการถัดไป โดยการประลองจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าและการมาถึงของ 2 อัจฉริยะจึงทำให้อันดับที่ 59 และ 60 หมดสิทธิ์ในการประลองทันทีทว่าอันดับของพวกเขาจะยังคงรั้งอยู่ที่ 59 และ 60 รวมถึงได้รับผลตอบแทนเล็กน้อยในการเสียสิทธ์เข้าประลองในครั้งนี้
คำว่าเล็กน้อยของสำนักวิหารสวรรค์นั้นก็ทำให้เขาทั้งสองคนตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่งจนกระทั่งหลายคนเริ่มอิจฉาในโชคของพวกเขาครั้งนี้ หลายคนยินดีที่จะยอมสละสิทธิ์การประลองเพื่อแลกกับผลประโยชน์อันเล็กน้อยในครั้งนี้
เมื่อเสร็จสิ้นการแจ้งข่าวของผู้มาใหม่ทั้งสองแล้ว ต่อไปผู้อาวุโสก็เริ่มประกาศถึงผลประโยชน์ และรางวัลของการประลองจัดอันดับ จึงทำให้ผู้เข้าทดสอบที่ติด 60 อันดับแรกและไม่ได้คาดหวังถึงผลการประลองเริ่มมีความหวังในขึ้นมาบ้าง
อันดับที่ 51 – 58 จะได้รับแต้ม 2 ใน 10 ส่วนของแต้มจากการทดสอบที่สองเมื่อเข้าสู่สำนักวิหารสวรรค์
อันดับที่ 41 – 50 จะได้รับแต้ม 3 ใน 10 ส่วนของแต้มจากการทดสอบที่สองเมื่อเข้าสู่สำนักวิหารสวรรค์
อันดับที่ 31 – 40 จะได้รับแต้ม 3 ใน 10 ส่วนของแต้มจากการทดสอบที่สองเมื่อเข้าสู่สำนักวิหารสวรรค์ และแกนธาตุสัตว์อสูรระดับก่อตั้งจิตขั้นสูง 5 ชิ้น
อันดับที่ 21 – 30 จะได้รับแต้ม 3 ใน 10 ส่วนของแต้มจากการทดสอบที่สองเมื่อเข้าสู่สำนักวิหารสวรรค์ และแกนธาตุสัตว์อสูรระดับปฐพีขั้นต้น 1 ชิ้น
อันดับที่ 11 – 20 จะได้รับแต้ม 5 ใน 10 ส่วนของแต้มจากการทดสอบที่สองเมื่อเข้าสู่สำนักวิหารสวรรค์ และแกนธาตุสัตว์อสูรระดับปฐพีขั้นต้น 1 ชิ้น และสิทธิในการยืมทักษะจากหอคำภีย์ชั้นที่ 2 1 เล่ม
และอันดับที่ 1 – 10 จะมีพีธีมอบรางวัลหลังเสร็จสิ้นการประลอง
“ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าแต้มที่ข้าได้กล่าวไปเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนภายในสำนักวิหารสวรรค์ และหลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปแล้วการจะได้แต้มมานั้นล้วนมิใช่เรื่องง่าย ขอให้พวกเจ้าจงพยายามให้ถึงที่สุดในการคว้าอันดับที่ดีมาให้ได้”
หลังจากประกาศจบผู้อาวุโสของสำนักก็จากไปทันที โดยผู้เข้าทดสอบทั้ง 1500 คนจะต้องพักอยู่ในห้องรับรองของลานแห่งการทดสอบ และไม่อนุญาตให้ออกจากลานโดยเด็ดขาด
เสียงฮือฮาดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณหลังผู้อาวุโสของสำนักจากไปผู้มีสิทธิ์เข้าประลองกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมาทันที ความสำคัญของแต้มนั้นย่อมดึงดูดพวกเขามิใช่น้อย ทว่าสิ่งที่ทุกคนหมายตาคือการติดใน 20 อันดับแรก การได้ศึกษาทักษะจากหอคำภีย์ชั้นที่ 2 ของสำนักวิหารสวรรค์ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขามิเคยคาดคิด ปกตินั้นมีเพียงศิษย์สายในขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับโอกาสนี้ และแกนธาตุอสูรระดับปฐพีก็มิใช่สิ่งที่พวกเขาเหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่จะได้มาอยู่ในครอบครองง่ายนัก กระทั่งบางคนยังมิเคยได้สัมผัสเสียด้วยซ้ำ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามเสียงจอแจเริ่มเบาลงเมื่อหลายคนทยอยกันเข้าไปพักยังห้องรับรองของลานทดสอบ หยางอี้เองก็เช่นกัน ชายหนุ่มแยกกับคนอื่นๆมาหลังจากที่ผู้อาวุโสจากไปได้ไม่นาน
ชายหนุ่มนั่งมองผลท้อสีทองสุกสกาวที่ส่งกลิ่นหอมบริสุทธิ์ออกมาตลอดเวลาอยู่ภายในห้องรับรองของตน หยางอี้ได้ฟังถึงวิธีการดูดซับผลท้อสีทองนี้มาจากเทียนเจินเซียงแล้ว ตัวเขานั้นงุนงงมิน้อยเมื่อได้ฟังครั้งแรก เพราะเดิมทีหยางอี้คิดว่าต้องกินมันเข้าไปเช่นเดียวกับโอสถ แต่ว่าเทียนเจินเซียงนั้นบอกว่าการดูดซับผลท้อนี้ให้ทำเช่นเดียวกับการดูดซับแกนธาตุอสูรและกากของมันถือเป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการปรุงยาเช่นกัน
หยางอี้ตัดสินใจเริ่มดูดซับผลท้อสีทองและเข้าสู่มิติพิเศษทันที ตอนนี้การเพิ่มระดับให้ใกล้เคียงกับเทียนเจินเซียงที่สุดคือทางเลือกเดียวของเขาที่จะทำให้มีโอกาสมากขึ้นในการเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม
รุ่งเช้าดวงอาทิตย์สาดส่องทอแสงไปทั่วลานแห่งการทดสอบ แสงสีทองส่องระยิบระยับเมื่อกระทบเข้ากับผนังศิลาของสิ่งปลูกสร้าง ภายในห้องรับรองของหยางอี้ ชายหนุ่มนั่งตัวตรงบ่มเพาะพลังปราณ คราบสิ่งสกปรกสีดำติดอยู่เต็มไปทั่วทั้งร่างกายส่งกลิ่นเหม็นลอยคลุ้งออกมาผิดกับบรรยากาศภายในห้องที่อัดแน่นไปด้วยละอองบริสุทธิ์สีทอง
ฟู่ววว
หยางอี้ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับลุกขึ้นสะบัดคราบสีดำที่ติดเกาะอยู่ตามร่างกายให้ระเหยหายไป เมื่อสิ่งสกปรกหายไปจึงเผยให้เห็นผิวพรรณอันนุ่มนวลกระจ่างใส โดยเฉพาะประกายสีทองที่ส่องระยิบระยับอยู่บนร่างกายของชายหนุ่ม
“ผลท้อบริสุทธิ์นี่ยอดเยี่ยมอย่างที่เจินเซียงบอกจริงๆ การที่ถูกปกป้องโดยราชาวานรนับว่าไม่เกินเลยแม้แต่น้อย”
หยางอี้นำกากของผลท้อที่เหลือจากการดูดซับเก็บไว้ในแหวนมิติก่อนจะลุกออกจากห้องรับรองไป เดิมหยางอี้ไม่คิดว่ากระบวนการดูดซับจะเสร็จสิ้นเร็วขนาดนี้ ยิ่งมีปราณบริสุทธิ์มากเพียงใดการกลั่นปราณนั้นมาเป็นของตนเองเพื่อเพิ่มพูนระดับพลังปราณภายในตันเถียนก็ยิ่งยากและใช้เวลานานมากขึ้นด้วย
ความบริสุทธิ์ของปราณจากผลท้อสีทองนั้นแน่นอนว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก ทว่าเมื่อหยางอี้เข้าสู่มิติพิเศษกลับสามารถกลั่นมันได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้ทำให้หยางอี้ประหลาดใจไม่น้อย ทว่าความยินดีนั้นกลับมีมากกว่า หากตัวเขาสามารถดูดซับพลังปราณบริสุทธิ์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดแล้วจะเป็นอย่างไรหากบังเอิญโชคดีได้รับบางสิ่งอย่างคราวผลท้อสีทองนี้
โลกนี้เต็มไปด้วยสมบัติมากมายและมีไม่น้อยที่ผู้ครอบครองไม่สามารถใช้งานหรือกลั่นสมบัติเหล่านั้นได้เพราะความบริสุทธิ์ของสมบัติเหล่านั้นมีมากเกินไปและยังมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่บ่งบอกว่าสิ่งของที่สืบทอดมาจากอดีตนั้นมีคุณค่ามากเกินกว่าความสามารถและความเข้าใจของผู้คนในยุคปัจจุบัน
ภายนอกห้องรับรองยามเช้าตรู่เช่นนี้เริ่มมีผู้เยาว์หลายคนออกมารวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
หยางอี้พบเห็นผู้คนมากมายที่ไม่ใช่ผู้เข้าทดสอบเดินกันขวักไขว่ทั่วลานทดสอบ และยังมีอีกจำนวนมากที่กำลังทยอยเข้ามาเพิ่ม ดูเหมือนข่าวว่าการประลองจัดอันดับของสำนักวิหารสวรรค์ในปีนี้มีทั้ง 4 สุดยอดรุ่นเยาว์เข้าร่วมจะดึงดูดผู้คนมาไม่น้อย
“อรุณสวัสดิ์นายน้อย”
หยางอี้เดินสำรวจไม่นานก็พบเป่ยลู่อยู่บริเวณหน้าหอทดสอบ เมื่อเป่ยลู่บอกว่ากำลังจะไปพบผู้อาวุโสเพื่อหาเป่ยลี่ทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังห้องโถงของหอทดสอบ
ภายในห้องประชุมของหอทดสอบเด็กสาวตัวน้อยกระโลดเต้นอย่างยินดีเมื่อพี่ชายมาพบเป่ยลู่เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยบิดเบือนบางส่วนไปเล็กน้อยให้เด็กสาวฟังอย่างสนุกสนาน ส่วนหยางอี้เองก็พูดคุยกับผู้อาวุโสเล็กน้อยเกี่ยวกับการมาของ 2 อัจฉริยะเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
หลังจากที่ดูดซับผลท้อสีทองมาแล้วรวมถึงการได้รับข้อมูลจากผู้อาวุโสทำให้หยางอี้คลายกังวลไปไม่น้อยหากต้องปะทะกับทั้งสอง ตอนนี้หยางอี้มิได้เกรงกลัวผู้เข้าร่วมการประลองคนอื่นแล้ว อย่างน้อยตัวเขามั่นใจกว่า 7 ส่วนว่าจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามอย่างแน่นอน ทว่ากับเบื้องหลังของพวกเขาเหล่านั้นหยางอี้ยังคงต้องคำนึงถึงเล็กน้อย เพราะแต่เดิมด้วยชื่อของผู้อาวุโสเหล่ยโหลวทำให้หลายคนยำเกรง แต่ทว่าตอนนี้ปรากฎผู้ที่มีอำนาจไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสเหล่ยโหลวและดูเหมือนจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ผ่านไป 1 ชั่วยามเสียงประกาศก็ดังขึ้น ผู้เยาว์ทั้ง 58 คนต่างถูกเรียกให้ไปยังลานประลอง โดยทางสำนักได้จัดซุ้มที่นั่งทั้ง 58 ที่ขึ้นโดยการจับคู่ประลองจะถูกจัดขึ้นโดยสำนัก
การประลองรอบแรกจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า หยางอี้เมื่อมาถึงพบว่าอัฒจันทร์โดยรอบต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ผู้มีอำนาจในจักรวรรดิเมฆาหวนต่างเดินทางมา เพื่อเป็นสักขีพยาน และเก็บข้อมูลของอัจฉริยะของขุมกำลังต่างๆทั้ง 60 คนที่เข้าร่วมการประลอง
ไม่นานการประลองรอบแรกก็เริ่มขึ้น โดยเวทีประลองทั้ง 30 เวทีต่างมีผู้เยาว์ทั้ง 60 คนยืนประชันหน้ากันในเวทีของตัวเอง เสียงโห่ร้องดังขึ้นพร้อมกับความตกตะลึงของผู้คนที่มาเพื่อชมความสามารถของเหล่าอัจฉริยะ ใน 30 เวทีประลองมี 10 เวที ที่รู้ผลตั้งแต่สิ้นเสียงของกรรมการประกาศเริ่มการต่อสู้
เมื่อสัตว์ประหลาดทั้ง 10 ตัวมีความคิดที่ตรงกัน ทั้ง 10 เพียงปลดปล่อยพลังปราณระดับปฐพีออกมาสะกดข่มคู่แข่งให้ยอมแพ้ตั้งแต่วินาทีแรก การที่ได้เห็นรุ่นเยาว์ที่ก้าวถึงระดับปฐพีนั้นมิใช่เรื่องง่าย ทว่าภายในปีนี้สำนักวิหารสวรรค์กลับได้รับยอดเพชรถึง 10 คน เรื่องนี้ทำให้คนของ 3 สำนักใหญ่ที่ได้รับเชิญเข้ามาชมการประลองต่างอิจฉาจนน้ำตานองหน้า
หยางอี้หรี่ตามองไปยังทั้งสามคนที่มิคุ้นหน้า ในเวทีประลองที่ 1 คงจะเป็นข่งเย่หลง และ เวทีที่ 2 คือตู่เว่ย ด้วยชุดที่ดูหรูหราทำให้หยางอี้แยกแยะได้ไม่ยากว่าพวกเขาคือใคร เพราะอีก 6 คนเขาต่างเคยพบเจอมาแล้ว ทว่าคนสุดท้ายเป็นผู้เยาว์ที่อยู่ในชุดเก่าๆ อายุราว 19 ปี รูปร่างผอมบาง กลับทำให้หยางอี้สนใจมิน้อย เพราะตัวเขามั่นใจว่าก่อนหน้านี้ผู้ที่ก้าวไปถึงระดับปฐพีมีเพียง 7 คนเท่านั้นหากมินับรวมผู้มาใหม่ทั้งสอง
หยางอี้เพียงจดจำเขาไว้ก่อนจะละความสนใจไปยังเวทีที่ 16 ที่เป็นเป้าหมายของทุกสายตาในขณะนี้และสายตาเหล่านั้นต่างเต็มไปด้วยความหลงใหล สตรีผู้งดงามในชุดสีขาวตัดฟ้า ใบหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดาลงมาจุติ การเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อยของนางสะกดสิ้นทุกสายตาคนดู อวิ้นหลาน หนึ่งในสี่สุดยอดผู้เยาว์ที่ทุกคนจับตามองในการประลองครั้งนี้
การประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็วเป็นเพราะการจับคู่ที่ดูเหมือนจงใจของทางสำนัก ทั้ง 15 คนที่ผ่านเข้ารอบที่ 2 ต่างอยู่ในประดับปฐพี 10 คน ครึ่งก้าวสู่ปฐพีอีก 4 คน คนสุดท้ายคือเป่ยลู่ที่ผ่านด้วยความยากลำบาก ระดับพลังปราณก่อตั้งจิตขั้นที่ 8
หยางอี้ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเป่ยลู่ผ่านเข้ามาในรอบที่ 2 ได้แม้จะมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากการต่อสู้ ความมุ่งมั่นของเป่ยลู่นั้นหยางอี้ไม่กังขาเพราะมันคือของจริง จะมีชายชาตรีสักกี่คนในโลกนี้ที่ยึดมั่นในคุณธรรมและเป้าหมายโดยไม่มีความลังเลแม้จะต้องตายหากตัดสินใจแล้วที่จะทำบางสิ่ง
เมื่อจบการประลองรอบแรกทางสำนักได้ประกาศรายชื่อของรอบที่ 2 ขึ้นมาทันที โดยมีหนึ่งคนที่จะผ่านเข้ารอบที่ 3 โดยมิต้องประลองจากการสุ่มรายชื่อของผู้อาวุโส และผู้ที่โชคดีคือ อี้เสวี่ยชิง
รายชื่อทั้ง 14 ถูกประกาศออกมาตามลำดับ
ตู่เว่ย เจอกับ เปียวเหว่ย
เทียนเจินเซียง เจอกับ หยานก่าน
หยางอี้ เจอกับ กอยี
อวิ้นหลาน เจอกับ ตู๋หนาน
ข่งเย่หลง เจอกับ เป่ยลู่
ซูเฉิน เจอกับ หลินโย่วหลง
ซิวซาน เจอกับ เก๋อห่าว
หลังจากขึ้นสู่เวทีประลองตามที่ผู้อาวุโสประกาศ ปรากฎว่า 6 ใน 7 เวทีกลับกลายเป็นรู้ผลในทันที ตู่เว่ย เทียนเจินเซียง หยางอี้ อวิ้นหลาน ซูเฉิน และ ซิวซาน ต่างได้รับชัยชนะทันทีเมื่ออีกฝ่ายประกาศยอมแพ้ ในทั้ง 9 คนที่อยู่ในระดับปฐพีมีเพียงเปียวเหว่ยและตู๋หนานเท่านั้นที่โชคไม่ดีได้เจอกับ 2 ใน 4 สุดยอดรุ่นเยาว์
