เล่มที่ 2 บทที่ 4
“สิ้นสุดการทดสอบรอบที่ 1”
เสียงของผู้อาวุโสจางดังลั่นไปทั่วทั้งห้องโถงทำให้ผู้เข้าทดสอบต่างหยุดการพูดคุยและหันมายังผู้อาวุโสจางเพื่อรอฟังประกาศต่อไป
หยางอี้เมื่อมองไปยังผู้อาวุโสจางก็ตกตะลึงไม่น้อยเพราะบนคอของอาวุโสตอนนี้มีเป่ยลี่กำลังนั่งชูไม้ชูมืออยู่อย่างสนุกสนาน
“ต่อไปจะมีเวลาให้พวกเจ้าพักฟื้น ครึ่งชั่วยามก่อนจะเริ่มการทดสอบที่สอง เมื่อถึงเวลาให้พวกเจ้าไปรวมกันที่ทางเข้าป่าเมฆาด้านในสุดของลานทดสอบ”
หลังจากกล่าวจบผู้อาวุโสจางก็เดินลงจากแท่นเล็กหน้าโถงไปยังห้องประชุมโดยทันที เมื่อเห็นเป่ยลี่ทั้งหยางอี้และเป่ยลู่จึงตรงไปยังห้องประชุมเพื่อรวมตัวกันได้โดยง่าย
ทั้งสองมาถึงก็พูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องประชุมซึ่งตอนนี้เหลือเพียงอาวุโสจางและเป่ยลี่เท่านั้นเพราะคนอื่นไปยังสถานทดสอบรอบที่สองกันหมดแล้ว
“คารวะอาวุโสจาง”
หยางอี้และเป่ยลู่กล่าวออกมาพร้อมกันก่อนที่อาวุโสจางที่นั่งเล่นกับเด็กหญิงตัวน้อยจะหันมายิ้มตอบ
“พี่ชาย ท่านพี่ ฮี่ๆ วันนี้ท่านปู่พาข้าออกไปเดินเล่นจนทั่วสนุกมากเลย”
แม่หนูน้อยกล่าวออกมาก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดเป่ยลู่และหยางอี้
“ทำไมอาลี่ถึงมาอยู่กับผู้อาวุโสล่ะขอรับ”
หยางอี้เอ่ยถามออกมา
“ฮ่าๆ เห็นตาแก่นั่นบอกว่าเป็นเด็กที่เจ้าฝากไว้และบังเอิญแม่หนูนี่ทำให้คิดถึงหลานสาวขึ้นมาข้าจึงรับหน้าที่ดูแลให้แทน”
อาวุโสจางกล่าวออกมาอย่างมีความสุขเมื่อมองไปยังเป่ยลี่ หยางอี้และเป่ยลู่ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“เช่นนั้นต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
“ฮ่าๆ มิเป็นไร อีกอย่างท่านเหล่ยก็ฝากข้ามาดูแลเจ้าอยู่แล้ว แม่หนูนี่ข้าจะดูแลให้เอง พวกเจ้ารีบไปเตรียมตัวเถอะ”
“เช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัวก่อน อาลี่เจ้าต้องเป็นเด็กดีและไม่ดื้อกับท่านปู่รู้ไหม”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่ไม่ต้องห่วง”
เป่ยลู่กล่าวกับน้องสาวอีกครั้ง ก่อนที่เขากับหยางอี้จะแยกตัวจากไป
เมื่อออกจากห้องโถง หยางอี้และเป่ยลู่ตรงไปยังทางเข้าป่าเมฆาทันที ทางเข้านี้ตั้งอยู่ตรงกลางส่วนลึกของลานทดสอบ ผู้เยาว์ส่วนมากที่ได้บ่มเพาะพลังจากหอแห่งการทดสอบมาล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หลายคนจึงไม่ต้องการพักผ่อนและตรงไปยังทางเข้าทันที
หยางอี้และเป่ยลู่เดินมาไม่นานก็มาถึงทางเข้าป่าเมฆา ผู้เยาว์หลายคนต่างยืนพูดคุยกันถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากหอทดสอบ หยางอี้นั้นตกเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนไม่น้อย เพราะเหตุการณ์ที่ผู้เข้าทดสอบในชั้นที่ 5 พนันกันทำให้หลายคนนั้นพอรู้จักเขาอยู่บ้าง
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปถึงครึ่งชั่วยามตามกำหนด ชายชราคนหนึ่งในชุดสีขาวที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าจึงกล่าวออกมา
“ทุกคนเงียบได้แล้ว และจงฟังให้ดี ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
ชายชราเว้นช่วงครู่หนึ่งเมื่อเสียงการพูดคุยหายไปจึงกล่าวต่อออกมา
“ก่อนอื่นการทดสอบแรกมีผู้เสียชีวิตไป 16 คน และบาดเจ็บจนต้องถอนตัว 457 คน และการทดสอบต่อไปจะรุนแรงยิ่งกว่านี้ ฉะนั้นแล้วหากใครต้องการถอนตัวจงกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้าให้เวลา10 ลมหายใจและหลังจากนี้จะไม่อนุญาตให้ถอนตัวนอกจากบาดเจ็บหนักหรือตายเท่านั้น”
เสียงพูดคุยดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินจำนวนผู้ที่บาดเจ็บและตกตายในการทดสอบแรก หลายคนเริ่มมีท่าทีกังวล พวกเขาล้วนไม่เต็มใจที่จะมาตกตายลงเพราะการทดสอบแน่นอน แต่ทว่าจะให้ยอมสูญเสียโอกาสเช่นนี้พวกเขาก็ไม่ยอมเช่นกัน จึงไม่มีผู้ใดก้าวถอยออกไปแม้แต่คนเดียว
“ดีเมื่อไม่มีใครถอนตัว ต่อไปข้าจะประกาศเรื่องสำคัญ 3 เรื่องด้วยกัน”
“เรื่องที่หนึ่งคือกฎการทดสอบรอบที่สอง เบื้องหน้าคือป่าเมฆา ภายในนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมายให้พวกเจ้าฉกฉวย ทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน และทุกอย่างที่ได้รับมาจากป่าเมฆานั้นมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับไป สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านจะต้องส่งคืนให้แก่สำนัก”
“กฎของรอบที่สองก็ง่ายๆ พวกเจ้าทั้งหมดจะถูกส่งเข้าไปแบบสุ่มภายในป่าเมฆา ทุกคนคงจะได้รับแต้มจากการทดสอบที่ผ่านมากันแล้วไม่มากก็น้อยตามความสามารถ สำหรับการทดสอบนี้พวกเจ้ามีเวลา 2 ชั่วยามในการช่วงชิงแต้มมาให้ได้มากที่สุด สำหรับปีนี้สำนักวิหารสวรรค์จะรับศิษย์สายนอก 500 คนและข้ารับใช้ 1000 คน ตามอันดับแต้มของพวกเจ้าหลังสิ้นสุดการทดสอบนี้”
หลังจากสิ้นคำเสียงพูดคุยของผู้เข้าทดสอบดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งจนชายชราต้องส่งลมปราณขยายเสียงออกมาเพื่อให้ทุกคนเงียบ
“เงียบได้แล้ว! ต่อไปเรื่องที่สอง 60 อันดับแรกจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมประลองจัดอันดับศิษย์ใหม่ในรอบสุดท้าย สำหรับรางวัลนั้นจะประกาศอีกครั้งเมื่อถึงเวลา”
“และเรื่องสุดท้ายซึ่งสำคัญที่สุด ผู้ได้รับอันดับที่ 1 ถึง 4 ของการจัดอันดับศิษย์ใหม่ จะได้รับเกียรติจากทางราชวงศ์ให้ร่วมเดินทางเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามในรอบ 100 ปีนี้ นับว่าพวกเจ้าโชคดีที่ในปีนี้นั้นถึงกำหนดการเปิดพระราชวังต้องห้ามที่จะมีการเปิดขึ้นทุกๆ 100 ปีพอดี”
คราวนี้เสียงพูดคุยจอแจดังขึ้นไม่หยุดอีกครั้ง พระราชวังต้องห้ามเป็นดั่งตำนานของเมืองหลวง มีบันทึกมากมายกล่าวถึงความเป็นมาที่ต่างกันไป รวมถึงนิทานขององค์ชายผู้โง่เขลาด้วย ทว่าแม้เพียงน้อยคนที่รู้ว่าบันทึกที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดคือนิทานขององค์ชายผู้โง่เขลา
ตามบันทึกมากมายของพระราชวังต้องห้าม ต่างถูกกล่าวถึงความงดงามและความยิ่งใหญ่รวมถึงความเป็นมาที่แตกต่างกันออกไปตามผู้เขียนบันทึก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดบันทึกที่แตกต่างกันนี้ถึงถูกเขียนขึ้นมามากมาย แต่ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่บันทึกทุกเล่มนั้นถูกเขียนไว้เหมือนกัน 'ภายในพระราชวังต้องห้ามนั้นเต็มไปด้วยสมบัติระดับสูงและทรัพยากรสุดล้ำค่า'
หลังจากปล่อยให้ผู้เข้าทดสอบได้พูดคุยกันเล็กน้อยชายชราก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ภายในป่าเมฆานั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรให้พวกเจ้าได้แสวงหา แต่ทว่ามันก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน ภายในนั้นพวกเจ้าเป็นเพียงผู้มาเยือนเท่านั้นและผู้ปกครองป่าเมฆาคือเหล่าสัตว์อสูรโดยมีระดับสูงสุดที่ครึ่งก้าวสู่สวรรค์ซึ่งเป็นราชาของป่าเมฆาแห่งนี้ มันจะอาศัยอยู่ส่วนลึกที่สุดของป่า จงระวังให้ดี”
“สุดท้ายพวกเจ้าสามารถออกจากป่าด้วยการถ่ายพลังปราณเข้าสู่แผ่นป้ายได้เช่นเดียวกับการทดสอบแรกแต่ว่าหากทำเช่นนั้นพวกเจ้าจะหมดสิทธิ์ในการเข้าร่วมกับวิหารสวรรค์ตลอดไปทันที บัดนี้ขอให้พวกเจ้าทุกคนก้าวผ่านประตูนี้ไปได้แล้ว และรอสัญญาณจากข้าเพื่อเริ่มการทดสอบ”
หลังจากคำประกาศของชายชรา เหล่าผู้เข้าทดสอบต่างทยอยกันเดินเข้าสู่ม่านประตูทางเข้าป่าเมฆากันทันที
ชายชรายิ้มอย่างพึงพอใจ ด้วยจำนวนเกือบ 4000 คนของผู้เข้าทดสอบในปีนี้ทำให้สำนักวิหารสวรรค์ได้ประโยชน์เป็นจำนวนมาก เพราะทางสำนักจะรับเพียง 1500 คน และสำหรับพวกที่อีกกว่าสองพันคนย่อมได้รับทรัพยากรต่างๆมาไม่มากก็น้อยซึ่งมันจะต้องตกเป็นของสำนัก
หยางอี้และเป่ยลู่เองก็เดินเข้าสู่ประตูแล้วเช่นกัน ทั้งคู่ถูกส่งเข้ามาภายในป่าโดยสุ่มตำแหน่งเช่นคนอื่นๆ
หยางอี้เมื่อเข้ามาถึงก็โคจรทักษะซ่อนจันทร์เป็นอันดับแรกเพื่อปกปิดตำแหน่งของตน ก่อนจะกระจายสัมผัสออกไปเพื่อตรวจดูว่ามีคนอื่นถูกส่งมาบริเวณนี้เช่นเดียวกับเขาหรือไม่ ก่อนที่เสียงของชายชราคนเดิมจะดังก้องไปทั่วป่า
“การทดสอบที่สอง เริ่มได้!”
เวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งชั่วยาม หยางอี้ยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของป่าเรื่อยๆ โดยหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ จากที่สังเกตดู หยางอี้พบว่าสถานที่ที่ตนถูกส่งเข้ามานั้นอยู่บริเวณชายป่าเมฆา เพราะป่าเมฆานั้นรอบข้างทั้ง 4 ทิศจะมีม่านพลังสูงเทียมฟ้ากั้นขวางแยกจากภายนอกอย่างชัดเจน
ภูมิประเทศของป่าเมฆานั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่หนาทึบ แถมตลอดเส้นทางที่ชายหนุ่มมุ่งหน้ามายังพบว่าป่านี้เต็มไปด้วยหมอกหนา ราวกับว่าป่าแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้นฟ้าที่มีก้อนเมฆลอยล่องอยู่ทั่วทั้งป่า
หยางอี้ตัดสินใจใช้เวลา 1 ชั่วยามแรกในการตามหาเป่ยลู่ก่อนเป็นอันดับแรก ตลอดทางมาชายหนุ่มกระจายสัมผัสพลังปราณออกไปกว่า 1 กิโลเมตรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่สามารถรับรู้ได้
การกระจายสัมผัสปราณออกไปตลอดเวลา แม้จะกินพลังปราณอยู่ไม่น้อย ทว่ากับผู้ที่มีเส้นพลังปราณใหญ่กว่าคนอื่นจึงไม่มีปัญหาสำหรับหยางอี้ แถมยังได้รับรู้สถานการณ์รอบข้างตลอดเวลา หลังสิ้นประกาศเริ่มการทดสอบ ภายในป่าแห่งนี้ก็พลันเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและกลิ่นคาวเลือดทันที มีหลายคนที่จับกลุ่มกันออกล่าแต้มแล้วปันผลประโยชน์ร่วมกัน นับว่าเป็นวิธีที่ไม่เลวเลย
หลังจากหามาเกือบครึ่งชั่วยาม หยางอี้เริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย ด้วยนิสัยของเป่ยลู่ หากเขาถูกบังคับให้มอบแต้มให้ เขาย่อมมิยินยอมเป็นแน่ ด้วยนิสัยของเป่ยลู่หยางอี้ถูกใจมิน้อย และที่สำคัญหากเขาเกิดสู้จนตัวตาย หยางอี้จะมีหน้าไปพบเป่ยลี่เด็กสาวตัวน้อยได้อย่างไร เขาจะตอบออกไปอย่างไรหากเด็กน้อยนั้นถามว่าพี่ชายของเขาอยู่ไหน
หยางอี้เคลื่อนกายผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่าพบว่าในป่านี้มีสัตว์อสูรอยู่ไม่น้อยเลยเช่นกัน มีผู้เข้าทดสอบหลายกลุ่มที่ได้เข้าปะทะกับสัตว์อสูร และดูเหมือนหยางอี้จะได้ยินผู้เข้าทดสอบคนอื่นพูดคุยกันว่าการสังหารสัตว์อสูรจะได้รับแต้มด้วยเช่นกัน
หยางอี้ได้แต่ตระหนักในใจ สำนักวิหารสวรรค์น่ากลัวโดยแท้ กระทั่งเรื่องสำคัญเช่นนี้กลับไม่ประกาศออกมาแต่บอกให้ล่าแต้มจากผู้เข้าทดสอบด้วยกันเองแทน แม้จะดูโหดร้ายแต่หยางอี้ก็พอจะเข้าใจได้ โลกนี้ผู้แข็งแกร่งย่อมกลืนกินผู้อ่อนแอ และสำนักวิหารสวรรค์ย่อมไม่ต้องการรับผู้อ่อนแอเข้าเป็นศิษย์เช่นเดียวกัน
“นั่นมัน”
หลังจากคอยหลบเลี่ยงคนอื่น หยางอี้ก็คอยตรวจสอบหาเป่ยลู่ไปด้วย และเมื่อมาถึงจุดหนึ่งในป่า หยางอี้ก็หยุดการเคลื่อนไหวลงและแอบดูอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แบ่งแยกออกจากคนอื่นอย่างชัดเจน นั่นคือ 1 ในคนที่ขึ้นไปถึงชั้นที่ 6
หยางอี้มองไปยังเหตุการณ์เบื้องหน้า หญิงสาวเพียงคนเดียวยืนอยู่กลางวงล้อมของชายกลุ่มใหญ่กว่า 50 คน ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะโชคดีไม่น้อยที่ถูกส่งมาอยู่ไม่ไกลมากนัก ทำให้พวกเขารวมกลุ่มกันได้ใหญ่ขนาดนี้ แถมดูเหมือนพวกแนวหน้าหยางอี้จะเคยเห็นพวกเขาหลายคนในชั้นที่ 5 อีกด้วย
“ฮี่ๆ โชคดีจริงๆ ที่มาเจอสาวสวยเช่นนี้กลางป่า”
“ฮ่าๆ แม่นางอี้เสวี่ยชิง ธิดาแห่งตระกูลอี้ที่คุมบังเหียนทางใต้ของจักรวรรดิเมฆาหวนแห่งนี้ ช่างงดงามสมคำร่ำลือ”
“พี่ใหญ่ เล่นสนุกกับนางสักเล็กน้อยดีหรือไม่ ฮ่าๆ”
หยางอี้ลอบมองออกไปได้แต่ขำในใจ ตัวเขายินดีอยู่แล้วที่จะชมเรื่องสนุกสักเล็กน้อยระหว่างทาง แม่นางนี่นับว่าไม่เบาที่สามารถปกปิดพลังปราณขั้นปฐพีจนพวกคนกลุ่มนี้ไม่สามารถสัมผัสถึง แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาของหยางอี้ไปได้
หยางอี้ประหลาดใจเล็กน้อยที่ในกลุ่มคนพวกนี้มีหลายคนอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ปฐพี และแน่นอนพวกเขาต้องไปถึงชั้น 5 แต่ทว่าพวกเขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าแม่นางนี่ไปถึงชั้นที่ 6 ซึ่งห่างไกลจากพวกเขามากโข
และก็เป็นดังที่หยางอี้คาด พวกผู้นำกลุ่มนั้นไปถึงชั้นที่ 5 หลังจากอี้เสวี่ยชิงเข้าสู่ชั้นที่ 6 ส่วนพวกปลายแถวก็ไปได้เพียงชั้นที่ 4 จึงไม่มีใครรู้ว่านางก้าวไปถึงชั้น 6 ซึ่งต้องเป็นระดับปฐพีเป็นอย่างน้อยยกเว้นหยางอี้
อี้เสวี่ยชิงมองดูกลุ่มคนด้านหน้าที่มองมายังนางด้วยสายตาหื่นกระหายอย่างรังเกียจ เดิมทีนางคิดจะล่าสัตว์อสูร และอาจจะบังคับชิงป้ายด้วยวิธีข่มขู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนใจแล้ว เพราะคนกลุ่มนี้คงจะมีแต้มมากพอให้นางไม่ต้องเหนื่อยในการหาแต้มเพิ่ม
“เจ้าพวกมดปลวกอย่างไรก็เป็นเพียงมดปลวกที่ไร้ปัญญา”
อี้เสวี่ยชิงกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย นางมิได้โกรธต่อการกระทำของพวกเขา เพราะมันไม่ควรค่าให้ใส่ใจ
เหล่าแกนนำของกลุ่มเมื่อได้ยินคำดูถูกก็กลายเป็นเดือดดาลทันที
“เฮอะ ข้าอยากจะรู้นักยามข้าเล่นสนุกกับเจ้าจะยังปากดีเช่นนี้ไหม”
หลังจากกล่าวจบ พวกนั้นพลันกระชับวงล้อมเข้าหานางทันที อี้เสวี่ยชิงเองก็ไม่ต้องการเสียเวลา นางหยิบแส้สีแดงยาวราวกับหางของมังกรออกมา ก่อนจะเริ่มฟาดฟันโดยมิเสียเวลากล่าวอะไรอีก
อ้ากก
อ้ากก
ปลายแส้ตวัดเหวี่ยงไปรอบทิศทางทุกครั้งที่เขาฟาดออกไปล้วนเกิดเสียงร้องและชิ้นส่วนร่างกายถูกตัดขาดกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ หลายคนที่อยู่วงนอกคิดจะหลบหนี แต่ทว่าด้วยความยาวของแส้และทักษะการควบคุมอันไร้ที่ติของอี้เสวี่ยชิง แส้สีแดงยาวคล้ายกับอสรพิษหลีกเลื้อยเข้ากระชากร่างของพวกเขาจนขาดสะบั้น
หยางอี้ที่มองดูเหตุการณ์อยู่ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ให้กับความโหดเหี้ยมของอี้เสวี่ยชิง พลางคิดในใจว่าจะต้องอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้เป็นดีที่สุด
ไม่นานเหตุการณ์สังหารหมู่ก็จบลง อี้เสวี่ยชิงขับลมปราณเล็กน้อยก็สลายคราบโลหิตออกจากตัวนางได้ทั้งหมด นางเริ่มโอนถ่ายแต้มในทันที แม้จะมีบางคนที่หลบหนีโดยการสละสิทธิ์ออกไปได้ นางก็มิใส่ใจมากนัก เพราะเพียงแค่นี้นางก็รวบรวมแต้มได้มากพอแล้ว
หยางอี้เมื่อเห็นว่าหมดเรื่องแล้วก็เตรียมพลิ้วกายจากไปทันที ทว่ากลับได้ยินเสียงใสแจ๋วของอิสตรีดังขึ้นเสียก่อน จนต้องชะงักค้างไป
“เสียมารยาทจริงนะเจ้าน่ะ”
หยางอี้หันกลับมา จึงเห็นว่านางจ้องมายังทิศทางที่เขาหลบซ่อนอยู่ เดิมชายหนุ่มคิดจะจากไป แต่ทว่าด้วยความประหลาดใจที่นางสามารถตรวจพบเขาได้ในยามโคจรทักษะซ่อนจันทร์อยู่ จึงทำให้เขามิอาจเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้ ขนาดอาวุโสระดับสูงยังมิอาจตรวจพบ แต่นางกลับทำได้ หากปล่อยเรื่องเช่นนี้ไว้จะเป็นปัญหาสำหรับหยางอี้ในอนาคต
หยางอี้เหินร่างลงยังลานหญ้าที่ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยซากศพ ก็พบกับอี้เสวี่ยชิงที่กำลังจ้องมองมายังเขาอยู่
“เป็นเจ้า?”