ทว่าที่เวทีประลองที่ 5 ในขณะนี้กลับกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาในทันที เมื่ออีกฝ่ายไม่ยินดีที่จะยอมแพ้ตั้งแต่ยังมิได้สู้ให้กับข่งเย่หลง 1 ใน 4 สุดยอดรุ่นเยาว์ของการประลองจัดอันดับในครั้งนี้ และที่สำคัญคนผู้นั้นยังมีระดับพลังปราณเพียงก่อตั้งจิตขั้นที่ 8 นับว่าอ่อนแอที่สุดแล้วในทั้ง 15 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบที่ 2
“เจ้าตัวบัดซบ อย่าได้ทำให้ข้าเสียเวลา รีบยอมแพ้ไปซะ”
ข่งเย่หลงกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ ตัวเขานั้นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเมื่อเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่คู่ต่อสู้ไม่ยอมแพ้ในการประลองรอบที่ 2 นี้
“คงจะมิได้ หากท่านต้องการชัยชนะก็จงเข้ามาเอามันไปจากข้า”
ข่งเย่หลงกลายเป็นเดือดดาลเมื่อได้ยินคำกล่าวอันจองหองของเป่ยลู่
“เข้าไปเอาจากเจ้า? สารเลวชัยชนะนั้นมันคือของข้าตั้งแต่ข้าเข้าร่วมการประลองนี้แล้ว”
ที่ด้านล่างเวทีประลอง กลุ่มของเจินเซียงและหยางอี้ได้ลงจากเวทีประลองแล้วเมื่อรู้ผล ตอนนี้ความสนใจของทุกคนนั้นอยู่ที่เวทีที่ 5 อย่างมิต้องสงสัย
เทียนเจินเซียงนั้นกล่าวกับหยางอี้ด้วยความหวังดีเมื่อจดจำได้ว่าเป่ยลู่นั้นเป็นคนของหยางอี้
“น้องชายข้าคิดว่าเจ้าควรจะบอกให้เขายอมแพ้เสียดีกว่า ข่งเย่หลงนั้นเป็นคนอำมหิต และด้วยเบื้องหลังของเขานั้นจะเป็นเรื่องดีหากมิไปยั่วยุเขาเมื่ออยู่ในสำนักวิหารสวรรค์”
หยางอี้เมื่อได้ยินเพียงยิ้มบางเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกลับไปยังเจินเซียง
“บุรุษนั้นต้องเชื่อมั่นในหนทางที่เลือกจะก้าวเดิน และข้านั้นไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายในการตัดสินใจของเป่ยลู่”
“สารเลว มิรู้จักที่ต่ำที่สูง”
ข่งเย่หลงกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล ความดื้อรั้นของเป่ยลู่นั้นนับเวลาทำให้เขาโกรธเคืองอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโตด้วยสถานะนายน้อยแห่งตระกูลข่งล้วนมิเคยมีผู้ใดกล้าขัดใจเขามาก่อน ยิ่งเป็นเพียงสามัญชนระดับชั้นอันอ่อนด้อยเช่นเป่ยลู่นั้นมิต้องกล่าวถึง เพราะกระทั่งเหล่าผู้อาวุโสของสำนักวิหารสวรรค์ยังคงต้องยอมอ่อนลงและไว้หน้าให้แก่เขา
ตระกูลข่งนับเป็นตัวตนอันใดของจักรวรรดิแห่งนี้ผู้คนล้วนรู้ดี ข่งเย่หลงนั้นเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักวิหารสวรรค์ แต่ทว่ามันมิใช่เพียงแค่นั้นเพราะประมุขพรรคคนปัจจุบันนั้นมีนามว่า ข่งโหลวหลิน เช่นนั้นแล้วตัวตนของตระกูลข่ง คือผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคมากว่า 1,000 ปี เพียงแต่บิดาผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเป็นบุตรคนรองจึงทำให้ข่งโหลวหลินผู้เป็นบุตรคนโตในรุ่นก่อนได้ดำรงตำแหน่งประมุขพรรคตามกฎของตระกูล
ทว่า ตระกูลข่งในยุคนี้ ข่งเย่หลงเป็นเพียงบุคคลเดียวที่มีความสามารถเพียงพอในการสืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคของวิหารสวรรค์ในอนาคต
ด้วยฐานะและชื่อเสียง ข่งเย่หลงมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าแม้มดตัวน้อยกระจ้อยร่อยเช่นเป่ยลู่กล้าขัดขืนอย่างไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ ความโกรธของข่งเย่หลงพุ่งทะลุเพดานไปนานแล้ว ทว่าเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นสตรีนางหนึ่งผู้ที่สลักภาพติดตราตรึงใจเขา กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์บนเวทีประลองนี้เช่นกัน ทำให้เขาพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากอย่างอารมณ์ดี
‘หึหึ เจ้าสวะ เห็นแก่ที่เจ้าจะเป็นเครื่องมือสร้างความประทับใจให้แก่นาง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าแล้วกัน’
หลังจากนั้นการแสดงออกของข่งเย่หลงกลับกลายจากหน้าเท้าเป็นหลังมือ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเมื่อครู่กลับกลายเป็นยิ้มแย้มก่อนจะกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“นับเป็นเรื่องที่ดี บุรุษนั้นต้องมีความกล้า ในเมื่อเจ้านับเป็นศิษย์ของวิหารสวรรค์แล้ว เช่นนั้นวันนี้เรานายน้อยจะช่วยแนะนำให้เจ้าสัก สองสามกระบวนท่า”
สิ้นคำของข่งเย่หลงเสียงชมเชยพร้อมกับผู้ชมต่างปรบมือให้กับความใจกว้างของเขาอย่างล้นหลาม ด้วยสถานะของเขามิใช่เรื่องง่ายหากผู้เยาว์บางคนจะได้รับคำแนะนำจากเขาผู้นับเป็นยอดอัจฉริยะ
อีกด้านหนึ่ง กลุ่มของเทียนเจินเซียงต่างอยากจะสำรอกออกมา เพราะคำพูดของข่งเย่หลง เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแสดงความใจกว้างจอมปลอมออกมาเพื่อเอาใจอวิ้นหลานเท่านั้น หากอวิ้นหลานมิได้อยู่ที่นี่ เกรงว่าด้วยความโหดเหี้ยม บัดนี้เป่ยลู่อาจจะถูกทุบตีจนสะบักสะบอมไปแล้ว
“เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจที่สุด” อี้เสวี่ยชิงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
ด้านบนเวทีขณะนี้กรรมการประกาศเริ่มการประลองแล้ว ทว่าทั้งคู่ยังคงยืนนิ่งมิขยับ ข่งเย่หลงนั้นแน่นอนว่าการโจมตีก่อนนั้นจะทำให้เขาเสียหน้า และการประลองนี้สำหรับเขาเป็นเพียงการโอ้อวด เช่นเดียวกับหนูตัวผู้ที่สกัดปัสสาวะอันเข้มข้นออกมาเพื่อดึงดูดหนูตัวเมียยามฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น
เป่ยลู่ยังคงจับจ้องข่งเย่หลงอย่างระมัดระวังด้วยความที่มีนิสัยซื่อตรงการเปลี่ยนตำแหน่งอย่างฉับพลันของข่งเย่หลงทำให้เป่ยลู่คิดว่าจะต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ ด้วยความห่างชั้นของลมปราณเป็นทุนเดิมและตัวเขาในฐานะผู้ติดตามของหยางอี้มิต้องการเป็นเพียงตัวตลกให้นายน้อยของเขาต้องอับอาย
“ฮึ่ม เชิญเจ้าลงมือได้เต็มที่ ข้าจะทำเพียงรับมือและให้โอกาสเจ้าได้แสดงฝีมือ 10 กระบวนท่า”
ข่งเย่หลงกล่าวออกมาอย่างผู้เหนือกว่า ซึ่งก็มิได้ผิดนักหากดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เป่ยลู่รวบรวมสมาธิและโคจรพลังปราณอัดไปทั้งหมัดและเท้าก่อนจะพุ่งเข้าสู่ระยะต่อสู้
ไอปราณสีฟ้าครามแผ่พุ่งครอบคลุมไปทั้งมือขวา ผู้ชมต่างฮือฮาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าด้วยระดับของเป่ยลู่การใช้ออกด้วยพลังปราณภายในให้ไหลเวียนออกมาครอบคลุมเพื่อเพิ่มพลังทำลายให้กับหมัดขวานับว่าไม่เลวแล้ว และพลังของเขาก็รุนแรงมากพอจะสยบผู้ฝึกยุทธ์ระดับชนชั้นก่อตั้งจิตได้อย่างสบาย
ทว่านั่นเป็นเพียงความคิดที่คู่ต่อสู้เป็นชนชั้นก่อตั้งจิต
ปัง!
หนึ่งหมัดที่หนักหน่วงแต่กลับถูกหยุดได้โดยง่ายเพียงหนึ่งฝ่ามือ เป่ยลู่ชะงักไปเล็กน้อย เขาเองก็มิคาดคิดว่าหมัดของเขาจะถูดหยุดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เมื่อได้สติเป่ยลู่รีบถอยออกจากระยะโจมตีของข่งเย่หลงทันที ทว่าคู่ต่อสู้เบื้องหน้าของเขาทำเพียงยิ้มอย่างผู้มีชัย และมองมายังเขาด้วยสายตาที่ราวกับว่าตัวเขาเป็นเพียงมดปลวก และเรื่องราวมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“ไม่เลว ไม่เลว นับว่าสามัญชนเช่นเจ้าพอจะมีคุณสมบัติอยู่บ้างในการเข้าสำนักของเรา”
เฮ!
เสียงโห่ร้องของผู้ชมดังขึ้นมา แม้ว่าในใจพวกเขาต่างคาดเดาได้มิยากอยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยการแสดงละครของข่งเย่หลงนั้น มีหลายคนที่หลงชื่นชมให้กับความใจกว้างและความสามารถของเขาราวกับว่าถ้อยคำอันหยาบคายก่อนหน้านี้มิเคยปรากฎขึ้นมาก่อน
เป่ยลู่นั้นตั้งสติและเตรียมพุ่งเข้าปะทะอีกครั้งแม้ฝีมือจะห่างกันทว่าในใจของเขามิเคยยอมแพ้ ชายหนุ่มรวบรวมพลังปราณอีกครั้งพุ่งเข้าใส่ข่งเย่หลงพร้อมกับคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ย่าห์!
ปัง! ปัง!
ทว่า....
ผ่านไป 7 กระบวนท่า แม้จะทุ่มสุดแรงแต่ผลกลับยังคงเป็นเฉกเช่นครั้งแรก เพียง 1 ฝ่ามือเท่านั้น ข่งเย่หลงเพียงใช้ 1 ฝ่ามือรับกระบวนท่าของเป่ยลู่โดยที่ร่างกายของเขายังคงยืนตระหง่านอยู่ที่จุดเดิมมิได้ขยับไปแม้แต่น้อย
“เฮ้อ มันแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ เช่นนั้นข้าขอลองสิ่งที่เจ้าทิ้งไว้ให้หน่อยแล้วกัน”
เป่ยลู่พึมพำออกมาพร้อมกับหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ พลังปราณภายในร่างเริ่มปะทุขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดคือแม้มันมีจำนวนมหาศาลและคลุ้มคลั่งแต่กลับมิหลุดรอดออกมาจากร่างของเป่ยลู่เลยแม้แต่น้อย
หยางอี้ที่เฝ้ามองดูอยู่ด้านล่างดวงตากระจ่างวูบขึ้นมาทันทีพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ผู้อื่นจะมิอาจสัมผัสได้ทว่าตัวเขาที่ฝึกทักษะซ่อนจันทร์ดับดารานั้นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณโดยรอบแม้จะมิอาจมองเห็นทว่าเขาย่อมสัมผัสได้อย่างแน่นอน
ผิวหนังของเป่ยลู่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากสีเหลืองแทนกลับกลายเป็นคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข่งเย่หลงที่ลำพองใจย่อมมิสนใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้ มดปลวกเบื้องหน้ามิมีค่าอันใดให้เขาต้องใส่ใจ สายตาของเขาบัดนี้แทบจะเรียกได้ว่ามิได้มองมายังเป่ยลู่เลยเสียด้วยซ้ำ
เป่ยลู่ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา
ฟู่วววว
ตูม!
ปัง!
การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ทำให้ผู้คนกลายเป็นตกตะลึง มีหลายคนที่ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรเกิดขึ้นหากมิได้ยินเสียงที่ดังสนั่นจากเวทีด้านล่าง
ฝุ่นควันลอยคลุ้งจากการระเบิดของเวที เพียงอึดใจสายลมก็พัดพาฝุ่นควันนั้นลอยหายไปให้ทุกสายตาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีประลอง และนั่นทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
เป่ยลู่นั้นยืนอยู่แทนที่ข่งเย่หลงอย่างมั่นคง ส่วนข่งเย่หลงนั้นแม้จะยังคงยืนอยู่ทว่าสองขาที่ตั้งมั่นอยู่กับพื้นนั้นลากถลาเป็นรอยยาวกว่า 5 เมตร สองแขนของเขาที่ยกขึ้นป้องกันการโจมตีฉับพลันของเป่ยลู่ ปรากฎรอยช้ำขึ้นมาผ่านช่องเสื้อคลุมของเขาที่ฉีกขาดออกจากแรงปะทะอย่างรุนแรง สายตาของข่งเย่หลงบัดนี้ไม่เหลือเค้าเดิมของการแสดงละครอีกต่อไป มีเพียงจิตสังหารที่พวยพุ่งและความดุร้ายที่แสดงออกมาผ่านสายตาที่จ้องมองไปยังชายผิวคล้ำเบื้องหน้า
ในจำนวนผู้คนที่ตกตะลึงย่อมไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของเทียนเจินเซียงเช่นกัน หยางอี้เองก็มิคาดคิดว่าผลจะออกมาดีถึงขนาดนี้ เมื่อได้สติเทียนเจินเซียงก็กล่าว ออกมาอย่างเลื่อนลอย
“หรือว่าจะเป็น กายาทรราชทมิฬ”
ในบรรดาผู้เฝ้ามองการประลองของข่งเย่หลงและเป่ยลู่ มีหลายคนที่ชมดูโดยมิได้คาดหวังอะไรจากการประลองนี้นอกจากการแสดงความอัจฉริยะของข่งเย่หลง ทว่าก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เป่ยลู่เก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้ แม้จะโง่เง่าเช่นไรด้วยระดับของเป่ยลู่ไม่สมควรจะยืนอยู่บนเวทีจนถึงตอนนี้ ผู้ใดจะยินดีในการโดนผู้อื่นทุบตีกัน?
ในจำนวนคนพวกนี้เทียนเจินเซียงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเฝ้าจับตามองเป่ยลู่อยู่ตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะความสามารถอันโดดเด่นของหยางอี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้เขาคิดเช่นนี้ก็เป็นได้
ในจังหวะแรกที่เป่ยลู่ระเบิดพลังออกมาเพื่อเป็นแรงถีบในการพุ่งเข้าหาข่งเย่หลง ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไม่น้อย และเมื่อการปะทุขึ้นของพลังภายในร่างเป่ยลู่ที่ถูกอัดแน่นและระเบิดออกมาในทีเดียวครั้งที่สองในการโจมตีข่งเย่หลงนั้น ทำให้เทียนเจินเซียงที่เป็นหนึ่งในตระกูลที่สืบสายเลือดมาจากยุคโบราณรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา
เทียนเจินเซียงนั้นศึกษาตำราโบราณมามากมายรวมทั้งสายเลือดจากยุคโบราณอื่นๆที่ถูกค้นพบและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เมื่อเรื่องราวภายในหัวร้อยเรียงกันจึงทำให้เขาเผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว
“กายาทรราชทมิฬ?”
หยางอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆเทียนเจินเซียงพลันได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของเทียนเจินเซียงที่อุทานออกมา ชายหนุ่มอดสงสัยมิได้จึงกล่าวถามออกไป เทียนเจินเซียงเองลังเลอยู่เล็กน้อยที่จะบอกบางอย่างแก่หยางอี้ ทว่าด้วยที่เป่ยลู่นั้นเป็นคนของ หยางอี้ และตอนนี้เขาเองก็นับได้ว่าเป็นสหายอยู่เช่นกัน จึงตัดสินใจบอกบางอย่างแก่หยางอี้
“น้องชาย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญข้าจะบอกเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเจ้าควรจะเก็บมันเป็นความลับเพื่อตัวของพวกเจ้าเอง”
เทียนเจินเซียงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม ทำให้หยางอี้ตระหนักได้ว่านี่ต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงมิรอช้ารีบตอบรับคำของเทียนเจินเซียง
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่ชายที่กล่าวเตือน”
เทียนเจินเซียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะขยับเข้ามาใกล้หยางอี้และเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกายาทรราชทมิฬ
“ในยุคโบราณ เคยมีครั้งหนึ่งที่ทวีปอันกว้างใหญ่แห่งนี้ถูกปกครองด้วยตระกูลเพียงตระกูลเดียว! นามนั้นคือตระกูลหลี่ ผู้คนตระกูลหลี่ทุกคนจะได้รับความสามารถพิเศษที่สืบทอดมาตามสายเลือดของบรรพบุรุษ และความสามารถนั้นคือ กายาทรราชทมิฬ ด้วยความแข็งแกร่งของกายานี้ทำให้ทั่วหล้าต้องยอมสยบให้กับตระกูลหลี่”
เทียนเจินเซียงหยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อออกมา
“ในโลกแห่งนี้แน่นอนว่าความแข็งแกร่งนั้นล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ความหวาดกลัวที่ผู้คนมีให้ตระกูลหลี่แม้จะทำให้ตระกูลหลี่มีอำนาจจนล้นฟ้า ทว่าด้วยความหวาดกลัวนั้น ทำให้มหาอำนาจต่างๆเริ่มร้อนรน แม้ตระกูลหลี่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดทว่านั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนได้รับรู้ ในความเป็นจริงไม่มีทางที่ตระกูลเพียงตระกูลเดียวจะปกครองผู้คนทั้งทวีปได้”
“เบื้องหลังนั้นยังมีอีก 4 มหาอำนาจของทวีปที่เป็นรองตระกูลหลี่ ทว่าก็ยังคงมีอำนาจไม่ห่างกันมากนัก ด้วยความที่กลัวว่าในอนาคตหากเป็นเช่นนี้ต่อไปตระกูลหลี่จะกลืนกินทุกอย่างบนทวีปนี้อย่างสมบูรณ์ และนั่นเป็นเหตุให้เรื่องราวอันโหดร้ายเกิดขึ้นกับตระกูลหลี่ ผู้นำทั้ง 4 ของมหาอำนาจวางแผนหลอกล่อผู้นำของตระกูลหลี่ออกมาและผนึกไว้ด้วยสมบัติวิเศษบางอย่าง”
“และหลังจากนั้น....... การเข่นฆ่าล้างตระกูลก็เกิดขึ้น แม้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของกายาทรราชทมิฬจะทำให้ผู้คนตระกูลหลี่ต้านทานไว้ได้บ้าง ทว่าด้วยจำนวนของทั้ง 4 กองทัพของมหาอำนาจในที่สุดตระกูลหลี่ก็ถูกกวาดล้างอย่างโหดเหี้ยม และน่าเศร้าที่กายาทรราชทมิฬนั้นเมื่อเปิดใช้งานร่างกายของผู้ใช้จะเริ่มดำคล้ำอย่างน่าประหลาด จึงทำให้คำใส่ร้ายของ 4 มหาอำนาจว่าตระกูลหลี่คือสายเลือดของปีศาจดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันที”
“หลังจากนั้น 4 มหาอำนาจได้ประกาศให้ตามล่าเหล่าสายเลือดตระกูลหลี่ที่เหลือรอดจากการหลบหนีจนหมดสิ้น”
หยางอี้ได้ฟังถ้อยคำของเทียนเจินเซียงกลายเป็นตกตะลึง หรือว่าเป่ยลู่นั้นจะมีสายเลือดของตระกูลหลี่ไหวเวียนอยู่จริงๆ ทว่านั่นมิใช่ปัญหา ปัญหาที่แท้จริงคือในอดีตนอกจาก 4 มหาอำนาจผู้คนต่างเชื่อในคำใส่ร้ายนั้น และนี่....จะมิกลายเป็นเรื่องยุ่งยากหรอกหรือ
“พี่ชาย แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลหลี่ถูกใส่ร้ายจริงๆ”
เทียนเจินเซียงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ
“ด้วยความยิ่งใหญ่ของตระกูลเทียนแน่นอนว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้ ดูเหมือนบันทึกที่ข้าได้อ่านมาจะเป็นสมาชิกบางคนของ 4 มหาอำนาจที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้”
หยางอี้พยักหน้ารับคำก่อนจะกล่าวถามบางอย่างกับเจินเซียง
“ท่านรู้ถึงความสามารถของกายาทรราชทมิฬหรือไม่”
เทียนเจินเซียงเองก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนจะกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น นอกจากคนตระกูลหลี่ ล้วนมิมีผู้ใดรู้ข้อมูลที่แน่ชัด จากบันทึกนั้นบอกเพียงว่า กายาทรราชทมิฬมีความสามารถในการกักเก็บพลังปราณมหาศาลไว้ในร่างกายก่อนจะปล่อยให้มันปะทุออกมาทีเดียวในการโจมตีเช่นเดียวกับที่เจ้าได้เห็นไปเมื่อครู่นั่นแหละ”
หยางอี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ และเริ่มสำรวจปฎิกริยาของเหล่าผู้ชมบนอัฒจันทร์ เพื่อดูว่ามีผู้ใดที่ล่วงรู้ถึงความลับนี้หรือไม่
.........
บนเวทีประลองข่งเย่หลงจ้องมองไปยังเป่ยลู่อย่างโกรธเกรี้ยว ด้วยความหยิ่งทรนง เขาล้วนมิมีเศษเสี้ยวของความตกตะลึง ในอกของเขาต่างเต็มไปด้วยความโกรธและความต้องการที่จะบดขยี้เป่ยลู่ให้สิ้นซากเท่านั้น
บุคคลเบื้องหน้าที่เขามองเห็นเป็นเพียงมดตัวน้อยกระจ้อยร่อย บัดนี้กลับบังอาจหาญกล้าทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ การโจมตีของเป่ยลู่แม้จะรุนแรงทว่าด้วยช่องว่างความห่างชั้นด้านพลังปราณทำให้ข่งเย่หลงมิได้บาดเจ็บมากนัก ต้องกล่าวว่าการเสียหน้าเช่นนี้ จะดูเหมือนเป็นการทำร้ายเขาเสียมากกว่า เพราะหลังจากโดนการโจมตีของเป่ยลู่ผู้มีระดับเพียงปราณก่อตั้งจิตเล่นงานเข้า เขาเองที่มีประสาทการรับรู้ที่ยอดเยี่ยมล้วนได้ยินถ้อยคำเสียดแทงของหลายคนที่รอคอยเยาะเย้ยเขาอยู่
“บังอาจนัก! ความผิดของเจ้าครั้งนี้มันจะทำให้เจ้าเสียใจไปจนวันตาย”
ข่งเย่หลงคำรามออกมาก่อนจะโคจรพลังปราณระดับปฐพีพุ่งทะยานเข้าหาเป่ยลู่อย่างบ้าคลั่ง
กระแสลมปราณอันแหลมคมแผ่ออกมาจากร่างข่งเย่หลงฉีกกระชากมวลอากาศรอบข้างจนบิดเบี้ยว
ปัง! ปัง! ปัง!
การปะทะกันของทั้งคู่กลายเป็นดุเดือดผิดกับตอนแรกขึ้นมาทันที หนึ่งหมัด หนึ่งเท้า แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างสูสี แม้จะมีระดับที่ด้อยกว่า ทว่าด้วยการระเบิดลมปราณออกมาอย่างฉับพลัน ทำให้เป่ยลู่สามารถต่อกรกับข่งเย่หลงได้อย่างสูสี
เสียงคนดูตอนนี้เปลี่ยนจากการชื่นชมข่งเย่หลงมาเป็นเสียงเชียร์ทั้งสองบนเวทีอย่างสนุกสนาน เสียงวิจารณ์มากมายต่างดังกระหึ่มออกมาจากพวกเขาอย่างสนุกปาก ทว่ายังมีชนชั้นผู้นำจำนวนไม่น้อยที่เป็นอย่างที่หยางอี้กังวล เหล่าคนรับใช้ต่างถูกสั่งให้สืบเรื่องของเป่ยลู่อย่างเร่งด่วน ตัวตนของสายเลือดตระกูลหลี่นั้นในยามนี้มิได้เป็นเฉกเช่นครั้งอดีตอีกต่อไป หลายคนที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับสายเลือดนี้ย่อมมีความคิดเอนเอียงไปทางเดียวกัน ‘หากมิได้ไว้ในครอบครองก็มีแต่ต้องกำจัดทิ้งโดยเร็ว‘ หนึ่งต้องรู้ว่านี่คือความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือดมิใช่ของตัวบุคคล และแน่นอนว่าหากกำลังรบของพวกเขาได้รับพรจากสวรรค์นี้ไป ย่อมเติบโตขึ้นมามีอำนาจได้โดยเร็ว
การปะทะกันอันดุเดือดดำเนินไปเรื่อยๆ ทว่าใบหน้าของข่งเย่หลงยิ่งมายิ่งบิดเบี้ยว ตัวเขาคือใคร? และบุคคลเบื้องหน้าเขาเป็นเพียงมดกระจ้อยร่อยมิใช่หรือ? การที่อัจฉริยะเช่นเขามิสามารถรจัดการชนชั้นก่อตั้งจิตได้นับเป็นเรื่องขายหน้าอย่างมาก และที่เขายังมิใช้ออกด้วยทักษะใดนั้น เพราะเขาคิดว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติ ทว่าตอนนี้สิ่งที่จิตใจเขาร่ำร้องคือการทุบตีชายเบื้องหน้าที่ทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เสียมากกว่า
พรึ่บ พรึ่บ
ข่งเย่หลงและเป่ยลู่แยกออกจากกันจังหวะหนึ่งก่อนทั้งคู่จะยืนจ้องมองกันด้วยสายตาที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
แววตาของเป่ยลู่เต็มไปความตื่นเต้น เด็กหนุ่มชาวเขาเช่นเขาย่อมมิเคยได้สัมผัสพลังอันมากล้นเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่งด้วยความหลงระเริงเป่ยลู่คิดกระทั่งว่าอาจจะสามารถเอาชนะข่งเย่หลงได้จริงๆ ถ้าหากเขามีพลังนี้อยู่การเอาชนะยอดอัจฉริยะระดับปฐพีอาจจะมิใช่เพียงเรื่องเพ้อฝัน
ทว่าในความเป็นจริง เป่ยลู่กลับรู้สึกตัวได้เมื่อจ้องมองไปยังแววตาของข่งเย่หลง แววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ แววตาที่มิได้ตื่นตะลึงแม้เพียงสักเล็กน้อยต่อหน้าพลังที่ตัวเขาคิดว่ามากมายมหาศาล เป่ยลู่รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าความคิดชั่วขณะนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเป็นไปได้ ทว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้เขาเองย่อมมิต้องการยอมแพ้ การต่อสู้จนหยาดเหงื่อหยดสุดท้ายคือศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่สำหรับชายชาตรี
ข่งเย่หลงที่เต็มไปด้วยความโกรธขณะนี้เริ่มโคจรพลังปราณโดยมิประมาทเป่ยลู่อีกต่อไป น่าแปลกที่แม้จะโกรธเกรี้ยวเพียงใดทว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาคือความสงบเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด คำว่ายอดอัจฉริยะมิได้เป็นเพียงคำนำหน้า หากมีพลังอันโดดเด่นทว่าทำตัวเยี่ยงคนโง่นั้นมินับว่าเป็นเพียงตัวโง่งมหรอกหรือ ข่งเย่หลงก้าวเดินอย่างเชื่องช้าขณะที่ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มวลพลังปราณเริ่มก่อตัวรอบๆร่างกายของข่งเย่หลง ในตาแข็งกร้าวยังคงจ้องม้องเป่ยลู่ด้วยความกระหาย ข่งเย่หลงหยุดยืนเบื้องหน้าเป่ยลู่ที่เตรียมพร้อมตลอดเวลาอยู่ไม่ห่างนักก่อนจะกางมืออกทั้งสองข้างร่างกายพลั่งพูนไปด้วยพลังปราณจนผู้คนที่เห็นกลายเป็นตื่นเต้น จนบางคนเผลอพูดออกมา
“ทักษะระดับสูงของวิหารสวรรค์ สวรรค์เคลื่อนปฐพี”
ข่งเย่หลงมองไปยังเป่ยลู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส
“สารเลว เจ้าคิดว่าเจ้ามีพลังมากพอจะต่อต้านข้าผู้นี้งั้นเรอะ จงเข้ามา ข้าจะทำให้เจ้าได้ประจักษ์ถึงสิ่งที่เรียกว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”
เป่ยลู่ตัวสั่นไหวไปครู่หนึ่ง แม้จะเป็นเพียงคำกล่าวอย่างมิแยแส แต่แรงกดดันนั้นกลับแผ่ออกมายากที่จะทนทาน ด้วยความดื้อรั้นชายหนุ่มพุ่งเข้าหาข่งเย่หลงทันที จนเกิดเสียงระเบิดดังลั่นเฉกเช่นครั้งแรกที่เขาโจมตี ทว่า....
ปัง!
ผลที่ออกมาช่างหน้าเศร้า เพียงหนึ่งฝ่ามือข่งเย่หลงส่งร่างของเป่ยลู่ กระเด็นกลับไปยังจุดเดิมได้อย่างง่ายดาย เป่ยลู่จ้องมองไปยังมือขวาที่บัดนี้ยังคงสั่นสะท้านจากแรงปะทะจนเริ่มจะด้านชาอย่างตกตะลึง ความมั่นใจที่เคยมีแต่เก่าก่อนเริ่มถูกสั่นคลอนทีละน้อย
ปัง ปัง ปัง ปัง
ผ่านไปอีกหลายกระบวนท่าผลล้วนออกมาเช่นเดิม ไม่ว่าเขาจะทุ่มเทพลังออกมามากเพียงไหน ทว่ากลับถูกข่งเย่หลงต้านรับได้อย่างหมดจด และส่งร่างของเขากลิ้งไปกับพื้นเวทีประลองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ชั่วเวลาหนึ่งเป่ยลู่บังเอิญหันไปสบตาเข้ากับหยางอี้ เดิมเป่ยลู่มิต้องการทำให้หยางอี้ต้องอับอาย ทว่าสายตานั้นกลับบ่งบอกถึงการยอมรับและภาคภูมิก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้าบอกให้เป่ยลู่ยอมแพ้
‘เฮ้อ มาได้เท่านี้สินะ’
เป่ยลู่ที่ทั่วทั้งร่างกายตอนนี้อยู่ในสภาพสะบักสะบอมยืนหอบหายใจอยู่กลางเวทีประลองด้วยความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวดจากการปะทะที่รุนแรงเริ่มแสดงผลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เป่ยลู่หันหน้าไปทางกรรมการเพื่อที่จะกล่าวคำยอมแพ้ ทว่าขณะนั้นข่งเย่หลงกลับพุ่งเข้าหาเขาเป็นครั้งแรกนับจากใช้ออกด้วยทักษะสวรรค์เคลื่อนปฐพี
ปัง!
เป่ยลู่กลายเป็นงุนงงหลังจากถูกข่งเย่หลงตะบันเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆงั้นรึ”
ข่งเย่หลงกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นเฉียบ ใช่แล้วสิ่งที่เขาทำก่อนหน้านั้นเป็นเพียงการกระทำเพื่อบั่นทอนและทำลายจิตใจของเป่ยลู่ ทว่าผลกลับมิได้เป็นอย่างที่คิด ชายหนุ่มเบื้องหน้าเขากลับเปี่ยมล้นไปด้วยพลังใจ แม้จะถูกตอกย้ำถึงความอ่อนแอมากเพียงใด แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมากลับเป็นเพียงการยอมรับในความอ่อนแอนั้น เรื่องนี้ทำให้ข่งเย่หลงกลายเป็นหัวเสีย ตั้งแต่เริ่มการประลองทุกอย่างที่เขาคาดการล้วนถูกเป่ยลู่ทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ข่งเย่หลงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยระบายความโกรธในครั้งนี้ออกไปได้ นั่นคือการทุบตีชายหนุ่มเบื้องหน้า
เป่ยลู่ลุกขึ้นมาอย่างงุนงงก่อนจะจ้องมองไปยังข่งเย่หลง ทว่าเพียงพริบตาข่งเย่หลงกลับหายไปและมาปรากฎเบื้องหน้าเขาก่อนจะระดมหมัดใส่เขาอย่างไม่ยั้ง
ปัง ปัง ปัง
หลังจากเสียสมาธิในครั้งแรก การเปิดใช้กายาทรราชทมิฬของเป่ยลู่ล้วนอันตรธานหายไป แต่ถึงแม้จะสามารถคงสภาพเช่นนั้นไว้ได้ผลก็ล้วนมิต่างกัน เพราะการปะทุของพลังต้องถูกใช้ออกโดยการจับจังหวะของผู้ใช้ ทว่าเป่ยลู่เวลานี้สติเริ่มลางเลือนรับรู้เพียงความเจ็บปวดที่ปะดังเข้ามาจากทุกทิศทางเท่านั้น
ตุบ!
ร่างของเป่ยลู่ที่ถูกชโลมไปด้วยหยาดโลหิตล้มลงกับเวทีประลอง สติของเขาล้วนดับวูบไปนานแล้ว ผู้คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ลอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ให้กับความโหดเหี้ยมของข่งเย่หลง ทว่าข่งเย่หลงกลับมิหยุดเพียงเท่านั้นเขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปยังร่างไร้สติของเป่ยลู่ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าเหยียบไปบนใบหน้าของชายหนุ่มก่อนที่เขาจะยกขึ้นเตรียมจะกระทืบลงไปเป็นการส่งท้าย
ตูม!
ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างที่คิดพลันมีดาบเล่มเขื่องพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วจนข่งเย่หลงเกือบจะหลบมิพ้นคมดาบนั้น
“ใคร!”
ข่งเย่หลงคำรามออกมาเสียงดัง
“หลบได้ดี”
ทว่าเพียงชั่วพริบตาร่างของเด็กหนุ่มอายุราว 16 ปีกลับปรากฎอยู่ข้างดาบที่ปักลงกับพื้นมิห่างจากร่างไร้สติของเป่ยลู่เท่าใดนัก
“เป็นเจ้า!”
ข่งเย่หลงคำรามออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของหยางอี้ หยางอี้เป็นหนึ่งในผู้เยาว์ที่ก้าวเข้าสู่ชนชั้นระดับปฐพี ด้วยความโดดเด่นนี้เขาย่อมสนใจในตัวชายหนุ่มเช่นกัน และที่สำคัญเมื่อเขารู้ว่านามของเด็กหนุ่มผู้นี้คือหยางอี้ ทำให้เขามองหยางอี้เป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน
“เป็นข้าเอง! การต่อสู้นี้จบลงแล้ว”
หยางอี้พูดออกมาเสียงเย็นเฉียบก่อนจะหันไปยังผู้อาวุโสที่รับหน้าที่เป็นกรรมการด้วยสายตาแข็งกร้าว จนร่างของผู้อาวุโสคนนั้นต้องสั่นสะท้าน ตัวเขารับรู้เช่นกันเป่ยลู่ต้องการจะยอมแพ้นานแล้ว หากเป็นคนอื่นเขาย่อมเข้าไปขัดขวางแล้ว ทว่าข่งเย่หลงเป็นใคร ด้วยตำแหน่งอันต่ำต้อยของเขาจะหาญกล้าขัดใจว่าที่ผู้นำสำนักรุ่นต่อไปได้อย่างไร ครั้นมาถึงคราวนี้ผู้ที่ขึ้นมาขวางการประลองนี้กลับเป็นผู้เยาว์ที่อยู่ในความดูแลของเหล่ยโหลว ตัวเขาได้แต่โทษตัวเองที่โชคร้ายได้มาตัดสินการประลองนี้
“อ่า สิ้นสุดการประลองผู้ชนะคือ ข่งเย่หลง”
ในที่สุดเขาก็ประกาศออกมาอย่างช่วยมิได้ อย่างไรเสียสภาพของเป่ยลู่เป็นเช่นนี้ทุกคนล้วนเห็นกันอยู่
หยางอี้หันมาจ้องมองไปยังข่งเย่หลงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว จิตสังหารอันรุนแรงพลันทะลักออกมาชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหายไป ชายหนุ่มมิสนใจข่งเย่หลงอีกต่อไปตอนนี้การนำเป่ยลู่ไปรักษาย่อมสำคัญกว่า
“ฮ่าๆ อะไร? เห็นนังแพศยาสองตัวนั่นคุยโวโอ้อวดที่แท้กลับเป็นเพียงคนขี้ขลาด”
ข่งเย่หลงกล่าวออกมาเพื่อยั่วยุหยางอี้หลังจากเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะลงจากเวทีไป ตัวเขามิเกี่ยงอยู่แล้วหากจะต้องต่อสู้กับหยางอี้ในยามนี้ ด้วยระดับสูงสุดของปฐพีขั้นต้นความมั่นใจของเขาล้วนเต็มเปี่ยม
หยางอี้เมื่อได้ฟังถ้อยคำของข่งเย่หลงชายหนุ่มหันหน้ากลับมาเล็กน้อยจ้องมองไปยังข่งเย่หลงด้วยสายตามิแยแส
“หากเจ้ามีความสามารถก็จงผ่านมาเจอกับข้าให้ได้ และข้าจะสอนให้เจ้าได้รับรู้ ถึงสิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริง”
ใบหน้าข่งเย่หลงกลายเป็นบิดเบี้ยวมิต่างจากหลายๆคนที่ได้ยินคำของหยางอี้ คำกล่าวที่หยิ่งยโสนั้นมันอะไรกัน? และนั่นมิใช่ถ้อยคำที่ข่งเย่หลงเคยกล่าวออกมาก่อนหน้านี้หรอกหรือ?
หยางอี้ก้าวลงจากเวทีทันทีหลังจากกล่าวเสร็จ สิ่งที่ตามมาคือเสียงด่าทอของคนดูจำนวนไม่น้อย แม้หลายคนจะมองว่าหยางอี้เป็นหนึ่งในผู้เยาว์ที่โดดเด่นและอาจจะมีศักยภาพเหนือกว่าข่งเย่หลงจริง ทว่านั่นคงต้องรออีกสัก 2-3 ปี แน่นอนว่าด้วยวัยเพียง 16 ปี กลับก้าวผ่านมายังระดับปฐพีได้ ย่อมอยู่ในระดับที่เหนือล้ำกว่ายอดอัจฉริยะทั้ง 4 ในการประลองครั้งนี้ แต่นั่นเป็นเพียงศักยภาพเท่านั้น หากกล่าวกันตามจริง ในตอนนี้ด้วยช่องว่างที่ห่างกันถึง 2 ระดับ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหยางอี้จะเอาชนะข่งเย่หลงได้
ผู้คนต่างคาดเดาไปต่างๆนานา คำพูดของหยางอี้นั้นปลุกปั่นกระแสได้เป็นอย่างดี ความเกลียดชังจากเหล่าผู้เยาว์หลายคนล้วนมุ่งมาสู่หยางอี้ คำพูดที่ราวกับมิแยแสผู้เข้าร่วมการประลองคนอื่น กระทั่งมั่นใจว่าตนเองจะมิแพ้พ่ายอย่างแน่นอนนั้น ล้วนทำให้ผู้อื่นเฝ้ารอที่จะตอกย้ำยามเขาพลาดท่า
“ฮ่า ๆ เจ้านั่นบ้าจริงๆด้วย”
ซูเฉินหัวเราะจนท้องแข็งหลังจากได้ยินคำพูดของหยางอี้ ตัวเขาเป็นชายร่างเล็ก แต่เรื่องใจสู้นับว่ามิด้อยไปกว่าผู้ใดแน่นอน
“มันน่าขำตรงไหน ข้าว่าคำพูดเช่นนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย”
เปียวเหว่ยกล่าวขึ้นบ้างหลังจากเห็นซูเฉินหัวเราะไม่หยุด ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างเหยเก เทียนเจินเซียงเองก็มิคาดคิดว่าหยางอี้จะกล่าวออกไปเช่นนั้นจริงๆ แม้คำพูดของหยางอี้คล้ายจะบอกว่าตนเหนือกว่า 4 ยอดอัจฉริยะ ทว่าเขาก็มิคิดนำมาใส่ใจ เพราะรู้ว่าเป้าหมายแท้จริงคือข่งเย่หลง
“เจ้าวัวบ้า แม้ข่งเย่หลงจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่หากนับเพียงด้านความเร็วแล้ว ด้วยทักษะประจำตระกูลข้า ข้านั้นมั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าตัวข้านั้นสูสีกับเขา ทว่าเจ้าเห็นความเร็วของหยางอี้เมื่อครู่หรือไม่ ความเร็วระดับนั้นหากมิเป็นท่านพี่ข้ามาเองก็ยังยากนักที่รุ่นเยาว์คนอื่นจะตามทัน”
ซูเฉินกล่าวออกมาอย่างภูมิใจเมื่อเอ่ยถึงพี่ชาย และคำว่าพี่ชายนั้นกระทั่งทำให้คนในกลุ่มต้องชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เปียวเว่ยจะกล่าวถามออกมาอย่างช่วยมิได้
“เฮ้ ล้อเล่นหรือเปล่า เจ้าจะบอกว่าความเร็วของหยางอี้เทียบได้กับพี่จริง ที่ได้รับฉายา เจ้าลมกรด จริงๆน่ะเรอะ”
ซูชางอัจฉริยะบุคคลของตระกูลซูผู้ที่คิดค้นทักษะสายความเร็วขั้นสูงจากการดัดแปลงทักษะของตระกูลได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย และความเร็วของเขานั้นกระทั่งเทียบได้กับผู้อยู่ในระดับสวรรค์ขั้นกลางตั้งแต่ตัวเขายังอยู่ในระดับปฐพีขั้นสูง
“เฮ้ๆ ข้าบอกว่าหากมิใช่ท่านพี่ก็ยากที่จะมีผู้เยาว์คนใดตามทัน มิใช่ว่า หยางอี้เขาจะเทียบได้กับท่านพี่เสียหน่อย”
ได้ยินดังนั้นทุกคนก็เบาใจลง แม้จะนับเป็นสหาย แต่พวกเขาก็มิเต็มใจนักหากน้องใหม่เช่นหยางอี้ที่อายุน้อยกว่าพวกเขาถึง 3 ปีจะมีฝีมือสูงล้ำกว่า นั่นนับเป็นการขายหน้าอย่างยิ่งต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาในฐานะอัจฉริยะรุ่นเยาว์
ด้านหยางอี้หลังจากที่นำตัวเป่ยลู่ลงมา ชายหนุ่มรีบมุ่งหน้าไปยังหอทดสอบทันที ตอนนี้คนที่เขาจะพึ่งได้คงมีแต่ผู้อาวุโสจางเท่านั้น ครั้นจะขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสท่านอื่น ด้วยตัวตนของข่งเย่หลงแล้วเกรงว่าจะยุ่งยาก
ภายในหอทดสอบหยางอี้นำร่างของเป่ยลู่ที่หมดสติวางลงไว้ด้านนอกโดยบอกกับศิษย์ที่ติดตามผู้อาวุโสจางให้นำเขาไปนอนพักเพื่อเตรียมการรักษาโดยด่วนก่อนจะเข้าไปยังห้องประชุมเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส
หยางอี้จำต้องกล่าวกับผู้อาวุโสอย่างอ้อมค้อม เหตุเพราะมิต้องการให้เด็กสาวตัวน้อยที่กำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข ต้องพลันกลายเป็นเศร้าโศกเพราะความเป็นห่วงพี่ชาย
ทั้งสองเร่งออกไปทันทีโดยปล่อยให้เป่ยลี่ยังคงวิ่งเล่นอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง
“เป็นเช่นไรบ้างผู้อาวุโส”
“อืม นับว่ายังโชคดีที่บาดเจ็บเพียงภายนอก ข่งเย่หลงนั้นนับว่ามีนิสัยโหดร้าย ทว่าตัวเขาเองก็ยังมิกล้าพอที่จะดับอนาคตของศิษย์ใหม่ของสำนัก เจ้าวางใจได้ทางนี้ข้าจะดูแลให้เอง ตอนนี้เจ้าควรรีบกลับไปยังลานประลองได้แล้ว”
“ขอบคุณผู้อาวุโส ท่านช่วยเป็นธุระให้ข้าหลายเรื่อง หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยได้ขอให้ท่านเอ่ยมาอย่าได้เกรงใจ”
“ฮ่าๆ มิได้ๆ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็จงติด 1 ใน 3 อันดับแรกให้ข้าดูหน่อยเป็นอย่างไร”
หยางอี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับด้วยความมั่นใจและรีบจากไปเพื่อเข้าร่วมการประลองต่อในทันที
การประลองรอบต่อไปเป็นการจัดอันดับของผู้เข้าประลองที่ตกรอบแรกและรอบที่สอง เนื่องจากการประลอง 2 รอบที่ผ่านมานอกจากการต่อสู้ของเป่ยลู่และข่งเย่หลงแล้ว คู่อื่นๆล้วนจบลงด้วยความรวดเร็ว ทางสำนักจึงได้เปลี่ยนกำหนดการให้ทำการประลองจัดอันดับที่ 9 ถึง 60 ก่อน หลายคนดูออกได้ไม่ยาก ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะข่งเย่หลงที่สูญเสียพลังปราณไปไม่น้อยในการปะทะกับเป่ยลู่ อีกทั้งคู่แข่งในรอบถัดไปนั้นล้วนเป็นชนชั้นปฐพีทั้งสิ้น
การประลองจัดอันดับกินเวลากว่า 1 ชั่วยามก่อนจะจบลงในช่วงเช้า และการประลองในรอบที่ 3 จะเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย
หยางอี้นั้นรวมกลุ่มอยู่กับพวกเทียนเจินเซียง โดยหยางอี้ได้แต่ทำหน้าเจื่อนเมื่อถูกซูเฉินซักไซ้ถึงเรื่องความเร็วของเขา หลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับพี่ชายที่น่าภาคภูมิของเขาอย่างไม่ขาดปาก ซูเฉินนั้นคิดเป็นมั่นเป็นเหมาะเกี่ยวกับหยางอี้ ผู้ฝึกปราณสายความเร็วนั้นมีจำนวนไม่น้อย ทว่าด้วยระดับที่สูงส่งของตระกูลซู น้อยครั้งนักที่เขาจะได้เจอผู้เยาว์ที่มีความเร็วเช่นหยางอี้
ช่วงเวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็วในช่วงบ่ายของวันดวงตะวันคล้อยข้ามผ่านกลางศีรษะเสียงประกาศของผู้อาวุโสก็ดังขึ้นเพื่อเรียกรวมตัวผู้เข้าร่วมประลอง
การประลองในรอบนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 8 คน โดยผู้อาวุโสจะทำการสุ่มจับหมายเลข 1 ถึง 4 ในทั้ง 8 คน และผู้ที่ได้รับหมายเลขเดียวกันจะเป็นคู่ต่อสู้กันตามลำดับหมายเลข
ผู้ชมมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ดูเหมือนจะมีจำนวนไม่น้อยที่มาใหม่ และคนพวกนี้ต่างเป็นผู้มีอำนาจในเมืองหลวงแห่งนี้ โดยเฉพาะคนของทางราชวงศ์ กระทั่งแม่ทัพสูงสุดบิดาของเปียวเหว่ยยังมาด้วยตนเอง
แน่นอนที่เป็นเช่นนั้นเพราะทางราชวงศ์มีข้อตกลงในการดึงตัวผู้เยาว์ 1 คนที่ผ่านการทดสอบเข้าร่วมกับ 4 สำนักใหญ่ การเสนอเงื่อนไขนั้นนับว่าล่อตาล่อใจมิใช่น้อย ที่ผ่านมาอัตราการดึงตัวสำเร็จถึง 7 ใน 10 ด้วยความฉลาดทางราชวงศ์จะมิสนใจผู้ที่ได้อันดับต้นๆ แต่จะเลือกยื่นข้อเสนอให้กับผู้เยาว์ที่ดูมีอนาคตแต่ถูกบดบังด้วยความโดดเด่นของยอดอัจฉริยะในแต่ละรุ่น
ในครั้งนี้ตัวเลือกของทางราชวงศ์ย่อมเป็นรัชทายาทอย่างแน่นอนอยู่แล้ว หากราชวงศ์ยอมปล่อยให้อัจฉริยะของตนเองไปเข้าร่วมกับกองกำลังอื่นก็นับว่าโง่เต็มที เรื่องนี้ใครๆย่อมรู้กันดี การเข้าร่วมประลองครั้งนี้ของตู่เว่ยเป็นเพียงการชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม
หลังจากทั้ง 8 คนมายังเวทีประลอง ผู้อาวุโสก็เริ่มสุ่มจับหมายเลขเพื่อประกาศคู่ต่อสู้ของแต่ละคนทันที
และผลที่ออกมาก็ทำให้ผู้คนโห่ร้องด้วยความยินดี
หมายเลข 2 ตู่เว่ย
หมายเลข 4 อี้เสวี่ยชิง
หมายเลข 1 ข่งเย่หลง
หมายเลข 2 เทียนเจินเซียง
หมายเลข 3 ซูเฉิน
หมายเลข 3 ซิวซาน
หมายเลข 4 อวิ้นหลาน
และสุดท้าย...