หยางอี้ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง หากนางตรวจพบแล้วเหตุใดจึงประหลาดใจอีกที่เห็นว่าเป็นเขา
“ช่างเถอะ ข้าคิดว่าเป็นเจ้าพวกนั้นเสียอีก”
“แม่นาง ท่านหมายถึงใคร”
หยางอี้กล่าวถามออกมา ก่อนที่อี้เสวี่ยชิงจะตอบออกมาอย่างเมินเฉยหน้าตาย
“ก็เจ้าสามคนที่อยู่ในชั้นที่ 6 ไงล่ะ เจ้าพวกนั้นมันชอบทำตัวลับๆล่อๆเหมือนพวกโรคจิต เจ้าเองก็เป็นเหมือนกันสินะ”
หยางอี้เมื่อได้ยินก็ปากกระตุกทันที นางผู้นี้กล่าววาจาเช่นนี้กับคนที่เพิ่งสนทนากันครั้งแรกได้อย่างหน้าตาย
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านพบว่าข้าดูอยู่ได้อย่างไร”
หยางอี้เลิกใส่ใจกับท่าทีและคำพูดของนางและถามเข้าประเด็นทันที ทำให้อี้เสวี่ยชิงหันกลับมาตอบหยางอี้อีกครั้งด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าประสาทหรือเปล่า มีคนอยู่ตรงนั้นข้าก็ต้องรู้สึกได้สิ แปลกตรงไหน”
“รู้สึกได้?”
“ใช่”
“….”
หยางอี้มองดูอี้เสวี่ยชิงอย่างงงๆ ขณะที่นางยังคงโอนถ่ายแต้มของนางโดยไม่สนใจหยางอี้สักนิด ชายหนุ่มพลันส่ายหัวก่อนจะหันกายเตรียมจากไป
“เจ้ากำลังตามหาสหายของเจ้าอยู่ใช่ไหม” หยางอี้ชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินนางเอ่ยออกมา ก่อนจะหันมาถามนางอย่างประหลาดใจอีกครั้ง
“เจ้ารู้?”
“ข้ารู้สึกได้” หยางอี้เริ่มหมดความอดทนกับนิสัยประหลาดของอี้เสวี่ยชิงจึงกล่าวออกไปอย่างหัวเสีย
“แม่นาง อย่าได้ล้อข้าเล่นมากเกินไป ข้าความอดทนไม่สูงนัก”
“ล้อเจ้าเล่น? เจ้าบ้าหรือเปล่า ข้าจะไปล้อเจ้าเล่นทำไม เอาเถอะข้าจะไม่ถือสาพวกไม่รู้ความเช่นเจ้า แต่หากว่าเป็นคนที่เดินอยู่กับเจ้าด้านนอก ข้าพบเขาอยู่ก่อนมาที่นี่”
“เจ้าพบเขาที่ไหน”
“ทางทิศใต้ราว 3 กิโลเมตร”
“ขอบคุณมากแม่นาง”
อี้เสวี่ยชิงยังคงพูดไปพลางเดินเก็บป้ายมาถ่ายโอนแต้ม โดยมิได้สนใจหยางอี้เช่นเดิม เมื่อรับรู้ตำแหน่งของเป่ยลู่แล้วหยางอี้ก็เตรียมจะจากไปทันที
“รีบหน่อยล่ะ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นกำลังจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น”
วูปปป
อี้เสวี่ยชิงพลันชะงัก ก่อนจะหันมาด้านหลังที่หยางอี้เคยยืนอยู่ ทว่าบัดนี้ชายหนุ่มกลับหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย นางตกตะลึงไม่น้อยกับความเร็วของหยางอี้ ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“น่าสนใจจริงๆ ถึงกับเร็วกว่าเจ้าบ้าซูเฉินซะอีก”
ทางใต้ของป่าเมฆาห่างจากจุดที่หยางอี้พบกับอี้เสวี่ยชิงราวสามกิโลเมตร ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงการปะทะกันของอาวุธ คนสองกลุ่มต่างเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ใจกลางวงล้อมปรากฏร่างบุรุษกำยำผมสีน้ำตาลอ่อนกำลังยืนหอบหายใจอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยเปื้อนและคราบโลหิต
“อึดเหมือนกันนี่ แต่จะทนได้อีกซักเท่าไหร่กัน ฮ่าๆ จัดการมัน”
สิ้นเสียงของผู้นำ เหล่าสมุน 3 คนที่รุมทุ้มชายในวงล้อมเริ่มพุ่งเข้าปะทะอีกครั้งทันที ชายผู้เป็นหัวหน้าที่ยืนยิ้มดูเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างพึงพอใจเขาก็คืออันจิ่วนั่นเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทดสอบแรกทำให้เขาต้องอับอายอย่างมากและต้นเหตุนั้นก็คือหยางอี้ อันจิ่วนั้นหลังจากหลบหนีฝูงชนไปก็ได้แต่กล่าวโทษหยางอี้อย่างเกลียดชังที่เปิดโปงแผนของเขา
หลังจากเข้ามาภายในป่า อันจิ่วผู้มีวาจาเป็นเลิศได้เริ่มรวบรวมสมาชิกและตั้งกลุ่มขึ้นอีกครั้งและเริ่มไล่ล่าผู้เข้าทดสอบที่อยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆ ทว่าหลังจากไล่ล่าแต้มมาได้สักพัก เขาก็พบกับเป่ยลู่ที่กำลังจับกลุ่มคุยอยู่กับผู้เข้าทดสอบคนอื่นไม่กี่คน
อันจิ่วจำได้ทันทีว่าเป่ยลู่คือคนที่อยู่กับหยางอี้ในตอนนั้น ดวงตาของเขาพลันกระจ่างวูบ การบดขยี้สหายของหยางอี้ก็นับว่าเป็นการแก้แค้นที่ไม่เลวเช่นกัน อันจิ่วจึงนำคนเข้าห้อมล้อมกลุ่มของเป่ยลู่ที่มีกันอยู่ 4 คนในทันที
สถานการณ์ฝ่ายเป่ยลู่เริ่มย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ จนทั้ง 4 คนถูกต้อนมาอยู่รวมกันกลางกลุ่ม สมุนของอันจิ่วยังคงถาโถมโจมตีเข้ามาอย่างไม่หยุดพัก เป่ยลู่หลังจากได้บ่มเพาะพลังปราณในชั้นที่ 4 ทำให้ทะลวงระดับจากปราณก่อตั้งจิตขั้นกลางเป็นขั้นสูงแล้ว ทว่าการรับมือกับสมุนของอันจิ่วที่มีอยู่หลายคนทำให้เขาเองก็เริ่มจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน
อ้ากกก
หนึ่งในสหายของเป่ยลู่พลาดท่าถูกคมดาบของอีกฝ่ายจนเลือดสาดกระจายไปเต็มพื้นก่อนจะล้มฟุบลงกับพื้น
“พี่ลู่ พวกข้ารับมือต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“ข้าเองก็เช่นกัน พวกเจ้ารีบใช้ป้ายเพื่อออกจากที่นี่โดยเร็ว อย่างไรชีวิตย่อมสำคัญกว่า ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้”
เป่ยลู่กล่าวออกมาอย่างจริงใจ เดิมทีเขาเองมีนิสัยซื่อตรงและเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมอยู่แล้ว และสหายใหม่กลุ่มนี้เองก็ต่างมีนิสัยคล้ายกันเพียงพูดคุยกันไม่นานทั้ง 4 จึงถูกคอกันได้ไม่ยากนัก ชายคนเดิมที่กล่าวออกมาซาบซึ้งจนน้ำตาอาบโรยริน ก่อนจะกล่าวขอบคุณออกมาจากใจเช่นกัน
“ขอบคุณมากพี่ลู่ ข้ายินดียิ่งที่ได้ร่วมสู้ศึกกับท่าน พวกข้าขอสัญญา หากออกไปได้ข้าจะตามล้างแค้นพวกมันให้จงได้”
เป่ยลู่เพียงยิ้มรับเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าปะทะกับพวกอันจิ่วอีกครั้ง ตัวเขาเองย่อมรู้ดีที่สุดว่าการจะถ่ายพลังปราณเข้าสู่ป้ายเพื่อออกจากที่นี่จำเป็นต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่าจะตกเป็นเป้านิ่งให้กับศัตรูทันที ด้วยความภาคภูมิในศักดิ์ศรี เป่ยลู่ไม่ยินดีจะหันหลังให้ศัตรู ตลอดมาสิ่งเดียวที่เขาห่วงคือเป่ยลี่ ทว่าตอนนี้มีหยางอี้อยู่เป่ยลู่จึงไม่กังวลเรื่องนั้นอีกต่อไป สิ่งเดียวในหัวของเขาตอนนี้คือความต้องการนำชีวิตของศัตรูให้ตกตายตามไปด้วยให้มากที่สุด
หลังจากถ่วงเวลาไว้ได้ครู่หนึ่งสหายทั้ง 3 ของเป่ยลู่ก็จากไปเหลือเพียงชายหนุ่มผู้องอาจที่ยืนประจันหน้ากับศัตรู
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษหรือไง ทำแบบนี้แล้วจะได้อะไรตอบแทน โง่เง่าสิ้นดี”
อันจิ่วกล่าวเย้ยหยันออกมาพร้อมกับหัวเราะร่า ตัวเขาที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่แล้วย่อมไม่เข้าใจต่อการกระทำของเป่ยลู่
“คนเช่นเจ้าย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว”
เป่ยลู่กล่าวออกมาพร้อมกับโยนดาบคู่มือทิ้งไป
‘เห้อ ไม่คิดเลยว่าข้าจะต้องมาตายในสภาพแบบนี้จริงๆ’
เป่ยลู่ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ท่ามกลางกลุ่มของอันจิ่วที่ห้อมล้อมอยู่ อันจิ่วได้แต่หัวเราะเย้ยหยันเมื่อเห็นว่าเป่ยลู่ยอมแพ้แล้ว
‘ข้าฝากที่เหลือด้วย จัดการให้สมใจเจ้าได้เลย’
‘ฮ่าๆ ถึงจะเป็นครั้งสุดท้ายก็เถอะ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ออกมา’
“เคี้ยกก ๆ ๆ”
กลุ่มของอันจิ่วกลายเป็นตะลึงเมื่อเห็นเป่ยลู่ที่อยู่ดีๆก็หัวเราะขึ้นมาราวกับคนบ้า
“หัวหน้า ไอ้บ้านี่มันเสียสติไปแล้ว”
“ฮ่าๆ เอาล่ะจัดการมันได้แล้ว เราต้องไปล่าแต้มกันต่อ”
อันจิ่วพลันสั่งลูกสมุนให้จัดการกับเป่ยลู่อย่างเด็ดขาด ทว่า..
ฉัวะ!
อ้ากกก
ด้วยความประมาทสมุนคนหนึ่งพุ่งเข้าไปหมายจะเอาหน้าในการสังหารเป่ยลู่ ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่มันคิด เพียงเสี้ยวลมหายใจเป่ยลู่โยกร่างกายเคลื่อนไหวเล็กน้อยก่อนจะรวมลมปราณไว้ที่มือแล้วแทงทะลุหน้าอกของมันอย่างเลือดเย็น
“เคี้ยกกก ๆ นานแค่ไหนแล้วนะที่ข้าไม่ได้กลิ่นหอมหวานจากคาวเลือดเช่นนี้”
ท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งกลุ่ม เป่ยลู่โยนร่างของสมุนผู้นั้นทิ้งไปเผยให้เหล่าคนด้านหน้าได้เห็นใบหน้าชวนสยอง จนพวกมันเผลอก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัวไปชั่วขณะ
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันดีกว่า การละเลงเลือดครั้งสุดท้าย”
เสียงเล็กแหลมดังออกมาจากร่างของเป่ยลู่ที่บัดนี้ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยกลมโตสุกสกาว กลายเป็นเล็กแหลมสีม่วง มุมปากของเขาฉีกยิ้มตลอดจนชวนขนลุก และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือไอพลังปราณระดับก่อตั้งจิตขั้นสูงสีฟ้าเข้มของมันกลับกลายเป็นหนาแน่นขึ้นจนอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ปฐพี พร้อมกับสีของมันที่ค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีม่วงอมดำในที่สุด
เหล่าสมุนที่เคยปะทะกับเป่ยลู่ก่อนหน้านี้เริ่มหวาดกลัวขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับจิตสังหารอันสยดสยองของชายหนุ่มด้านหน้า ทว่าอันจิ่วที่ดึงสติกลับมาได้ไวจึงกล่าวเตือนขึ้นว่านี่เป็นเพียงพลังเฮือกสุดท้ายของมันเท่านั้นอย่าได้หวาดกลัวก่อนที่จะสั่งการเหล่าแกนนำให้เข้าจัดการกับเป่ยลู่
“เข้ามาเลยอาหารจานสุดท้ายของข้า”
เป่ยลู่พูดออกมาเสียงเบาหวิวพร้อมกับเลียริมผีปากอย่างช้าๆ
อ้ากกกก
“ป ป ปีศาจ แกมันเป็นปีศาจ”
“เคี้ยกกก ฮี่ๆ รู้ดีนี่หว่า”
ฉึกก! เสียงมือของเป่ยลู่แทงทะลุร่างของชายคนหนึ่งเข้าไปก่อนจะขยี้หัวใจของมันจนแหลกคามือ
“แฮ่กๆ บัดซบเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
อันจิ่วกล่าวออกมาขณะมองไปยังร่างที่ถูกชโลมไปด้วยเลือดของเป่ยลู่บัดนี้ทั้งกลุ่มเขาเหลือเพียงแกนนำที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ปฐพีเพียง 6 คน เท่านั้น พวกลูกสมุนที่ระดับต่ำกว่านี้ล้วนตกตายอย่างสยดสยองด้วยมือของเป่ยลู่ไปหมดแล้ว
ความโกรธของพวกเขาที่ถูกเป่ยลู่ทำลายแผนการในการล่าแต้มเริ่มครอบงำความกลัวที่มีก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น ก่อนหน้านี้สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวมิใช่ระดับพลังและความแข็งแกร่งของเป่ยลู่เพราะพวกเขาเองก็มิได้ตกเป็นรองในการต่อสู้แม้แต่นิด ทว่าด้วยวิธีการที่ใช้ในการสังหารและการไม่สนใจต่อบาดแผลที่พลาดจากการโดนพวกเขาโจมตีเลยแม้แต่น้อย กลับทำให้พวกเขาหนาวไปถึงกระดูกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเป่ยลู่ที่ดูเหมือนจะยินดียิ่งที่ได้รับความเจ็บปวดและอาบร่างไปด้วยโลหิต
“ไอ้ปีศาจ วันนี้ข้าจะสังหารแกให้ได้”
อันจิ่วกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล ก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกับเป่ยลู่อีกครั้งอย่างดุเดือด อีก 5 คนที่เหลือก็ไม่รอช้าฉวยโอกาสเข้าปะทะในจุดอับของเขาเช่นกัน
ฉัวะ!
อีกหนึ่งแผลที่เกิดจากคมดาบศัตรู ทว่าชายที่อยู่กลางวงล้อมกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ เลยแม้แต่น้อย
‘ชิ ระดับของไอ้หนูนี่ต่ำเกินไปแค่หลบเลี่ยงจุดตายได้ก็เต็มกลืนแล้ว’
การปะทะกันยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด เป่ยลู่ยังคงได้รับบาดเจ็บอีกหลายแผลเมื่อพวกอันจิ่วใช้วิธีปะทะแบบถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ไม่นานพวกอันจิ่วเริ่มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนไหวของเป่ยลู่เริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“มันจะหมดแรงแล้ว พวกเราลุยต่อไป”
อันจิ่วสั่งการออกมา เป็นจริงตามที่เขาคาด เป่ยลู่ในตอนนี้แม้จะยืนยังคงลำบาก บาดแผลทั่วร่างเริ่มส่งผลขึ้นมาเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวดมันเกินกว่าจะสลัดทิ้งไปจากการตัดสัมผัสรับรู้ทิ้งเช่นก่อนหน้านี้เสียแล้ว
ชั่วขณะที่เป่ยลู่ชะงักไป หนึ่งในผู้ที่รุมล้อมเขาฉวยโอกาสพุ่งเข้ามาฟันเข้าที่กลางหลังทว่าเป่ยลู่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเบี่ยงหลบก่อนจะหมุนตัวกลับมาใช่มือที่คมดั่งใบมีดแทงทะลุคอมันให้ตกตายอย่างอนาถ
“แฮ่กๆ ถึงข้าจะไม่ร้องออกมามันก็เจ็บเหมือนกันนะโว้ย”
เป่ยลู่สบัดร่างมันทิ้งไปก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกับพื้น เมื่ออันจิ่วเห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่รอช้าพุ่งเข้ามา และเตะไปยังหน้าอกของเป่ยลู่อย่างเต็มแรงจนกระเด็นไปชนอยู่กับต้นไม้ใหญ่
‘ข้าคงทำได้เพียงเท่านี้แหละเจ้าหนู’
‘ขอบใจท่านมาก หากชาติหน้ามีโอกาสข้าจะชดใช้หนี้นี้ให้กับท่าน’
‘ฮ่าๆๆ งั้นเรอะ ทำไมสวรรค์ถึงส่งข้ามาอยู่กับคนอย่างแกนะ’
พวกของอันจิ่วทั้ง 5 คนที่เหลืออยู่ค่อยๆเดินมายังร่างหมดสภาพที่นอนหายใจรวยรินอยู่
“ฮ่าๆ หมดแรงแล้วสินะไอ้สารเลว”
ทั้ง 5 คนต่างยืนรายล้อมเป่ยลู่ไว้ ก่อนที่บางคนจะทุบตีเขาเพื่อระบายความโกรธ
“ได้เวลาตายของแกแล้วไอ้สวะเอ้ย”
อันจิ่วกล่าวออกมา ก่อนจะเงื้อดาบในมือฟันไปยังคอของเป่ยลู่หมายให้เขาสิ้นชีพในดาบนี้
ตูม!
ทว่าก่อนหน้าที่เขาจะลงดาบ กลับมีดาบเล่มหนึ่งพุ่งลงมาปักกั้นขวางระหว่างทั้ง 5 และเป่ยลู่จนพวกของอันจิ่วต่างกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว
“บัดซบ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีกวะนี่”
อันจิ่วสบถออกมาขณะมองไปยังดาบเล่มเขื่องที่สลักไว้ด้วยลวดลายพยัคฆ์ตั้งตระหง่านขวางเขาอยู่หน้ากลุ่มควันที่คลุ้งขึ้นจากการกระแทก
‘ฮ่าๆ สารเลวน้อยดูท่าพวกเราจะยังไม่ถึงคราวตาย’
ดวงตาหรี่เล็กสีม่วงของเป่ยลู่ค่อยๆหลับลงก่อนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอันเหนื่อยล้าจากการต่อสู้
เป่ยลู่มองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น
“นายน้อย ต้องให้ท่านช่วยข้าอีกแล้ว”
หยางอี้สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงอารมณ์ของเป่ยลู่ ชายหนุ่มจึงได้แต่หันหน้ามาพร้อมกับพูดปลอบใจเล็กน้อย
“เจ้าเป็นสหายของข้า ไม่มีอะไรต้องคิดมาก หากเจ้าอยากตอบแทนข้าก็จงแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้ พักก่อนเถอะที่เหลือข้าจัดการเอง”
หยางอี้โยนยาเม็ดกลมสีแดงและขาวให้กับเป่ยลู่ 2 เม็ดก่อนจะเดินออกไปเบื้องหน้าอย่างผ่าเผย
หลังจากกลุ่มควันจางหายไปอันจิ่วก็ได้เห็นโฉมหน้าของผู้เข้ามาขัดขวางเขาในครั้งนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“เป็นเจ้า”
“เป็นข้าเอง ขอบคุณที่เจ้าดูแลคนของข้าเป็นอย่างดี” หยางอี้พูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ เพราะต่อไปมันจะเป็นทีของเจ้า”
อันจิ่วพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเหี้ยม เขาลอบสำรวจพลังปราณของหยางอี้ก่อนแล้ว เขาพบว่าเป็นเพียงระดับก่อตั้งจิตขั้นกลางเท่านั้นจึงทำให้ยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ทุบตีชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เขาอับอายต่อหน้าผู้คน
“นั่นสินะ เพื่อเป็นการตอบแทนข้าจะให้พวกเจ้าได้สนุกกันอย่างเต็มที่”
“ฮ่าๆ สารเลว ตัวตนอันต่ำต้อยเช่นเจ้ากล้าที่จะพูดเช่นนี้”
อันจิ่วและพรรคพวกพากันหัวเราะร่าก่อนจะค่อยๆขยับเข้ามาล้อมหยางอี้ไว้ หยางอี้ได้แต่ยิ้มเหี้ยมในใจแน่นอนว่าชายหนุ่มมิเคยปราณีใครก็ตามที่กล้ามาทำร้ายคนของเขา
หยางอี้มองไปยังกลุ่มของอันจิ่วด้วยสายตาเยือกเย็นก่อนจะปลดทักษะซ่อนจันทร์ออกในทันทีเพื่อหยุดเสียงหัวเราะของกลุ่มคนเบื้องหน้า
พลังปราณระดับปฐพีที่เข้มข้นกว่าผู้อื่นเป็นเท่าตัวถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของชายหนุ่มในทันที กลุ่มของอันจิ่วกลายเป็นอ้าปากค้างขณะที่ยังหัวเราะอยู่ก่อนที่ดวงตาเล็กหยี๋จากการหัวเราะจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“บ บ้าน่า ระดับปฐพี”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ทั้ง 5 คนกลายเป็นทรุดลงกับพื้นทันทีเมื่อได้สัมผัสกับแรงกดดันและจิตสังหารของหยางอี้ที่ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
อันจิ่วกลายเป็นหน้าซีดทันทีเมื่อเขาได้รับรู้ความเป็นจริง หากเขารู้ก่อนหน้านี้ว่าหยางอี้เป็นชนชั้นปฐพี ต่อให้เขาเกลียดแค้นหยางอี้ยังไง เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าววาจาไม่สุภาพต่อหน้าชายหนุ่ม
“ค คุณชายข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด”
อันจิ่วพูดออกมาพร้อมกับโขกหัวลงกับพื้นหลายครั้งจนหน้าผากแดงช้ำอย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรี หยางอี้เพียงมองดูเขาอย่างสมเพชก่อนจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ปล่อยเจ้า? แน่นอนข้าจะปล่อยเจ้า แต่หลังจากที่เจ้าได้สนุกดังที่เจ้าต้องการเสียก่อน” อันจิ่วและพวกกลายเป็นหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำนั้น พวกเขาที่โดนกดทับด้วยแรงกดดันของหยางอี้ไม่มีทางเลยที่จะหนีจากชายหนุ่มไปได้
หยางอี้เดินเข้าไปหาผู้ที่อยู่ริมขวาสุดอย่างช้าๆ ก่อนจะยิ้มเหี้ยมให้กับมันและตวัดดาบพยัคฆ์เมฆาผ่านแขนข้างหนึ่งของมันจนขาดกระเด็นออกไปพร้อมกับสายโลหิตที่พุ่งกระฉูดออกจากต้นแขนอย่างเลือดเย็น
อ้าก!