หยางอี้ถึงกับยิ้มเหี้ยมอย่างพึงพอใจ นับว่าข่งเย่หลงมีอำนาจสมกับที่คาดไว้จริงๆ ด้วยคำยั่วยุนั้นหยางอี้มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้
หมายเลข 1 หยางอี้
เฮ!!
เสียงเชียร์ดังสนั่นไปทั่ว เมื่อการจับคู่หยางอี้และข่งเย่หลงถูกจัดให้ประลองกันในรอบแรก ทั้งเสียงเรียกขานนามของทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มไปทั้งลานประลอง ผู้เยาว์มากมายที่สนับสนุนข่งเย่หลงรวมถึงพวกที่ไม่ชอบหน้าหยางอี้ต่างร้องขานส่งเสียง ข่งเย่หลงอย่างไม่ขาดปาก อีกด้านเป็นพวกที่มิได้ชื่นชมในตัวหยางอี้เท่าใดนัก ทว่าพวกเขากลับมิชมชอบข่งเย่หลงมากกว่า ต่างร้องเรียกนามของหยางอี้กันอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งบุรุษหนึ่งเด็กหนุ่มยืนประชันหน้ากันบนเวที สองสายตาจ้องมองกันอย่างมิยอมกัน ด้วยวัยที่ห่างกันถึง 4 ปีและระดับพลังที่ห่างกันถึง 2 ขั้น ณ เวลานี้หากเอ่ยจากใจจริงมิมีใครเชื่อว่าหยางอี้จะเอาชนะข่งเย่หลงได้ ส่วนเรื่องของอนาคตนั้นตอนนี้หาได้สำคัญไม่
เมื่อตัวเอกของละครบทนี้ปรากฏตัวทุกเสียงต่างเงียบลงในทันที เหลือไว้เพียงความลุ้นระทึกต่อการต่อสู้ของอัจฉริยะทั้งสองที่กำลังประชันหน้ากันบนเวที แรงกดดันอันมหาศาลแผ่พุ่งออกมาปะทะก่อนอย่างพร้อมเพรียง จนผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ตัดสินต้องหน้าซีด ตัวเขาเองก็มิสูงส่งกว่าทั้งสองเท่าใดนัก
แม้ช่องว่างของปฐพีระดับสูงกับระดับต่ำจะนับว่าห่างกันอยู่มากโข แต่ด้วยสิ่งที่ผู้เยาว์ทั้งสองปลดปล่อยออกมานั้นอาจเรียกได้ว่ามันคือศักยภาพของผู้ที่ถูกลิขิตมาให้ยืนอยู่เหนือผู้อื่น หากนำผู้ที่กำเนิดมาเพื่อเป็นจอมราชันย์กับบุคคลธรรมดามายืนคู่กันแรงกดดันที่แผ่ออกมาล้วนสัมผัสได้อย่างชัดเชน
ผู้ตัดสินไม่รอช้า การทนอยู่ภายใต้แรงกดดันนี้นานๆมิใช่ผลดี เขาเร่งประกาศเริ่มการประลองทันที ก่อนจะรีบถอยออกจากเวทีประลอง
ปัง ปัง ปัง
สิ้นเสียงผู้ตัดสิน สิ่งที่เกิดตามมาคือเสียงการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายแล้ว มิต้องเอ่ยวาจาใดเพื่อยั่วยุ ความบาดหมางในใจของทั้งคู่ย่อมเป็นชนวนชั้นดี ดั่งลูกธนูที่ดึงรั้งไว้รอการปลดปล่อยจากคันศร และมันล้วนถูกปล่อยออกมาทันทีหลังจากสิ้นคำประกาศ
การประชันหน้ากันตาต่อตาฟันต่อฟัน มิต้องพึ่งพาสิ่งใด ใช้เพียงกำลังของตนในการสะกดข่มฝั่งตรงข้าม การต่อสู้ที่เกินเลยจิตนาการของผู้คนไปไกลนัก ทั้งคู่มิมีผู้ใดออมมือแม้แต่น้อยต่างใส่แรงทั้งหมดในการเข้าปะทะกับฝ่ายตรงข้าม และเหตุนี้ทำให้สรรพเสียงของผู้คนกลายเป็นเงียบกริบ เมื่อหยางอี้ปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างเต็มสูบ ซึ่งนั่นคือปฐพีขั้นที่ 2
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนรอบข้างกระทั่งเทียนเจินเซียงเองยังตกตะลึกโดยสมบูรณ์ ตัวเขาเป็นผู้บอกกล่าววิธีการดูดซับผลท้อให้กับหยางอี้ และแน่นอนผลท้อสีทองนั้นมีความสามารถเพียงพอที่จะยกระดับให้กับหยางอี้เข้าสู่ปฐพีขั้นที่ 2 ทว่านั่นจำต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีเวลามากพอและยังต้องดูดซับพลังปราณบริสุทธิ์ได้เกิน 7 ส่วน ทว่าตอนนี้เด็กหนุ่มผู้นี้กลับทำมันได้โดยการฉีกกฎนั้นอย่างไม่เหลือชิ้นดี
ดวงตาผู้อาวุโสใหญ่ที่ควบคุมการประลองกลายเป็นกระจ่างวาบ ตอนนี้เขายังอยู่ในช่วงตัดสินใจ แน่นอนว่าเดิมทีศักภาพของหยางอี้นั้นเพียงพอต่อการสนับสนุน ทว่าก็ยังมิได้ห่างไกลจากข่งเย่หลงมากนัก และด้วยเบื้องหลังของทั้งคู่การบาดหมางที่รุนแรงเช่นนี้ของทั้งสองล้วนทำให้เขาหนักใจ แต่ด้วยการเปิดเผยพลังของหยางอี้ในตอนนี้ล้วนชี้ชัดแล้วว่าตัวชายหนุ่มมีศักยภาพสูงล้ำกว่าข่งเย่หลงอย่างแน่นอน การก้าวเข้าสู่ปฐพีขั้น 2 ด้วยวัยเพียง 16 ปี นี่นับเป็นตัวประหลาดอันใดอย่าลืมว่าด้านทรัพยากรนั้นหยางอี้มิอาจเทียบได้แม้แต่น้อยกับนายน้อยตระกูลข่งผู้นี้
ทว่าปัจจุบันนั้นหยางอี้ยังถือว่าอ่อนแอกว่าข่งเย่หลง การต่อสู้นี้มีความเป็นไปได้ที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขาเองก็ยังคงลังเล เพราะการตัดสินใจสนับสนุน 1 ใน 2 คนนี้ คือการประกาศว่าเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ปัง!
สองฝ่ามือปะทะกันอย่างรุนแรง ก่อนจะส่งร่างทั้งสองให้ผงะถอยหลังกลับไปยืนประชันหน้ากันอีกครั้ง หยางอี้นั้นรู้ว่าข่งเย่หลงแข็งแกร่ง ทว่า นี่ก็เกินกว่าที่คาดไปเล็กน้อย ตัวเขาใช้ออกด้วยหัตถ์หลอมตะวันระดับ 5 ยังทำได้เพียงปะทะกับข่งเย่หลงอย่างสูสี ผิดกับข่งเย่หลงที่ใบหน้าล้วนบิดเบี้ยวกลายเป็นน่าเกลียด ในจิตใจล้วนร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง เป็นไปได้อย่างไร ตัวเขาใช้ออกด้วยทักษะระดับสูงอย่างสวรรค์เคลื่อนปฐพี และยังใช้ออกด้วยลมปราณปฐพีขั้น 3 เต็มกำลัง ทว่ากลับทำได้เพียงสูสีกับเด็กหนุ่มเบื้องหน้า
ความขัดข้องภายในใจของทั้งสองคนที่ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด ทำให้พวกเขาปลดปล่อยพลังปราณรีดเร้นทุกสิ่งออกมาก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกันอีกครั้งหนึ่ง โดยมิได้สนใจเลยว่าบัดนี้ผู้คนรอบตัวพวกเขานั้นกลายเป็นนิ่งสนิทมานาน นี่มันเรื่องบ้าอันใด การปะทะกันของผู้เยาว์สองคนเหตุใดจึงได้รุนแรงเช่นนี้ ทั้งกระแสพลังปราณอันเกรี้ยวกราดทั้งสองสายและแรงกดดันที่พุ่งทะลักออกมาจากร่าง ส่งผลให้หลายคนต้องกางม่านพลังปราณออกมาเพื่อป้องกัน ส่วนด้านผลกระทบจากการปะทะน่ะหรือ มองไปรอบเวทีที่พังเละเทะบัดนี้ปรากฎผู้อาวุโสถึง 4 คนแล้วที่ประสานปราณกางม่านพลังกันอยู่เพื่อป้องกันมิให้ผู้ชมได้รับลูกหลง
หยางอี้แม้จะมีความเร็วที่เหนือกว่า ทว่าตอนนี้เขายังมิเต็มใจจะเอาชัยด้วยความเร็วระดับนั้น คำที่เขาเคยกล่าวออกไปด้วยการย้อนคำพูดของข่งเย่หลงคือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง หากชนะด้วยความเร็วและลอบโจมตีจะมีประโยชน์อันใด เพราะตัวเขาต้องการทำเช่นเดียวกับที่ข่งเย่หลงกระทำกับเป่ยลู่ นั่นคือการตอกย้ำลงในส่วนลึกของจิตใจอันทรนงของเขาให้แตกสลายด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า!
ปัง!
เสียงดังกึกก้องพร้อมกับสายพลังปราณตกค้างที่พุ่งกระทบกับม่านพลังอย่างรุนแรง หนึ่งหมัดที่เต็มไปด้วยน้ำหนักและความร้อนแรงของหัตถ์หลอมตะวันกับหนึ่งหมัดที่เต็มไปด้วยกำลังอันมหาศาลของสวรรค์เคลื่อนปฐพี ยิ่งการปะทะกันมากขึ้น สีหน้าของ 4 ผู้อาวุโสยิ่งซีดขาว แรงปะทะระดับนี้พวกเขาทั้ง 4 มิอาจคาดคิดว่ามาจากผู้เยาว์ทั้งสองคน
“ฉายายอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ก็มิเห็นว่าจะสักเท่าไหร่”
หยางอี้พูดออกมาอย่างดูแคลน แม้จะต้องเอาชนะด้วยกำลังที่เหนือกว่าทว่ามิได้หมายความว่าจะต้องต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา การยั่วยุศัตรูให้ขาดสตินับเป็นหนึ่งในวีธีการเอาชนะที่ตัวเขาถนัด ทว่าข่งเย่หลงเป็นใคร แม้ภายนอกจะดูราวกับเดือดดาลจนขาดสติ แต่ภายในจิตใจกลับนิ่งสงบได้อย่างประหลาด หากมีแต่พลังแต่ขาดสติปัญญา ตัวเขาคงมิอาจจะยืนอยู่ได้ในจุดนี้
“ฮ่าๆ เจ้าหนู เริ่มหมดแล้วหรือไงถึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้ ช่างอ่อนแอเสียจริง”
ข่งเย่หลงตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี ด้านหยางอี้เองก็มิได้ยอมอ่อน แม้วรยุทธ์ยังต้องฝึกฝนเพิ่มพูน แต่เรื่องวาจาเสียดแทงตัวเขามั่นใจว่ามิน้อยหน้าผู้ใดแน่นอน
“ฮ่าๆ หากข้านั้นอ่อนแอตัวเจ้าที่มิได้เหนือไปกว่าข้านั้นมิเรียกว่าอ่อนแอเช่นกันหรอกหรือ อีกอย่างทั้งอายุและระดับปราณข้านั้นล้วนน้อยกว่าเจ้าอย่างชัดเจน ทว่าสภาพของเจ้าตอนนี้ข้าคิดว่ามิใช่เพียงอ่อนแอเสียแล้วกะมัง”
ข่งเย่หลงกลายเป็นสำลักคำพูด เป็นจริงอย่างที่หยางอี้ว่า หากเขากล่าวว่าอีกฝ่ายอ่อนแอ ตัวเขาที่มิอาจมีชัยเหนืออีกฝ่ายได้จะเรียกว่าอะไร ข่งเย่หลงเชี่ยวชาญการทารุนและมีนิสัยโหดเหี้ยม ทว่าเรื่องวาจานั้นยังเป็นรองหยางอี้อยู่หลายขั้น
“เลิกพล่ามไร้สาระแล้วเข้ามาได้แล้ว เจ้าหนู”
เมื่อยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว ข่งเย่หลงหันมาทุ่มสมาธิเต็มที่กับการต่อสู้โดยมิสนใจคำยั่วยุของหยางอี้อีก การปะทะกันของทั้งสองดำเนินไปกว่าร้อยกระบวนท่ายังมิอาจรู้ผลแพ้ชนะ ทว่าผลอย่างหนึ่งที่ออกมาแล้วชัดเจนคือผู้อาวุโสทั้ง 4 ที่รับหน้าที่กางม่านพลังเริ่มจะต้านทานมิไหวแล้ว
หยางอี้และข่งเย่หลงแยกกันชั่วขณะหนึ่งเพื่อพักหายใจ การต่อสู้ที่ดุเดือดนั้นทั้งคู่ใช้ออกด้วยพลังปราณเป็นจำนวนมาก ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มชโลมไปทั่ว แรงกดดันที่แผ่ออกมาพร้อมกับควันจากไอเหงื่อที่ระเหยด้วยความร้อนของพลังปราณทำให้ขับส่งภาพลักษณ์ของทั้งสองในสายตาของผู้อื่นให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
และการกระทำของทั้งคู่ในเวลาต่อมาล้วนทำให้ 4 ผู้อาวุโสต้องร่ำร้องอย่างโอดครวญ เมื่อมองไปยังตัวประหลาดทั้งสองที่บัดนี้ยืนตระหง่านในมือถือดาบเล่มใหญ่ และแน่นอนว่าระดับของมันย่อมไม่ต่ำกว่าศาสตราวุธระดับปฐพี ทั้ง 4 ได้แต่ร่ำร้องออกมาในใจ
“ม่ายยย!”