เสียงร้องโหยหวนจากความเจ็บปวดของพรรคพวกทั้ง 4 คนของอันจิ่วดังก้องไปทั่วบริเวณ การกระทำของหยางอี้ทุกอย่างอยู่ในการเฝ้ามองของอันจิ่ว ความหวาดกลัวเริ่มก่อร่างและฝังลึกลงไปในจิตใจของเขาอย่างช้าๆ
ทุกครั้งที่หยางอี้ลงดาบบนร่างกายของทั้ง 4 คน สายตาของชายหนุ่มยังคงมองมายังใบหน้าของอันจิ่วทุกครั้ง จิตสังหารอันหนักหน่วงถูกรวบรวมเพื่อพุ่งเป้ามายังอันจิ่วเพียงผู้เดียว หยางอี้ลงมือสังหารด้วยการตัดแขนและขาก่อนจะสะบั้นดาบลงที่คอเพื่อปลิดชีพทีละคน ความกลัวที่ก่อร่างในจิตใจของอันจิ่วกลายเป็นพุ่งถึงขีดสุด ขณะคนสุดท้ายถูกสังหารไปชายหนุ่มผู้เป็นดังมัจจุราชก็เริ่มย่างก้าวเท้าเดินมาที่เขา ทุกสรรพสิ่งรอบตัวอันจิ่วกลายเป็นเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงฝีเท้าของมัจจุราชที่เขาสดับรับฟังได้อย่างชัดเจนเสียยิ่งกว่าเสียงเต้นของหัวใจเขาเสียอีก
แกร่บ แกร่บ แก่บ
เสียงรองเท้าของชายหนุ่มกระทบเข้ากับยอดหญ้าขณะที่เดินเข้าใกล้อันจิ่วทีละน้อย หยางอี้มองไปยังใบหน้าของอันจิ่วที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวน้ำตาหลั่งไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างของเขาพร้อมกับพึมพำราวกับคนเสียสติ ก่อนจะหันหลังใช้สองเข่าสองมือคลานหนีอย่างตะกุกตะกัก ทั้งร่างกายเขาล้วนไร้เรี่ยวแรงจากความกลัวที่มีต่อมัจจุราชเบื้องหน้า
“อย่า อย่าเข้ามา ได้โปรด ได้โปรด ฮือๆ”
ด้วยความกลัว ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่น้อยที่จะหันกลับมามองยังเบื้องหลัง เป้ากางเกงของเขาเริ่มเปียกโชกไปด้วยปัสสาวะ
ฉับ ฉับ!
อ้ากกก
หยางอี้ลงดาบอีกครั้งไปยังขาทั้งสองข้างของอันจิ่วทำให้เขาร้องออกมาอย่างทุรนทุรายก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้มือจิกไปยังผมอันยุ่งเหยิงของอันจิ่วให้หันกลับมามองใบหน้าของตนเองอย่างช้าๆ พร้อมกลับพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“จงจำไว้เมื่อเจ้าได้ยินเสียงนี้ความหวาดกลัวเช่นนี้จะกลับมาเยือนเจ้าอีกครั้ง”
เปี๊ยะ!
หยางอี้ตบไปยังหน้าของอันจิ่วอย่างแรงจนเขากระเด็นกลิ้งไปตามพื้น ชายหนุ่มเดินไปยังร่างอันสะบักสะบอมของอันจิ่วที่นอนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอย่างเสียสติ ก่อนใช้ปลายดาบแทงไปยังตันเถียนของเขา ทำให้อันจิ่วร้องออกมาอย่างทรมานก่อนจะหมดสติไป หยางอี้หยิบป้ายของอันจิ่วออกมาแล้วโอนถ่ายแต้มมาก่อนจะถ่ายพลังปราณลงไปจนป้ายส่องแสงจางแล้วโยนไปยังร่างของอันจิ่ว ไม่นานร่างไร้สติของเขาก็กลายเป็นแสงพุ่งออกไปจากป่าเมฆา
หยางอี้ได้ฟังมาจากทั้ง 4 คนก่อนหน้านี้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะอันจิ่วโกรธแค้นที่หยางอี้ทำให้เขาอับอาย และบังเอิญพวกเขาได้พบกับเป่ยลู่ อันจิ่วจึงใช้โอกาสนี้ในการแก้แค้น หยางอี้มิเคยใส่ใจกับผู้ที่คิดร้ายต่อเขาหากต้องการเขาพร้อมจะปะทะด้วยเสมอ ทว่าการนำความแค้นที่มีต่อเขาไปลงกับผู้คนรอบกายของเขาทำให้หยางอี้โกรธเป็นอย่างมาก หยางอี้เลือกที่จะทิ้งความหวาดกลัวให้ฝังลึกลงในจิตใจของอันจิ่ว ให้เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดผวาราวกับตายทั้งเป็น ย่อมดีกว่าปล่อยให้เขาตกตายไปอย่างสบาย
หยางอี้สำรวจแต้มในป้ายของตัวเองเป็นอันดับแรกเมื่อส่งอันจิ่วออกไปเสร็จ หยางอี้พอใจไม่น้อยกับแต้มที่ได้รับมาเพิ่มดูเหมือนกลุ่มของอันจิ่วจะมั่งคั่งไม่น้อยโดยเฉพาะอันจิ่วคนเดียวก็มีแต้มอยู่ 540 แต้มแล้ว
หยางอี้เดินไปยังเป่ยลู่ที่นั่งโคจรพลังปราณอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อสัมผัสได้เป่ยลู่ก็ลืมตาขึ้นมาทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืนและกล่าวคำขอบคุณมากมายต่อหยางอี้ แม้ชายหนุ่มจะบอกปัดไปแล้ว แต่ทว่าด้วยนิสัยของเป่ยลู่ ทำให้เขาตั้งมั่นในจิตใจ ชั่วชีวิตนี้ของเขาได้ตกเป็นของนายน้อยแล้ว หากมีคมดาบพุ่งเข้ามา เขาพร้อมที่จะเข้ารับแทนหยางอี้อย่างเต็มใจ
ทั้งสองสนทนากันเล็กน้อย เป่ยลู่นั้นบอกกับหยางอี้ว่าตัวเขาไม่ต้องการเป็นภาระในการเดินทางของหยางอี้ และจะหาที่ซ่อนอยู่บริเวณนี้จนจบการทดสอบ หยางอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงตามที่เป่ยลู่กล่าว ชายหนุ่มคำนวณจากป้ายของกลุ่มอันจิ่วที่ตกอยู่ตามศพกว่า 30 ศพแล้วน่าจะพอให้เป่ยลู่ติดอยู่ใน 500 อันดับแรกได้อย่างแน่นอน
หยางอี้เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างจบก็จากไปทันที ชายหนุ่มไม่ลืมจะกำชับกับเป่ยลู่ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นอีกและตัวเขาไม่สามารถสู้ศัตรูได้ให้ออกจากการทดสอบทันที อย่างไรด้วยเส้นสายของหยางอี้ก็พอจะร้องขอต่อผู้อาวุโสให้เขาเป็นผู้ติดตามได้
หยางอี้เมื่อแยกจากเป่ยลู่ ชายหนุ่มก็ตรงเข้าสู่ใจกลางป่าทันที หยางอี้เหลือเวลาในการล่าแต้มอีกหนึ่งชั่วยามครึ่ง ชายหนุ่มจึงคิดจะรวบรวมแต้มให้ได้มากที่สุดในเวลาหนึ่งชั่วยามต่อจากนี้ เพราะหยางอี้มีเป้าหมายต้องการเข้าสู่การจัดอันดับศิษย์ใหม่ เพราะชายหนุ่มรู้สึกสนใจพระราชวังต้องห้ามเป็นอย่างมาก
หยางอี้ยังมีเป้าหมายอีกอย่างที่จะใช้เวลาครึ่งชั่วยามสุดท้ายในการตามหามัน นั่นก็คือสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นต้น ราชาของป่าเมฆาแห่งนี้
ตลอดทางหยางอี้กระจายสัมผัสไปรอบๆเช่นเคย แต่ครั้งนี้หยางอี้มิได้หลบเลี่ยงผู้คนเช่นเดิม แต่ตรงกันข้ามชายหนุ่มพุ่งเข้าไปยังบริเวณที่พบเจอผู้เข้าทดสอบคนอื่นทันที หยางอี้ไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรมากนัก ชายหนุ่มเพียงปลดปล่อยพลังปราณระดับปฐพีออกมาก็เพียงพอที่จะกดดันให้อีกฝ่ายยอมถ่ายโอนแต้มให้แล้ว
หยางอี้นั้นแม้จะไม่ได้มีความสงสารต่อผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ แต่ทว่าชายหนุ่มก็พอจะเห็นใจพวกที่ใช้ความพยายามอย่างหนักในการหาแต้มมาอยู่บ้าง คนพวกนี้จะเพียงอยู่รวมกันไม่เกิน 3 คน บางทีชายหนุ่มก็พบผู้เข้าทดสอบที่อยู่เพียงลำพัง หากเจอคนจำพวกนี้หยางอี้จะบังคับให้พวกเขาถ่ายแต้มให้เพียง 5 ส่วนของทั้งหมดเท่านั้นแม้จะเห็นใจแต่ทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นการแข่งขันหากจะโทษใครก็คงโทษได้แต่ตัวพวกเขาเองที่มาเจอกับหยางอี้
ตลอดทางหยางอี้ชิงแต้มจากผู้เข้าทดสอบที่พบเจอเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าส่วนมากจะเป็นพวกที่จับกลุ่มรวมกันแย่งชิงแต้มจากผู้อื่นเช่นกลุ่มของอันจิ่ว ชายหนุ่มจึงไม่มีความปราณีต่อคนพวกนี้แม้แต่น้อยแต้มทั้งหมดจะถูกช่วงชิงมาอยู่ในมือของหยางอี้
ตลอดการชิงแต้มของหยางอี้ มีการปะทะกันกับกลุ่มผู้เข้าทดสอบคนอื่นเพียง 2 ครั้ง เพราะคนพวกนี้รวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ จึงทำให้พวกเขาไม่ยินยอมที่จะมอบแต้มให้กับชายหนุ่ม และเลือกที่จะเข้าปะทะแทน แน่นอนว่าเหล่าแกนนำทั้งหมดถูกหยางอี้สังหารอย่างเลือดเย็นเพื่อเป็นการข่มขู่คนอื่นๆในกลุ่มให้ยินยอมแต่โดยดี เพราะหยางอี้ไม่อยากเสียเวลามากเกินไป
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลอดเส้นทางแม้หยางอี้จะไล่ล่าแต้มจากผู้เข้าทดสอบคนอื่น แต่ทว่าทิศทางของชายหนุ่มยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของป่าเรื่อยๆ
หยางอี้หยุดนั่งพักบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อสำรวจแต้มทั้งหมดของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งหน้าเพื่อตามหาเป้าหมายหลักของตนในครั้งนี้
“8750 แต้ม แค่นี้ก็น่าจะพอติดอยู่ใน 20 อันดับแรกแล้วล่ะมั้ง” หยางอี้เก็บป้ายไปยังที่เหน็บข้างเอวก่อนจะลุกขึ้นและเตรียมจะมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ตั้งไว้ต่อไป
ครึ่นนนน
กระแสลมปราณระดับสวรรค์แผ่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของป่าในทิศทางที่ชายหนุ่มกำลังจะมุ่งหน้าไป ทั่วร่างของหยางอี้สั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะขมวดคิ้ว สัมผัสพลังปราณระดับนี้แน่นอนว่าต้องเป็นสัตว์อสูรราชาของป่าเมฆาแห่งนี้แน่นอน ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มสัมผัสได้กลับไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้
“ระดับสวรรค์ขั้น 5!”
หยางอี้ลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่พลังปราณแผ่พุ่งออกมา หยางอี้นั้นไม่มั่นใจว่าจะสามารถปะทะกับสัตว์อสูรระดับนี้ได้ ตามที่คาดไว้หากเป็นขั้นต้นชายหนุ่มมั่นใจว่าจะสามารถลอบโจมตีและปะทะกับมันได้อย่างแน่นอนตามที่วางแผนเอาไว้ ทว่าหากเป็นระดับ 5 นั้นช่องว่างความห่างชั้นนั้นมีมากเกินไป หยางอี้ไม่ต้องการให้ซ้ำรอยเดิมเช่นเหตุการณ์ที่เขาได้ปะทะกับราชาเสือดำ และแน่นอนชายหนุ่มนั้นไม่ต้องการจะใช้ตราประทับราชันย์ในตอนนี้ เพราะมันยังมีการประลองรอบต่อไปที่รออยู่
หยางอี้ไม่ลืมที่จะกระจายสัมผัสออกไปถึงขีดสุดและโคจรทักษะซ่อนจันทร์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าราชาแห่งป่าตัวนี้ หยางอี้ตามร่องรอยกระแสปราณมาไม่นานก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“ใช่จริงๆ ข้างหน้ามีการต่อสู้เกิดขึ้น จึงทำให้เจ้านั่นมันปลดปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ แต่ว่าใครกันที่กล้าไปยั่วยุเจ้านั่น”
หยางอี้เหินร่างตามต้นไม้ไปไม่นานก็ถึงสถานที่ที่เกิดการปะทะกันขึ้น หยางอี้หลบอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก่อนจะโผล่หน้าออกมาเพื่อมองเหตุการณ์เบื้องหน้า ที่มีกลุ่มคน 4 คนกำลังยืนจับจ้องไปยังวานรขนสีขาวบริสุทธิ์ตัวใหญ่กว่า 5 เมตรเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง
“พวกนั้นมัน...”
ปัง! ปัง!
การปะทะกันของทั้ง 4 คนและราชาวานรดังลั่นไปทั่วพื้นที่ หยางอี้จดจำได้ว่าทั้ง 4 คนคือผู้เข้าทดสอบที่ก้าวไปถึงชั้นที่ 6 เช่นเดียวกับเขา และบุรุษรูปงามอายุราว 20 ปีที่ก้าวไปถึงกลางห้องเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน
หยางอี้มองดูการต่อสู้ของทั้ง 4 คนอย่างสนใจ ชายหนุ่มตกตะลึงไม่น้อยที่พวกเขาสามารถรับมือกับราชาวานรได้อย่างสูสี ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือบุรุษในชุดสีแดงขลิบทองที่ยืนอยู่หน้าสุดของกลุ่มซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของระดับปฐพีขั้นต้น ส่วนทั้งสามคนที่เหลืออยู่ในระดับปฐพีขั้นที่ 2 หยางอี้จำได้ว่าบุรุษร่างเล็กในชุดรัดรูปทางด้านซ้ายมีนามว่าซูเฉิน ทางด้านขวาเป็นชายร่างใหญ่ที่มีรูปร่างกำยำนามว่าเปียวเหว่ยซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้เยาว์ที่รั้งอันดับ 2 ของเมืองหลวง สุดท้ายคือบุรุษผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลานามว่าซิวซาน
หยางอี้ที่เฝ้ามองการต่อสู้ของทั้ง 4 คน อย่างตื่นเต้น แม้การต่อสู้จะยังมิได้รุนแรงมากนัก ทว่าการปะทะกันด้วยท่วงท่าและความเร็วก็มากพอที่จะทำให้หยางอี้ได้เปิดหูเปิดตา ที่ผ่านมาหยางอี้พบเจอแต่ผู้เยาว์รุ่นราวคราวเดียวกันที่อ่อนแอกว่าชายหนุ่มมาก หากพูดให้ถูกคือตัวเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนปกติทั่วไปเสียมากกว่าทว่าวันนี้เมื่อได้เห็นการต่อสู้เบื้องหน้าของผู้เยาว์ทั้ง 4 และราชาวานร หยางอี้มั่นใจได้เลยว่าหากเขาจะเอาชนะคนพวกนี้จำเป็นต้องใช้ทุกอย่างที่มีเช่นกันเพราะดูเหมือนว่าทั้ง 4 คนก็เป็นดั่งตัวประหลาดที่ไม่ต่างไปจากเขา โดยเฉพาะบุรุษในชุดแดงขลิบทอง
หยางอี้นั้นยิ้มอย่างยินดี คนพวกนี้แน่นอนคือคู่แข่ง และอนาคตจะเป็นได้ทั้งศัตรูและสหาย การได้มาเห็นการต่อสู้ของทั้ง 4 เช่นนี้นับเป็นประโยชน์อย่างมากและที่สำคัญสิ่งที่ดวงตาของหยางอี้จับจ้องอยู่อย่างไม่ละสายตานั่นคือกระบี่หยกสีขาวในมือชายหนุ่มชุดแดงเพราะไอพลังปราณของเขาที่สัมผัสได้จางๆคือระดับสวรรค์
โฮกกกก
เสียงขู่คำรามของราชาวานรดังลั่นไปทั่วทั้งป่า หยางอี้สังเกตมันตั้งแต่เริ่มต้น ดูเหมือนเจ้านี่นั้นจะมีจุดเด่นในด้านความเร็วแต่ที่สำคัญคือ
‘มันกำลังหยอกล้อพวกนี้อยู่’
หยางอี้สังเกตได้ทันทีหลังจากเฝ้ามองการปะทะของทั้งสองฝ่ายมาหลายกระบวนท่า หยางอี้มั่นใจแล้วว่ากระบี่ของบุรุษชุดแดงคือศาสตราวุธระดับสวรรค์แน่นอน ทว่าคมกระบี่นั้นสามารถกระแทกให้ราชาวานรกระเด็นถอยไปได้จริงแต่ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนบัดนี้ ทั่วทั้งร่างอันขาวบริสุทธิ์ของราชาวานรยังไม่มีแม้สักบาดแผลที่เกิดจากศาสตราวุธของพวกเขาทั้ง 4 คน
“บัดซบ เจ้าลิงนี่หนังหนาเป็นบ้า”
เปียวเหว่ยกล่าวออกมาหลังจากที่ตะบันดาบใหญ่ในมือไปหลายครั้ง ทว่ากลับไม่สามารถสร้างแม้รอยขีดข่วนให้กับราชาวานรได้
“แหมๆ ก็มันเป็นถึงสัตว์อสูรระดับสวรรค์นี่ขอรับ”
“สถานการณ์แบบนี้เจ้ายังยิ้มได้อีกนะซิวซาน”
ซูเฉินกล่าวมาบ้างหลังจากได้ยินเสียงยียวนของซิวซาน
หลังจากปะทะกันมาระยะหนึ่ง ดูเหมือนทั้ง 4 จะรู้ตัวแล้วว่าราชาวานรเบื้องหน้าพวกเขาจะยังมิได้ลงมือจริงจังกับการต่อสู้นี้ ทว่าพวกเขาเองก็เช่นกัน และสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่นคือ บุรุษในชุดแดงจะต้องสามารถสยบราชาวานรลงได้อย่างแน่นอน
“เจ้าลิงนี่มันคิดจะเล่นกับพวกเราจริงๆ ยื้อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ซูเฉินเจ้าหาโอกาสลอบไปเก็บสิ่งนั้นมาให้ได้ พวกข้าจะล่อมันไว้ให้เอง”
บุรุษชุดแดงกล่าวออกมา ตัวเขามั่นใจกว่า 8 ส่วนว่าจะสยบราชาวานรลงได้ทว่าก็ยังต้องทุ่มสุดตัวเช่นกันและเวลาไม่ได้มีมากนัก จะเป็นการดีที่สุดหากรีบทำภารกิจให้ลุล่วงและจากไปจากการต่อสู้นี้
“ได้เลยลูกพี่” ซูเฉินตอบรับคำ ก่อนจะล่าถอยออกไปอยู่แนวหลังของกลุ่มเพื่อรอชิงจังหวะเคลื่อนตัวผ่านไปเมื่อมีโอกาส
“เปียวหว่ย ซิวซาน เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว”
“ดูเหมือนถึงเวลาที่คุณชายเหว่ยจะต้องออกไปรับการทุบตีแล้วนะขอรับ”
“ฮึ่ม ไอ้หน้ายิ้มเมื่อกลับมามันจะถึงทีข้าทุบตีเจ้าบ้าง”
เปียวเหว่ยหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่ซิวซานก่อนจะปลดพลังปราณสูงสุดออกมาและพุ่งเข้าหาราชาวานร
“พวกเราก็เร่งมือเถอะ ซิวซาน”
“ได้เลยขอรับ”
หยางอี้ที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ไม่ไกลนักเริ่มแปลกใจเมื่อเห็นการตั้งรูปขบวนใหม่ของทั้ง 4 ดูเหมือนคนพวกนี้จะต่อสู้ร่วมกันมาไม่น้อยถึงได้สามารถจัดสรรการต่อสู้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ชายหนุ่มจ้องมองไปยังชายร่างเล็กที่ถอยออกไปด้านหลังไม่วางตา หยางอี้เข้าใจ สำหรับ 3 คนที่เข้าปะทะกับราชาวานร เปียวเหล่ยนั้นดูเหมือนจะใช้ทักษะบางอย่างในการเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อเข้าปะทะกับราชาวานร ส่วนอีกสองคนคอยโจมตีจากด้านข้างอย่างต่อเนื่อง
โฮกกก
เสียงคำรามของราชาวานรดังก้องไปทั่วป่าเมื่อคมกระบี่หยกสร้างบาดแผลแรกให้กับมันได้ในที่สุด ราชาวานรกลายเป็นโมโหขึ้นมาในทันที มันพุ่งเข้าหาบุรุษชุดแดงอย่างรวดเร็ว ทว่าเปียวเหว่ยก็เข้ามาขวางหน้ารับการโจมตีได้อย่างทันท่วงทีเช่นกัน
ปัง!