“ซี้แล้วๆ เอาไงดีท่านอี่ หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าจะเป็นพวกเราที่ม้วยก่อนการประลองจะจบ”
“ใจเย็นๆ ท่านซาน ข้ากำลังขอความช่วยเหลือจากท่านอาวุโสใหญ่อยู่”
“ตอนนี้ทั้งสองยังไม่ปะทะกัน เร่งมือเข้าเถอะท่านอี่”
อัก!
เสียงหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งสี่กระอักเลือดออกมาคำโตหลังจากที่ทนรับแรงปะทะของทั้งคู่มาเป็นเวลานาน ด้วยหน้าที่อีกสามคนจึงมิอาจเร่งเข้าไปดูอาการได้ในทันที มีเพียงเสียงอาวุโสซานที่ดังออกมาอย่างตกใจ
“ไอ้หย๋า เป็นท่านซื่อที่ล่วงหน้าไปก่อน”
“บัดซบ ข้าเพียงบาดเจ็บเล็กน้อยยังมิได้ตกตายเสียหน่อย” อาวุโสซื่อพยุงร่างของตนลุกขึ้น ก่อนจะจ้องมองไปยังเวทีอย่างเลื่อนลอย
สองบุรุษยืนประจัญหน้ากันพร้อมด้วยอาวุธคู่ใจ ด้วยบรรยากาศอันเข้มข้นเป็นผลมาจากการต่อสู้ล้วนขับให้ภาพที่ทุกคนเห็นราวกับการนั่งดูตำนานบทหนึ่งที่กำลังสลักลึกลงในจิตใจของผู้คน
บัดนี้ผู้อาวุโสทั้ง 4 ล้วนทนมิไหวอีกต่อไปเมื่อเห็นท่าทีว่าทั้งคู่จะเข้าห้ำหั่นกัน ความแตกต่างของความรุนแรงต่างกันอย่างมากโข การต่อสู้ก่อนหน้านี้จะมินับเป็นอันใดเลยหากเทียบกับการต่อสู้ที่มีศาสตราวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้อาวุโสที่คุมการประลองก็ทราบดีจึงได้ส่งกำลังคนเข้าไปเพิ่ม ตัวเขาเองก็มิคาดคิดว่าในปีนี้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ดูแลการทดสอบในปีนี้จึงมีเพียง 3 คนที่อยู่ในระดับสวรรค์ ที่เหลือนั้นส่วนใหญ่เป็นเพียงพวกที่รับหน้าที่จัดการเรื่องต่างๆในสำนักก็ล้วนอยู่ในระดับปฐพีขั้นสูงทั้งสิ้น
สี่อาวุโสเดิมทีล้วนยินดีที่ได้รับความช่วยเหลือ ทว่าเมื่อผู้อาวุโสอีก 2 คนมาถึงใบหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นปั้นยาก เดิมทีทั้ง 4 ต่างคิดว่าจะมีผู้อาวุโสชุดใหม่มาผลัดเปลี่ยนแต่ที่ไหนได้กลับเป็นมีมารับชะตากรรมเพิ่มอีกสองคน
บัดนี้ทั้งคู่ต่างยืนจ้องมองกันโดยมิเคลื่อนไหว ดาบพยัคฆ์เมฆาในมือหยางอี้คือศาสตราวุธระดับปฐพีขั้นกลาง หลายคนต่างฮือฮากันอย่างตื่นเต้นโดยเฉพาะเหล่าผู้เยาว์ทั้งหลาย การที่ผู้เยาว์คนหนึ่งจะได้ครอบครองศาสตราวุธสักชิ้นนั้นมันมิใช่เรื่องง่าย สำหรับอาวุโสของสำนักต่างเข้าใจได้เมื่อเห็นดาบเล่มนี้ ดาบพยัคฆ์เมฆานั้นเดิมทีเป็นเหล่ยโหลวที่สั่งทำขึ้นจากการร้องขอของเสี่ยวทันหลาง การที่มันตกอยู่ในมือหยางอี้นั้นคือการตอกย้ำอีกครั้งว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับการสนับสนุนจากหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแน่นอน
ทว่า เมื่อมองไปยังดาบสีนิลในมือของข่งเย่หลงพวกเขาได้แต่ส่ายหัว การประลองนี้เห็นทีคงรู้ผลในอีกไม่ช้า ดาบเกร็ดนิลคือศาสตราวุธระดับสวรรค์ มันคือมรดกตกทอดมาจากบรรพชนรุ่นก่อนของตระกูลข่ง สัมผัสปราณอันแหลมคมที่เรืองรองอยู่รอบตัวดาบทำให้ผู้คนต้องหนาวสั่น
ดวงตาของผู้พบเห็นต่างเต็มไปด้วยประกายความโลภ เพียงศาสตราวุธระดับปฐพีก็นับว่ายากเย็นแล้วที่จะได้ครอบครอง แต่นี่คือระดับสวรรค์ ต้องมีความมั่งคั่งมากเท่าใดกันจะได้สัมผัสมัน
“เจ้าหนู ข้ายอมรับว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะยืนอยู่ในระดับนี้ ทว่ายังนับว่าเร็วไปที่จะมาเทียบกับข้าในยามนี้”
ข่งเย่หลงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา แม้ในใจเขาจะยอมรับความสามารถของหยางอี้ ทว่าการถูกทำให้อับอายก็มิใช่เรื่องที่เขาชอบนัก ตอนนี้การเอาชนะหยางอี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อตอกย้ำผู้คนว่าเขายังถือครองบัลลังก์ผู้เหนือกว่า ตัวเขามิคิดที่จะตามราวีชายหนุ่มอีกต่อไป เพราะเขาล้วนรู้ดี แม้ว่าบิดาเขาจะถือเขาเป็นที่สุด ทว่าลุงของเขาผู้มีตำแหน่งเป็นประมุขสำนักวิหารสวรรค์มิได้เป็นเช่นนั้น แม้ตัวเขาจะเป็นทายาทผู้สืบทอดจริง ทว่าคนเพียงคนเดียวมิอาจทำการใหญ่ได้ หยางอี้ถือเป็นบุคลากรล้ำค่า เขารู้ดีว่าประมุขยึดถือผลประโยชน์ของสำนักเป็นที่สุด
ทว่า...
ดูเหมือนหยางอี้จะมิได้คิดเช่นนั้น การกระทำที่ข่งเย่หลงลงมือกับเป่ยลู่คือสิ่งที่เขาเห็นกับตา
“ฮ่าๆ เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆเรอะ”
หยางอี้กล่าวออกมาก่อนจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาข่งเย่หลงก่อนด้วยทักษะเคลือบตะวันถูกใช้ออกในทันที ด้วยความด้อยกว่าด้านอาวุธนั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เพราะความต่างชั้นนั้นห่างไกลกันมากนัก ดาบพยัคฆ์เมฆาที่อัดแน่นไปด้วยปราณอันร้อนแรงยามนี้เทียบได้เพียงศาสตราวุธปฐพีขั้นสูงเท่านั้น การจะปะทะกับอาวุธในมือข่งเย่หลงนับว่าลำบากอยู่ไม่น้อย
คมดาบพยัคฆ์เมฆาถูกฟาดออกไปด้วยความร้อนแรงและหนักหน่วง ข่งเย่หลงที่รับการปะทะถึงกับตื่นตระหนก เห็นอยู่ชัดเจนว่าดาบเล่มนี้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ทว่าความรุนแรงนี้ที่สั่นสะเทือนผ่านดาบเกร็ดนิลมายังมือของเขานั้นรุนแรงเกินไป แม้จะยังมิใช้ออกด้วยความสามารถของดาบเกร็ดนิลแต่ด้วยพลังระดับนี้นับว่าเกินเลยขอบเขตของระดับชั้นไปแล้ว
ปัง ปัง ปัง
ทั้งคู่ฟาดฟันคมดาบใส่กันไม่ยั้ง แรงปะทะส่งผลให้ม่านพลังต้องรับความเสียหายอย่างหนัก กระบวนท่าฟาดฟันของทั้งสองเต็มไปด้วยความดุดันก่อนทั้งคู่จะยกระดับการต่อสู้ให้สูงขึ้นไปอีก
ปัง ปัง ปัง
สายตาผู้คนกลายเป็นพร่าเลือนเมื่อการต่อสู้เปลี่ยนเป็นปะทะกันด้วยความเร็ว สิ่งที่เหล่าผู้เยาว์ประจักษ์มีเพียงประกายไฟจากการปะทะกันทางนั้นทีทางนี้ทีเท่านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งคู่
สายลมเริ่มกรรโชกไอแดดถูกบดบังด้วยเมฆครึ้ม บรรยากาศอันแปรปรวนจวนเข้าสู่พายุฝนขับส่งให้ภาพการปะทะดูรุนแรงยิ่งขึ้น
หยางอี้แม้ไม่ใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุดทว่ายังคงได้เปรียบกว่าข่งเย่หลง ชายหนุ่มพุ่งเข้าปะทะทำทีเป็นเปิดช่องว่างให้ ข่งเย่หลงเห็นแล้วยิ้มออกด้วยความลำพองใจก่อนจะฟาดฟันคมดาบเข้าที่กลางลำตัว
“พลาดแล้วเจ้าหนู!”
ปรากฎว่า สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพติดตา ร่างจริงของหยางอี้โผล่ผลับเข้าที่เบื้องหลังโดยที่เขาไม่รู้ตัว ก่อนจะฟาดคมดาบลงไปยังกลางหลังของข่งเย่หลง
อ้ากกก
สายโลหิตพวยพุ่งกระฉูดขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ร่างของเขาจะกระเด็นกลิ้งไปตามพื้น การโจมตีครั้งนี้คือครั้งแรกตั้งแต่ทั้งสองต่อสู้กันมาที่มีฝ่ายหนึ่งพลาดพลั้งบาดเจ็บ
ข่งเย่หลงลุกขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เสี้ยวลมหายใจยังดีที่เขาโคจรพลังปราณบางส่วนไปป้องกันได้ท่วงทัน มิเช่นนั้นเกรงว่าคงมิได้บาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้ แม้หยาดโลหิตจะหลั่งไหลทว่าภายในมิได้โดนจุดสำคัญ ข่งเย่หลงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว บัดนี้เขาลืมสิ้นสนิทถึงเรื่องที่เคยคิดก่อนหน้า ตอนนี้ด้วยการกระทำของหยางอี้ในหัวมีเพียงบดขยี้ผู้เป็นศัตรูเท่านั้น
ดาบใหญ่สีนิลถูกควงสบัดก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณอันหนักหน่วงออกมาอย่างรุนแรง ความกดดันเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ในทันทีเมื่อศาสตราวุธระดับสวรรค์สำแดงอิทธิฤทธิ์ ไอปราณสีเทาแผ่พุ่งออกมาจนเห็นได้ชัดเจน พลังรุนแรงที่อัดแน่นถูกส่งเข้าปะทะกับดาบพยัคฆ์เมฆาในมือหยางอี้ หยางอี้ใช้ออกด้วยพลังปราณสูงสุดในการเข้าปะทะเช่นกัน เดิมทีตัวเขาต้องการหลีกเลี่ยงเพราะความเร็วที่เหนือกว่า ทว่ากลับเป็นเรื่องประหลาด ทันทีที่เห็นประกายดาบสีนิลจิตใจกลับเต็มไปด้วยความฮึกเหิม กล้าเข้าปะทะด้วยกำลังเต็มพิกัด
ปัง!
พลังปราณสีส้มและเทาปะทะกันอย่างรุนแรงสองบุรุษประชันหน้าด้วยอาวุธคู่ใจยื้อต้านกันอย่างมิยอมลง ก่อนที่สิ่งอันสมควรจะเป็นได้เกิดขึ้น
แกร่กกก เพล้งงงง
ตูม
ดาบพยัคฆ์เมฆาแตกร้าวจากการปะทะ ก่อนหักออกเป็นสองท่อน ส่งผลให้พลังปราณตกค้างกระแทกร่างของหยางอี้กระเด็นไปบนพื้นเวที ชายหนุ่มลุกขึ้นมาในทันทีก่อนจะสำลักโลหิตออกมาคำโต ทั้งเรื่องพลังที่แตกต่าง และความรู้สึกประหลาดนั้น ทำให้เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม หากมิปะทะด้วยทุกอย่างเกรงว่าจะเป็นตัวเองที่มอดม้วย
อึกๆๆๆๆๆๆ
ด้านนอกเวที การปะทะเมื่อครู่รุนแรงขนาดที่ 6 ผู้อาวุโสต้องสำลักโลหิตออกมาพร้อมกัน ทว่าใบหน้าพวกเขากลับยินดีเมื่อเห็นว่าอาวุธของฝ่ายหนึ่งได้แตกหัก เป็นว่างานอันยากลำบากครั้งนี้ใกล้จะจบลงแล้ว
ความยินดีเพียงชั่วครู่ของ 6 อาวุโสมอดดับลงในทันใด ใบหน้ากลับกลายเป็นอยากตายเสียตอนนี้ เมื่อหนุ่มน้อยผู้ยืนประชันหน้ากับยอดอัจฉริยะข่งเย่หลงพลันเปลี่ยนมายืนถือทวนเล่มใหญ่สีแดงเข้มราวกับโลหิต
ครึ่ม! ครึ่ม!
เสียงของสายอัสนีสีฟ้าที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลเมฆสีเทาครึ้มดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า สอดประสานเสียงกับการปะทะของสองลมปราณที่รุนแรงบนเวทีประลอง
หนึ่งสายสีเทาดำฟาดฟันกับหนึ่งสายดำแดง ด้วยการปรากฏของสุดยอดศาสตราวุธส่งผลให้ผู้คนกลืนน้ำลายอึกใหญ่หายใจไม่ทั่วท้อง นี่เป็นเพียงการประลองของผู้เยาว์เพื่อจัดอันดับในสำนักเท่านั้นมิใช่หรือ
เหตุการณ์เช่นนี้มิใช่เรื่องแปลกเพียงแต่สถานที่และเวลามันกลับผิดแปลกอย่างมหันต์ ภาพความรุนแรงเช่นนี้ปรากฎออกมาให้พบเห็นได้มิยากเพียงแต่นั่นคือยอดฝีมือที่ต่อสู้ห้ำหั่นเอาชีวิตกันภายในสนามรบ แต่นี่.... นี่เพียงการประลองของผู้เยาว์เท่านั้น
ข่งเย่หลงมองอย่างเย็นชาไปยังทวนโลหิตทมิฬในมือของหยางอี้ แม้เมื่อครู่ที่ทำลายดาบเมฆาพยัคฆ์ได้เขาจะยินดีไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่ความประมาทแต่อย่างใด ชื่อเสียงของทวนเล่มนี้ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งจักรวรรดิแห่งนี้ มีหรือเขาจะไม่รู้ข้อมูลของทวนเล่มนี้ หากก่อนหน้านี้หยางอี้สามารถเพิ่มระดับให้กับดาบพยัคฆ์เมฆาได้ตอนนี้ก็มิมีความจำเป็นต้องคาดเดา ด้วยระดับของทวนโลหิตทมิฬนั้นเรื่องความได้เปรียบด้านอาวุธนับว่าลืมไปได้เลย
หยางอี้ที่ยืนหยัดขึ้นมามองไปยังข่งเย่หลงด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเดินไปอย่างแช่มช้าเพื่อเก็บชิ้นส่วนของดาบพยัคฆ์เมฆาไว้ ดาบเล่มนี้นับเป็นอาวุธคู่กายที่เขาใช้ฟันฝ่าเรื่องราวต่างๆมาถึงจุดนี้ อีกทั้งยังเป็นตัวแทนให้เขารำลึกถึงบุคคลสำคัญหลายคน การแตกหักของมันนับว่าหยางอี้เสียใจมิใช่น้อย
แวปป
หยางอี้พลันชะงักก่อนจะหันไปมองยังทิศทางที่จิตสังหารอันมากล้นพุ่งเข้ามาหาทันที ตู่เว่ย ชายหนุ่มจ้องมองไปยังสายตาของตู่เว่ยที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างงุนงง ก่อนจะละสายตาออกมาอย่างมิใส่ใจและพุ่งสมาธิไปยังการต่อสู้ที่กำลังจะดำเนินต่อ
ตู่เว่ย รัชทายาทผู้มีร่างกายกำยำองอาจจ้องมองไปยังทวนเล่มใหญ่ในมือของหยางอี้พร้อมกับกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ จนหยาดโลหิตซึมซอกออกมาตามเล็บ ใช่แล้วทวนโลหิตคือสมบัติของราชวงศ์ และเขาคือผู้สมควรที่จะได้ครอบครอง
‘พวกท่านบังคับข้าเอง แล้วเราจะได้เห็นดีกันตาแก่!!’
“ไม่คิดว่าทางราชวงศ์จะสนับสนุนเจ้าถึงเพียงนี้”
ข่งเย่หลงเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังทวนในมือหยางอี้ การได้รับทวนเล่มนี้มา หยางอี้ต้องมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์อย่างมิต้องสงสัย
“ข้าว่าได้เวลาจบเรื่องนี้แล้วกะมัง”
หยางอี้กล่าวออกมา พร้อมกับควงทวนโลหิตทมิฬออกด้วยท่วงท่าอันงดงาม แน่นอนว่าด้วยฐานะนายน้อยอัจฉริยะของเมืองธาราสวรรค์ในอดีตก่อนจะสูญเสียลมปราณ หยางอี้ล้วนถูกกวดขันให้ฝึกท่วงท่าพื้นฐานและการใช้อาวุธมาหลายรูปแบบ
“ฮื่ม!”
ข่งเย่หลงคำรามออกมาในลำคอก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เช่นกัน
เมื่อทั้งสองเข้าสู่สถานะพร้อมสู้ กระแสลมปราณจากยอดศาสตราวุธที่เหนี่ยวรั้งกันไปมาแต่เดิมกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในฉับพลัน 6 ผู้อาวุโสกลายเป็นหน้าซีดเผือดในทันทีก่อนที่มุมปากของพวกเขาจะมีสายโลหิตไหลซึมออกมา
วูปปป
สองยอดศาสตราวุธถูกใช้ออกด้วยกระบวนท่าขับส่งให้ทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นโดยนายที่คู่ควร
ปัง!
เสียงการปะทะกันของสองศาสตราวุธเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของการต่อสู้อันดุเดือดพร้อมๆกับเป็นสัญญานการยอมแพ้ของ 6 ผู้อาวุโสที่กางม่านพลัง
ตุบ ตุบ ตุบ
ร่างชายชรา 6 ร่างกลิ้งกระเด็นออกไป พร้อมกับกระอักโลหิตคำโต พลังการปะทะกันระดับนี้มิใช่สิ่งที่ชนชั้นปฐพีอย่างพวกเขาจะรับมือได้ แม้จะมีกันถึง 6 คนแต่การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็บั่นทอนพลังปราณพวกเขาไปแล้วมิใช่น้อย
กระแสพลังปราณ 2 สายพลันทะลักกระจายไปรอบเวทีในทันที ผู้ชมพลันแตกตื่น มีหลายคนถูกกระแทกออกจนบาดเจ็บ อย่าลืมว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ชมโดยรวมคือเหล่าผู้เยาว์ที่ผ่านการทดสอบเข้าสำนัก และพวกเขาจะทนรับแรงกดดันและไอพลังปราณระดับนี้ได้อย่างไร สุดท้ายอาวุโสใหญ่ที่คุมงานนี้นอกจากผู้อาวุโสจางที่ไม่อยู่แล้ว 2 ผู้อาวุโสระดับสวรรค์ต่างเร่งเข้ามาเพื่อควบคุมสถานการณ์ทันที
กระแสลมปราณอันดุดันเข้าปะทะกันพร้อมกับหนึ่งคมดาบและหนึ่งคมทวนที่ต่างผลักดันอีกฝ่ายให้ถอยกลับไปอย่างสุดกำลัง การปะทะกันครั้งนี้คงอยู่กว่าหลายนาทีนอกจากกระแสปราณที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วทั้งคู่มิมีทีท่าจะขยับแต่อย่างใด สองเท้าปักหลักลงอย่างมั่นคงและมือทั้งสองจับลงที่อาวุธของตนพร้อมกับทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามให้ดับดิ้น
ตูมม
เสียงระเบิดดังออกหลังจากพลังปราณมาหาศาลที่ปะทะกัน จนก่อเกิดการบีบอัดจากการเค้นพลังทุ่มใส่กันของทั้งสอง สุดท้ายอาจกล่าวได้ว่าทั้งคู่เรียกได้ว่าทัดเทียมกันอย่างแท้จริง เมื่อเข้าปะทะกันด้วยกำลังมิอาจเอาชัยเหนือฝ่ายตรงข้ามได้ การต่อสู้จึงเปลี่ยนมาเป็นการชิงความได้เปรียบด้านความเร็ว
ปัง ปัง ปัง
ข่งเย่หลงหลังจากได้รับแรงหนุนเสริมจากดาบเกร็ดนิลทำให้พลังปราณยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น อาจเรียกได้ว่าเร็วกว่าเดิมหลายเท่าจนซูเฉินเองยังต้องตกตะลึง ทว่าอย่างไรเสียแม้จะรวดเร็วเพียงใดก็ยังมิอาจเทียบได้กับย่างก้าวมายาสวรรค์ของหยางอี้ยิ่งบัดนี้ใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดรวมกับปราณอันดุดันของหอกโลหิตทมิฬยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวรวดเร็วและเฉียบคมมากขึ้น
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ปะทะกันเพียงไม่กี่กระบวนท่าข่งเย่หลงยิ่งมายิ่งกลายเป็นเสียเปรียบเรื่อย และไม่นานด้วยความเร็วของหยางอี้ บางสิ่งที่ฉีกกระชากกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ก็ได้เกิดขึ้นก่อนที่ข่งเย่หลงจะถูกด้ามทวนโลหิตทมิฬฟาดเข้ากับหน้าท้องของเขาอย่างจัง
ตูมม
ร่างของข่งเย่หลงกระแทกกับพื้นเวทีอย่างแรงพร้อมกับฝุ่นควันที่ลอยคลุ้งจากแรงปะทะจนบดบังไปทั่วทั้งเวทีประลอง
สายตาทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองกลายเป็นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ท้องฟ้าอันมืดครึ้มจากเมฆสีดำที่ถูกฟาดผ่าด้วยเส้นอัศนีสีฟ้าไม่หยุดหย่อนเริ่มสงบลงอย่างประหลาด ก่อนจะคลายตัวออกเผยแสงดวงตะวันอันอบอุ่นสาดส่องมายังร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ที่บัดนี้ในมือถือยอดศาสตราวุธทวนโลหิตทมิฬอยู่ กระแสพลังปราณสีแดงดำแล่นผ่านไปมารอบตัวราวกับเส้นสายอัศนีที่ฟาดผ่าก้อนเมฆ อาภรณ์โบกพลิ้วสะบัดไปมา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นยกยิ้มเพราะบัดนี้ตัวเขาได้เหยียบย่างอยู่บนผืนนภาอย่างแท้จริง
ภาพนี้ เป็นดังสี่งที่น่าหวาดกลัวฝังรากลึกลงในจิตใจของเหล่าผู้เยาว์ที่พบเห็น ภาพความดุดันที่ถูกขับส่งจากออร่าของทวนโลหิตทมิฬพร้อมกับการเหยียบย่ำผืนนภาซึ่งเป็นอภิสิทธิ์ของผู้ที่ก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์เท่านั้น ทำให้จิตทุกคนยอมรับว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
แปะ แปะ แปะ
หยาดฝนค่อยๆร่วงโรยลงจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ พัดพาฝุ่นควันที่กระจายอยู่บนเวทีประลองออกไปก่อนจะเผยให้เห็นร่างหมดสติของข่งเย่หลงที่นอนบาดเจ็บอยู่ในหลุมจากแรงปะทะของพื้นเวทีพร้อมกับเสียงประกาศจากผู้อาวุโสใหญ่
“การประลองรอบที่ 1 ผู้ชนะคือ หยางอี้!!”
“…”
แม้เสียงประกาศจะดังออกมาจากปากของผู้อาวุโสใหญ่ทว่าผู้คนรอบเวทีประลองยังคงเงียบสนิท ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผู้ลอยค้างอยู่บนอากาศอย่างตกตะลึงไม่หาย
นี่นับเป็นเรื่องตลกอันใดกัน เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีที่อยู่ในระดับปฐพีขั้นต้นกลับเหยียบย่างบนผืนนภาได้
หยางอี้ที่ยิ้มออกอย่างพอใจนั้นมิได้สนใจรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ตัวเขาเองก็ทั้งตกตะลึงทั้งตื่นเต้นมิแพ้กัน ใครจะนึกว่าการใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์มาตลอดหลายเดือนนี้รวมกับช่วงเวลาเมื่อครู่ที่ได้เร่งกำลังสูงสุดยามได้รับแรงหนุนจากทวนโลหิตทมิฬจะทำให้ตัวเขาเข้าใจเคล็ดวิชานี้จนบรรลุขั้นที่สามของย่างก้าวมายาสวรรค์ได้
พรึ่บบบ
หยางอี้ทะยานร่างลงสู่พื้นอย่างทุลักทุเล แม้ในใจจะลิงโลดด้วยความยินดีเพียงใดแต่ผลกระทบจากการต่อสู้อย่างสุดกำลังใช่ว่าจะหายไปได้ด้วยความยินดี หยางอี้เก็บทวนโลหิตทมิฬก่อนจะทรุดลงกับพื้นในทันที ร่างกายด้านชาจากการใช้ออกด้วยพลังปราณมาหาศาลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการรับพลังปราณอันเกรี้ยวกราดแถมยังต้องสะกดความกระหายในการฆ่าไว้มิใช่เรื่องง่าย
แฮ่กๆๆ
หยางอี้คุกเข่าลงด้วยความเหนื่อยล้ากับพื้นเวทีก่อนจะล้มตัวลงนอนและหมดสติไปจากความเหนื่อยล้าอ่อนแรงเป็นเหตุให้ผู้คนรอบข้างพลันได้สติ และไม่นานความวุ่นวายจากเสียงพูดคุยก็เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจที่มาจากหนใดต่างลุกขึ้นสั่งการสืบเสาะประวัติของหยางอี้ในทันที แม้ก่อนหน้านี้จะรับรู้ถึงความโดดเด่นของเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่แล้ว และบางคนรู้กระทั่งหยางอี้มีสัมพันธ์อันดีกับทางราชวงศ์และผู้อาวุโสเหล่ยโหลว แน่นอนว่าการจะเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเรื่องที่ดี
ทว่ากับสิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้นั้นได้เปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาไปอย่างกลับตาลปัตร ด้วยความสามารถเช่นนี้การเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่มันคือต้องหาโอกาสทำให้ได้ อัจฉริยะที่กระทำได้ถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี มิมีผู้ใดกล้าคาดเดาว่าอีก 5 ปี 10 ปี ตัวเขาจะก้าวไปถึงระดับใด แต่สิ่งที่มั่นใจได้แน่นอนคือ ภายภาคหน้าเขาต้องเป็นหนึ่งในผู้กุมอำนาจของจักรวรรดิแห่งนี้อย่างแน่นอน
กลุ่มของเจินเซียงนั้น ทันทีที่ได้สติหลังจากเห็นหยางอี้ล้มไปก็เร่งทะยานขึ้นเวทีในทันที ก่อนที่ซูเฉินจะเร่งเข้าไปประคองร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมา
“ฮ่าๆ เจ้าบ้านี่ทำให้ข้าประหลาดใจได้ตลอดจริงๆ” ซูเฉินกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะลั่น
“นั่นสิ ข้าเองยังตกตะลึงไม่น้อยเช่นกัน” เทียนเจินเซียงสีหน้าหลากหลายความรู้สึก ก่อนซูเฉินจะกล่าวออกมาอีกครั้ง
“แล้วใครจะพาเจ้านี่ไปพักล่ะ เล่นแสดงใหญ่ขนาดนี้ ปล่อยให้คนอื่นดูแลจะน่าเป็นห่วง”
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ทุกคนเบนสายตาไปยังต้นเสียงทันที นั่นก็คืออี้เสวี่ยชิง
“ยังไงข้าก็จะสละสิทธิ์อยู่แล้วอีกอย่างพวกเจ้ายังต้องประลองต่ออีก”
“อืม ก็จริง งั้นฝากดูเจ้าบ้านี่ด้วย”
ซูเฉินกล่าวออกมาพร้อมกับส่งร่างหยางอี้ให้กับอี้เสวี่ยชิง ในใจซูเฉินบัดนี้นับหยางอี้เป็นหนึ่งในสหายอย่างแท้จริงแล้ว
กลุ่มของเจินเซียงพากันลงจากเวทีพร้อมหิ้วร่างของหยางอี้ลงมาด้วย ด้านผู้อาวุโสใหญ่เห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอะไร เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขาก็เห็นว่าหยางอี้อยู่กับเด็กๆกลุ่มนี้
อี้เสวี่ยชิงประคองร่างของหยางอี้ออกจากส่วนของสนามประลองทันที เพื่อพาชายหนุ่มไปนอนพักรักษาตัว
“อืม ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักกับผู้อาวุโสจางสินะ”
อี้เสวี่ยชิงพึมพำออกมาก่อนจะพาร่างของหยางอี้มุ่งหน้าไปยังหอแห่งการทดสอบ
ด้านเวทีประลอง หลังจากวุ่นวายอยู่พักใหญ่สถานการณ์ก็เริ่มเข้าสู่ความสงบ การประลองรอบที่ 2 เป็นการประลองที่ทุกคนจับตามองเช่นกัน เดิมทีอาจเรียกได้ว่าเป็นการประลองที่ทุกคนเฝ้ารอดูอย่างใจจดใจจ่อเลยก็ว่าได้ แม้จะถูกหยางอี้และข่งเย่หลงบดบังด้วยความดุเดือดของรอบที่ 1 ทว่าการปะทะกันของ 2 ยอดอัจฉริยะก็ยังคงเป็นที่จับตามองอยู่ดี
ตู่เว่ย ปะทะ เทียนเจินเซียง
“ฮี่ๆ เจินเซียงน้อย มิได้เจอกันเสียนาน”
“เฮอะ ข้าจะยินดีมากกว่าถ้าไม่ได้เจอเจ้าอีก”
“เฮ้ๆ อย่าทำเป็นห่างเหินนักสิ ว่าแต่เจ้ารู้จักกับเจ้าเด็กนั่นได้ยังไง”
“นั่นมิใช่ธุระกงการของเจ้า”
“ฮึ่ม! อย่าโอหังนักเทียนเจินเซียง หากเจ้าแพ้เจ้าจะต้องเลิกยุ่งกับแม่นางอวิ้นหลาน”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นหากเจ้าแพ้เจ้าก็จะเลิกยุ่งกับนางสินะ ดี เช่นนั้นมาตัดสินกัน”
สองศัตรูผู้บาดหมางกันมานานต่างจ้องมองอีกฝ่ายอย่างระวัง นี่มิใช่การปะทะกันครั้งแรกของพวกเขา เทียนเจินเซียง ตู่เว่ย และข่งเย่หลงนั้นมีใจให้กับอวิ้นหลานทำให้ทั้ง 3 คอยเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็ก
“เริ่มการประลองได้”
อี้เสวี่ยชิงนำพาร่างไร้สติของหยางอี้มายังหอแห่งการทดสอบก่อนจะบอกกับศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูให้ไปรายงานผู้อาวุโสจาง อี้เสวี่ยชิงรออยู่ไม่นานผู้อาวุโสจางก็รีบมาในทันที ก่อนจะเร่งนำทั้งสองไปยังห้องพักเพื่อดูอาการหยางอี้
“อืม เจ้าหนูนี่แค่เหนื่อยจนหลับไปเท่านั้น เมื่อไม่นานเขาเพิ่งจะนำเป่ยลู่มาให้ข้ารักษา เหตุใดตอนนี้เขาจึงอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะนางหนู”
อี้เสวี่ยชิงได้ยินดังนั้นก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นให้กับผู้อาวุโสจางฟัง ผู้อาวุโสฟังไปก็ตื่นเต้นไปตามลำดับพร้อมกับมองหน้าไร้สติของหยางอี้สลับกับฟังอี้เสวี่ยชิงด้วยสีหน้าประหลาดใจบ้าง ตกตะลึงบ้าง จนอี้เสวี่ยชิงเกือบจะเสียสมาธิเพราะต้องคอยกลั้นหัวเราะ ยิ่งตอนสุดท้ายแล้วผู้อาวุโสจางที่ได้ฟังเรื่องหยางอี้สามารถเหยียบย่างบนอากาศได้ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับตกตะลึงโดยสมบูรณ์ก่อนถามย้ำหลายรอบให้แน่ใจเพราะคิดว่าอี้เสวี่ยชิงกล่าวเรื่องตลกออกมา
หลังจากให้ยาฟื้นกำลังกับหยางอี้และพูดคุยกับอี้เสวี่ยชิงอีกเล็กน้อยผู้อาวุโสจางก็จากไป ปล่อยหน้าที่เฝ้าหยางอี้ให้เป็นของอี้เสวี่ยชิง
เด็กสาวจ้องมองไปยังร่างชายหนุ่มไร้สติก่อนจะเลื่อนขึ้นมาถึงใบหน้าแล้วนิ่งไป ภาพการต่อสู้ที่ผ่านมาพลันปรากฎฉายซ้ำในหัวของอี้เสวี่ยชิง ความดุดันและองอาจยามห้ำหั่นกับศัตรูก่อนจะมาถึงฉากสุดท้ายที่ชายหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยมีบรรยากาศและไอพลังปราณขับส่งให้ยิ่งดูน่ายำเกรง
โดยมิรู้ตัวใบหน้าของอี้เสวี่ยชิงพลันแดงระเรื่อก่อนจะหัวใจเต้นถี่จนนางสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“นี่ข้าเป็นอะไรไปนี่ อยู่ๆหัวใจกลับเต้นแรงใบหน้าเองก็ร้อนๆ กลับไปคงต้องตรวจดูกับผู้อาวุโสหน่อยแล้วปล่อยไว้จะเป็นอันตราย อืม...ว่าแต่จะถามใครดีนะ”
อี้เสวี่ยชิงบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่นางจะจมลึกไปความกังวลว่าตัวเองอาจจะป่วยเป็นโรคร้าย........