ชายร่างใหญ่ถอยครูดไปตามแรงกระแทกจากการปะทะ แม้จะยังคงยืนได้อย่างมั่นคง ทว่าเมื่อมองไปยังรอยลากบนพื้นที่ยาวกว่า 10 เมตร ทำให้รู้ทันทีว่าการโจมตีครั้งนี้รุนแรงแค่ไหน
วูป
หยางอี้หรี่ตามองไปยังชายร่างเล็กที่พลิ้วกายหายไปจากจุดเดิมอย่างรวดเร็วเมื่อราชาวานรเปิดช่องว่าง ทว่าลิงยักษ์ตัวเขื่องกลับรู้ทัน มันหรี่ดวงตาอันเล็กแหลมของมันก่อนจะเคลื่อนร่างด้วยความเร็วไปยังทิศทางที่ชายร่างเล็กเคลื่อนตัวไป หากหยางอี้มองไม่ผิดดูเหมือนชายหนุ่มจะเห็นเจ้าลิงยักษ์ที่แอบยิ้มเสียด้วย
“ถอยมาซูเฉิน”
ทันทีที่เห็นสายตาของราชาวานร บุรุษชุดแดงเร่งตะโกนออกมาทันที
ปัง!
แม้จะรู้ตัวเพราะเสียงเตือน ทว่าความเร็วของราชาวานรนั้นอยู่ๆก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ซูเฉินโชคดีที่ได้บุรุษชุดแดงกล่าวเตือนทำให้เบี่ยงตัวหลบจุดตายได้ทันมิเช่นนั้นคาดว่าเขาคงมิอาจลุกยืนได้อีกครั้งเป็นแน่
หยางอี้ได้แต่เสียวสันหลังวาบเมื่อมองดูความเร็วของราชาวานร ความเร็วระดับนี้พอๆกับตัวเขาขณะใช้ทักษะย่างก้าวมายาสวรรค์อย่างเต็มกำลังเลยทีเดียว และหากตัวเขาได้ยั่วยุราชาวานรเข้า แน่นอนว่าด้วยความเร็วระดับนี้หยางอี้ไม่มีทางหนีพ้นมันได้เลยแม้มันเองก็มิอาจไล่ตามชายหนุ่มได้ทัน ทว่าหากนี่มิใช่ความเร็วสูงสุดของราชาวานรแล้วล่ะก็ ย่างก้าวมายาสวรรค์ที่ใช้สยบผู้อื่นมามากมายจะเป็นเพียงเต่าคลานเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
หลังจากสถานการณ์กลับกลายเป็นตึงเครียดอีกครั้ง หยางอี้ยังคงสงสัยอยู่ว่าซูเฉินนั้นต้องการจะฝ่าราชาวานรไปเพื่ออะไรกัน ชายหนุ่มพลิ้วกายไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่สูงกว่าก่อนจะค่อยๆขยับขึ้นไปยังส่วนยอดไม้อย่างระมัดระวัง ต้นไม้ต้นเดิมด้วยทิศทางที่ซูเฉินมุ่งหน้าไป หยางอี้ไม่สามารถมองเห็นปลายทางมันได้อย่างชัดเจน
เมื่อหยางอี้โผล่พ้นยอดไม้ขึ้นมา ชายหนุ่มหันมองไปยังทิศทางนั้นทันที เบื้องหลังของราชาวานรเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้หน้าผาสูงชัน ทว่ามีบางสิ่งที่ทำให้หยางอี้หัวใจเต้นสั่นระรัวก่อนจะยิ้มบางขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย
เหนือถ้ำของราชาวานรขึ้นไปมิกี่เมตร ปรากฏเป็นแง่งผายื่นออกมาเล็กน้อย ทว่าบนแง่งผานั้นมีต้นท้องอกงามอยู่ต้นหนึ่ง และที่เด่นสะดุดตาคือผลท้อสีทองอร่ามสะท้อนแสงอาทิตย์แวววับที่ยั่วยวนผู้พบเห็นได้อย่างง่ายดาย
หยางอี้เข้าใจแล้วว่าเป้าหมายของทั้ง 4 คนคือผลท้อสีทองทั้ง 3 ลูกที่อยู่เหนือถ้ำของราชาวานร และดูเหมือนเจ้าของพื้นที่แห่งนี้จะไม่ยินยอมให้ผู้บุกรุกได้มันไป
หยางอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าร่วมในศึกชิงผลท้อทั้ง 3 ลูกนี้ทว่าชายหนุ่มจะเป็นเพียงมือที่สามที่ฉกฉวยผลประโยชน์ไปเท่านั้น
หยางอี้เริ่มกำหนดทิศทางในการขึ้นไปสู่แง่งผา ด้วยทักษะซ่อนจันทร์ทำให้ชายหนุ่มมั่นใจกว่า 8 ส่วนว่าจะหลบเลี่ยงการตรวจจับของราชาวานรไปได้ อีก 2 ส่วนที่เหลือคือสิ่งที่กวนใจชายหนุ่มในตอนนี้ หยางอี้ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่ได้พบกับอี้เสวี่ยชิง การพบกับนางทำให้ตัวเขาได้รับรู้ข้อบกพร่องของทักษะซ่อนจันทร์ก็จริง ทว่าก่อนหน้าจะพบกับนางหยางอี้ล้วนมั่นใจและเด็ดขาดในการดำเนินแผนการเพื่อทำบางอย่างให้ลุล่วงแต่ตอนนี้คำว่า ‘รู้สึกได้’ ที่ออกจากปากของอี้เสวี่ยชิงกลับคอยกวนใจชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา
ปัง! ปัง! เสียงการปะทะกันของกลุ่มรุ่นเยาว์และราชาวานรยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อแผนการจะให้ซูเฉินลอบเข้าไปชิงลูกท้อมาไม่ประสบความสำเร็จทั้ง 4 จึงมุ่งเป้าไปที่การล้มราชาวานรเป็นอันดับแรกแทน
อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด มือที่สามเช่นหยางอี้เองก็เคร่งเครียดไม่แพ้กัน เพราะเส้นทางที่จะต้องมุ่งไปยังบริเวณถ้ำของราชาวานรมีที่ให้กำบังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และจากด้านล่างขึ้นไปยังแง่งผานั้นเป็นที่เปิดโล่งหากหยางอี้ขึ้นไปโดยตรง พวกที่กำลังต่อสู้กันอยู่ด้านล่างจะต้องเห็นเขาอย่างแน่นอน
หยางอี้เฝ้ารอจังหวะอย่างใจเย็น ด้วยการที่สูญเสียความเชื่อมั่นไปเล็กน้อย ทำให้เขาไม่กล้าประมาทที่จะเคลื่อนตัวไปด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์ เพราะการใช้ออกด้วยทักษะจะอย่างไรก็ต้องเกิดความผันผวนของพลังปราณภายใน แม้จะเพียงเล็กน้อย ทว่าที่นี่คือบ้านของราชาวานร หากมีสิ่งผิดปกติที่แปลกแยกจากเดิมปรากฏขึ้นมา มันอาจจะรับรู้ได้ทันทีก็เป็นได้
การเฝ้ารออย่างใจเย็นในที่สุดหยางอี้ก็ได้รับโอกาสเมื่อเปียวเหว่ยเกิดคลั่งขึ้นมาจากการโดนราชาวานรทุบตีเป็นเวลานาน บุรุษร่างกำยำระเบิดพลังปราณก่อนจะใช้ออกด้วยทักษะกายาอันทรงพลังพุ่งเข้าแลกหมัดกับราชาวานร
วูป!!