***
ปัง ปัง ปัง
เสียงการต่อสู้อันดุเดือดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะมีร่างหนึ่งกระเด็นออกจากเวทีไป
“การประลองรอบที่ 2 ผู้ชนะ ตู่เว่ย!!”
เฮๆ ๆ ๆ
เสียงประกาศดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องของผู้ชมที่ดังกึกก้องไปทั้งสนามประลอง
ณ สนามประลอง ยามตะวันคล้อยเอียงไปทางทิศตะวันตก เค้าเมฆเริ่มบดบังแสงสว่างที่สาดส่องไปทั่วสารทิศจนเลือนลาง เหลือเพียงลำแสงสีส้มอ่อนๆที่ยังคงพุ่งทะลุกลุ่มก้อนเมฆมาจากขอบฟ้า เวทีประลองทั้งหมดยามนี้เหลือเพียงร่องรอยจากการต่อสู้เท่านั้น ผู้คนต่างทยอยออกไปพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกปาก
ผลการประลองวันนี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก กระทั่งเรื่องที่หลายคนพากันฉงนสงสัยก็มีไม่น้อย เรื่องที่ฮือฮามากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้สามารถก้าวผ่านเขตแดนใช้อภิสิทธ์พิเศษของชนชั้นระดับสวรรค์ ต่อมาเป็นข่าวการสละสิทธิ์ของเหล่าผู้เยาว์หลายคน
กลุ่มเจินเซียงนั้นหลังจากการต่อสู้เพียงเล็กน้อยของซูเฉินกับซิวซาน ผลคือซิวซานเอ่ยยอมแพ้หลังจากปะทะกันไม่กี่กระบวนท่า จากนั้นทั้งสองยอมรับผลตัดสินและไม่เข้าร่วมการจัดอันดับอีกต่อไป
อี้เสวี่ยวชิง และอวิ้นหลานหนึ่งใน 4 ยอดอัจฉริยะเองก็ขอสละสิทธิ์เช่นกันและนางก็หายตัวไปในทันที แม้การประลองจะถูกตัดจบลงอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยปากก่นด่าออกมาแม้แต่น้อย เพราะการต่อสู้ ในรอบที่ 1 และ 2 เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มความสนุกสนานของพวกเขา
รุ่งเช้าดวงตะวันเริ่มทอแสงจากเส้นขอบฟ้า บริเวณลานทดสอบยามนี้กลับเงียบสงบแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
ภายในห้องพักของหยางอี้ อี้เสวี่ยชิงยังคงเฝ้ามองชายหนุ่มอย่างไม่วางตา แม้จะมีอาการงีบหลับไปบ้างแต่เพียงไม่นานนางก็เรียกสติกลับมาด้วยกลัวว่าจะมีบางคนคิดตัดไฟตั้งแต่ต้นลม การอยู่ในหอแห่งการทดสอบนี้แม้จะมีผู้อาวุโสจางอยู่ด้วยก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเต็มสิบส่วน เรื่องมิคาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
อี้เสวี่ยชิงหรี่สายตาเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองไปยังประตูห้องที่มีเสียงเคาะจากภายนอกดังขึ้น
“เรียนคุณหนูอี้ มีคนฝากจดหมายมาให้ท่านขอรับ”
อี้เสวี่ยชิงไม่ประมาทแม้แต่น้อย นางหยิบแส้ออกมาก่อนจะเดินไปยังประตูอย่างระมัดระวัง ด้วยคนติดตามนางมาก็มีไม่น้อยจดหมายนี้ย่อมมิใช่จากท่านพ่อของนางแน่นอน หากเช่นนั้นแล้วจะเป็นของผู้ใดกัน
“เจ้าวางจดหมายไว้หน้าห้องก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไปหยิบเอง”
ศิษย์ของสำนักผู้นำจดหมายมาส่งงุนงงเล็กน้อย แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา ก่อนจะทำตามที่นางบอกแล้วจากไป
อี้เสวี่ยชิงเมื่อสัมผัสได้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว จึงออกไปหยิบจดหมายที่หน้าห้องแล้วรีบปิดประตูทันที ก่อนจะเปิดซองจดหมายออกมาเพื่ออ่านข้อความด้านใน
‘อี้เอ๋อร์ ตอนนี้พี่สาวถอนตัวจากการเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามแล้ว พี่สาวได้รับข้อความจากท่านพ่อว่ากำลังจะมีบางเรื่องเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาเปิดประตูเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม ทำให้พี่สาวต้องรีบออกจากเมืองหลวงทันที เจ้าเองก็ควรออกจากที่นั่นเช่นกัน หวังว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยกันทุกคน รักษาตัวด้วย’
อี้เสวี่ยชิงตกอยู่ในอาการงุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะพึมพำออกมากับตัวเอง
“ต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแน่นอน มิเช่นนั้นท่านลุงคงมิให้พี่สาวถอนตัวออกจากเมืองเช่นนี้ อ๊ะ เจ้าบ้านี่กับพี่เจินเซียงก็จะเข้าร่วมในวันพรุ่งนี้เช่นกันนี่”
อี้เสวี่ยชิงมองไปยังใบหน้าของหยางอี้ด้วยอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปหน้าห้องและตะโกนเรียกศิษย์ของสำนักที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า ด้วยความรอบคอบอี้เสวี่ยชิงไม่ยอมปล่อยให้หยางอี้คลาดสายตาแน่นอน นางจึงได้ฝากข้อความขอให้ผู้อาวุโสจางมาผลัดเปลี่ยนเฝ้าหยางอี้แทนนางชั่วคราวเพื่อจะไปแจ้งข้อความที่ได้รับจากอวิ้นหลานให้กับพวกของเจินเซียง
อี้เสวี่ยชิงรอไม่นานผู้อาวุโสจางก็มาถึง นางกล่าวขออภัยเล็กน้อยที่เสียมารยาทเช่นนี้ ทว่าผู้อาวุโสจางเองก็เข้าใจสถานการณ์จึงมิได้กล่าวโทษอันใด อี้เสวี่ยชิงนั้นกล่าวเรื่องข้อมูลที่ได้รับกับผู้อาวุโสจางเล็กน้อยก่อนจะเร่งจากไป เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้วอีกเพียงไม่นานจะได้เวลาเปิดพระราชวัง หากชักช้าอาจจะมิทันการณ์
หลังจากอี้เสวี่ยชิงจากไป ผู้อาวุโสจางเองก็ร้อนรนมิแพ้กัน เรื่องนี้หากเกิดขึ้นจริง โชคลาภของสำนักวิหารสวรรค์ที่เปิดรับสมัครศิษย์ใหม่ในเวลาที่ประจวบเหมาะกับการเปิดพระราชวังต้องห้าม จะกลายเป็นตรงกันข้ามทันที การสูญเสียของ 4 สำนักใหญ่นั้นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ด้วยกำลังที่ทัดเทียมกันหากมีผู้ใดเกิดการสูญเสียอีก 3 มหาอำนาจจะถือโอกาสนี้ในการสะกดข่มในทันที
ทว่าพระราชวังต้องห้ามนั้นเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ หากเรื่องมิมีน้ำหนักที่มากพอ ย่อมมิสามารถนำมาเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกอย่างแน่นอน และอีกทั้ง 2 ผู้อาวุโสหลักที่เหลือก็จริงจังอย่างมากกับการเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้
“เฮ้อ เช่นนั้นก็เพียงแจ้งไปให้ทั้ง 2 ทราบก็แล้วกัน”
หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้อาวุโสจางได้เขียนจดหมายขึ้น และสั่งให้ศิษย์คนสนิทนำไปส่งให้กับผู้อาวุโสทั้งสองคน แน่นอนการใช้หยกสื่อสารย่อมง่ายกว่า เพียงแต่ตัวเขามิต้องการจะฟังถ้อยคำของทั้งสองที่จะกล่าวออกมา จึงเลือกใช้วิธีนี้ และแน่นอนแผนการที่วางไว้เป็นอันต้องยกเลิกเพราะตัวเขาคงเป็นผู้ไปเฝ้าระวังด้วยตนเอง
“เฮ้อ แล้วข้าจะบอกแม่หนูน้อยนั่นว่าอย่างไรดี”
…………
“อะไรนะ ที่เจ้าพูดมาคือเรื่องจริง?”
เสียงของซูเฉินดังขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่อี้เสวี่ยชิงกล่าวออกมา
“อืม เช่นนั้นวันนี้คงจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว พวกเจ้าควรถอนตัวออกไปดูสถานการณ์ก่อน”
เทียนเจินเซียงกล่าวออกมาก่อนที่ซูเฉินจะทักท้วงอีกเล็กน้อยเพราะทุกคนต่างเป็นห่วงเทียนเจินเซียงเช่นกัน ทว่าชายหนุ่มมีเป้าหมายที่แน่วแน่และเลือกที่จะเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม คนอื่นๆจึงได้แต่ยอมถอยออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์ตามที่เทียนเจินเซียงบอก
“เสวี่ยชิง แล้วหยางอี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้านั่นปลอดภัยดี เพียงเหนื่อยจากการใช้พลังปราณมากเกินไปอีกไม่นานก็คงจะฟื้น”
ทั้ง 5 คนพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกจากกันไปตามที่ตกลงกันไว้ ซูเฉิน ซิวซาน นั้นกลับไปยังที่พักของตนเพื่อสั่งให้ผู้ติดตามถอนตัวออกจากเมืองหลวง เปียวเหว่ยนั้นต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้กับบิดารับรู้ ส่วนอี้เสวี่ยชิงนั้นกลับไปยังหอแห่งการทดสอบเพื่อดูอาการหยางอี้อีกครั้ง
เทียนเจินเซียงยืนมองเหล่าสหายแยกย้ายไปด้วยหลากหลายอารมณ์ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อสงบจิตใจ ภาพการต่อสู้กับตู่เว่ยพลันปรากฏขึ้นฉายซ้ำภายในหัว ชายหนุ่มกำมือแน่นเมื่อคิดถึงถ้อยคำดูถูกที่ได้รับมาจากตู่เว่ย สายตาอันเหยียดหยามที่มองมายังตัวเขา ทำให้เผลอกำมือแน่นจนหยดเลือดร่วงโรยสู่พื้นก่อนที่ชายหนุ่มจะลืมตาขึ้นด้วยสายตาอันแน่วแน่
“ตู่เว่ย ความอัปยศในครั้งนี้ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
การต่อสู้ครานั้นนอกจากตัวเขา มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าตู่เว่ยแอบซ่อนบางอย่างที่ทรงอานุภาพเอาไว้ และหลอกล่อให้ตัวเขาโจมตีไป ก่อนจะใช้จังหวะนั้นยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่เขา
ภายในห้องพักของหยางอี้ แสงดวงตะวันสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับใบหน้าทำให้ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองไปยังรอบๆเพื่อลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไป
“เจ้า ทำใมถึงมาอยู่ที่นี่ และตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน”
หลังจากสายตามองไปยังใบหน้าอันงดงามของเด็กสาว หยางอี้ก็ถามออกมาอย่างงุนงงทันที
“ที่นี่คือหอทดสอบ และข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? เจ้าโง่จริง หรือแกล้งโง่?”
อี้เสวี่ยชิงกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉยทำให้หยางอี้พลันคิ้วกระตุกก่อนจะเลิกสนใจนาง
“เอาเถอะ เช่นนั้นคงเป็นเจ้ามาเฝ้าข้า ขอบคุณเจ้ามาก”
หยางอี้พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเพื่อเดินลมปราณสำรวจความผิดปกติภายใน
“เหอะ ไปขอบคุณพี่เจินเซียงเถอะ หากมิใช่มีคนขอร้องแน่นอนว่าข้าจะมิยอมมานั่งอยู่ในห้องอุดอู้แบบนี้แน่นอน”
อี้เสวี่ยชิงกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉยเช่นเดิม ทำให้หยางอี้นั้นลืมตาขึ้นและจ้องมองมายังใบหน้าของนาง ด้วยการถูกจ้องมองจากชายหนุ่ม ทำให้บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นเงียบสงบ อี้เสวี่ยชิงพลันได้ยินแต่เสียงเต้นของหัวใจตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าควรจะพักผ่อนบ้าง หน้าเจ้าแดงไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าฟื้นตัวเต็มที่แล้ว หากเจ้าเกิดป่วยขึ้นมาเทียนเจินเซียงจะมาว่าข้าเอาได้”
หยางอี้พูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเมื่อคิดถึงการที่นางต้องมานั่งเฝ้าตัวเขาทั้งคืน
“เฮอะ เป็นห่วงตัวเจ้าเองเถอะ”
อี้เสวี่ยชิงลุกขึ้น หันหลังเตรียมจะเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูห้อง
“หากเจ้าต้องการจะเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามก็จงระวังตัวไว้ให้ดี มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้นอกจากพี่เจินเซียง พวกข้าเองก็ถอนตัวออกจากเมืองหลวงกันหมดแล้ว”
หยางอี้พลันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าก่อนจะได้อ้าปากถามเรื่องราวให้ชัดเจน เขาก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นเสียแล้ว
บริเวณทางเดินไม่ห่างจากห้องของหยางอี้ ปรากฏเด็กสาวนางหนึ่งยืนพิงกำแพงหอบหายใจเอามือกุมหน้าอกไว้อยู่
“นี่ข้าเป็นอะไรไปนี่ หรือข้าจะติดโรคบางอย่างจากเจ้านั่น”
อี้เสวี่ยชิงพึมพำออกมาก่อนจะพยายามทำจิตใจของนางให้กลับมาสงบเช่นเดิม
***
ภายในสวนน้อยแห่งหนึ่ง ปรากฏชายรูปร่างกำยำผู้หนึ่งกำลังยืนมองไปยังเส้นขอบฟ้าด้วยสายตาที่ผู้เห็นแล้วเป็นต้องหวาดกลัว เขาคือตู่เว่ยนั่นเอง ชายหนุ่มหันกลับมาด้านหลัง หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของบางคนใกล้เข้ามา
“ไม่น่าเชื่อว่าคนที่จุยจีพูดถึงจะเป็นรัชทายาทเช่นท่าน”
เสียงอันลึกลับดังออกมาจากบุรุษผู้ที่ปกคลุมไปด้วยชุดดำทั้งตัว พร้อมกับบรรยากาศลึกลับที่แผ่ออกมารอบกาย