หยางอี้เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุดไปยังถ้ำโดยไม่รีรอ จุดหมายของชายหนุ่มคือจุดบอดสายตาหลังหินก้อนใหญ่หน้าถ้ำ เพียงเสี้ยวลมหายใจหยางอี้ก็สามารถหลบไปยังด้านหลังก้อนหินได้ ทว่าในเสี้ยวลมหายใจนั้นหยางอี้พลันหัวใจเต้นสั่นระรัว ชั่วขณะที่หยางอี้ใช้ออกด้วยทักษะย่างก้าวมายาสวรรค์เต็มกำลังชายหนุ่มไม่ลืมที่จะคอยสังเกตท่าทีของราชาวานร และหยางอี้สัมผัสได้ว่าร่างของมันชะงักไปทันทีที่หยางอี้โคจรพลังปราณภายในเพื่อใช้ทักษะ โชคดีที่การต่อสู้ค่อนข้างรุนแรงจึงทำให้มันมิอาจละความสนใจมามองทางหยางอี้ได้
หยางอี้นั่งสงบจิตใจที่พุ่งพล่านเพื่อทำสมาธิอีกครั้งหลังก้อนหินหน้าถ้ำ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงไม่นานผู้เข้าทดสอบทุกคนจะถูกส่งออกจากป่าเมฆาแห่งนี้ ชายหนุ่มเลือกที่จะรอจังหวะที่ดีที่สุดในการกระโดดขึ้นไปเพื่อชิงลูกท้อ ตอนนี้หยางอี้มั่นใจแล้วว่าหากตัวเขาไม่ใช้ตราประทับราชันย์จะไม่มีทางหนีจากราชาวานรได้แน่นอน
ทว่ามิใช่เพียงราชาวานรเท่านั้นที่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ ยังมีอีกผู้หนึ่งที่คอยเพ่งสมาธิตรวจสอบบริเวณนี้โดยรอบอยู่ตลอดเวลา บุรุษชุดแดงผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มในการโจมตีราชาวานรครั้งนี้ เพื่อคอยประเมินสถานการณ์และออกคำสั่งต่างๆกับอีก 3 คน ทำให้เขาต้องคอยสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งบริเวณนี้ เพราะหากเขาพลาดแม้แต่น้อย มีโอกาสที่สหายอีกสามคนจะต้องจบชีวิตลงที่นี่
“พวกเราลงมือเต็มกำลัง อย่าให้มันได้มีเวลาพักหายใจ” สมาชิกกลุ่มแปลกใจอยู่บ้าง เดิมทีหลังจากการปะทะกันมาหลายกระบวนท่ากับราชาวานร ทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่สามารถล้มมันได้ แต่ที่ยังต่อสู้อยู่นี้เพราะเวลาเหลืออีกไม่นาน อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ที่จะจากไป สู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ให้มากที่สุดจะดีกว่า
ทั้ง 4 คนพุ่งเข้าหาราชาวานรอย่างเต็มกำลัง โดยครั้งนี้มีบุรุษชุดแดงเป็นผู้นำเข้าการปะทะด้วยตัวเอง
หยางอี้ที่อยู่ใกล้กับบริเวณต่อสู้ เมื่อได้ยินคำสั่งของบุรุษชุดแดงก็ลอบยินดีเล็กน้อย และเฝ้ารอโอกาสอย่างใจเย็น ก่อนที่เขาจะเอะใจขึ้นเล็กน้อยถึงคำสั่งของบุรุษชุดแดง หยางอี้จับจ้องไปยังบุรุษชุดแดงอย่างไม่วางตาและสิ่งที่ชายหนุ่มสงสัยก็ถูกไขให้กระจ่างเมื่อการปะทะรุนแรงถึงขีดสุดบุรุษชุดแดงผู้นั้นปรายสายตามองมายังก้อนหินที่หยางอี้หลบอยู่ และตะโกนออกมาเสียงดังลั่นจนอีก 3 คนตกใจ
“ไป! อย่าทำให้โอกาสที่พวกข้าสร้างขึ้นต้องสูญเปล่า”
หยางอี้ชะงักไปวูบหนึ่งแผ่นหลังถึงกับเย็นวาบ ทว่าเขาไม่มีเวลาให้ลังเล หยางอี้ใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งไปยังแง่งผาที่มีต้นท้ออยู่ทันทีตามคำสั่งของบุรุษชุดแดง
ทว่าราชาวานรเองก็รับรู้ถึงตัวตนของหยางอี้แล้วเช่นกัน มันคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธ ก่อนจะรีบเคลื่อนร่างพุ่งไปทางหยางอี้ด้วยความเร็ว
โฮกกกกก
ปัง!!
ลิงยักษ์ตัวเขื่องไม่สามารถฝ่าไปได้เช่นเดียวกับครั้งของซูเฉิน กระบี่หยกของบุรุษชุดแดงฟาดเข้ามายังร่างมันพร้อมกับปราณอัคคีสีทองอันเจิดจ้าจนมันต้องยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาตั้งรับ
“ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าไปหรอกไอ้ลิงยักษ์”
บุรุษชุดแดงกล่าวออกมา ตัวเขาประเมินสถานการณ์และวางแผนมาอย่างดีแล้ว ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าเมื่อผู้ที่แอบอยู่หลังก้อนหินเคลื่อนไหวราชาวานรจะต้องรับรู้และพุ่งเข้าไปสกัดเขาก่อนถึงต้นท้อแน่นอน เขาจึงเลือกที่จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการเข้าขัดขวางราชาวานรก่อนจะเปิดโอกาสให้ผู้แอบอยู่เคลื่อนไหว
อีกสามคนที่งุนงงกับคำพูดของหัวหน้ากลุ่มและการกระทำของราชาวานรอยู่ ในที่สุดพวกเขาก็สังเกตเห็นหยางอี้ที่บัดนี้ขึ้นไปยืนอยู่หน้าต้นท้อแล้ว
“หยางอี้”
“เพ่ย! ไอ้บ้านั่นมามาจากไหน?”
“เล่นกันแบบนี้เลยหรือขอรับ” สิ้นคำพูดของทั้งสามคนบุรุษชุดแดงที่เห็นใบหน้าของหยางอี้ก็กล่าวออกมาบ้าง
“เป็นเจ้านี่เอง! พวกเจ้าจะเหม่ออะไรกันรีบมาช่วยข้าสกัดมันไว้!” บุรุษชุดแดงตวาดทั้งสามคนที่ยืนมองหยางอี้ด้วยความตกตะลึงจนลืมหน้าที่ในการเข้าสกัดราชาวานร
“แต่ว่าลูกพี่” ซูเฉินกล่าวออกมาได้เพียงครึ่งคำก็ถูกขัดขึ้น
“ไม่มีแต่ เจ้าหนูนั่นคือความหวังที่พวกเราจะไม่ต้องออกไปมือเหล่า”
สิ้นคำของบุรุษชุดแดงทั้งสามคนพลันเข้าใจได้และระเบิดพลังปราณออกมาเต็มกำลังเพื่อสกัดราชาวานร
หยางอี้ขณะนี้เริ่มที่จะเก็บเกี่ยวลูกท้อลูกแรกแล้ว เขาตะลึงไม่น้อยที่บุรุษชุดแดงรับรู้ถึงตัวตนของเขา และที่มากกว่านั้นคือบุรุษชุดแดงผู้นั้นสามารถวางแผนขึ้นซึ่งรวมตัวเขาเองอยู่ในแผนนั้นด้วย ทั้งๆที่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายรับรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่นี่
ขณะที่หยางอี้กำลังเก็บเกี่ยวลูกท้อสีทองผลที่ 2 อยู่ บุรุษชุดแดงก็กล่าวออกมาเสียงดัง
“น้องชายข้าหวังว่าเจ้าจะมีคุณธรรมมากพอ พวกข้ามี 4 คน ดังนั้นจะขอส่วนแบ่งคือผลท้อ 2 ผล และให้เจ้าเก็บไป 1 ผล”
หยางอี้เมื่อได้ฟังก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางบุรุษชุดแดงที่ปรายตามองเขาขณะต่อสู้ หยางอี้กัดฟันอย่างเสียดายเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับคำของบุรุษชุดแดง
“ดี! เมื่อได้ครบแล้วเจ้าจงออกจากพื้นที่นี้ไปให้ไกลที่สุด เพราะพวกข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับมันได้อีกนานแค่ไหน เมื่อเจ้าหนีไปได้ระยะหนึ่งข้าจะถอนตัวทันที และแน่นอนว่ามันต้องหันไปไล่ตามเจ้าอย่างแน่นอน”
หยางอี้เข้าใจแผนการของบุรุษชุดแดงแล้วก็เร่งเก็บผลท้อลูกสุดท้ายเข้าแหวนมิติก่อนจะหันมาพูดกับกลุ่มของบุรุษชุดแดงที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากและจากไปทันที
“เมื่อออกไปแล้วข้าจะไปหาพวกท่าน”
หยางอี้คำนวณเวลาดูหลังจากออกจากพื้นที่ต่อสู้ ตอนนี้เวลาเหลืออีกราวครึ่งก้านธูปก่อนที่ทุกคนจะถูกส่งออกไป หยางอี้แต่เดิมนั้นตัวเขาเองก็เต็มไปด้วยความโลภเช่นกัน ทว่าแม้จะโลภมากเพียงใดเขาก็มิใช่คนโง่ อีกทั้งบุรุษชุดแดงยังเลือกที่จะกล่าวออกมาถึงผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายแทนที่จะใช้การข่มขู่ ทำให้ หยางอี้ตัดสินใจรับผลท้อไปเพียงหนึ่งผล อย่างไรเสียการมีทั้ง 4 คนเป็นมิตรย่อมดีกว่าให้พวกเขามาเป็นศัตรูอยู่แล้ว
หยางอี้วิ่งออกมาด้วยความเร็วเพียงไม่นานก็ออกมาไกลถึง 5 กิโลเมตรแล้ว ชายหนุ่มรีบหาสถานที่ในการหลบการตรวจจับของราชาวานรทันทีเพราะหากหนีต่อไปด้วยความเร็วของราชาวานรต้องตามเขาทันอย่างแน่นอน และไม่นานสัญญาณการไล่ล่าก็ดังขึ้นเมื่อเสียงของราชาวานรคำรามก้องอย่างโกรธเกรี้ยวไปทั่วป่า ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียง 30 ลมหายใจตัวเขาจะถูกส่งออกไปจากป่าแห่งนี้
29
28
25
20
10
ตูม!!
หยางอี้ที่แอบอยู่ในพุ่มไม้ใจหายวาบ เมื่อเขามองลอดพุ่มไม้ออกไปเห็นร่างสีขาวบริสุทธิ์ของราชาวานรกระโดดลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
‘บัดซบตามมาถูกจริงๆด้วย’ หยางอี้มองลอดช่องไม้ไปเห็นราชาวานรทำจมูกเหมือนกำลังสูดดมบางอย่าง ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที หยางอี้เร่งดมมือของตัวเองและพบว่ากลิ่นหอมบริสุทธิ์ของลูกท้อที่ติดมือเขาอยู่นั่นเองที่ทำให้ลิงยักษ์เบื้องหน้ารู้ที่อยู่ของเขา
หยางอี้ไม่รอช้า เขาเร่งโคจรพลังปราณสูงสุดแล้วใช้ออกด้วยทักษะหัตถ์หลอมตะวันเต็มกำลังทันก่อนจะตั้งท่าไขว้แขนเพื่อเตรียมรับการโจมตี ตัวเขามั่นใจว่าต้องถูกพบอย่างแน่นอน และก็เป็นดังที่เขาคิดเมื่อราชาวานรจ้องมายังพุ่มไม้ที่เขาซ่อนตัวอยู่และพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
3
2
1
ปัง!